อีกทั้ง จักรพรรดิเหวินนำลูกของรัชทายาทองค์ก่อนส่งมาที่นี่แล้วเขาคงไม่ทำเรื่องตัดขาดเช่นนี้กระมัง?หากทำเรื่องตัดขาดเช่นนี้จริง เหตุใดก่อนหน้านี้จึงส่งเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวของพี่ใหญ่มาที่นี่เล่า?เช่นนี้หรือ?เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง ทุกคนอดครุ่นคิดเงียบๆ ไม่ได้คำพูดของหยุนเจิงแม้จะคิดว่าควรเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล“เช่นนั้นเจ้าจะรับประกันได้เช่นไรว่าเสด็จพ่อจะไม่คิดมาก?”เยี่ยจื่อยังคงขมวดคิ้ว “เจ้าส่งทหารไปประชิดฟู่โจว เสด็จพ่อไม่กังวลนะเจ้าเอาจริงหรือ?”“เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อและบรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนักเป็นคนโง่หรือ!”หยุนเจิงใบหน้ายิ้มมองเยี่ยจื่อ “กองทหารมณฑลทางเหนือของข้าต่อให้ตัดทหารชาวนาออก ก็มีกองทัพเกินหนึ่งแสน! หากข้าก่อกบฏ จะโง่ถึงขั้นส่งทหารเพียงหนึ่งหมื่นคนไปเข้าประชิดฟู่โจวหรือ?”หากต้องการก่อกบฏ ก็ดึงทหารม้าจากสามเมืองชายแดนกลับมาโดยตรง จู่โจมฟู่โจวสายฟ้าแลบไม่ดีหรือ?”หากเขาก่อกบฏ ขอแค่การเคลื่อนไหวเร็วสักหน่อย เวลาการตอบสนองของกองทัพประจำการที่แนวป้องกันฟู่โจวยังไม่มีด้วยซ้ำ!ต่อให้เสด็จพ่อไม่เข้าใจข้อนี้ แต่เซียวซ่านโฉวและเสวี่ยเช่อบรรดาแม
สองวันต่อมา พวกอวี๋ซื่อจงคุมตัวเชลยศึกจำนวนมากกลับถึงชายแดนกู้เมื่อเห็นแม่ทัพน้อยใหญ่ของชายแดนกู้ อาการชอบเข้าสังคมของฉินชีหู่กำเริบแล้ว ลำพองอวดโอ้ต่อหน้าทุกคน“พวกเจ้าไม่รู้ ข้ามือถือดาบใหญ่ ตลอดทางบุกจากทางเดินทะเลทรายตะวันตกไปยังราชสำนักเป่ยหวน จากนั้นก็บุกจากราชสำนักเป่ยหวนไปยังแมนจูทางเหนือ หากไม่ใช่เพราะดาบเล่มนี้อยู่ยงคงกระพัน ใบมีดคงบิ่นไปนานแล้ว!”“ทหารม้าเป่ยหวนเหล่านั้นล้วนถูกพวกเราข่มขวัญ แค่เห็นพวกเราก็ยอมจำนนร้องไห้เรียกพ่อเรียกแม่แล้ว...”“ว่ะฮ่าๆ...”ฉินชีหู่โม้น้ำลายแตกฟองกับแม่ทัพน้อยใหญ่ที่เหลือไว้เฝ้าชายแดนกู้คุยโวถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา ก็ขาดแค่เขาบอกว่าถือมีดฝ่าแตงโมตั้งแต่ถนนเผิงไหลจนถึงประตูเทียนหนานเท่านั้นฉินชีหูโม้อย่างมีความสุข ทว่ากลับไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มขอไปทีบนใบหน้าของแม่ทัพเหล่านี้เลยฉินชีหู่ไม่ทันสังเกต แต่อวี๋ซื่อจงสังเกตเห็นเห็นรอยยิ้มที่ทุกคนฝืนบีบบังคับออกมา อวี๋ซื่อจงแอบขมวดคิ้วมันเรื่องใดกัน?ต่อให้ฉินชีหู่กำลังคุยโวโออวด แต่ชัยชนะที่พวกเขานำกลับพร้อมกับเชลยศึกมากมายนั้นเป็นความจริงตามหลักแล้ว ทุกคนควรดีใจถึงจะถูก!
