ตู้กุยหยวนช่วยชีวิตหลูซิ่งไว้ เรื่องต่อจากนี้ก็ง่ายขึ้นแล้วตกดึก หยุนเจิงพวกเขาอยู่ดื่มร่วมกันกับพวกหลูซิ่งแต่ทว่า พวกเขาไม่ได้ดื่มด่ำด้วยกันที่ค่าย พวกเขาทำอาหารหนึ่งหม้อใหญ่ แล้วไปดื่มที่ห้องปฏิบัติการในกองทหารไม่อนุญาตให้ดื่มสุรา นี่เป็นกฎเหล็กของหยุนเจิง แม้แต่ตัวเขาเองก็ต้องปฏิบัติตามหลังจากรู้กฎข้อนี้ของหยุนเจิงแล้ว หลูซิ่งพลันลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวลองเชิงว่า “ท่านอ๋อง ข้ามีสิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะพูดได้หรือไม่?”“ว่ามาสิ” หยุนเจิงอมยิ้ม“แท้จริงแล้ว ข้าคิดว่าการดื่มด้วยกันในกองทหารเป็นบางครั้งบางคราวก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร”หลูซิ่งกล่าวลองเชิง “ซั่วเป่ยมีอากาศหนาวอย่างข่มขื่น ตอนนี้ยังถือว่าพอได้ แต่หากผ่านไปอีกสักพัก อากาศจะหนาวมาก หากเหล่าแม่ทัพและทหารกะกลางคืนเหล่านั้นไม่มีสุรามาช่วยบรรเทาอาการหนาวสักหน่อยล่ะก็ เกรงว่าจะฝินต่อไปยาก…”แท้จริงแล้ว ทั้งกองทหารมณฑลฝ่ายเหนือก็ห้ามดื่มสุราเช่นเดียวกันแต่ก็มีข้อยกเว้นฤดูหนาวของซั่วเป่ยทำให้คนแข็งตายได้จริงๆ!พอเข้าสู่ฤดูหนาว ทหารที่อยู่กะดึกและลาดตระเวนดึกล้วนจะพกขวกสุราไว้เสมอเมื่อรู้สึกหนาวก็จะหยิบออกมาดื่มเพื
เรื่องกินเงินเดือนนี้สามารถบอกได้ว่าเป็นกฎที่ไม่ได้พูดถึงในกองทหารโบราณแล้วข้อแตกต่างคือ กินมากกินน้อยเท่านั้นถึงแม้เขาจะมีองค์ชายและท่านอ๋องสองสถานะ แต่หากไม่มีหลักฐาน ก็ไม่สามารถทำอะไรคนคนนั้นได้อยู่ดีอีกอย่าง สงครามซั่วเป่ยใกล้จะมาถึงแล้วถึงแม้เสด็จพ่อจะรู้เรื่องนี้ ก็คงจะเลือกหลับหูหลับตา รอให้เสร็จสิ้นสงครามซั่วเป่ยนี้แล้วถึงจะคิดบัญชีกับคนเหล่านั้นโลกนี้ไม่ใช่ทุกเรื่องจะได้รับความยุติธรรม!มันโหดร้ายมาก แต่มันคือความจริง!ถูกหยุนเจิงพูดไปคำหนึ่ง เสิ่นลั่วเยี่ยนก็กระดกสุราอย่าเศร้าใจราวกับเป็นลูกกลมอัดที่ถูกปล่อยลมอย่างไรอย่างนั้น“ท่านอ๋องพูดมีเหตุผล”หลูซิ่งพยักหน้ากล่าว “หลักฐานเหล่านั้นเกรงว่าจะถูกทำลายหมดแล้ว”“เอาล่ะ เรื่องนี้มีแค่เราที่รู้กันก็เป็นพอ”หยุนเจิงโบกมือ “บัญชีนี้ติดเอาไว้ก่อน รอให้มีโอกาส ข้าจะทำให้พวกเขาคืนเงินที่กินไปกลับมาทั้งหมดรวมทั้งต้นทั้งดอกเลยคอยดู!”หืม?หัวใจของเสิ่นลั่วเยี่ยนสั่นไหวแล้วรีบพยักหน้าหงึกๆ “ใช่ จะต้องให้พวกมันคืนทั้งต้นทั้งดอก! เรื่องนี้ท่านเชี่ยวชาญอยู่แล้ว!”แม้แต่หยุนลี่เองก็เกือบจะถูกหยุนเจิงหลอกจนเกือบล้มละลาย นั
