สวีสือฝู่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิเหวินทรงกำลังคิดสิ่งใด ทำได้เพียงตามจักรพรรดิเหวินไปยังสวนหลวง“เหล่าสวี พวกเรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว?”ขณะที่เดินไป จักรพรรดิเหวินก็ทรงตรัสออกมาหนึ่งประโยคเหล่าสวี?สวีสือฝู่เท้าหยุดชะงักคำเรียกนี้ เขาไม่ได้ยินจากพระโอฐของจักรพรรดิเหวินมานางหลายปีแล้วจักรพรรดิเหวินตรัสเรียกเช่นนี้ขึ้นมากะทันหัน เกรงว่าน่าจะมีเจตนาอื่น!สวีสือฝู่คิดเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามจักรพรรดิเหวิน ตอบด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “กระหม่อมคิดคำนวณดูแล้ว กระหม่อมกับพระองค์รู้จักกันเกือบสี่สิบปีแล้วพะย่ะค่ะ”“ใช่แล้ว! เกือบสี่สิบปีแล้ว! พวกเราล้วนแก่แล้ว!”จักรพรรดิเหวินถอนพระทัย “ไม่ปิดบังเจ้า หลังเรื่องของเว่ยเหวินจง ข้าเคยคิดที่จะปลดรัชทายาท!”สวีสือฝู่หนังตากระตุก ไม่รู้ควรตอบเช่นไร“เหตุใด ตกใจกลัวแล้ว?”จักรพรรดิเหวินหันพระพักตร์ทอดพระเนตรสวีสือฝู่ที่ไม่พูดไม่จา“คือ...”สวีสือฝู่ฝืนยิ้มออกมา “กระหม่อมไม่กล้าปิดบังฝ่าบาท กระหม่อมตกใจกลัวแล้วพะย่ะค่ะ”จักรพรรดิเหวินสีพระพักตร์เคร่งขรึม ตรัสเสียงเฉียบ “ข้ารู้ เจ้าสามต้องติดต่อกับเว่ยเหวินจงเป็นการส่วนตัว คิดจะฆ่าเจ้าหก”สวีสือ
“กระหม่อมเข้าใจพะย่ะค่ะ!”สวีสือฝู่พยักหน้าหนักแน่นความสำคัญของฟู่โจว ไม่ต้องกล่าวก็เข้าใจเขาละโมบเงินจากที่ใด ก็ไม่กล้าละโมบเงินค่าจ้างกองทัพแนวป้องกันฟู่โจว!จักรพรรดิเหวินครุ่นคิดเงียบๆ จากนั้นก็กล่าวต่อ “เจ้าหกลูกทรพีตีเป่ยหวนจนขอยอมจำนนเจรจาสันติ ราชสำนักก็ต้องแสดงความเห็นไม่มากก็น้อย กลับไปเจ้าปรึกษาการพระราชทานรางวัลเรื่องนี้!”“พรุ่งนี้ตอนประชุมขุนนาง ข้าจะประกาศรายงานการรบของเจ้าลูกทรพีในท้องพระโรง!”“ถึงเวลานั้น เกี่ยวกับรางวัลที่ประธานในกองทหารมณฑลทางเหนือ พรุ่งนี้ต้องมีการประชุมหารือครั้งใหญ่”“ข้าต้องการเพียงข้อเดียว ห้ามขัดต่อจิตใจทหาร แต่ก็ห้ามพระราชทานรางวัลมากเกินไป!”เมื่อได้ฟังคำร้องขอของจักรพรรดิเหวิน สวีสือฝู่ร้องคร่ำครวญในใจห้ามขัดต่อใจเหล่าทหาร แต่ก็ห้ามให้เงินมากเกินไป?ให้พวกเขาจะเจรจาแผนการประทานรางวัลได้เช่นไร!นี่ก็คือคำในพจนานุกรมที่บอกว่าไม่ให้ข้าวสารแต่สั่งให้คนหุงข้าวหรือ?สวีสือฝู่บ่นในใจอยู่นาน ทว่ากลับต้องฝืนใจตอบตกลงแล้วต่อไป จักรพรรดิเหวินทรงสนทนากับสวีสือฝู่อีกสักพัก จึงปล่อยให้สวีสือฝู่จากไปสวีสือฝู่เพิ่งออกไป พระพัตกร์ของจักรพร