“อวี๋ซื่อจง สั่งเจ้ารีบไปยังด่านเป่ยลู่ ข้ากังวลว่าทหารที่ด่านเป่ยลู่ได้รับข่าวลือมีคนทนไม่ไหวไปขอคำอธิบายจากราชสำนักแทนท่านอ๋อง เจ้าจำเป็นต้องสยบทหารที่ด่านเป่ยลู่ ตอนที่ยังไม่ได้รับข่าวจากองค์ชาย ด่านเป่ยลู่ห้ามมีการเคลื่อนไหว! ห้ามวู่วามกับกองทัพราชสำนักเด็ดขาด!”“หวังชี่ ฮั่วกู้ เจ้าสองคนอยู่ฟังข่าวที่ชายแดนกู้ รับผิดชอบลาดตระเวนทุกค่าย...”ตู๋กูเช่อวางแผนจัดการอย่างรวดเร็วครั้งนี้คนที่เขาใช้ โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนที่ได้รับการส่งเสริมจากหยุนเจิงจากทหารยุดเดิมเป็นทหารยุคใหม่คนเหล่านี้มีผลงานการรบ ย่อมต้องมีอำนาจบารมีภายในกองทัพพวกเขาสามารถควบคุมหน่วยต่างๆ ได้ที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาต่างก็ขึ้นตรงกับหยุนเจิงใช้งานคนเหล่านี้ ก็วางใจได้หน่อยตอนนี้สิ่งที่พวกเขาต้องทำ คือควบคุมขวัญทหาร ไม่ปล่อยให้เกิดความวุ่นวายภายในกองทัพส่วนเรื่องอื่น รอให้สถานการณ์ของหยุนเจิงชัดเจนก่อนค่อยว่ากัน!ตอนที่ตู๋กูเช่ออกคำสั่ง ด้านนอกมีเสียงดังเอะอะลอยมาเมื่อได้ยินเสียงนั้นสีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเกิดความวุ่นวายแล้ว?ขณะที่เหม่อลอยชั่วคราว ทุกคนใบหน้าเย็นชาเดินออกไปข้างนอกฉินชีหู่หยิบมีดข
จนกระทั่งทหารที่ล้อมรอบพวกหยุนเจิงแยกย้ายกันไปแล้ว พวกฉินชีหู่ในที่สุดก็เดินเข้าไป“น้องชาย เจ้าได้รับบาดเจ็บที่ใด?”ฉินชีหู่เดินเข้าไปดึงหยุนเจิงมาตรวจสอบ“เข้าห้องก่อนค่อยพูดกันเถอะ!”หยุนเจิงหัวเราะ เรียนทุกคนเข้าไปในห้องด้วยกันทันทีที่เข้าห้อง หยุนเจิงก็โค้งคำนับตู๋กูเช่อ“องค์ชาย ท่านทำสิ่งใด?”ตู๋กูเช่อตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตาที่คาดคิดไม่ถึง รีบพยุงหยุนเจิงให้ยืนตัวตรง“ข้าขอโทษแม่ทัพตู๋กูเช่อเพราะความใจแคบของข้า!”หยุนเจิงเงยหน้าขึ้น “ข้าไม่ปิดบังแม่ทัพตู๋กูเช่อ ข้าแกล้งทำเป็นถูกลอบสังหารบาดเจ็บสาหัส มีการทดสอบแม่ทัพตู๋กูเช่อและผู้นำในกองทัพจริง วันนี้เป่ยหวนสงบสุข ไม่มีการรุกรานจากภายนอก ข้าควรกังวลศึกภายในแล้ว! มีที่ใดล่วงเกิน ขออภัยแม่ทัพตู๋กูเช่อด้วย”หยุนเจิงบอกแรงจูงใจของตัวเองกับตู๋กูเช่อด้วยความจริงใจต่อให้เขาไม่บอก เขาเชื่อตู๋กูเช่อก็เข้าใจ“องค์ชายกล่าวหนักไปแล้ว”ตู๋กูเช่อโบกมือปัด หัวเราะกล่าว “ข้าแม้ไม่ใช่คนมีความสามารถ แต่ก็เข้าใจเจตนาขององค์ชาย จริงอย่างที่องค์ชายกล่าว ไม่มีการรุกรานจากภายนอก ศึกภายในก็ควรปรับปรุงได้แล้ว! องค์ชายคือคนที่ฝ่าบาทแ
