“เจ้ารู้ได้เช่นไรว่าที่นี่ฤดูหนาวไม่อันตราย?”เมี่ยวอินเบ้ปาก “หากไม่อันตรายจริง ชาวเป่ยหวนและต้าเฉียนไม่รู้จักส่งกองกำลังมาทางนี้เพื่อซุ่มโจมตีจากด้านหลังหรือ?”แม้เมี่ยวอินดูเหมือนจะสงสัยว่าแก้ตัวก็ตาม แต่คำพูดของนางก็ได้รับการยอมรับจากคนทุกคนหุบเขาแห่งความตายที่ซั่วเป่ยจะบอกว่าเป็นสถานที่ต้องห้ามก็ได้คนจำนวนไม่น้อยไม่เชื่อเรื่องร้ายคิดอยากพิสูจน์ด้วยตัวเอง สุดท้ายก็ต้องล้มเหลวใครจะรู้ว่ามีคนมาลองพิสูจน์ช่วงฤดูหนาวหรือไม่?“บนโลกใบนี้ มีหลายสิ่งที่เป็นไปตามสิ่งที่คนอื่นพูดมากมาย”หยุนเจิงหัวเราะส่ายหน้า “หากไม่เชื่อ ข้าจะพิสูจน์ให้พวกเจ้าดู!”“องค์ชายไม่ได้!”อวี๋ซื่อจงรีบขวางไว้ทันที “พวกเราเชื่อ เชื่อทุกคน!”“ใช่ใช่ พวกเราเชื่อทุกคน!”พวกเกาเหอพากันพยักหน้าพวกเขาอยากบอกว่าไม่เชื่อแต่กลัวหยุนเจิงจะขัดขืน วิ่งเข้าไปพิสูจน์หากหยุนเจิงเกิดเหตุไม่คาดฝัน พวกเขาทุกคนต้องหัวหลุดออกจากบ่า“ข้า...”หยุนเจิงหน้าเคร่งขรึมมองทุกคน “ข้าบอกว่าข้าจะพิสูจน์ด้วยตัวเองหรือ? ไม่รู้จักส่งม้าสักตัวเข้าไปพิสูจน์หรือ?”ส่งม้าสักตัวเข้าไปพิสูจน์ทุกคนตกตะลึงชั่วครู่“ใช่ ใช่ ส่งม้า
เมี่ยวอินปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่สามารถห้ามหยุนเจิงที่หน้าด้านจะขี่ม้าไปพร้อมนางได้ “เอามือของเจ้าออกไป!”เพิ่งไปได้ไม่ไกล เมี่ยวอินก็รู้สึกว่ามีมือคู่หนึ่งเพิ่มขึ้นมาที่เอว “อย่าโวยวาย!”หยุนเจิงกอดเอวเมี่ยวอินไว้ จากนั้นก็หาว “ข้าไม่ได้นอนมาทั้งคืน ตอนนี้ง่วงจะตายแล้ว เจ้าต้องระวัง อย่าปล่อยให้ข้าตกจากม้าลงไป...” “เจ้า...”เมี่ยวอินชะงักเล็กน้อย ทั้งโมโหทั้งตลก “อย่างน้อยเจ้าก็เป็นท่านอ๋อง รักษาหน้าตาหน่อยได้หรือไม่?” “พูดอะไรน่ะ!”หยุนเจิงเอนศีรษะซบแผ่นหลังนาง “เจ้าสวมเสื้อผ้าหนาแน่นรัดกุม ข้ายังจะเอาเปรียบเจ้าได้หรือ? เจ้าว่าข้าแนบชิดกับเจ้าให้มากขึ้นหน่อย ยังสามารถบังลมหนาวให้เจ้าได้ไม่ใช่หรือ?”เมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง เมี่ยวอินเกือบจะหัวเราะด้วยความโกรธแล้ว “ไอสารเลวนี่!”เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคิดจะเอาเปรียบ ยังจะกล่าวโกหกเช่นนี้ออกมาได้?ทำเหมือนนางต้องขอบคุณเขา!ไม่เคยเห็นผู้ใดหน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อน!เห็นเมี่ยวอินที่มองหยุนเจิงด้วยความจนใจ พวกเกาเหออดไม่ได้ที่จะมองตากันแล้วหัวเราะครั้งนี้องค์ชายหน้าด้านหน้าทน ปากก็ช่างเจรจาไปเรื่อยผู้ที่สามารถเอาเปรียบแล