ชั่วพริบตา เวลาผ่านไปหลายวันแล้วพวกหยุนเจิงในที่สุดก็มาถึงชายแดนกู้อย่างรวดเร็วผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว หยุนเจิงเหนื่อยล้าทั้งกายใจการต่อสู้ครั้งนี้เดินทางไปไกลมาก!ต่อสู้กันไม่กี่ครั้ง ทั้งหมดใช้เวลาไปกับการเดินทางตอนที่หยุนเจิงกำลังแอบทอดถอนใจ บริเวณไกลๆ ก็ปรากฏกลุ่มคนดำทมิฬเป็นแถบ คนเหล่านั้นเหมือนกำลังซ่อมแซมบางอย่าง“ส่งคนไปดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”หยุนเจิงสั่งเกาเหอไม่นาน องครักษ์คนหนึ่งก็ควบม้าตรงเข้ามาไม่นาน หยุนเจิงเห็นองครักษ์พาคนสองสามคนควบม้ามาทางนี้ใครมาแล้ว?หยุนเจิงมองด้วยความสงสัยเมื่อคนเหล่านั้นวิ่งเข้ามาใกล้ ในที่สุดหยุนเจิงก็รู้แล้วว่าใครมาจางซู!แล้วน่าจะมีหมิงเย่ว์!จางซูรูปร่างชัดเจน!แต่ให้เห็นหน้าไม่ชัด แต่ก็สามารถคาดเดาจากรูปร่างได้“องค์ชาย องค์ชาย...”“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่...”ยังอยู่ห่างกัน จางซูส่งเสียงร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ ทั้งยังได้ยินเสียงของหมิงเย่ว์ได้อย่างคลุมเครือไม่นาน จางซูและหมิงเย่ว์ก็พาคนวิ่งเข้ามาทั้งสองคนหยุดลงในระยะห่างกันยี่สิบจั้ง แล้วพลิกตัวลงจากหลังม้าสภาพจางซูลงจากหลังม้าค่อนข้างทุลักทะเล ทำเอาหมิงเย่ว์บนเข
ทุกคนพากันขึ้นหลังม้า“ข้าตามไปดูด้วยหรือ?”เวลานี้ เจียเหยาพลันถามหยุนเจิง“เจ้าอย่าไปดีกว่า!”หยุนเจิงหันหน้ามองเจียเหยา “ข้าไม่คิดปิดบังเจ้า โรงเตาเผาของพวกเรา มีทักษะลับมากมาย หากถูกเจ้าแอบเรียนจะทำเช่นไร? มิฉะนั้น เจ้าใช้ม้าศึกหนึ่งหมื่นตัวเป็นค่าครู?”ม้าศึกหนึ่งหมื่นตัวหรือ?อย่าว่าแต่เจียเหยาเลย แม้แต่พวกเมี่ยวอินยังกล่าวสิ่งใดไม่ออกเลยคิดสิ่งใดอยู่!ยังต้องการม้าศึกหนึ่งหมื่นตัว?ไม่อยากให้เจียเหยาไปก็บอกมาตรงๆ สิ!“ท่านพี่...”เจียเหยาออดอ้อนน้ำเสียงหยาดเยิ้มนั่นทำเอาจางซูทำเหมือนเห็นผีเกิดเรื่องใดขึ้น?หยุนเจิงนำศีรษะของพ่อและพี่ชายเจียเหยาส่งไปเมืองจักรพรรดิแล้วเจียเหยายังเรียกหยุนเจิงเช่นนี้?เหมือนกับนกน้อยที่ต้องการพึ่งพาคน?“เจ้าไม่ต้องไปหรอก”หยุนเจิงปฏิเสธโดยตรง จากนั้นก็เรียกพวกจางซู “ไปเถอะ!”ความจริง ก็แค่โรงเตาเผาเท่านั้น โดยก็ไม่มีทักษะใดให้กล่าวถึงสิ่งเดียวที่ใหม่นิดหน่อย ก็คือการใช้ถ่านเลนทดแทนไม้ฟืนทว่าโรงเตาเผาแห่งนี้ยังสร้างไม่เสร็จ ถ่านเลนน่าจะยังไม่ขนส่งมา ต่อให้พาเจียเหยาไปดู ก็ไม่มีสิ่งใดมากมายแต่ยิ่งเห็นเจียเหยาเป็นเช่นนี้ เ
พูดไม่สู้ลงมือทำ ถึงเช่นไรที่นี่ก็มีถ่านเลนอยู่ หยุนเจิงสั่งคนบดถ่านเลนมาเล็กน้อย กรองเอาจำนวนที่ค่อนข้างละเอียดออกมา จากนั้นก็ลงมือด้วยตัวเอง ผสมกับดินตรงนั้น ปากก็ร้องไม่หยุด “ยอดเพียงใด ตอนนี้ข้ากำลังเล่นโคลนอยู่ที่ซั่วเป่ย...”“องค์ชาย ท่านกำลังร้องเพลงใด?”จางซูถามด้วยความสงสัย“ไม่มีสิ่งใด”หยุนเจิงหัวเราะ “ก็แค่ฮัมเพลงไปเรื่อยเท่านั้น...”จางซูเมื่อได้ยิน ก็ไม่ถามสิ่งใดมากมาย เรียนการเล่นโคลนกับหยุนเจิงทั้งสองคนกำลังเล่นกันอย่างมีความสุข เมี่ยวอินและหมิงเย่ว์มองหน้ากันแล้วหัวเราะ“ศิษย์พี่ องค์ชายเรียกสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด?”หมิงเย่ว์กระซิบถามเมี่ยวอิน“ข้าจะรู้ได้เช่นไร?”เมี่ยวอินส่ายหน้าหัวเราะ “ถึงเช่นไรเรื่องที่พวกเราไม่รู้ เขาต่างบอกว่านี่เป็นสิ่งที่อ่านมาจากตำราโบราณนั่น ตอนนี้พวกเราขี้เกียจถามแล้ว ก็ทำเป็นคิดซะว่าเอาอ่านมาจากตำราโบราณนั่นแล้วกัน!”สำหรับตำราโบราณที่หยุนเจิงกล่าวถึง เมี่ยวอินสงสัยมาตลอดแต่ว่า เดิมทีนางก็เหมือนเป็นคนคนเดียวกับหยุนเจิง ไม่จำเป็นต้องค้นหาว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหกนางรู้เพียงง หยุนเจิงเป็นผู้ชายของนาง ไม่ทำร้ายนาง นี่ก็เพียง
“ไม่มีปัญหา!” จางซูหัวเราะเจ้าเล่ห์ “ถึงเช่นไรการรบครั้งนี้ก็จบลงแล้ว วันข้างหน้าพวกเรามีเวลาดื่มเหล้า”“มันก็จริง!”หยุนเจิงหัวเราะควรพักผ่อนได้แล้วเขาข้ามเวลามาเช่นนี้ ไม่ใช่มาเพื่อปกป้องโลกเสียหน่อยควรเสพสุขกับชีวิตได้แล้ว!ข้าต้องการลุ่มหลงมัวเมาและเสพสำราญ!หยุนเจิงตะโกนร้องในใจสนทนากับจางซูและหมิงเย่ว์สักพัก พวกหยุนเจิงเดินทางจากไปก่อน“เจ้าบอกองค์ชายเรื่องนั้นหรือยัง?”มองดูพวกหยุนเจิงจากไปแล้ว หมิงเย่ว์จึงถามจางซูจางซูส่ายหน้าหัวเราะแห้ง “มิฉะนั้น เจ้าไปบอกกับศิษย์พี่เจ้าเถอะ ให้ศิษย์พี่เจ้าช่วยข้า…”“น้อยๆ หน่อย!”หมิงเย่ว์ดับความคิดของจางซู “เป็นเจ้าที่คุยโวโอ้อวดแท้ๆ ข้าไม่ตามเช็ดก้นให้เจ้าหรอก! อีกอย่าง เจ้าพูดก็พูดเถอะ ต่อให้องค์ชายไม่เห็นด้วย เขายังจะเฆี่ยนตีเจ้าได้หรือ?”“ข้าไม่กลัวเรื่องนี้” จางซูใบหน้าทุกข์ทน “ข้าเกรงใจไม่กล้าเปิดปากแล้ว…”“ก็แค่เรื่องเดียว มีสิ่งใดต้องเกรงใจ?” หมิงเย่ว์จนใจ “เจ้าบอกไปตามความจริง อย่างมากก็แค่ถูกตำหนิสักรอบ! ใครใช้ให้เจ้าคุยโวโอ้อวดกับคนอื่นเล่า?”“ข้า…”จางซูอ้าปากเล็กน้อย ทันใดนั้นก็กล่าวสิ่งใดไม่ออกแล้วความจร
