เรื่องกินเงินเดือนนี้สามารถบอกได้ว่าเป็นกฎที่ไม่ได้พูดถึงในกองทหารโบราณแล้วข้อแตกต่างคือ กินมากกินน้อยเท่านั้นถึงแม้เขาจะมีองค์ชายและท่านอ๋องสองสถานะ แต่หากไม่มีหลักฐาน ก็ไม่สามารถทำอะไรคนคนนั้นได้อยู่ดีอีกอย่าง สงครามซั่วเป่ยใกล้จะมาถึงแล้วถึงแม้เสด็จพ่อจะรู้เรื่องนี้ ก็คงจะเลือกหลับหูหลับตา รอให้เสร็จสิ้นสงครามซั่วเป่ยนี้แล้วถึงจะคิดบัญชีกับคนเหล่านั้นโลกนี้ไม่ใช่ทุกเรื่องจะได้รับความยุติธรรม!มันโหดร้ายมาก แต่มันคือความจริง!ถูกหยุนเจิงพูดไปคำหนึ่ง เสิ่นลั่วเยี่ยนก็กระดกสุราอย่าเศร้าใจราวกับเป็นลูกกลมอัดที่ถูกปล่อยลมอย่างไรอย่างนั้น“ท่านอ๋องพูดมีเหตุผล”หลูซิ่งพยักหน้ากล่าว “หลักฐานเหล่านั้นเกรงว่าจะถูกทำลายหมดแล้ว”“เอาล่ะ เรื่องนี้มีแค่เราที่รู้กันก็เป็นพอ”หยุนเจิงโบกมือ “บัญชีนี้ติดเอาไว้ก่อน รอให้มีโอกาส ข้าจะทำให้พวกเขาคืนเงินที่กินไปกลับมาทั้งหมดรวมทั้งต้นทั้งดอกเลยคอยดู!”หืม?หัวใจของเสิ่นลั่วเยี่ยนสั่นไหวแล้วรีบพยักหน้าหงึกๆ “ใช่ จะต้องให้พวกมันคืนทั้งต้นทั้งดอก! เรื่องนี้ท่านเชี่ยวชาญอยู่แล้ว!”แม้แต่หยุนลี่เองก็เกือบจะถูกหยุนเจิงหลอกจนเกือบล้มละลาย นั
ทุกคนดื่มกันจนถึงค่ำพูดคุยเรื่องที่ควรพูดจนหมด หลูซิ่งขอบคุณและปฏิเสธคำเชิญให้อยู่ต่อของหยุนเจิงเขา และยืนยันที่จะกลับค่ายเหนือเมื่อเห็นว่าเขายืนหยัด หยุนเจิงจึงไม่เชิญให้อยู่ต่อ “ก็ได้ เช่นนั้นข้ากับพระชายาไปส่งเจ้าแล้วกัน!”“ไม่รบกวนท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว”หลูซิ่งส่ายศีรษะ กล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว“รบกวนอะไรกัน!”หยุนเจิงส่ายศีรษะยิ้มตอบ “เวลานี้ ประตูเมืองปิดไปตั้งนานแล้ว! เจ้าไม่เดินไปในเมืองกับพวกข้าแล้วเดินอ้อมป่าไปค่ายเหนือ เจ้าจะถึงเมื่อใดกัน?”“คือ…”หลูซิ่งได้สติพลางยิ้มแก้เขิน “เช่นนั้นก็รบกวนท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว!”หลูซิ่งรู้ดีว่าหากเขาไปเคาะเรียกประตู ทหารเฝ้าประตูเมืองก็คงไม่สนใจเขาด้วยซ้ำหากไม่เดินไปพร้อมกับหยุนเจิงเขา เขาก็มีเส้นทางเดียวคือเดินอ้อมป่ากลับไปที่ค่ายเหนือเส้นทางมืดมิดไร้แสงไฟนี้ รอให้อ้อมกลับไปถึงค่ายเหนือเกรงว่าฟ้าคงสว่างแล้วไม่นาน พวกเขาก็ออกเดินทางไปที่เมืองซั่วฟางตามดคาด ประตูเมืองปิดลงตั้งนานแล้ว“เปิดประตู!”เกาเหอถือตะเกียงไฟเรียก“ประตูเมืองปิดลงแล้ว พรุ่งนี้ถึงจะเข้าเมืองได้!”ทหารหัวเมืองตอบโดยไม่คิด“สามหาว!”เกาเหอตะค