“กำลังมา”อวี๋ซื่อจงตอบ “แต่ว่า พวกเขาพาทั้งครอบครัวมาด้วย คิดว่าเช่นไรก็ต้องครึ่งเดือนขึ้นไป ได้ยินว่า คนที่อพยพมา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนชนเผ่าขององค์หญิงเจียเหยา”โดยพื้นฐานล้วนเป็นชนเผ่าของเจียเหยาหรือ?หยุนเจิงประหลาดใจเล็กน้อยแต่ว่า คิดสักรอบ หยุนเจิงก็เข้าใจแล้วหยุนเจิงนำวัวแพะของชนเผ่านางทั้งเป็นเติมยุทธปัจจัยแล้วชนเผ่าเหล่านั้นของนาง อยู่ที่ชนเผ่าอื่น เกรงว่าคนฝืนทนกินสักมื้อให้ไม่ให้อดตายไม่สู้อพยพมาที่ซั่วเป่ยเช่นนี้ ทั้งเป็นทางรอดให้ชนเผ่าของนาง แล้วยังทำให้ชาวเป่ยหวนเหล่านั้นเห็นว่านางไม่ได้เห็นแก่ตัววิธีเดียวได้ถึงสองต่อแต่ว่า ในเมื่อคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนของชนเผ่าเจียเหยา เขาก็ต้องระมัดระวังจั่วเสียนอ๋องโปหลวนตอนนั้นก็ฮุบเอาชนเผ่าที่อยู่ในทุ่งหญ้ามู่หม่าของฮูเจี๋ย ก่อให้เกิดไฟไหม้สวนหลังบ้านความผิดเช่นเดียวกัน เขาห้ามให้เกิดขึ้นซ้ำอีกคนเหล่านี้ ต้องตีให้แตกกระตาย ห้ามไม่ให้รวมตัวกัน!หยุนเจิงครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็สั่งอวี๋ซื่อจง “ข้าเอาตัวฟางหยุนซื่อคนทรยศมาอย่างถูกต้องเปิดเผย จัดการเช่นไร เจ้ากับแม่ทัพตู๋กูเช่อปรึกษากัน ข้าไม่ยุ่งแล้ว”“ขอบคุณอง
เมื่อได้รู้ว่าคนที่มาถ่ายทอดราชโองการใกล้ถึงแล้ว หยุนเจิงอดไม่ได้มีาจะยกยิ้มมุมปากได้!ทูตของฝ่าบาทมาได้ทันเวลาพอดี ทั้งยังสามารถส่งของขวัญชิ้นหนึ่งกลับไปให้ฝ่าบาทได้พวกหยุนเจิงเพิ่งเตรียตัวเสร็จ ทูตของฝ่าบาทก็มาถึงชายแดนกู้แล้วยังเป็นคนคุ้นเคย!หันจิ้น“คาราวะองค์ชายหก”หันจิ้นยังไม่ทันประกาศราชโองการ ก็ทำความเคารพหยุนเจิงก่อนอยู่ต่อหน้าหยุนเจิง เขาไม่กล้าวางท่วงท่าทูตของฝ่าบาทหยุนเจิงตุบตีเขาสักรอบ เขากลับไปบอกจักรพรรดิเหวิน คาดว่าคงโดนจักรพรรดิเหวินถีบอีกสักสองที“ผู้บัญชาการหันจิ้นเป็นทูตของฝ่าบาท ไม่ต้องพิธีรีตรอง”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย ที่ลับตาคนหันจิ้นผู้นี้นับว่าพอใช้ได้ ไม่ได้วางมาดทูตของฝ่าบาทต่อหน้าเขาหันจิ้นลุกขึ้นยืนตรง จากนั้นก็มองหยุนเจิงด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “พวกข้าอยู่ระหว่างทางได้ฟังว่าองค์ชายเหมือนจะถูกลอบสังหารณ์ ไม่รู้เรื่องนี้...”“เรื่องนี้สายหน่อยค่อยว่ากันเถอะ!”หยุนเจิงโบกมือ จากนั้นก็กล่าว “ฝ่าบาทมีรับสั่งใด?”กล่าวถึงราชโองการของฝ่าบาท หันจิ้นรีบจัดแจงเสื้อผ้าตัวเอง จากนั้นก็รับราชโองการมาจากคนข้างกาย กล่าวเสียงสูง “องค์ชายหกหยุนเจิงและก