ทุกคนดื่มกันจนถึงค่ำพูดคุยเรื่องที่ควรพูดจนหมด หลูซิ่งขอบคุณและปฏิเสธคำเชิญให้อยู่ต่อของหยุนเจิงเขา และยืนยันที่จะกลับค่ายเหนือเมื่อเห็นว่าเขายืนหยัด หยุนเจิงจึงไม่เชิญให้อยู่ต่อ “ก็ได้ เช่นนั้นข้ากับพระชายาไปส่งเจ้าแล้วกัน!”“ไม่รบกวนท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว”หลูซิ่งส่ายศีรษะ กล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว“รบกวนอะไรกัน!”หยุนเจิงส่ายศีรษะยิ้มตอบ “เวลานี้ ประตูเมืองปิดไปตั้งนานแล้ว! เจ้าไม่เดินไปในเมืองกับพวกข้าแล้วเดินอ้อมป่าไปค่ายเหนือ เจ้าจะถึงเมื่อใดกัน?”“คือ…”หลูซิ่งได้สติพลางยิ้มแก้เขิน “เช่นนั้นก็รบกวนท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว!”หลูซิ่งรู้ดีว่าหากเขาไปเคาะเรียกประตู ทหารเฝ้าประตูเมืองก็คงไม่สนใจเขาด้วยซ้ำหากไม่เดินไปพร้อมกับหยุนเจิงเขา เขาก็มีเส้นทางเดียวคือเดินอ้อมป่ากลับไปที่ค่ายเหนือเส้นทางมืดมิดไร้แสงไฟนี้ รอให้อ้อมกลับไปถึงค่ายเหนือเกรงว่าฟ้าคงสว่างแล้วไม่นาน พวกเขาก็ออกเดินทางไปที่เมืองซั่วฟางตามดคาด ประตูเมืองปิดลงตั้งนานแล้ว“เปิดประตู!”เกาเหอถือตะเกียงไฟเรียก“ประตูเมืองปิดลงแล้ว พรุ่งนี้ถึงจะเข้าเมืองได้!”ทหารหัวเมืองตอบโดยไม่คิด“สามหาว!”เกาเหอตะค
“ทหารเหล่านี้มักง่ายเกินไปจริงๆ ง่ายต่อการถูกคนบุกประตูเมืองมาก!”“หากข้าได้รับอำนาจการคุ้มกันของเมืองซั่วฟางล่ะก็ ข้าจะออกกฎเหล็ก ห้ามเปิดประตูเมืองหลังฟ้ามึดเด็ดขาด ไม่ว่าใครก็ตาม!”ความปลอดภัยของประตูเมืองเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด!ทันทีที่ประตูเมืองถูกศัตรูบุกรุก ผลลัพธ์ไม่อาจคาดคิดได้จริงๆ“ไม่เลว รู้จักคิดพิจารณาเรื่องพวกนี้แล้ว”หยุนเจิงเยาะเย้ยนางอีกประโยคหนึ่ง ถึงจะพูดต่อไปว่า “ถึงแม้เจ้าจะพูดมีเหตุมีผล แต่ก็ไม่สามารถออกกฏเหล็กตายตัวได้! เจ้าลองคิดดูซิ หากคนของเราถูกศัตรูไล่ล่า แล้วจำเป็นต้องเข้าเมือง หากเจ้าไม่เปิดประตูเมือง เจ้าจะยืนมองคนของเราถูกศัตรูฆ่าตายน่ะหรือ?”“เอ่อ…”เสิ่นลั่วเยี่ยนชะงักเบาๆ ไม่รู้จักตอบอย่างไรดีสิ่งที่หยุนเจิงพูดมามีความเป็นไปได้มากหากถูกศัตรูไล่ล่า แล้ววิ่งหนีมาถึงประตูเมืองฝ่ายตน ทว่าคนเฝ้าประตูเมืองกลับไม่ยอมเปิดประตูให้เนื่องด้วยคำสั่ง แล้วเช่นนั้นทหารที่ถูกศัตรูฆ่าตายจะรู้สึกสิ้นหวังขนาดไหน?“ดังนั้นเรื่องนี้ไม่สามารถทำให้เป็นกฎเหล็กตายตัวได้”หยุนเจิงยิ้มเบาๆ “เพียงแต่ว่า การตรวจสอบควรจะเข้มงวดมากกว่านี้! แล้วก็สามารถเข้าเมืองได้