“ทหารเหล่านี้มักง่ายเกินไปจริงๆ ง่ายต่อการถูกคนบุกประตูเมืองมาก!”“หากข้าได้รับอำนาจการคุ้มกันของเมืองซั่วฟางล่ะก็ ข้าจะออกกฎเหล็ก ห้ามเปิดประตูเมืองหลังฟ้ามึดเด็ดขาด ไม่ว่าใครก็ตาม!”ความปลอดภัยของประตูเมืองเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด!ทันทีที่ประตูเมืองถูกศัตรูบุกรุก ผลลัพธ์ไม่อาจคาดคิดได้จริงๆ“ไม่เลว รู้จักคิดพิจารณาเรื่องพวกนี้แล้ว”หยุนเจิงเยาะเย้ยนางอีกประโยคหนึ่ง ถึงจะพูดต่อไปว่า “ถึงแม้เจ้าจะพูดมีเหตุมีผล แต่ก็ไม่สามารถออกกฏเหล็กตายตัวได้! เจ้าลองคิดดูซิ หากคนของเราถูกศัตรูไล่ล่า แล้วจำเป็นต้องเข้าเมือง หากเจ้าไม่เปิดประตูเมือง เจ้าจะยืนมองคนของเราถูกศัตรูฆ่าตายน่ะหรือ?”“เอ่อ…”เสิ่นลั่วเยี่ยนชะงักเบาๆ ไม่รู้จักตอบอย่างไรดีสิ่งที่หยุนเจิงพูดมามีความเป็นไปได้มากหากถูกศัตรูไล่ล่า แล้ววิ่งหนีมาถึงประตูเมืองฝ่ายตน ทว่าคนเฝ้าประตูเมืองกลับไม่ยอมเปิดประตูให้เนื่องด้วยคำสั่ง แล้วเช่นนั้นทหารที่ถูกศัตรูฆ่าตายจะรู้สึกสิ้นหวังขนาดไหน?“ดังนั้นเรื่องนี้ไม่สามารถทำให้เป็นกฎเหล็กตายตัวได้”หยุนเจิงยิ้มเบาๆ “เพียงแต่ว่า การตรวจสอบควรจะเข้มงวดมากกว่านี้! แล้วก็สามารถเข้าเมืองได้
ความคิดอุดมคติสวยงาม แต่ความจริงช่างโหดร้ายตื่นมายามเช้า หยุนเจิงก็รู้สึกอ่อนเพลียไปทั้งตัว ทั้งยังไอไม่หยุดเมี่ยวอินตรวจอาการให้ได้ผลว่าเขาเป็นหวัดฤดูหนาวเกรงว่าสาเหตุคงมาจากการที่ตากลมหิมะกลับจวนเมื่อคืนนี้“ฮ่าๆ…”“ร่างกายน้อยๆ ของท่านแม้แต่ลมหิมะยังไม่สามารถทนได้เลย แล้วยังจะไปฝึกซ้อมคนพวกนั้นเองเนี่ยนะ?”“ตอนนี้ยังจะอวดดีกับข้าหรือไม่?”เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่เพียงแต่ไม่เป็นห่วง แต่ยังหัวเราะเยาะเขาอีกด้วยหยุนเจิงมองเสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยสีหน้ามึดมน ในใจหดหู่เป็นที่สุดมารดามันเถอะ!สุขภาพของตนอ่อนแอเพียงนี้เชียวหรือ?ลำพังแค่ลมหิมะน้อยๆ ก็ไม่สมารถรทนได้?แล้วยังจะใช้ชีวิตอยู่ที่ซั่วเป่ยทำซากอะไรกัน!มารดามันเถอะ!ขายขี้หน้าจริงๆ!“พอ หยุดหัวเราะได้แล้ว!”เยี่ยจื่อตีเสิ่นลั่วเยี่ยนเบาๆ “ข้าเกรงว่า เขาน่าจะเหนื่อยจากการมาถึงซั่วเป่ย เมื่อคืนยังตากลมหิมะกลับจวนด้วยถึงได้ล้มป่วยเช่นนี้”“ใช่ๆ!”หยุนเจิงพยักหน้าหงึกๆ แล้วมองเสิ่นลั่วเยี่ยนเศร้าๆ “ข้าต้องเหนื่อยเกินไปแน่ๆ เจ้าไม่เป็นห่วงข้าไม่พอ ยังมีหน้ามาหัวเราะเยาะข้าอีก!”“ได้ๆ ข้าไม่รู้จักเป็นห่วงคน พอใจหรือยัง?”เ
หมิงเย่ว์และเยี่ยจื่อเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยพลางแอบด่าอยู่ในใจเป็นถึงท่านอ๋อง แต่กลับไม่รู้จักอายเลยสักนิดเรื่องเช่นนี้ยังมีหน้ามาพูดต่อหน้าพวกนางอีก!“เจ้าถามเอง จะมาโทษข้าหรือ?”หยุนเจิงมองเมี่ยวอินด้วยความขุ่นเคือง “หนังสือโบราณที่ข้าเคยอ่านเล่มนั้นมีบันทึกวิชาการฝึกฝนนี้ไว ข้าคิดว่าอาจารย์ของเจ้าที่เป็นยอดฝีมือนอกโลกจะสอนวิชานี้ให้กับเจ้าเสียอีก!”มารดามันเถอะ!บทละครไม่ควรเขียนเช่นนี้สิ!อยากจะฉวยโอกาสสักหน่อยนี่มันยากจริงๆ!“ตนไม่ฝึกวิชาเองดีๆ แต่คิดอยากเดินทางลัด!”เมี่ยวอินแค่นเสียงฮึ แล้วก้มหน้าฝังเข็มให้หยุนเจิงต่อไปรอให้เมี่ยวอินฝังเข็มเสร็จ คนในจวนก็ไปซื้อยากลับมาถึงพอดีซินเซิงรีบวิ่งเข้าไปต้มยาให้กับหยุนเจิงทันทีเมี่ยวอินจ้องเขาด้วยความอับอายแล้วก็พาหมิงเย่ว์ออกจากห้องทันทีทั้งสองเดินออกไป หมิงเย่ว์ก็เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หญิง วิชาฝึกฝนสองสิ่งอย่างเท่าเทียมที่เขาหมายถึง ก็คือวิชาเหอหวนกงที่อาจารย์สอนไม่ใช่หรือ?”“เงียบ!”เมี่ยวอินจ้องหมิงเย่ว์ไปทีหนึ่ง “เจ้าเพียงแค่ทำเหมือนไม่รู้อะไรก็เป็นพอ!”“ก็ได้!”หมิงเย่ว์ยิ้มเบาๆ แล้วหยอกล้อว่า “ข้าคิด
ด้วยความเขินอาย เยี่ยจื่อจึงหยิกแรงกว่าเดิมทว่าไม่ว่านางจะออกแรงแค่ไหน หยุนเจิงก็อดทนกับความเจ็บปวด แล้วโอบกอดนางไว้แน่นในที่สุด เยี่ยจื่อก็ทำใจออกแรงมากขึ้นอีกไม่ลงจึงค่อยๆ คลายมือตนเองออก และหยุดขัดขืนในที่สุด“รีบปล่อยข้า!”เยี่ยจื่อเขินอายสุดขีด “หากคนอื่นมาเห็นเข้า ข้าก็ไม่มีหน้ามีชีวิตต่อแล้ว!”“ไม่รุนแรงปานนั้นหรอก”หยุนเจิงส่ายศีรษะยิ้มๆ “เจ้านะเจ้า เจ้าใส่ใจกับมารยาทที่ว่ามากเกินไปแล้ว! มารยาททั้งหมด แท้จริงแล้วก็แค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น! ขอแค่ตนเองมีความสุขแล้วจะสนใจเรื่องพรรค์นั้นทำไมกัน?”“ท่าน…”เยี่ยจื่อโมโหจัด ใบหน้าแดงก่ำกล่าวว่า “ท่านปล่อยข้าก่อน ข้าค่อยๆ พูดกับท่าน!”หยุนเจิงส่ายศีรษะยิ้ม “ข้าปล่อยเจ้า เจ้าก็คงวิ่งหนีเป็นแน่”เยี่ยจื่อหงุดหงิดแล้วพูดอย่างไม่พอใจ “เจอคนหน้าไม่อายเช่นนี้อย่างท่าน ข้าหนีไปตอนนี้มีประโยชน์อะไรกัน? ข้าจะสามารถวิ่งหนีจนท่านตามหาข้าไม่พบเลยนั้นหรือ?”หืม?หยุนเจิงเอียวศีรษะครุ่นคิดดูเหมือนจะจริง!“ซินเซิง เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”หยุนเจิงมองไปทางหน้าประตูกะทันหันเยี่ยจื่อหัวใจลนลาน รีบมองไปทางหน้าประตูแต่แล้วไม่มีแม้แ