เหอะ!เตรียมพร้อมได้อย่างเต็มที่ยิ่ง!ช่างวาดภาพในวังล้วนพามาด้วยแล้ว?“ก็ได้ ก็ได้!”หยุนเจิงขี้เกียจกล่าวมากมาย “ในเมื่อเป็นความต้องการของเสด็จพ่อ เช่นนั้นข้าก็จะสั่งให้คนพาช่างวาดภาพไปพบองค์หญิงเจียเหยา! พอดีเลย องค์หญิงเจียเหยามาอยู่ที่ชายแดนกู้ พวกเจ้าพักผ่อนสักหน่อย รอให้ช่างวาดภาพวาดภาพเหมือนของเจียเหยาเสร็จแล้ว ก็รีบกลับไปรายงานเถอะ!”“……”หันจิ้นหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “องค์ชาย พวกเราเร่งเดินทางมา แทบไม่ได้...”“ข้าไม่ได้ขับไล่พวกเจ้าไป!”หยุนเจิงหัวเราะส่ายหน้า “ที่สำคัญคือข้าต้องการให้พวกเจ้าช่วยข้านำศีรษะกลับไปมอบให้เสด็จพ่อ พวกเจ้าไม่รีบกลับไปรายงาน ศีรษะนี้ส่งถึงเมืองจักรพรรดิอาจเน่าเสียแล้ว...”ห๊า?ศีรษะ?หันจิ้นตัวชา มองหยุนเจิงด้วยใบหน้าโศกเศร้าส่ง...ส่งศีรษะอีกแล้ว?วิธีต่อสู้ของพวกเจ้าสองพ่อลูก อย่าทรมานพวกเราสิ!ครั้งก่อนเพื่อส่งศีรษะของพวกฮูเจี๋ยกลับไปให้ทันเวลา พวกเขาวิ่งกันจนร่างกายแทบทรุดโทรมแล้วเพิ่งพักได้ไม่นาน ต้องส่งศีรษะอีกแล้ว?เปลี่ยนคนส่งไม่ได้หรือ!หันจิ้นบ่นคร่ำครวญในใจต่อเนื่อง รู้อยู่แล้วว่าไม่ควรมาถ่ายทอดราชโองการที่ซั่วเป่ย
พวกหันจิ้นเพิ่งดื่มน้ำไปไม่กี่อึก หยุนเจิงก็พาพวกเสิ่นลั่วเยี่ยนเข้ามาไม่รอให้พวกหันจิ้นทำความเคารพ หยุนเจิงยกมือห้ามพวกเขา จากนั้นก็ถามด้วยร้อยยิ้มแย้ม “ผู้บัญชาการหัน ข้ามีเรื่องหนึ่งลืมบอกพวกเจ้าแล้ว”หันจิ้นในใจเกินลางสังหรณ์ไม่ดี ถามหยั่งเชิง “องค์ชายมีเรื่องใดต้องการสั่ง?”“ก่อนหน้านี้ข้าถูกลับสังหารไม่ใช่หรือ?”หยุนเจิงกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ “ข้าไต่สวนออกมาแล้ว มือสังหารพวกนั้น ล้วนป็นรัชทายาทส่งมา!”“ข้าแม้ไม่ถูกทำร้าย แต่ก็ไม่ยอมกล้ำกลืนฝืนทน!”“ข้าอยากให้ผู้บัญชาการหันจิ้นช่วยพามือสังหารสองคนกลับไป ข้าเรียบเรียงหนังสือสักฉบับ รบกวนผู้บัญชาการหันมอบให้เสด็จพ่อด้วย ข้าต้องการให้เสด็จพ่อช่วยคืนความเป็นธรรมแทนข้า...”เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง หานจิ้นแทบร้องไห้ออกมาแล้วมือสังหารเหล่านี้เป็นรัชทายาทส่งมา!เขาพามือสังหารกลับไป ไม่เท่ากับล่วงเกินรัชทายาทหรือ?หากมือสังหารตายระหว่างทาง เขาไม่เพียงสลัดไม่พ้นข้อหาคุ้มกันไม่ได้ ยังล่วงเกินองค์ชายหกด้วย!ดีไม่ดี เขายังถูกเข้าใจผิดกลายเป็นลูกสมุนของรัชทายาท!ให้ตายสินี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายหรือ?เวลานี้ หันจิ้นอยากจะร้องไ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห