แม้ความสูญเสียงของกองทหารมณฑลทางเหนือมีมาก แต่การคุกคามของเป่ยหวนขจัดออกไปแล้ว แผนการทหารชั้นยอดของหยุนจิงก็ประกาศใช้อย่างเป็นทางการแล้วหยุนเจิงแกว่งดาบใหญ่ ตัดทหารประจำการของกองทหารมณฑลทางเหนือออกถึงหนึ่งแสนสามพันคนภายในนั้น มีหน่วยรักษาการของด่านเป่ยลู่และทุกเมืองรวมกันแล้วห้าหมื่นคนทหารที่ใช้เป็นทหารประจำการ มีเพียงห้าหมื่นสามพันคนกองทหารโหลิตสามพันคน มีฉินชีหู่และหลู่ซิ่งบัญชาการที่เหลือห้าหมื่นคน แบ่งออกเป็นห้าส่วนภายในนั้นมี ทหารม้าสี่หมื่น ต่างก็เป็นหนึ่งคนต่อม้าสองตัว ผู้บัญชาการแบ่งเป็นอวี๋ซื่อจง ชวีจื้อ เฝิงอวี้ เติ่งเป่าทหารราบชุดเกราะหนักหนึ่งหมื่นคน หวังชี่เป็นแม่ทัพหลักเมื่อค่ายใหญ่ที่เขาห่านป่าหวนกลับเป็นรูปเป็นร่างแล้ว หวังชี่และอวี๋ซื่อจงก็ต้องนำกองทัพเข้าประจำการที่ค่ายใหญ่ที่เขาห่านป่าหวนกลับหยุนเจิงเป็นแม่ทัพหลักของกองทหารมณฑลทางเหนือ ตู๋กูเช่อเป็นรองแม่ทัพขณะเดียวกัน ทั้งสองคนรับหน้าที่เป็นเจ้าสำนักและรองเจ้าสำนักของสำนักศึกษาเตรียมทหารส่วนทหารที่ถูกปลด หยุนเจิงไม่ได้ให้พวกเขาเป็นทหารชาวนา แต่เสนอความคิดทหารที่ถูกปลดตั้งหมดปรับย้ายเป็นทหารกองห
เมืองจักรพรรดิหันจิ้งนำศีรษะของฟางหยุนซื่อกลับมา แล้วก็นำข่าวที่หยุนเจิงถูกลอบสังหาร จั่วเริ่นส่งทหารเข้าประชิดฟู่โจวกลับมาที่เมืองจักรพรรดิด้วยแต่ว่า หันจิ้งบอกเพียงแค่มือสังหารเหล่านั้นหยุนลี่เป็นคนส่งไปกับจักรพรรดิเหวินเท่านั้นความผิดปกติของกองทัพประจำการที่ด่านเป่ยลู่ จะทำให้พวกขุนนางในราชสำนักกระวนกระวายหยุนเจิงเพิ่งตีเป่ยหวนจนยอมจำนน ตอนนี้การทหารกำลังรุ่งโรจน์หากหยุนเจิงระดมกองทัพโจมตีฟู่โจวจริง ทหารประจำการหนึ่งแสนกว่านายของฟู่โจว ไม่มีทางปกป้องไว้ได้ทันทีที่หยุนเจิงบุกมายังเมืองจักรพรรดิ คนมากมายต้องซวยแล้วจักรพรรดิเหวินประทับอยู่บนบัลลังก์ พระพักตร์ดูไม่ออกว่าดีพระทัยหรือทางกริ้ว เพียงแค่กวาดสายพระเนตรมองขุนนางไม่หยุดเผชิญกับสายพระเนตรของจักรพรรดิเหวิน คนไม่น้อยเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นในใจ ไม่รู้จักรพรรดิเหวินทรงหมายความเช่นไร“เห้อ...”เนิ่นนาน จักรพรรดิเหวินค่อยๆ ถอนพระทัยออกมา โบกพระหัตถ์อย่างไร้เรี่ยวแรง “คนที่อยู่ขั้นสามขึ้นไปอยู่ก่อน คนที่เหลือ ออกไปให้หมด!”สิ้นเสียงรับสั่งของจักรพรรดิเหวิน คนที่ควรไปต่างก็พากันออกไปที่เหลือ ล้วนเป็นต่างก็เป็นขุนนาง
