ไม่ได้เขียนหรือ?ตู๋กูเช่อสายตาเย็นชาคำพูดนี้ของโจวที่ กลับไม่มีปัญหาใดแต่ว่า ด้วยประสบการณ์การวิเคราะห์ของเขา เห็นได้ชัดว่าโจวมี่กำลังโกหกตู๋กูเช่อปล่อยโจวที่ จากนั้นก็กัดฟัน “องค์ชายเป็นอย่างไรกันแน่?”“องค์ชายไม่เป็นไร” โจวมี่ยังคงยิ้มแห้ง“ใช่จะดีที่สุด!”ตู๋กูเช่อมองโจวที่อย่างเย็นชา “เช่นนั้นตอนนี้เจ้ากลับไปรายงานองค์ชาย บอกองค์ชาย ตู๋กูเช่อรับคำสั่ง! รอให้ข้าจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้ว จะรีบไปติ้งเป่ยเพื่อเยี่ยมองค์ชาย!”พวกโจวมี่มาไว ไปก็ไวเช่นกันทันทีที่โจวมี่จากไป หัวหน้าทหารคนสนิทของตู๋กูเช่อก็วิ่งเข้ามา“รองแม่ทัพ องค์ชายเกิดเรื่องจริงใช่หรือไม่?”หัวหน้าทหารคนสนิทรีบร้อนถาม“ถามมากมายเพื่อสิ่งใด? นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรถามหรือ?”สีหน้าตู๋กูเช่อบึ้งตึง “ทำงานของเจ้าให้ดี ไม่ควรถามก็อย่าถาม!”“รองแม่ทัพ!” หัวหน้าทหารคนสนิทชะโงกหน้าเขามา กระซิบเกลี่ยกล้อม “นี่คือโอกาสที่รองแม่ทัพจะควบคุมกองทหารมณฑลทางเหนือ! หากรองแม่ทัพควบคุมกองทหารมณฑลทางเหนือ ค่อยนำอำนาจทางทหารมอบให้ฝ่าบาท ฝ่าบาทต้อง...”“หุบปาก!”ตู๋กูเช่อตัดบทหัวหน้าทหารคนสนิททอย่างเย็นชา “ข้าบอกเจ้า ข
ติ้งเป่ย“ยังมีเรื่องดีนี้ด้วย?”เมื่อได้ข่าวที่เมี่ยวอินนำกลับมา ดวงตาของหยุนเจิงเป็นประกายดวงตาสุนัขสะท้อนแสงนึกไม่ถึงว่าเมี่ยวอินจะจับกลุ่มมือสังหารที่ยังไม่ทันได้ลงมือที่เจ้าสามส่งมาได้โดยไม่ได้ตั้งใจ?“เจ้าเสพติดการถูกลอบสังหารแล้วกระมัง?”เมี่ยวอินหยิกหยุนเจิง “นี่เรียกว่าเรื่องดี?”การศึกต้าเฉียนกับเป่ยหวนเพิ่งสิ้นสุด หยุนเจิงกลายเป็นหนามในตาของคนจำนวนมากมายหยุนเจิงมักจะชอบกล่าวไม่ใช่หรือ ไม่กลัวโจรขโมย กลัวแต่โจรจะคิดถึงมีคนมากมายคิดถึงเขา เขายังคิดว่าเป็นเรื่องดี?“เจ้าวางแผนหลอกหยุนลี่ใช่หรือไม่?”เยี่ยจื่อกล่าวคำเดียวก็จี้จุดความคิดในใจของหยุนเจิงหยุนเจิงยิ้มเจ้าเล่ห์ ดึงเยี่ยจื่อเข้ามา จูบอย่างรุนแรง“อย่าก่อเรื่อง! ไม่รู้จักอายเลย!”เยี่ยจื่อตีหยุนเจิงอย่างเขินอาย“อยู่ต่อหน้าพี่อน้องของเจ้า มีเรื่องใดต้องอาย?”หยุนเจิงหัวเราะเจ้าเล่ห์ “อีกอย่าง ก็เป็นเรื่องเปิดเผยแล้ว...”คำพูดของหยุนเจิงกล่าวยังไม่ทันจบ สองสายตาเดือดดาลก็สาดมาที่เขาอย่างรุนแรงเมี่ยวอินและเยี่ยจื่อทั้งอายทั้งโมโห อยากจะถีบไอสารเลวนี่คนละทีไม่รู้ว่าเหตุใดหนังหน้าของไอสารเลวนี่จึงได้