“ได้ ได้...”หยุนเจิงจนปัญญา จำต้องลุกขึ้นจากเตียงตอนที่หยุนเจิงกำลังกินอาหาร เสิ่นลั่วเยี่ยนก็นั่งลงข้างกายเขาเสิ่นลั่วเยี่ยนถอนหายใจ “เป็นเพราะเรื่องที่เจ้ากลายเป็นหมาก เมื่อคืนจึงไม่ได้นอนหรือ?”นางได้ฟังเรื่องราวบางส่วนจากเมี่ยวอินแล้วเมื่อได้รู้หยุนเจิงไปยังหุบเขาแห่งความตาย เสิ่นลั่วเยี่ยนโกรธมากเดิมนางอยากจัดการหยุนเจิงสักยก แต่ได้ฟังเรื่องเมื่อวานจากเมี่ยวอิน นางก็เก็บความคิดที่จะจัดการหยุนเจิงทันทีนางเองไม่แน่ใจว่าจักรพรรดิเหวินต้องหารใช้หยุนเจิงเป็นหมากหรือไม่แต่จากสถานการณ์ตรงหน้า อย่างนั้นก็มียังมีความเป็นไปได้ด้วยความอธิบายไม่ถูก นางกลับรู้สึกสงสารหยุนเจิง “ไม่ใช่”หยุนเจิงกลืนอาหารในปาก จากนั้นก็ส่ายหน้า “เรื่องแค่นี้เอง ไม่เพียงพอให้ข้าอดหลับอดนอนทั้งคืน! เจ้าเลิกถามได้แล้ว รอให้ข้ากินเสร็จ หลับพักผ่อน ข้าจะค่อยๆ เล่าเรื่องที่คิดเมื่อคืนกับเจ้า” “ก็ได้!”เสิ่นลั่วเยี่ยนพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยปลอบใจ “ความจริง ต่อให้เสด็จพ่อเจ้าเห็นเจ้าเป็นหมากจริง มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่! เดิมเจ้าก็ไม่ใช่ขุนนางจงรักภักดี เจ้ามาที่ซั่วเป่ยช่วงชิงอำนาจกองทัพ...” “วา
หยุนเจิงหลับลึกสนิทหลับไปหลับมา เขากลับฝันร้ายภายในฝัน เขาถูกรัดคอด้วยผ้าไหมสีขาวยาวสามจ้างขาวโพลนไม่สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาได้ชัดเจนเขาดิ้นรนเช่นไรก็ไร้ประโยชน์ตอนที่เขาใกล้จะขาดอากาศหายใจ ในที่สุดเขาก็สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายจิตสำนึกของเขาอยากลุกขึ้นนั่ง ทว่าทำเช่นไรก็ไม่อาจลุกขึ้นนั่งได้เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ใบหน้าของเขาใกล้เขียวคล้ำแล้วผ้าไหมสีขาวยาวสามจ้างไม่มีแล้วมีเพียงแขนขาวนวลข้างหนึ่งแขนนวลหยกของเสิ่นลั่วเยี่ยนรัดคอเขาไว้แน่น ขาข้างหนึ่งยังกดทับร่างของเขามองดูท่านอนประหลาดของเสิ่นลั่วเยี่ยน หยุนเจิงใบหน้าเคร่งขรึมเสียไม่ได้มิน่าถึงได้ฝันร้าย!หากไม่ฝันร้าย ไม่นานอาจถูกหญิงผู้นี้รัดคอตายแล้ว! “แค่กๆ...”หยุนเจิงออกแรงปัดมือของเสิ่นลั่วเยี่ยนออก การหายใจราบรื่นโดยพลัน “อืม..”เสิ่นลัวเยี่ยนตื่นเพราะเสียงไอของหยุนเจิง สะลึมสะลือถาม “นี่เป็นเวลายามใดแล้ว?” “ไม่รู้”หยุนเจิงส่ายหน้าเบาๆ “แต่ว่า เวลานี้เป็นเวลาเหมาะที่จะส่งข้าขึ้นสวรรค์”“ส่งเจ้าขึ้นสวรรค์?”เสิ่นลั่วเยี่ยนลืมตาอย่างสะลึมสะลือ “เช้าตรู่เช่นนี้ พูดไร้สาระอะไร?”เช้าตรู่?ท้องฟ้าข้างน