กล่าวจบ หยุนลี่แสดงท่าทางเด็ดขาดราวกับนาทีถัดไปก็จะเอาศีรษะกระแทกเสาในท้องพระโรงตายสวีสือฝู่มองหยุนลี่ด้วยความพอใจการสั่งสอนอย่างระมัดระวังของเขาในช่วงนี้ นับว่าเห็นผลบ้างแล้วหลังจากการแสดงท่าทีของหยุนลี่ เหล่าขุนนางขอร้องอีกครั้งมีบางคนจริงใจ มีบางคนเสแสร้งแต่ไม่ว่าเช่นไร เหล่าขุนนางต่างก็กล่าวด้วยความจริงใจ “เลิกโน้มน้าวได้แล้ว ข้าคิดจะสละราชสมบัติด้วยความจริงใจ!”จักรพรรดิเหวินส่ายพระพักตร์ ด้วยท่าทางเหม่อลอย “ความสามารถของเจ้าหก ทุกท่านต่างก็เห็นแล้ว! เจ้าหกหากยกทัพลงใต้ ทหารประจำการที่แห่งคนไม่สามารถต้านทานได้!”“ทันทีที่ราชสำนักเปิดศึกกับเจ้าหก ชนเผ่าโม่ซีและแคว้นอวี้เกรงว่าจะฉวยโอกาสปล้นตอนไฟไหม้”“ถึงเวลานั้น ต้าเฉียนเราต้องตกอยู่ในสงครามวุ่นวาย ราษฎรพลัดพรากถิ่นฐานสิ้นเนื้อประดาตัว คนอดอยากทุกหนแห่ง”“ข้าสละราชสมบัติตอนนี้ ในอนาคตยังเหลือชื่อเสียงดีงามไว้ในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์”“หากรอจนถึงยามที่ใต้หล้าตกอยู่ในสงครามวุ่นวาย ก็คงจะมีชื่อทรราชในหนังสือประวัติศาสตร์ของคนรุ่นหลังแล้ว!”“ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อนแล้ว! พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ! เรื่องที่เหลือ พวกเจ
หยุนลี่ปวดหัวมากสวีสือฝู่ปวดหัวเช่นกันตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องจักรพรรดิเหวินจะสละหรือไม่สละราชสมบัติแล้ว!จักรพรรดิเหวินปิดประตูท้องพระโรงแล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการให้พวกเขาหารือกันหาทางออก!นำปัญหายากที่ควรจัดการหยุนเจิงเช่นไรโยนมาให้พวกเขาหากหารือกันออกมาไม่ได้ ทุกคนก็ต้องทนหิวอยู่ที่นี่!สถานการณ์ตรงหน้า ต่อสู้เป็นไปไม่ได้แน่นอนพวกเขากำลังลงดาบกับตระกูลผู้มีอำนาจและราชวงศ์เหล่านั้น เวลานี้ หากพวกเขาต้องเปิดศึกกับกองทหารมณฑลทางเหนือ ตระกูลผู้มีอำนาจและราชวงศ์เหล่านั้นก็จะกระโดดลงมาแทงเขาด้วยมีด!หากไม่สู้ ก็ต้องคิดหาวิธีปลอบขวัญกองทหารมณฑลทางเหนือวิธีที่ดีที่สุด ย่อมเป็นการผลักคนหนึ่งออกไปเป็นแพะรับบาปแต่สถานการณ์ตรงหน้า ผลักใครออกไปดี?ผลักหยุนลี่ออกไป ย่อมเป็นไปไม่ได้หรือบางที สาดน้ำโคลนสกปรกไปให้องค์ชายคนอื่น?ก็นับว่าเป็นวิธีหนึ่ง!ทั้งสามารถทำให้หยุนลี่ถอนตัวได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังสามารถขจัดภัยคุกคามจากองค์ชายคนอื่นที่มีต่อหยุนลี่แต่ตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ ไม่ว่าพวกเขาจะปรึกษากันเช่นไร สุดท้ายเรื่องนี้ก็ต้องให้จักรพรรดิเหวินตัดสินพระทัย!อีกทั้ง ผลักความผิด