อีกทั้ง จักรพรรดิเหวินนำลูกของรัชทายาทองค์ก่อนส่งมาที่นี่แล้วเขาคงไม่ทำเรื่องตัดขาดเช่นนี้กระมัง?หากทำเรื่องตัดขาดเช่นนี้จริง เหตุใดก่อนหน้านี้จึงส่งเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวของพี่ใหญ่มาที่นี่เล่า?เช่นนี้หรือ?เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง ทุกคนอดครุ่นคิดเงียบๆ ไม่ได้คำพูดของหยุนเจิงแม้จะคิดว่าควรเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล“เช่นนั้นเจ้าจะรับประกันได้เช่นไรว่าเสด็จพ่อจะไม่คิดมาก?”เยี่ยจื่อยังคงขมวดคิ้ว “เจ้าส่งทหารไปประชิดฟู่โจว เสด็จพ่อไม่กังวลนะเจ้าเอาจริงหรือ?”“เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อและบรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนักเป็นคนโง่หรือ!”หยุนเจิงใบหน้ายิ้มมองเยี่ยจื่อ “กองทหารมณฑลทางเหนือของข้าต่อให้ตัดทหารชาวนาออก ก็มีกองทัพเกินหนึ่งแสน! หากข้าก่อกบฏ จะโง่ถึงขั้นส่งทหารเพียงหนึ่งหมื่นคนไปเข้าประชิดฟู่โจวหรือ?”หากต้องการก่อกบฏ ก็ดึงทหารม้าจากสามเมืองชายแดนกลับมาโดยตรง จู่โจมฟู่โจวสายฟ้าแลบไม่ดีหรือ?”หากเขาก่อกบฏ ขอแค่การเคลื่อนไหวเร็วสักหน่อย เวลาการตอบสนองของกองทัพประจำการที่แนวป้องกันฟู่โจวยังไม่มีด้วยซ้ำ!ต่อให้เสด็จพ่อไม่เข้าใจข้อนี้ แต่เซียวซ่านโฉวและเสวี่ยเช่อบรรดาแม
สองวันต่อมา พวกอวี๋ซื่อจงคุมตัวเชลยศึกจำนวนมากกลับถึงชายแดนกู้เมื่อเห็นแม่ทัพน้อยใหญ่ของชายแดนกู้ อาการชอบเข้าสังคมของฉินชีหู่กำเริบแล้ว ลำพองอวดโอ้ต่อหน้าทุกคน“พวกเจ้าไม่รู้ ข้ามือถือดาบใหญ่ ตลอดทางบุกจากทางเดินทะเลทรายตะวันตกไปยังราชสำนักเป่ยหวน จากนั้นก็บุกจากราชสำนักเป่ยหวนไปยังแมนจูทางเหนือ หากไม่ใช่เพราะดาบเล่มนี้อยู่ยงคงกระพัน ใบมีดคงบิ่นไปนานแล้ว!”“ทหารม้าเป่ยหวนเหล่านั้นล้วนถูกพวกเราข่มขวัญ แค่เห็นพวกเราก็ยอมจำนนร้องไห้เรียกพ่อเรียกแม่แล้ว...”“ว่ะฮ่าๆ...”ฉินชีหู่โม้น้ำลายแตกฟองกับแม่ทัพน้อยใหญ่ที่เหลือไว้เฝ้าชายแดนกู้คุยโวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา ก็ขาดแค่เขาบอกว่าถือมีดฝ่าแตงโมตั้งแต่ถนนเผิงไหลจนถึงประตูเทียนหนานเท่านั้นฉินชีหูโม้อย่างมีความสุข ทว่ากลับไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มขอไปทีบนใบหน้าของแม่ทัพเหล่านี้เลยฉินชีหู่ไม่ทันสังเกต แต่อวี๋ซื่อจงสังเกตเห็นเห็นรอยยิ้มที่ทุกคนฝืนบีบบังคับออกมา อวี๋ซื่อจงแอบขมวดคิ้วมันเรื่องใดกัน?ต่อให้ฉินชีหู่กำลังคุยโวโออวด แต่ชัยชนะที่พวกเขานำกลับพร้อมกับเชลยศึกมากมายนั้นเป็นความจริงตามหลักแล้ว ทุกคนควรดีใจถึงจะถูก!
“อวี๋ซื่อจง สั่งเจ้ารีบไปยังด่านเป่ยลู่ ข้ากังวลว่าทหารที่ด่านเป่ยลู่ได้รับข่าวลือมีคนทนไม่ไหวไปขอคำอธิบายจากราชสำนักแทนท่านอ๋อง เจ้าจำเป็นต้องสยบทหารที่ด่านเป่ยลู่ ตอนที่ยังไม่ได้รับข่าวจากองค์ชาย ด่านเป่ยลู่ห้ามมีการเคลื่อนไหว! ห้ามวู่วามกับกองทัพราชสำนักเด็ดขาด!”“หวังชี่ ฮั่วกู้ เจ้าสองคนอยู่ฟังข่าวที่ชายแดนกู้ รับผิดชอบลาดตระเวนทุกค่าย...”ตู๋กูเช่อวางแผนจัดการอย่างรวดเร็วครั้งนี้คนที่เขาใช้ โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนที่ได้รับการส่งเสริมจากหยุนเจิงจากทหารยุดเดิมเป็นทหารยุคใหม่คนเหล่านี้มีผลงานการรบ ย่อมต้องมีอำนาจบารมีภายในกองทัพพวกเขาสามารถควบคุมหน่วยต่างๆ ได้ที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาต่างก็ขึ้นตรงกับหยุนเจิงใช้งานคนเหล่านี้ ก็วางใจได้หน่อยตอนนี้สิ่งที่พวกเขาต้องทำ คือควบคุมขวัญทหาร ไม่ปล่อยให้เกิดความวุ่นวายภายในกองทัพส่วนเรื่องอื่น รอให้สถานการณ์ของหยุนเจิงชัดเจนก่อนค่อยว่ากัน!ตอนที่ตู๋กูเช่ออกคำสั่ง ด้านนอกมีเสียงดังเอะอะลอยมาเมื่อได้ยินเสียงนั้นสีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเกิดความวุ่นวายแล้ว?ขณะที่เหม่อลอยชั่วคราว ทุกคนใบหน้าเย็นชาเดินออกไปข้างนอกฉินชีหู่หยิบมีดข
“รายงาน! รายงานด่วน! มีตั๊กแตนระบาดหนักในเป่ยหวน เป่ยหวนได้รวบรวมกำลังทหารม้าเหล็กจำนวนสองแสนนายที่ชายแดน ราชครูแห่งเป่ยหวนได้นำทัพด้วยตนเองมุ่งมาทางเมืองหลวงเพื่อขอเสบียง อีกไม่กี่วันก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ!”“มาขอเสบียงต้องใช้กำลังพลทหารม้าเหล็กสองแสนนายเลยรึ เป่ยหวนสมควรตาย นี่มันกำลังข่มขู่ข้าชัดๆ!”“ฝ่าบาท ราชวงศ์ของเราเพิ่งประสบกับคดีที่องค์รัชทายาทกบฏ ภายในไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปิดศึกกับเป่ยหวนได้นะพ่ะย่ะค่ะ”“มีราชโองการ: ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขุนนางในราชสำนักเร่งมาที่พระราชวังเพื่อประชุมด่วน หากผู้ใดล่าช้า มีโทษประหาร!”...ณ ที่พำนักขององค์ชายหก เรือนปี้ปัว ราชวงศ์ต้าเฉียน หยุนเจิ้งนั่งอยู่คนเดียวที่ศาลาในสวนแม้ว่าเขาจะยอมรับความจริงเรื่องทะลุมิติเวลามาได้แล้ว แต่ในใจยังคงรู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อยเหตุใดจึงทะลุมิติเวลามาอยู่ในร่างขององค์ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้เล่า!ที่สำคัญคือ คนผู้นี้ยังบังเอิญได้รับจดหมายเลือดที่องค์รัชทายาททิ้งไว้เพื่อเปิดโปงเรื่ององค์ชายสามกล่าวหาว่าองค์รัชทายาทก่อกบฏ หลังจากนั้นก็ทำให้เขาถูกองค์ชายสามจับตามองอยู
ตอนมีชีวิตอยู่ก็คับอกคับใจมากอยู่แล้ว ยังจะตายอย่างคับอกคับใจอีก!“คนผู้นั้นไม่ได้ให้อันใดข้าเลยจริงๆ”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเดาว่าคนผู้นั้นถูกบีบบังคับจนไร้ทางเลือกแล้ว ถึงได้วิ่งเต้นมาหาข้าถึงที่เรือนนี้”หยุนลี่หรี่ตาพลางกล่าวเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงแบมือสองข้างพลางกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าเชื่อเช่นนั้น!”เมื่อเห็นท่าทางนี้ของหยุนเจิง นางกำนัลหลายคนก็ทำท่าทางเหมือนกับเห็นผีก็มิปานพระเจ้าช่วย!องค์ชายหกผู้อ่อนแอผู้นี้ช่างกล้ายิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับองค์ชายสามเมื่อวานเขาถูกองค์ชายสามตบหน้าฉาดใหญ่จนสมองเลอะเลือนไปแล้วกระมังเมื่อเห็นหยุนเจิงทำตัวแปลกไปเช่นนี้ สีหน้าของหยุนลี่พลันเคร่งขรึมลง เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่เจ้าดื้อรั้นจะไม่ยอมเอาของที่คนผู้นั้นให้เจ้าออกมาให้ข้าอย่างนั้นรึ?”“ก็ข้าไม่มี ข้าจะเอาให้เจ้าได้อย่างไรกันเล่า”หยุนเจิงยักไหล่ “เอาหล่ะ ข้ายังต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า! หากเจ้าคิดว่าข้ามีของที่เจ้าต้องการ เจ้าก็เรียกคนมาค้นหาเองเถอะ!”ขณะท
ภายในตำหนัก จักรพรรดิเหวินเรียกเหล่าขุนนางมารวมตัวกันด่วนเพื่อหารือรับมือเรื่องเป่ยหวนขอเสบียงอาหารณ ตอนนี้จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างยิ่งหากมอบเสบียงให้เป่ยหวน ก็เท่ากับว่าสนับสนุนศัตรูของแคว้นต้าเฉียนแต่หากไม่มอบเสบียงให้ เป่ยหวนก็ไม่มีทางรอดในเหมันตฤดูที่จะมาถึง และต้องลงทางใต้เพื่อปล้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อถึงตอนนั้น ทางเหนือที่กำลังทำการฟื้นฟูมาเป็นเวลาหลายปี คงต้องเข้าสู่สงครามอันวุ่นวายอีกครั้งแคว้นต้าเฉียนเพิ่งจะประสบกับแผนการก่อกบฏขององค์รัชทายาท ศึกภายในยังไม่นิ่ง ตอนนี้หากต้องทำศึกกับเป่ยหวน โอกาสชนะมีน้อยมาก และแม้ว่าจะชนะ ก็เกรงว่าจะเป็นชัยชนะที่น่าสังเวชและในขณะที่จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นั้น ฝ่ายสงครามกับฝ่ายสันติก็กำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครอย่างไรก็ตาม ฝ่ายสันติมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดจักรพรรดิเหวินฟังการโต้เถียงนี้จนปวดเศียรเวียนเกล้า อีกทั้งยังไม่อาจได้และในตอนนี้เอง ซูเฟยร้องห่มร้องไห้เดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่สนการขัดขวางขององครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าตำหนักแต่อย่างใดเลย “ฝ่าบาท ได้โปรดให้ควา