ขณะที่หยุนเจิงเตรียมจะปลดเสื้อผ้าของเสิ่นลั่วเยี่ยน เสิ่นลั่วเยี่ยนกลับจับมือของเขาไว้ กล่าวอย่างหน้าแดง “ข้า...ข้ามีประจำเดือนแล้ว...” “ห๊า?”หยุนเจิงสีหน้าเคร่งขรึม “จริงหรือเปล่า? ข้าเรียนน้อย เจ้าอย่าหลอกข้า”จู่ๆ หยุนเจิงก็รู้สึกเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นให้ตายสิ!อย่าทำเช่นนี้ได้หรือไม่?เขารู้แล้ว หญิงผู้นี้จงใจ!มิน่าเล่าเขาถึงรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ผิดปกติ!ราวกับว่านางอยู่ตรงนี้เพื่อรอเขา!เสิ่นลั่วเยี่ยนเมื่อได้ฟัง ยิ่งหน้าแดง กล่าวอย่างโมโห “ถึงเช่นไรช้าเร็วก็ต้องเป็นคนของเจ้า ข้ายังจะหลอกเจ้าให้ได้? หรือว่าเจ้าจะต้องดูกับตาตัวเอง?” “คือว่า...”หยุนเจิงชะงักเล็กน้อย พูดอย่างมีเลศนัย “หากให้ดู ก็ใช่ว่าจะไม่ได้...” “ไปตายซะ!”เสิ่นลั่วเยี่ยนกลับสู่ร่างตัวตนเดิม ตวาดลั่น “เจ้ากล้า ข้าไม่กล้า!” “เจ้าใช้ได้เลย!”หยุนเจิงหดหู่ “ทำมาตั้งนาน ก็เพื่อรอดูข้าอยู่ตรงนี้ใช่หรือไม่?” “สมควร!” เสิ่นลั่วเยี่ยนเลิกคิ้วหัวเราะ มองเขาด้วยความพอใจ “ใครใช้ให้เจ้าเอาแต่คิดเรื่องสกปรกทั้งวันทั้งคืน!” “สิ่งใดเรียกว่าสกปรก? ชายหญิงรักใคร่ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ตกลงไหม?”หยุนเจิ
เมื่อเอาเปรียบจากร่างกายของเสิ่นลั่วเยี่ยนจนพอใจแล้ว ในที่สุดหยุนเจิงก็ลุกขึ้นด้วยสติกระปรี้กระเปร่าเสิ่นลั่วเยี่ยนอายจนหน้าแดง นอนอยู่บนที่นอนไม่ยอมลุกขึ้น ตั้งใจรอให้สีหน้าของนางกลับสู่สภาพปกติค่อยลุกจากเตียงออกไปตอนนี้ หากถูกพวกเยี่ยจื่อเห็นสีหน้านาง ต้องหัวเราะเยาะนางแน่นอนหยุนเจิงอาบน้ำโดยได้รับการปรนนิบัติจากซินเซิงเสร็จแล้ว ตอนที่เดินออกไป ข้างนอกเริ่มมืดแล้วซั่วเป่ยเริ่มเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว ตอนนี้ฟ้าสว่างช้า มืดเร็วต่อไปช่วงเวลากลางวันจะยิ่งสั้นลง มีเพียงห้าถึงหกชั่วยามเท่านั้นหยุนเจิงกำลังเตรียมตัวออกไปยืดเส้นยืดสายภายในลานบ้าน กลับเห็นคนรับใช้กำลังกวาดตามกำแพง“พวกเขากำลังทำสิ่งใด?”หยุนเจิงประหลาดใจมองซินเซิงภายในห้องไม่มีหิมะพัดเข้ามา!พวกเขากวาดกำแพงไปทำเพื่อสิ่งใด?“พวกเขากำลังทำความสะอาดฝุ่นขาวบนกำแพง”ซินเซิงตอบกลับ “ช่วงนี้ภายในเรือนค่อนข้างชื้น ฝุ่นขาวบนกำแพงมีมาก วันก่อนเพิ่งกวาดไป ไม่นานก็ขึ้นมาไม่น้อย ฮูหยินเยี่ยเมื่อวานสั่งเอาไว้ เช้าวันนี้ให้ทุกคนทำความสะอาดฝุ่นขาวบนกำแพง...”ซินเซิงยังคงยืนพูดอยู่ตรงนั้นไม่หยุด หยุนเจิงกลับสะดุ้งในใจฝุ่นสีขา