“จิ้งกั๋วกง ท่านว่าเรื่องนี้ควรจัดการเช่นไร?”หยุนลี่เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามสวีสื่อฝู่“ตอนนี้เวลานี้ ราชสำนักจัดการกองทหารมณฑลทางเหนือ ยังต้องใช้การปลอบขวัญเป็นหลักสวีสือฝู่ลูบเคราเบาๆ “ความเห็นของข้า พวกเราทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อน ทำให้ชัดเจนว่าผู้ส่งคนไปลอบสังหารองค์ชายหก มีคนยั่วยุสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักและกองทหารมณฑลทางเหนือ! จากนั้น ถึงค่อยว่ากันถึงเรื่องปลอบขวัญกองทหารมณฑลทางเหนือเช่นไร...”สวีสือฝู่วิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าด้วยความจริงใจหยุนลี่เมื่อได้ฟัง กลับอดไม่ไหวคิดอยากจะด่ามารดาใครส่งคนไปลอบสังหารสุนัขอย่างเจ้าหก สวีวือฝู่ไม่รู้หรือ?เขากล่าวมากมาย ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือ?มองหยุนเจิงที่ส่งสายตาให้เขาเงียบ สวีสือฝู่ก่นด่าในใจไอโง่!ทำให้ตัวเองหลุดพ้นข้อกล่าวหาก่อน เข้าใจหรือไม่?มีเพียงต้องทำให้หยุนลี่หลุดพ้นความสัมพันธ์กับคนพวกนี้ก่อน ค่อยจัดการเรื่องข้างหลัง!มิฉะนั้น ใครๆ ต่างก็คิดว่าเป็นหยุนลี่ที่ส่งคนไปลอบสังหารหยุนเจิง หัวหอกต่างก็ชี้มาที่พวกเขาไม่ใช่หรือ?สวีสือฝู่ไม่สนใจหยุนลี่ ทำเหมือนไม่เห็นสายตาของหยุนลี่ วิเคราะห์อยู่ตรงนั้นต่อไปถึงเช่นไร
หลังจากทิ้งเรื่องปวดหัวให้คนในเมืองจักรพรรดิแล้ว หยุนเจิงจัดการธุระของตัวเองได้อย่างสบายใจ“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่?”ระหว่างทางจากเหมืองถ่านหินและกลับมายังชายแดนกู้ เมี่ยวอินเห็นหยุนเจิงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงเอ่ยปากถาม“ไม่มีสิ่งใด”หยุนเจิงหัวเราะ “ข้ากำลังคิด ทำเช่นไรจึงจะผลิตปูนได้เร็วขึ้น”หยุนเจิงทำปูนแบบดั่งเดิมออกมาแล้วพอดี เศษจากการหลอมเหล็กก็ได้นำใช้ประโยชน์แล้วผ่านการทดสอบง่ายๆ ความแข็งแรงทนทานของปูนนี้นับว่าพอใช้ได้แต่ว่า ไม่มีทางเทียบได้กับปูนสมัยปัจจุบันที่สำคัญคือ ประสิทธิภาพการผลิตต่ำไปหน่อยกล่าวถึงปูน เมี่ยวอินรู้สึกสงสัย “วิธีใช้ปู เจ้าดูมาจากตำราโบราณเล่มนั้นหรือ?”“ใช่แล้ว!” หยุนเจิงพยักหน้ายิ้ม“ตำราโบราณที่เจ้าพูดถึง มหัศจรรย์มากทีเดียว”เมี่ยวอินรู้สึกแปลกประหลาด “คนที่เขียนตำราเล่มนี้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งยุค!”อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งยุค!ไม่ใช่อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งยุคหรือ!นั่นคือการตกผลึกของภูมิปัญญาจากคนจำนวนมาก!แต่น่าเสียดาย เขาก็เป็นเพียงคนมุทะลุเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่คนมุทะลุยังไม่อาจนับไปได้ด้วยเห้อ ช่างเถอะ!จ