“ยังยุ่งอยู่หรือ?”เมี่ยวอินเดินมาถึงข้างกายหยุนเจิง “เหล่าแม่ทัพที่ชายแดนกู้เหล่านั้นโวยวายจะจัดงานฉลองให้เจ้า! พวกเขาไม่กล้ารบกวนคนงานรัดตัวอย่างเจ้า เลยวานให้ข้ามาถามเจ้า”หยุนเจิงงานยุ่งมากกลับถึงชายแดนกู้ก็เริ่มทำงานเลยเห็นหยุนเจิงยุ่งเพียงนี้ นางเองก็ช่วยเหลือไม่ได้ เมี่ยวอินรู้สึกผิดในใจเช่นกันนางไม่ใช่เยี่ยจื่อ เรื่องการปกครองภายในเหล่านั้น นางช่วยหยุนเจิงไม่ได้จริงๆเรื่องนี้ นางและเสิ่นลั่วเยี่ยนเหมือนกันมาก แค่เห็นความซับซ้อนในการปกครองภายในก็ปวดหัวแล้ว“ฉลองเอาไว้ก่อนเถอะ”หยุนเจิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ผลงานข้าเพียงคนเดียวเสียหน่อย รอให้คนกลับมาแล้วค่อยว่ากันเถอะ! จริงด้วย พวกอวี๋ซื่อจงทางนั้นส่งข่าวมาหรือยัง? พวกเขากับขบวนคุ้มกันนักโทษรวมตัวกันหรือยัง?”“ตอนนี้ยังไม่มีข่าว”เมี่ยวอินส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มกล่าว “พวกเขาน่าจะไม่รวมตัวกันเร็วเพียงนั้น ฝนเหล่านี้ บนทุ่งหญ้าเปียกแฉะไปทุกที่ พวกเขาคุ้มกันเสบียงอาหาร ไม่อาจเดินทางได้เร็วนัก”“ก็จริง”หยุนเจิงรู้สึกปวดเมื่อยขมับ จากนั้นก็ถาม “เจียเหยาอารมณ์เป็นเช่นไร?”“นางจะมีอารมณ์ใดได้!”เมี่ยวอินเม้มปาก กล่าวหยอก
“ดีเลย!”เมี่ยวอินยิ้มพราวเสน่ห์ จากนั้นก็กล่าวอย่างออดอ้อน “เจ้าคิดว่าข้าเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่นหรือ?”กล่าวจบ เมี่ยวอินถอดเสื้อออกอย่างใจกว้างมองดูปีศาจเย้ายวนเช่นนี้ หยุนเจิงเกิดไฟราคะภายในใจอย่างควบคุมไม่อยู่ไม่นาน เมี่ยวอินถอนเสื้อผ้าจนหมด เผชิญหน้ากับสายตารุ่มร้อนของหยุนเจิงเดินลงไปในถังน้ำเมี่ยวอินเพิ่งเดินเข้ามา ก็ถูกหยุนเจิงอุ้มเอาไว้อย่าเห็นเมี่ยวอินอยู่ข้างกายเขาตลอด แต่ตอนที่เคลื่อนทัพทำสงคราม พวกเขาไม่อาจใกล้ชิดกันได้!หยุนเจิงเหมือนถือกระบอกน้ำพุในทะเลทรายมานานแล้ว“ใจร้อนสิ่งใดเล่า!”เมี่ยวอินตบหน้าอกหยุนเจิง กล่าวตำหนิ “ข้าช่วยเจ้าอาบน้ำก่อน”กล่าวจบ เมี่ยวอินเดินลงถังไม้อย่างใจกล้าตอนที่นางช่วยหยุนเจิงอาบน้ำ มือร้ายทั้งสองข้างของหยุนเจิงอยู่ไม่สุขเลยเมี่ยวอินตบตีหยุนเจิงอย่างตำหนิอยู่หลายครั้ง สายตาตกไปอยู่ที่รอยแผลบนแผ่นหลังของหยุนเจิงนี่เป็นรอยแผลที่เหลือไว้จากการต่อสู้กับฮูเจี๋ยปากแผลปิดสนิทแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังอยู่รอยแผลเป็นประมาณสามนิ้ว แม้ไม่นับว่าน่ากลัวมาก แต่ในสายตาเที่ยวอิน ก็ยังคงรู้สึกปวดใจอยู่ดี“เป่ยหวนยอมจำนนแล้ว ต่อไปคงไม่มีสงคราม