คนใช้ถอยออกไปหมดแล้ว หยุนเจิงนำผงหมึกและดินประสิวกำแพงผสมเข้าด้วยกันตอนนี้ขาเพียงทำการสาธิตให้พวกเสิ่นลั่วเยียนดู ไม่ได้ทำการค้นคว้าสัดส่วนใด เพียงแค่ผสมเข้าด้วยกันก็พอ “เจ้ากำลังทำสิ่งใด?”เสิ่นลั่วเยี่ยนขมวดคิ้ว “อยู่ดีๆ ทำมือสกปรกหมด...”หยุนเจิงกระพริบตา ยิ้มยั่ว “เจ้าหอมก่อน ข้าจะบอกเจ้า!” “ถุย!”เสิ่นลั่วเยี่ยนหน้าแดงทำเสียงถ่มน้ำลาย เอ่ยอย่างหงุดหงิด “เลิกพูดไร้สาระ โตเช่นนี้แล้ว ยังไม่รู้จักยางอาย!” “ยางอาย?”หยุนเจิงเบ้ปาก “ยางอายมีค่าเท่าใด? ใช้กินได้หรือไม่?”เสิ่นลั่วเยี่ยนเมื่อได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะจ้องเขม็งหยุนเจิงตอนนี้นางเข้าใจแล้ว พูดเรื่องยางอายกับหยุนเจิงก็เหมือนกับการสีซอให้ควายฟัง! “พอแล้ว หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว!”เยี่ยจื่อมองหยุนเจิงอย่างเหนื่อยหน่าย “เจ้าก่อเรื่องแต่เช้า คิดจะทำสิ่งใดกันแน่?”หยุนเจิงยิ้มมุมปาก จงใจกล่าวหยั่งเชิง “ต่อไป ก็จะเป็นช่วงเวลาแห่งปาฏิหาริย์!”ทุกคนไม่เห็นด้วย พากันกรอกตาบนให้เขาหยุนเจิงหัวเราะ นำถ่านร้อนแดงจากเตาใกล้ๆ แล้วโยนลงในส่วนผสมของดินประสิวและถ่าน “ฟึบๆ...”ทันใดนั้น ของที่ผสมกันเผาไหม้อย่างรุนแรง กล
หลายวันถัดไป จางซูเริ่มซื้อดินประสิวกำแพงพวกเขาทำแผงรับซื้อดินประสิวกำแพงโดยเฉพาะราคาหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งชั่ง เพียงพอจะทำให้ชาวบ้านเมืองซั่วฟางบ้าคลั่งขึ้นมาถึงเช่นไรซั่วเป่ยได้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแล้ว คนจำนวนมากไม่มีงานทำ วันๆ เอาแต่ขูดดินประสิวกำแพงห้องส้วม โรงเลี้ยงสัตว์เกิดดินประสิวได้ง่าย มันกลายเป็นภูเขาทองในสายตาคนมากมายได้ฟังคำพูดจางซู บางคนถึงขั้นแอบเข้าไปขูดดินประสิวกำแพงจากโรงเลี้ยงสัตว์ของคนอื่นทะเลาะกันจนถึงโรงถึงศาลแต่ว่า ดินประสิวกำแพงกลับไม่ค่อยมีน้ำหนักอย่าเอาแต่เห็นว่าได้ครึ่งถังเล็ก แต่ใช้แรงกดอันให้แน่น ความจริงแล้วก็ได้เพียงคลุมก้นถึงเท่านั้นที่หยุนเจิงกังวลว่ามีเงินก็ซื้อไม่ได้ มันก็เป็นความจริงแล้วยังดีที่เขาเตรียมใจเอาไว้ จึงไม่รู้สึกผิดหวังได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น!