“ข้าไม่เป็นไร”เจียเหยาโบกมืออย่างเหนื่อยล้า “เก็บน้ำตาซะ! อย่าให้คนอื่นเห็นเรื่องตลกของชายชาตรีเป่ยหวนเรา!”“ขอรับ!”กู่เก๋อรับคำสั่ง เช็ดน้ำตาในดวงตาลวกๆ“ข้าว่า เรื่องสำคัญของเจ้าจะพูดหรือไม่พูด?”หยุนเจิงขมวดคิ้วมองกู่เก๋อ กล่าวอย่างรำคาญ “หากเจ้าไม่พูด ข้าจะไปพักผ่อนแล้ว!”“พูด พูด!”กู่เก๋อสนใจที่จะเป็นห่วงเจียเหยาแล้ว กล่าวอย่างรีบร้อน “พวกเราได้รับข่าว กุ่ยฟางอาจร่วมมือกับแคว้นต้าเย่ว์และโฉวฉือ บุกโจมตีพวกเราตอนฤดูใบไม้ร่วง!”เมื่อได้ฟังคำของกู่เก๋อ เจียเหยาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นกล่าวตามตรง กุ่ยฟางบุกโจมตีเป่ยหวน ไม่นับว่าน่าประหลาดใจตอนนี้เป่ยหวนเป็นเช่นนี้ กุ่ยฟางไม่ฉวยโอกาสปล้นตอนไฟไหม้ก็แปลกแล้ว!แต่ว่า กุ่ยฟางร่วมมือกับแคว้นต้าเย่ว์และโฉวฉือ บุกโจมตีดินแดนของพวกเขาด้วยกัน กลับเป็นสิ่งที่นางคิดไม่ถึงหลังเหม่อลอยไปชั่วขณะ เจียเหยาถอนหายใจยาวออกมากะทันหันนี่สำหรับเป่ยหวนแล้ว อาจไม่ใช่ข่าวร้ายสามแคว้นร่วมมือกันขึ้นมา ต้องแบ่งทหารออกเป็นสองทางหากไม่ผิดความคาดหมาย เส้นทางหนึ่งเคลื่อนทัพมาจากกุ่ยฟาง ข้ามผ่านดินแดนฉวนหรง บุกโจมตีทุ่งหญ้าชิ่นหลินโดยตรงอีกเส้นทา
ไม่ว่าข่าวที่กู่เก๋อนำมาเป็นความจริงหรือโกหก หยุนเจิงก็ต้องให้ความสำคัญหลังสั่งต่งกังเสร็จ หยุนเจิงนั่งหารือเรื่องนี้กับพวกเจียเหยาสำหรับตอนนี้ ข่าวที่กู่เก๋อนำมาค่อนข้างน่าเชื่อถือแต่ว่า สำหรับแคว้นเล็กอย่างโฉวฉือ หยุนเจิงอยากใช้วิธีที่ไม่ต้องนองเลือดแก้ไขปัญหามากที่สุดสู้กับแคว้นเล็กเช่นนี้ ชนะแล้วก็ไม่ได้ผลประโยชน์มากเท่าใดนัก เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น ฝ่ายตัวเองก็ต้องมีคนล้มตาย ทั้งยังสิ้นเปลืองเสบียงจำนวนมากไม่ว่าคำนวนเช่นไรก็ไม่ใช่การค้าที่คุ้มค่านอกเสียจาก ปล้นคน ยึดดินแดน!ทว่า ว่าไปแล้ว หากทำลายโฉวฉือ ก็เท่ากับเป็นการเปิดทางใช้ชนเผ่าโม่ซีหากกองทหารมณฑลทางเหนือปรากฎตัวที่ภาคตะวันตกของต้าเฉียน ไม่รู้ว่าคนในราชสำนักจะนั่งกันติดที่หรือไม่คิดไปคิดมา สมองของหยุนเจิงพลันปรากฎความคิดชั่วร้ายเจียเหยาเงยหน้ามองหยุนเจิง “เจ้าคิดจะปล่อยข้าไปเมื่อใด? ข้าจำเป็นต้องรีบกลับไปเตรียมตัวทำศึกโดยเร็วที่สุด!”“รอคนด้านหลังของพวกเจ้ามาถึง ข้าก็ต้องปล่อยเจ้า”หยุนเจิงสลัดความคิดของตัวเองชั่วคราว “ตอนนี้รู้ว่าข้าให้พวกเจ้ารักษากองทหารประจำการสองหมื่นไว้เป็นความคิดที่ฉลาดแล้วใช่หรือ