ความคิดอุดมคติสวยงาม แต่ความจริงช่างโหดร้ายตื่นมายามเช้า หยุนเจิงก็รู้สึกอ่อนเพลียไปทั้งตัว ทั้งยังไอไม่หยุดเมี่ยวอินตรวจอาการให้ได้ผลว่าเขาเป็นหวัดฤดูหนาวเกรงว่าสาเหตุคงมาจากการที่ตากลมหิมะกลับจวนเมื่อคืนนี้“ฮ่าๆ…”“ร่างกายน้อยๆ ของท่านแม้แต่ลมหิมะยังไม่สามารถทนได้เลย แล้วยังจะไปฝึกซ้อมคนพวกนั้นเองเนี่ยนะ?”“ตอนนี้ยังจะอวดดีกับข้าหรือไม่?”เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่เพียงแต่ไม่เป็นห่วง แต่ยังหัวเราะเยาะเขาอีกด้วยหยุนเจิงมองเสิ่นลั่วเยี่ยนด้วยสีหน้ามึดมน ในใจหดหู่เป็นที่สุดมารดามันเถอะ!สุขภาพของตนอ่อนแอเพียงนี้เชียวหรือ?ลำพังแค่ลมหิมะน้อยๆ ก็ไม่สมารถรทนได้?แล้วยังจะใช้ชีวิตอยู่ที่ซั่วเป่ยทำซากอะไรกัน!มารดามันเถอะ!ขายขี้หน้าจริงๆ!“พอ หยุดหัวเราะได้แล้ว!”เยี่ยจื่อตีเสิ่นลั่วเยี่ยนเบาๆ “ข้าเกรงว่า เขาน่าจะเหนื่อยจากการมาถึงซั่วเป่ย เมื่อคืนยังตากลมหิมะกลับจวนด้วยถึงได้ล้มป่วยเช่นนี้”“ใช่ๆ!”หยุนเจิงพยักหน้าหงึกๆ แล้วมองเสิ่นลั่วเยี่ยนเศร้าๆ “ข้าต้องเหนื่อยเกินไปแน่ๆ เจ้าไม่เป็นห่วงข้าไม่พอ ยังมีหน้ามาหัวเราะเยาะข้าอีก!”“ได้ๆ ข้าไม่รู้จักเป็นห่วงคน พอใจหรือยัง?”เ
หมิงเย่ว์และเยี่ยจื่อเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยพลางแอบด่าอยู่ในใจเป็นถึงท่านอ๋อง แต่กลับไม่รู้จักอายเลยสักนิดเรื่องเช่นนี้ยังมีหน้ามาพูดต่อหน้าพวกนางอีก!“เจ้าถามเอง จะมาโทษข้าหรือ?”หยุนเจิงมองเมี่ยวอินด้วยความขุ่นเคือง “หนังสือโบราณที่ข้าเคยอ่านเล่มนั้นมีบันทึกวิชาการฝึกฝนนี้ไว ข้าคิดว่าอาจารย์ของเจ้าที่เป็นยอดฝีมือนอกโลกจะสอนวิชานี้ให้กับเจ้าเสียอีก!”มารดามันเถอะ!บทละครไม่ควรเขียนเช่นนี้สิ!อยากจะฉวยโอกาสสักหน่อยนี่มันยากจริงๆ!“ตนไม่ฝึกวิชาเองดีๆ แต่คิดอยากเดินทางลัด!”เมี่ยวอินแค่นเสียงฮึ แล้วก้มหน้าฝังเข็มให้หยุนเจิงต่อไปรอให้เมี่ยวอินฝังเข็มเสร็จ คนในจวนก็ไปซื้อยากลับมาถึงพอดีซินเซิงรีบวิ่งเข้าไปต้มยาให้กับหยุนเจิงทันทีเมี่ยวอินจ้องเขาด้วยความอับอายแล้วก็พาหมิงเย่ว์ออกจากห้องทันทีทั้งสองเดินออกไป หมิงเย่ว์ก็เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่หญิง วิชาฝึกฝนสองสิ่งอย่างเท่าเทียมที่เขาหมายถึง ก็คือวิชาเหอหวนกงที่อาจารย์สอนไม่ใช่หรือ?”“เงียบ!”เมี่ยวอินจ้องหมิงเย่ว์ไปทีหนึ่ง “เจ้าเพียงแค่ทำเหมือนไม่รู้อะไรก็เป็นพอ!”“ก็ได้!”หมิงเย่ว์ยิ้มเบาๆ แล้วหยอกล้อว่า “ข้าคิด