รอให้เขามีสถาณการณ์มั่นคงแล้ว ก็สามารถตามหาแร่ดินประสิวและกำมะถันขอแค่หาแร่ดินประสิวและกำมะถันพบ ค่อยคิดทำอาวุธไฟชนิดปืน“องค์ชายหก องค์ชายหก...”ขณะที่หยุนเจิงคิดเรื่อยเปื่อย เสียงของจางซูดังขึ้นข้างหูหยุนเจิง“ห๊า?”หยุนเจิงได้สติกลับมา “ทำสิ่งใด?”“เจ้านั่นแหละทำสิ่งใด?
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง!” เจียเหยากล่าวพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กุ่ยฟางต้องยอมสวามิภักดิ์และถวายบรรณาการอย่างแน่นอน แต่จำนวนบรรณาการต้องเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบพร้อมกันนี้ กุ่ยฟางต้องเปิดการค้าเสรีกับต้าเฉียนและเป่ยหวน นอกจากนี้ กุ่ยฟางต้องชดเชยความเสียหายที่เป่ยหวนและต้าเฉียนได้รับจากศึกครั้งนี้ โดยจ่ายชดเชยเป็นทองคำ 100,000 ตำลึง แกะ 100,000 ตัว วัว 30,000 ตัว ม้า 10,000 ตัว และเสบียงอาหาร 4 ล้านตัน และเพื่อเป็นการตอบแทน เจียเหยาจะไม่เรียกร้องให้กุ่ยฟางยกดินแดน 500 ลี้ แต่ลดลงเหลือเพียง 300 ลี้เท่านั้น! ส่วนข้อที่ให้กุ่ยฟางถวายหญิงงาม 100 คนแก่ต้าเฉียนนั้น เจียเหยาได้ยกเว้นให้โดยตรง สำหรับเงื่อนไขปลีกย่อยอื่นๆ เจียเหยาก็ยอมรับตามที่กุ่ยฟางเสนอมา เมื่อได้ยินเงื่อนไขของเจียเหยา อาเคอถูรู้สึกราวกับสมองของตนกำลังอื้ออึง การเพิ่มบรรณาการขึ้นร้อยละห้าสิบยังพอว่า แต่เจียเหยากลับเรียกร้องให้กุ่ยฟางจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาลในคราวเดียว? อย่าว่าแต่ปศุสัตว์และเสบียงเลย เพียงแค่ทองคำ 100,000 ตำลึง กุ่ยฟางก็แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว ทองคำ 100,000 ตำลึง
กุ่ยฟางแม้ว่าขณะนี้ดินแดนกุ่ยฟางจะเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว แต่เจียเหยาก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนทัพ ด้วยผลจากสิ่งที่พวกเขายึดได้ระหว่างทาง กองทัพของพวกเขาจึงไม่มีใครต้องทนหนาว ทว่าความหนาวเย็นของอากาศยังคงสร้างความลำบากไม่น้อยให้กับพวกเขา ทัวฮวนและจู่หลู่ได้เสนอให้เจียเหยารับคำขอเจรจาของชื่อเหยียนหลายครั้ง แต่เจียเหยาก็ไม่ได้สนใจในตอนนี้ กองทัพของพวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงของกุ่ยฟางไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้แล้ว! เมื่อเผชิญกับกองทัพที่ประชิดเข้ามา