หยุนเจิงมองหน้าเยี่ยจื่อด้วยความจริงจัง ไม่รู้สึกว่าในคำพูดของตนมีความหมายโดยนัยเลย“ใครอยากให้ท่านมาเจ็บใจกัน?”เยี่ยจื่อตอบกลับอย่างโมโห “ข้าว่านะ ไม่ทำให้ข้าจนมุมจนปลิดชีวิตตนเอง ท่านคงจะไม่พอใจจริงๆ!”“อย่าๆ!”หยุนเจิงรีบปัดเป่าความคิดของเยี่ยจื่อออก “ปลิดชีวิตตนเองอะไรกัน! หากเจ้ายังไม่หายโกรธ เจ้าก็ตีข้าสักรอบ แต่อย่าคิดมากเด็ดขาด!”กล่าวจบ หยุนเจิงพลันเปิดผ้าห่มเผยให้เห็นแผ่นอกของตน“มา ตีตรงนี้! ใช้หมัดน้อยๆ ตีอกข้า”หยุนเจิงชี้ไปที่แผ่นอกของตนใช้หมัดน้อยๆ ตีอก?เยี่ยจื่อขมวดคิ้วเบาๆคำพูดนี้ฟังอย่างไรก็ดูแปลกๆ!“ตีท่าน? ข้าปวดมือเปล่าๆ!”เยี่ยจื่อจ้องเขาอย่างโมโห “รีบห่มผ้าซะ อยากนอนอีกหลายวันใช่หรือไม่?”กล่าวจบ เยี่ยจื่อก็ดึงผ้าห่มๆ ให้กับหยุนเจิง“ดูสิ เจ้าเป็นห่วงข้าแท้ๆ แต่ไม่ยอมรับ”หยุนเจิงถอนหายใจเบาๆ “เจ้ากลัวอะไรอยู่กันแน่? เหตุใดถึงไม่กล้าทำตามหัวใจตนเองเสียที?”“ใครเป็นห่วงท่านกัน?”เยี่ยจื่อแค่นเสียงเย็นชาอย่างปากไม่ตรงกับใจ “ข้ากลัวว่าท่านจะป่วยตาย ทำให้ลั่วเยี่ยนต้องเป็นหม้ายเท่านั้น!”เสิ่นลั่วเยี่ยนอีกแล้ว?หยุนเจิงครุ่นคิด แล้วถามว่า “เจ้า
เวลาค่ำ ตู้กุยหยวนมาถึงเดิมกองทหารโลหิตที่ตู้กุยหยวนเป็นผู้บัญชาการก่อนหน้านั้นถือเป็นกองกำลังพิเศษอยู่แล้วทว่าพวกเขาพึ่งพาในอำนาจของแต่ละคนมากกว่า และไม่เข้าใจแก่นแท้ของกองกำลังพิเศษหยุนเจิงพูดความคิดเรื่องกองกำลังพิเศษในสมองของตนให้กับตู้กุยหยวนฟังอย่างตั้งใจ รวมถึงวิธีการฝึกซ้อมคนเหล่านั้น ต้องสอนอะไรให้กับคนเหล่านั้น พูดให้กับตู้กุยหยวนฟังทั้งหมดพวกเขาทั้งสองพูดคุยกันเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามกว่าระหว่างนั้น ซินเซิงยกซุปยาเข้ามาให้ แต่หยุนเจิงก็ปฏิเสธบอกว่าเดี๋ยวค่อยดื่มฟังคำพูดของหยุนเจิงจบ ตู้กุยหยวนก็อ้ำอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกผ่านไปนานพอควร ตู้กุยหยวนถึงได้ฟื้นคืนสติอย่างยากลำบาก แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเสียดายว่า “หากพบกับองค์ชายให้เร็วกว่านั้น ได้ยินคำพูดเหล่านี้ขององค์ชายเร็วกว่านี้ บางทีกองทหารโลหิตก็คงไม่สูญหาย…”“กองทหารโลหิตไม่ได้สูญหาย! เพียงแค่พักตัวอยู่เท่านั้น”หยุนเจิงกล่าวจริงจัง “ข้าจะก่อตั้งกองทหารโลหิตขึ้นมาใหม่อีกครั้งให้ได้!”“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!”ตู้กุยหยวนพยักหน้า “แต่ทว่าข้าน้อยสามารถฝึกซ้อมให้ได้ แต่ไม่สามารถบังคับบัญชาพวกเขาได้ พวกเขาถูกกำหนดให้เข้าไปลึกห