ด้วยความเขินอาย เยี่ยจื่อจึงหยิกแรงกว่าเดิมทว่าไม่ว่านางจะออกแรงแค่ไหน หยุนเจิงก็อดทนกับความเจ็บปวด แล้วโอบกอดนางไว้แน่นในที่สุด เยี่ยจื่อก็ทำใจออกแรงมากขึ้นอีกไม่ลงจึงค่อยๆ คลายมือตนเองออก และหยุดขัดขืนในที่สุด“รีบปล่อยข้า!”เยี่ยจื่อเขินอายสุดขีด “หากคนอื่นมาเห็นเข้า ข้าก็ไม่มีหน้ามีชีวิตต่อแล้ว!”“ไม่รุนแรงปานนั้นหรอก”หยุนเจิงส่ายศีรษะยิ้มๆ “เจ้านะเจ้า เจ้าใส่ใจกับมารยาทที่ว่ามากเกินไปแล้ว! มารยาททั้งหมด แท้จริงแล้วก็แค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น! ขอแค่ตนเองมีความสุขแล้วจะสนใจเรื่องพรรค์นั้นทำไมกัน?”“ท่าน…”เยี่ยจื่อโมโหจัด ใบหน้าแดงก่ำกล่าวว่า “ท่านปล่อยข้าก่อน ข้าค่อยๆ พูดกับท่าน!”หยุนเจิงส่ายศีรษะยิ้ม “ข้าปล่อยเจ้า เจ้าก็คงวิ่งหนีเป็นแน่”เยี่ยจื่อหงุดหงิดแล้วพูดอย่างไม่พอใจ “เจอคนหน้าไม่อายเช่นนี้อย่างท่าน ข้าหนีไปตอนนี้มีประโยชน์อะไรกัน? ข้าจะสามารถวิ่งหนีจนท่านตามหาข้าไม่พบเลยนั้นหรือ?”หืม?หยุนเจิงเอียวศีรษะครุ่นคิดดูเหมือนจะจริง!“ซินเซิง เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”หยุนเจิงมองไปทางหน้าประตูกะทันหันเยี่ยจื่อหัวใจลนลาน รีบมองไปทางหน้าประตูแต่แล้วไม่มีแม้แ
หยุนเจิงมองหน้าเยี่ยจื่อด้วยความจริงจัง ไม่รู้สึกว่าในคำพูดของตนมีความหมายโดยนัยเลย“ใครอยากให้ท่านมาเจ็บใจกัน?”เยี่ยจื่อตอบกลับอย่างโมโห “ข้าว่านะ ไม่ทำให้ข้าจนมุมจนปลิดชีวิตตนเอง ท่านคงจะไม่พอใจจริงๆ!”“อย่าๆ!”หยุนเจิงรีบปัดเป่าความคิดของเยี่ยจื่อออก “ปลิดชีวิตตนเองอะไรกัน! หากเจ้ายังไม่หายโกรธ เจ้าก็ตีข้าสักรอบ แต่อย่าคิดมากเด็ดขาด!”กล่าวจบ หยุนเจิงพลันเปิดผ้าห่มเผยให้เห็นแผ่นอกของตน“มา ตีตรงนี้! ใช้หมัดน้อยๆ ตีอกข้า”หยุนเจิงชี้ไปที่แผ่นอกของตนใช้หมัดน้อยๆ ตีอก?เยี่ยจื่อขมวดคิ้วเบาๆคำพูดนี้ฟังอย่างไรก็ดูแปลกๆ!“ตีท่าน? ข้าปวดมือเปล่าๆ!”เยี่ยจื่อจ้องเขาอย่างโมโห “รีบห่มผ้าซะ อยากนอนอีกหลายวันใช่หรือไม่?”กล่าวจบ เยี่ยจื่อก็ดึงผ้าห่มๆ ให้กับหยุนเจิง“ดูสิ เจ้าเป็นห่วงข้าแท้ๆ แต่ไม่ยอมรับ”หยุนเจิงถอนหายใจเบาๆ “เจ้ากลัวอะไรอยู่กันแน่? เหตุใดถึงไม่กล้าทำตามหัวใจตนเองเสียที?”“ใครเป็นห่วงท่านกัน?”เยี่ยจื่อแค่นเสียงเย็นชาอย่างปากไม่ตรงกับใจ “ข้ากลัวว่าท่านจะป่วยตาย ทำให้ลั่วเยี่ยนต้องเป็นหม้ายเท่านั้น!”เสิ่นลั่วเยี่ยนอีกแล้ว?หยุนเจิงครุ่นคิด แล้วถามว่า “เจ้า
หากมิใช่เพราะจักรพรรดิเหวินทรงเตือน เขาคงมิได้คำนึงถึงปัญหานี้เลย “พอแล้ว!” จักรพรรดิเหวินโบกพระหัตถ์ “ข้าจะออกเดินทางในไม่ช้า เจ้าอย่ามาติดตามข้าเลย ไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!” “เสด็จพ่อจะเสด็จตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หยุนเจิงรู้สึกแปลกใจ“ข้าควรไปแล้ว! การปล่อยให้พี่สามของเจ้าติดอยู่ที่ฟู่โจวตลอดก็ไม่ดี” จักรพรรดิเหวินตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าอย่ามาส่งข้าเลย ไปๆ มาๆ จะเสียเวลาไม่น้อย” “เอ่อ…” หยุนเจิงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย “ลูกขอส่งเสด็จพ่อออกจากด่านเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” เขายังต้องไปที่ค่ายใหญ่บนเขาห่านป่าหวนกลับอีกครั้ง หากออกเดินทางจากชายแดนชิงจะช่วยประหยัดเวลาไปไม่น้อย ทว่าหากจักรพรรดิเหวินจะเสด็จจากไป แล้วเขาไม่ส่งเสด็จ ดูเหมือนจะมิใช่เรื่องสมควร “ไม่ต้องแล้ว!” จักรพรรดิเหวินทรงปฏิเสธทันที “อย่างไรเสียเจ้าก็ยังต้องพาเจียเหยาไปที่ฟู่โจวอยู่ดี! เรื่องในมือเจ้าก็ยังมีอีกมากมาย อย่าเสียเวลาเลย เรื่องบ้านเมืองสำคัญกว่า!” เป็นเช่นนี้หรือ? หยุนเจิงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ลูกขอส่งเสด็จพ่อไปถึงชายแดนกู้เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” “ก็ได้!” จักรพ
จักรพรรดิเหวินอาจอยู่ในเมืองหลวงนานเกินไป หรืออาจเป็นเพราะอยากสำรวจความมั่งคั่งของหยุนเจิง ในไม่กี่วันที่ผ่านมา จักรพรรดิเหวินให้หยุนเจิงพาไปชมสถานที่หลายแห่ง เยี่ยจื่อและเสิ่นลั่วเยี่ยนตั้งครรภ์อยู่ ส่วนเมี่ยวอินไม่อยากพบกับจักรพรรดิเหวินบ่อยนัก จักรพรรดิเหวินจึงเลือกให้หยุนเจิงเป็นผู้ติดตามเพียงคนเดียว ในช่วงหลายวันนั้น จักรพรรดิเหวินได้ไปชมเหมืองถ่านหิน โรงงานผลิตถ่านน้ำผึ้ง โรงงานปูนซีเมนต์ และเตาเผาต่างๆ อย่างครบถ้วน โชคดีอย่างเดียวคือ จักรพรรดิเหวินไม่ได้ไปดูโรงงานผลิตเกลือบริสุทธิ์ ไม่แน่ชัดว่าจักรพรรดิเหวินตั้งใจหรือไม่ แต่ครั้งนี้พระองค์ไม่ได้ไปชมกองทัพซั่วเป่ย สิ่งที่พระองค์สนใจล้วนเป็นเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ในที่สุด หยุนเจิงก็ไม่อาจขัดขวางจักรพรรดิเหวินไม่ให้เดินทางไปยังชายแดนชิงเปียนได้ หยุนเจิงนำกองทัพองครักษ์ของตน พร้อมด้วยทหารองครักษ์ส่วนพระองค์ที่นำโดยโจวไต้ เดินทางไปยังชิงเปียนพร้อมจักรพรรดิเหวิน ระหว่างทางไปยังชิงเปียน หิมะหนาแน่นราวขนนกก็เริ่มตกลงมา จักรพรรดิเหวินยืนอยู่บนกำแพงเมืองชิงเปียน มือไขว้หลังโดยไม่ขยับเขยื้อน