ชื่อเหยียนจึงส่งคนมาเจรจาขอสงบศึกอีกครั้ง ครั้งนี้ เจียเหยาไม่ได้ขับไล่คนที่ชื่อเหยียนส่งมาอีก เจียเหยาได้พบกับอาเคอถูในกระโจมใหญ่ เมื่ออาเคอถูถูกนำตัวเข้ามา เจียเหยากำลังใช้มีดเล็กๆ ตัดเนื้อแกะชิ้นร้อนๆ จากขาแกะส่งเข้าปาก ข้างกายของนาง เกออาซูยืนอยู่พร้อมถือดาบในมือ อาเคอถูไม่ทราบว่าเนื้อแกะนั้นอร่อยเพียงใด แต่เจียเหยากลับดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินอย่างมาก “ข้าน้อยคารวะองค์หญิงเจียเหยา!” อาเคอถูคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อถวายคำนับเจียเหยา เจียเหยาช้อนตามองเล็กน้อย มองอาเคอถูอย่างเรียบเฉย “เจ้าควรเรียกข้าว่า ‘องค์หญิ
ฤดูหนาวอันยาวนาน พวกเขามีสิ่งที่ต้องเตรียมการมากมาย หยุนเจิงเดินหาอยู่ในค่ายอยู่นาน จึงเจอฉินชีหู่ในโรงตีเหล็กของค่าย เมื่อเห็นหยุนเจิง ฉินชีหู่ก็รีบถือกระบองหนามที่เขาสั่งการตีด้วยตัวเองเข้ามาหา พลางกล่าวด้วยความภูมิใจ “น้องชาย เจ้าช่างมาถูกเวลา! มาดูอาวุธใหม่ของข้าหน่อยสิ!” “ข้าดูซิ” หยุนเจิงรับกระบองหนามมาจากมือของฉินชีหู่ เพียงแค่จับก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักมหาศาล แม้หยุนเจิงจะฝึกฝนร่างกายร่วมกับเมี่ยวอินมานาน แต่เมื่อถือกระบองหนามนี้ไว้ในมือก็ยังรู้สึกว่าหนักเกินกำลังเล็กน้อย “นี่คงหนักเจ็ดสิบจินได้กระมัง?” หยุนเจิงมองฉินชีหู่ด้วยความตกตะลึง “เจ็ดสิบแปดจิน!” ฉินชีหู่หัวเราะพลางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “นี่คืออาวุธที่หนักที่สุดในกองทัพแน่นอน!” ตอนนี้ฉินชีหู่หลงใหลในกระบองหนามชนิดนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดาบใหญ่หรือหอกยาว เมื่อเจอกระบองหนามของเขา ก็ต้องยอมแพ้ทั้งนั้น เพียงแค่ฟาดลงไปครั้งเดียว เกราะใดก็ป้องกันไม่ได้! เรียกได้ว่าเทพมาขวางก็กำจัดเทพ พระมาขวางก็กำจัดพระ!” “เจ้ามันแน่!” หยุนเจิงกล่าวเหน็บแนมพลางคืนกระบองหนามให้ฉินชีหู่ “ช่ว
เรื่องการอภิเษกสมรสกับเจียเหยา หยุนเจิงไม่ได้ให้ความสำคัญนัก พลังงานทั้งหมดของเขาทุ่มเทไปกับการเตรียมการกองทัพใหม่ สำหรับกองทัพกุยอี้ หยุนเจิงยังคงยึดหลักการเดิม คือ ในหนึ่งกองทัพต้องประกอบด้วยคนจากหลายแคว้น เพื่อให้พวกเขาตรวจสอบกันเองและป้องกันความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้น กองทัพกุยอี้สี่หมื่นนาย ถูกขยายมาจากกองกำลังหนึ่งหมื่นกว่าคนของฟู่เทียนเหยียนและพรรคพวก ผู้ที่สร้างผลงานจากศึกก่อนหน้านี้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นนายทหารระดับกลางและล่าง ฟู่เทียนเหยียน ฮั่วกู้ จั่วเหริน และเกาเหอ ต่างก็นำกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเขาในศึกก่อนหน้า หยุนเจิงจึงจัดสรรม้าให้กองทัพกุยอี้หนึ่งหมื่นตัว และจัดตั้งกองทหารม้าห้าพันนาย ซึ่งสังกัดในกองกำลังของฟู่เทียนเหยียน หลังจากจัดการเรื่องกองทัพใหม่เรียบร้อย หยุนเจิงจึงพาคนไปเคารพหลุมศพของตู้กุยหยวน ระหว่างทางกลับ หยุนเจิงครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอนาคต เมื่อการเตรียมการเบื้องต้นเสร็จสิ้น กองทัพกุยอี้ทั้งสี่หมื่นนายจะต้องแยกกันไปฝึก ส่วนกองทัพประจำการใหม่สองหมื่นนาย เรื่องนี้ค่อนข้างง่าย กองกำลังสองหมื่นนี้เดิมทีเป็
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ
จักรพรรดิเหวินอาจอยู่ในเมืองหลวงนานเกินไป หรืออาจเป็นเพราะอยากสำรวจความมั่งคั่งของหยุนเจิง ในไม่กี่วันที่ผ่านมา จักรพรรดิเหวินให้หยุนเจิงพาไปชมสถานที่หลายแห่ง เยี่ยจื่อและเสิ่นลั่วเยี่ยนตั้งครรภ์อยู่ ส่วนเมี่ยวอินไม่อยากพบกับจักรพรรดิเหวินบ่อยนัก จักรพรรดิเหวินจึงเลือกให้หยุนเจิงเป็นผู้ติดตามเพียงคนเดียว ในช่วงหลายวันนั้น จักรพรรดิเหวินได้ไปชมเหมืองถ่านหิน โรงงานผลิตถ่านน้ำผึ้ง โรงงานปูนซีเมนต์ และเตาเผาต่างๆ อย่างครบถ้วน โชคดีอย่างเดียวคือ จักรพรรดิเหวินไม่ได้ไปดูโรงงานผลิตเกลือบริสุทธิ์ ไม่แน่ชัดว่าจักรพรรดิเหวินตั้งใจหรือไม่ แต่ครั้งนี้พระองค์ไม่ได้ไปชมกองทัพซั่วเป่ย สิ่งที่พระองค์สนใจล้วนเป็นเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ในที่สุด หยุนเจิงก็ไม่อาจขัดขวางจักรพรรดิเหวินไม่ให้เดินทางไปยังชายแดนชิงเปียนได้ หยุนเจิงนำกองทัพองครักษ์ของตน พร้อมด้วยทหารองครักษ์ส่วนพระองค์ที่นำโดยโจวไต้ เดินทางไปยังชิงเปียนพร้อมจักรพรรดิเหวิน ระหว่างทางไปยังชิงเปียน หิมะหนาแน่นราวขนนกก็เริ่มตกลงมา จักรพรรดิเหวินยืนอยู่บนกำแพงเมืองชิงเปียน มือไขว้หลังโดยไม่ขยับเขยื้อน