พวกเขาล้วนเป็นคนใกล้ชิดของหยุนลี่ หยุนลี่จึงมิได้ปิดบัง ตั้งใจบอกเรื่องที่ต้องการซุ่มโจมตีหยุนเจิงในหัวเมืองสี่ทิศให้พวกเขารับรู้ เมื่อทราบแผนการของหยุนลี่ มีเพียงหยวนกุยที่ยังคงสงบนิ่ง ขณะที่คนอื่นต่างตกใจไปตามๆ กัน หยวนกุยหลังจากชดเชยความผิด ก็ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการทหารในสำนักไทจื่อ แม้จะมิได้บัญชาทหารมากมาย แต่เขามีความภักดีอย่างยิ่ง ในการเดินทางครั้งนี้ หยุนลี่จึงพาหยวนกุยมาด้วย เฉียวเหยียนเซียน หัวหน้าทหารรักษาการณ์ซ้ายของไทจื่อขมวดคิ้ว กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท ด้วยฐานะของหยุนเจิง หากไร้พระราชโองการ ใครเล่าจะ…” “เรื่องนี้ เจ้าต้องคอยเตือนข้าด้วยหรือ?” หยุนลี่ขัดจังหวะเฉียวเหยียนเซียน “เรื่องนี้ ข้าจะหารือกับเสด็จพ่อเอง! อย่างไรก็ดี พวกเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับกรณีที่เสด็จพ่อไม่เห็นชอบ! นี่คือโอกาสทองในการซุ่มโจมตีหยุนเจิง หลังจากนี้ คงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก!” ครั้งนี้ หยุนลี่ตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่าองค์จักรพรรดิเหวินจะทรงเห็นด้วยหรือไม่ เขาก็คิดจะลองสังหารหยุนเจิงอยู่ดี ในตอนนี้ หยุนเจิงเปรียบดั่งดาบที่แขวนอยู่บนคอเขา หากหยุนเจิงยังมีชีวิตอยู่ เขาย่อ
บรรยากาศในมื้ออาหารนี้ไม่สู้ดีนัก หยุนลี่มีความขุ่นเคืองในใจ แต่ไม่อาจระบายออกได้ ต้องพยายามปลอบประโลมบรรดาแม่ทัพ จึงไม่มีทางจะอารมณ์ดีได้เลย หลังอาหาร หยุนลี่ได้เอ่ยปากเชิญโจวเต้ากงให้เดินพูดคุยเป็นการส่วนตัว โจวเต้ากงก็ไม่รู้ว่าหยุนลี่ต้องการสิ่งใด แต่ก็จำต้องตอบรับ หยุนลี่กอดอก เดินนำโจวเต้ากงไปยังลานกว้างในค่ายทหาร “เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับหยุนเจิง?” ขณะเดินอยู่ หยุนลี่ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน คิดเห็นต่อหยุนเจิงหรือ?โจวเต้ากงสะดุ้งในใจ รีบตอบกลับไปว่า “องค์ชายหกทรงเป็นโอรสสวรรค์ ข้าน้อยไม่บังอาจแสดงความคิดเห็นโดยพลการ” “ไม่เป็นไร กล่าวตามที่เจ้าคิดเถิด” หยุนลี่กล่าวอย่างเรียบเฉย เมื่อเห็นหยุนลี่ยืนกรานจะถาม โจวเต้ากงก็จำต้องตอบไปด้วยความหวั่นเกรง “องค์ชายหกทรงมีฝีมือในการศึก ปราบปรามศัตรูอย่างกล้าหาญ นับเป็นคุณูปการใหญ่หลวงต่อแผ่นดินต้าฉวน! แต่การที่ทรงมีอำนาจทหารอยู่ในพระหัตถ์และไม่เชื่อฟังราชโองการนั้น กลายเป็นภัยใหญ่หลวงต่อราชสำนัก...” เมื่ออยู่ต่อหน้าหยุนลี่ในฐานะรัชทายาท โจวเต้ากงจึงจำต้องกล่าวเช่นนี้ หยุนลี่รู้สึกพอใจกับคำตอบของโจวเต้ากง จ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