พวกเขาล้วนเป็นคนใกล้ชิดของหยุนลี่ หยุนลี่จึงมิได้ปิดบัง ตั้งใจบอกเรื่องที่ต้องการซุ่มโจมตีหยุนเจิงในหัวเมืองสี่ทิศให้พวกเขารับรู้ เมื่อทราบแผนการของหยุนลี่ มีเพียงหยวนกุยที่ยังคงสงบนิ่ง ขณะที่คนอื่นต่างตกใจไปตามๆ กัน หยวนกุยหลังจากชดเชยความผิด ก็ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการทหารในสำนักไทจื่อ แม้จะมิได้บัญชาทหารมากมาย แต่เขามีความภักดีอย่างยิ่ง ในการเดินทางครั้งนี้ หยุนลี่จึงพาหยวนกุยมาด้วย เฉียวเหยียนเซียน หัวหน้าทหารรักษาการณ์ซ้ายของไทจื่อขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท ด้วยฐานะของหยุนเจิง หากไร้พระราชโองการ ใครเล่าจะ…” “เรื่องนี้ เจ้าต้องคอยเตือนข้าด้วยหรือ?” หยุนลี่ขัดจังหวะเฉียวเหยียนเซียน “เรื่องนี้ ข้าจะหารือกับเสด็จพ่อเอง! อย่างไรก็ดี พวกเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับกรณีที่เสด็จพ่อไม่เห็นชอบ! นี่คือโอกาสทองในการซุ่มโจมตีหยุนเจิง หลังจากนี้ คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก!” ครั้งนี้ หยุนลี่ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าองค์จักรพรรดิเหวินจะทรงเห็นด้วยหรือไม่ เขาก็คิดจะลองสังหารหยุนเจิงอยู่ดี ในตอนนี้ หยุนเจิงเปรียบดั่งดาบที่แขวนอยู่บนคอเขา หากหยุนเจิงยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อ
บรรยากาศในมื้ออาหารนี้ไม่สู้ดีนัก หยุนลี่มีความขุ่นเคืองในใจ แต่ไม่อาจระบายออกได้ ต้องพยายามปลอบประโลมบรรดาแม่ทัพ จึงไม่มีทางจะอารมณ์ดีได้เลย หลังอาหาร หยุนลี่ได้เอ่ยปากเชิญโจวเต้ากงให้เดินพูดคุยเป็นการส่วนตัว โจวเต้ากงก็ไม่รู้ว่าหยุนลี่ต้องการสิ่งใด แต่ก็จำต้องตอบรับ หยุนลี่กอดอก เดินนำโจวเต้ากงไปยังลานกว้างในค่ายทหาร “เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับหยุนเจิง?” ขณะเดินอยู่ หยุนลี่ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน คิดเห็นต่อหยุนเจิงหรือ?โจวเต้ากงสะดุ้งในใจ รีบตอบกลับไปว่า “องค์ชายหกทรงเป็นโอรสสวรรค์ ข้าน้อยไม่บังอาจแสดงความคิดเห็นโดยพลการ” “ไม่เป็นไร กล่าวตามที่เจ้าคิดเถิด” หยุนลี่กล่าวอย่างเรียบเฉย เมื่อเห็นหยุนลี่ยืนกรานจะถาม โจวเต้ากงก็จำต้องตอบไปด้วยความหวั่นเกรง “องค์ชายหกทรงมีฝีมือในการศึก ปราบปรามศัตรูอย่างกล้าหาญ นับเป็นคุณูปการใหญ่หลวงต่อแผ่นดินต้าฉวน! แต่การที่ทรงมีอำนาจทหารอยู่ในพระหัตถ์และไม่เชื่อฟังราชโองการนั้น กลายเป็นภัยใหญ่หลวงต่อราชสำนัก...” เมื่ออยู่ต่อหน้าหยุนลี่ในฐานะรัชทายาท โจวเต้ากงจึงจำต้องกล่าวเช่นนี้ หยุนลี่รู้สึกพอใจกับคำตอบของโจวเต้ากง จ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา