ทุกคนพากันขึ้นหลังม้า“ข้าตามไปดูด้วยหรือ?”เวลานี้ เจียเหยาพลันถามหยุนเจิง“เจ้าอย่าไปดีกว่า!”หยุนเจิงหันหน้ามองเจียเหยา “ข้าไม่คิดปิดบังเจ้า โรงเตาเผาของพวกเรา มีทักษะลับมากมาย หากถูกเจ้าแอบเรียนจะทำเช่นไร? มิฉะนั้น เจ้าใช้ม้าศึกหนึ่งหมื่นตัวเป็นค่าครู?”ม้าศึกหนึ่งหมื่นตัวหรือ?อย่าว่าแต่เจียเหยาเลย แม้แต่พวกเมี่ยวอินยังกล่าวสิ่งใดไม่ออกเลยคิดสิ่งใดอยู่!ยังต้องการม้าศึกหนึ่งหมื่นตัว?ไม่อยากให้เจียเหยาไปก็บอกมาตรงๆ สิ!“ท่านพี่...”เจียเหยาออดอ้อนน้ำเสียงหยาดเยิ้มนั่นทำเอาจางซูทำเหมือนเห็นผีเกิดเรื่องใดขึ้น?หยุนเจิงนำศีรษะของพ่อและพี่ชายเจียเหยาส่งไปเมืองจักรพรรดิแล้วเจียเหยายังเรียกหยุนเจิงเช่นนี้?เหมือนกับนกน้อยที่ต้องการพึ่งพาคน?“เจ้าไม่ต้องไปหรอก”หยุนเจิงปฏิเสธโดยตรง จากนั้นก็เรียกพวกจางซู “ไปเถอะ!”ความจริง ก็แค่โรงเตาเผาเท่านั้น โดยก็ไม่มีทักษะใดให้กล่าวถึงสิ่งเดียวที่ใหม่นิดหน่อย ก็คือการใช้ถ่านเลนทดแทนไม้ฟืนทว่าโรงเตาเผาแห่งนี้ยังสร้างไม่เสร็จ ถ่านเลนน่าจะยังไม่ขนส่งมา ต่อให้พาเจียเหยาไปดู ก็ไม่มีสิ่งใดมากมายแต่ยิ่งเห็นเจียเหยาเป็นเช่นนี้ เ
พูดไม่สู้ลงมือทำ ถึงเช่นไรที่นี่ก็มีถ่านเลนอยู่ หยุนเจิงสั่งคนบดถ่านเลนมาเล็กน้อย กรองเอาจำนวนที่ค่อนข้างละเอียดออกมา จากนั้นก็ลงมือด้วยตัวเอง ผสมกับดินตรงนั้น ปากก็ร้องไม่หยุด “ยอดเพียงใด ตอนนี้ข้ากำลังเล่นโคลนอยู่ที่ซั่วเป่ย...”“องค์ชาย ท่านกำลังร้องเพลงใด?”จางซูถามด้วยความสงสัย“ไม่มีสิ่งใด”หยุนเจิงหัวเราะ “ก็แค่ฮัมเพลงไปเรื่อยเท่านั้น...”จางซูเมื่อได้ยิน ก็ไม่ถามสิ่งใดมากมาย เรียนการเล่นโคลนกับหยุนเจิงทั้งสองคนกำลังเล่นกันอย่างมีความสุข เมี่ยวอินและหมิงเย่ว์มองหน้ากันแล้วหัวเราะ“ศิษย์พี่ องค์ชายเรียกสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด?”หมิงเย่ว์กระซิบถามเมี่ยวอิน“ข้าจะรู้ได้เช่นไร?”เมี่ยวอินส่ายหน้าหัวเราะ “ถึงเช่นไรเรื่องที่พวกเราไม่รู้ เขาต่างบอกว่านี่เป็นสิ่งที่อ่านมาจากตำราโบราณนั่น ตอนนี้พวกเราขี้เกียจถามแล้ว ก็ทำเป็นคิดซะว่าเอาอ่านมาจากตำราโบราณนั่นแล้วกัน!”สำหรับตำราโบราณที่หยุนเจิงกล่าวถึง เมี่ยวอินสงสัยมาตลอดแต่ว่า เดิมทีนางก็เหมือนเป็นคนคนเดียวกับหยุนเจิง ไม่จำเป็นต้องค้นหาว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหกนางรู้เพียงง หยุนเจิงเป็นผู้ชายของนาง ไม่ทำร้ายนาง นี่ก็เพียง
“ไม่มีปัญหา!” จางซูหัวเราะเจ้าเล่ห์ “ถึงเช่นไรการรบครั้งนี้ก็จบลงแล้ว วันข้างหน้าพวกเรามีเวลาดื่มเหล้า”“มันก็จริง!”หยุนเจิงหัวเราะควรพักผ่อนได้แล้วเขาข้ามเวลามาเช่นนี้ ไม่ใช่มาเพื่อปกป้องโลกเสียหน่อยควรเสพสุขกับชีวิตได้แล้ว!ข้าต้องการลุ่มหลงมัวเมาและเสพสำราญ!หยุนเจิงตะโกนร้องในใจสนทนากับจางซูและหมิงเย่ว์สักพัก พวกหยุนเจิงเดินทางจากไปก่อน“เจ้าบอกองค์ชายเรื่องนั้นหรือยัง?”มองดูพวกหยุนเจิงจากไปแล้ว หมิงเย่ว์จึงถามจางซูจางซูส่ายหน้าหัวเราะแห้ง “มิฉะนั้น เจ้าไปบอกกับศิษย์พี่เจ้าเถอะ ให้ศิษย์พี่เจ้าช่วยข้า…”“น้อยๆ หน่อย!”หมิงเย่ว์ดับความคิดของจางซู “เป็นเจ้าที่คุยโวโอ้อวดแท้ๆ ข้าไม่ตามเช็ดก้นให้เจ้าหรอก! อีกอย่าง เจ้าพูดก็พูดเถอะ ต่อให้องค์ชายไม่เห็นด้วย เขายังจะเฆี่ยนตีเจ้าได้หรือ?”“ข้าไม่กลัวเรื่องนี้” จางซูใบหน้าทุกข์ทน “ข้าเกรงใจไม่กล้าเปิดปากแล้ว…”“ก็แค่เรื่องเดียว มีสิ่งใดต้องเกรงใจ?” หมิงเย่ว์จนใจ “เจ้าบอกไปตามความจริง อย่างมากก็แค่ถูกตำหนิสักรอบ! ใครใช้ให้เจ้าคุยโวโอ้อวดกับคนอื่นเล่า?”“ข้า…”จางซูอ้าปากเล็กน้อย ทันใดนั้นก็กล่าวสิ่งใดไม่ออกแล้วความจร
“ยังยุ่งอยู่หรือ?”เมี่ยวอินเดินมาถึงข้างกายหยุนเจิง “เหล่าแม่ทัพที่ชายแดนกู้เหล่านั้นโวยวายจะจัดงานฉลองให้เจ้า! พวกเขาไม่กล้ารบกวนคนงานรัดตัวอย่างเจ้า เลยวานให้ข้ามาถามเจ้า”หยุนเจิงงานยุ่งมากกลับถึงชายแดนกู้ก็เริ่มทำงานเลยเห็นหยุนเจิงยุ่งเพียงนี้ นางเองก็ช่วยเหลือไม่ได้ เมี่ยวอินรู้สึกผิดในใจเช่นกันนางไม่ใช่เยี่ยจื่อ เรื่องการปกครองภายในเหล่านั้น นางช่วยหยุนเจิงไม่ได้จริงๆเรื่องนี้ นางและเสิ่นลั่วเยี่ยนเหมือนกันมาก แค่เห็นความซับซ้อนในการปกครองภายในก็ปวดหัวแล้ว“ฉลองเอาไว้ก่อนเถอะ”หยุนเจิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ผลงานข้าเพียงคนเดียวเสียหน่อย รอให้คนกลับมาแล้วค่อยว่ากันเถอะ! จริงด้วย พวกอวี๋ซื่อจงทางนั้นส่งข่าวมาหรือยัง? พวกเขากับขบวนคุ้มกันนักโทษรวมตัวกันหรือยัง?”“ตอนนี้ยังไม่มีข่าว”เมี่ยวอินส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มกล่าว “พวกเขาน่าจะไม่รวมตัวกันเร็วเพียงนั้น ฝนเหล่านี้ บนทุ่งหญ้าเปียกแฉะไปทุกที่ พวกเขาคุ้มกันเสบียงอาหาร ไม่อาจเดินทางได้เร็วนัก”“ก็จริง”หยุนเจิงรู้สึกปวดเมื่อยขมับ จากนั้นก็ถาม “เจียเหยาอารมณ์เป็นเช่นไร?”“นางจะมีอารมณ์ใดได้!”เมี่ยวอินเม้มปาก กล่าวหยอก
“ดีเลย!”เมี่ยวอินยิ้มพราวเสน่ห์ จากนั้นก็กล่าวอย่างออดอ้อน “เจ้าคิดว่าข้าเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่นหรือ?”กล่าวจบ เมี่ยวอินถอดเสื้อออกอย่างใจกว้างมองดูปีศาจเย้ายวนเช่นนี้ หยุนเจิงเกิดไฟราคะภายในใจอย่างควบคุมไม่อยู่ไม่นาน เมี่ยวอินถอนเสื้อผ้าจนหมด เผชิญหน้ากับสายตารุ่มร้อนของหยุนเจิงเดินลงไปในถังน้ำเมี่ยวอินเพิ่งเดินเข้ามา ก็ถูกหยุนเจิงอุ้มเอาไว้อย่าเห็นเมี่ยวอินอยู่ข้างกายเขาตลอด แต่ตอนที่เคลื่อนทัพทำสงคราม พวกเขาไม่อาจใกล้ชิดกันได้!หยุนเจิงเหมือนถือกระบอกน้ำพุในทะเลทรายมานานแล้ว“ใจร้อนสิ่งใดเล่า!”เมี่ยวอินตบหน้าอกหยุนเจิง กล่าวตำหนิ “ข้าช่วยเจ้าอาบน้ำก่อน”กล่าวจบ เมี่ยวอินเดินลงถังไม้อย่างใจกล้าตอนที่นางช่วยหยุนเจิงอาบน้ำ มือร้ายทั้งสองข้างของหยุนเจิงอยู่ไม่สุขเลยเมี่ยวอินตบตีหยุนเจิงอย่างตำหนิอยู่หลายครั้ง สายตาตกไปอยู่ที่รอยแผลบนแผ่นหลังของหยุนเจิงนี่เป็นรอยแผลที่เหลือไว้จากการต่อสู้กับฮูเจี๋ยปากแผลปิดสนิทแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังอยู่รอยแผลเป็นประมาณสามนิ้ว แม้ไม่นับว่าน่ากลัวมาก แต่ในสายตาเที่ยวอิน ก็ยังคงรู้สึกปวดใจอยู่ดี“เป่ยหวนยอมจำนนแล้ว ต่อไปคงไม่มีสงคราม
ตอนเช้า ตอนที่หยุนเจิงตื่น เมี่ยวอินกำลังนอนหลับฝันทั้งสองคนต่างแห้งแล้งมานาน เมื่อคืนพลอดรักกันหลายต่อหลายครั้ง ทรมานกันจนพอใจมองดูเมี่ยวอินที่หน้าแดงอยู่หลายส่วน หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจนี่สิถึงจะเรียกว่าชีวิต!เมื่อคิดได้เช่นนี้ หยุนเจิงโอบเอวเมี่ยวอินกอดด้วยความอบอุ่น คิดจะมัวเมาอยูในความอบอุ่นต่อไป“ทำกันทั้งคืนแล้ว ยังทรมานไม่พอหรือ?”เมี่ยวอินหันหน้ามา มองหยุนเจิงด้วยสายตาเต็ไปด้วยน้ำแห่งฤดูใบไม้ผลิ“เจ้าตื่นแล้วหรือ?”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย แต่กอดเมี่ยวอินแน่นขึ้น“ข้าตื่นนานแล้ว”เมี่ยวอินหัวเราะ “ข้าเห็นเจ้ายังไม่ตื่น กลัวจะทำเจ้าตื่น ข้ากำลังหลับตาพักผ่อนจิตใจ! เจ้าดูสิ ข้าตื่นก่อนเจ้า เมื่อคืนควรเป็นข้าที่ชนะ”กล่าวจบ เที่ยวอินกระพริบตาพราวเสน่ห์“เจ้ากำลังท้าทายช้าหรือ?”หยุนเจิงตัวสั่น “ดูเหมือน ข้ายังต้องสั่งสอนดีๆ สักหน่อยแล้ว!”“เลิกเล่นได้แล้ว!”เมี่ยวอินใบหน้าบึ้งตึง หยิกหยุนเจิงเบาๆ “รีบลุกขึ้นมากินข้างเช้าได้แล้ว”ปากเมี่ยวอินบอกหยุนเจิงหยุดก่อเรื่อง แต่หน้าตานั้นทำราวกับกำลังกระซิบอยู่ข้างหูหยุนเจิง มาสิ เร็วเข้า…ว่ะฮ่ะๆ!นังปีศาจ!หยุนเจ
ครั้งนี้ เมี่ยวอินไม่ได้ปฏิเสธอีก เพียงแค่หยอกล้อเรื่องตลกอย่างควบคุมไม่อยู่ “หากคนไม่รู้ คงคิดว่าเจ้าเอาแต่ทำสงครามเพื่อชิงสถานะให้ผู้หญิงของตน...”“ข้ากำลังช่วยเสด็จพ่อแบ่งเบาความทุกข์ยาก” หยุนเจิงหัวเราะตอนที่ทั้งสองคนกำลังรักใคร่ลึกซึ้งกัน จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตู“องค์ชาย ทหารยามเฝ้าองค์หญิงเจียเหยาส่งข่าวมา องค์หญิงเจียเหยาโวยวายต้องการพบท่าน”เสียงเกาเหอลอยมาจากนอกประตู“เจียเหยา?”หยุนเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ให้คนไปบอกนาง ข้าไม่ว่าง! มีเรื่องใด รอข้าว่างก่อนค่อยว่ากัน!”“ขอรับ!”เกาเหอจากไปไร้สุ่มไร้เสียง“เจ้าไปดูก่อนเถอะ”เมี่ยวอินลุกขึ้นนั่ง “ดีไม่ดี นางอาจมีเรื่องสำคัญ?”เมี่ยวอินพูดไปสวมเสื้อผ้าไปหยุนเจิงส่ายหน้า “เล่ห์เหลี่ยมเจียเหยามีมากมาย ปล่อยนางไว้สองสามวันก่อนค่อยว่ากัน!”ระหว่างที่พูด สายตาของหยุนเจิงทอดมองเมี่ยวอินที่เพิ่งสวมเสื้อซับในเผชิญกับสายตาหยุนเจิง เมี่ยวอินโมโห “เจ้ามันเป็นหมาป่าหิวกระหายไม่รู้จักอิ่ม?”เจ้าหมอนี่!ทำไปไม่รู้กี่รอบแล้ว?อย่างกับหมาป่าหิวโหยไม่กลัวทำให้ร่างกายทรุดโทรมหรืออื้ม ต่อไปห้ามทำเรื่องไร้สาระกับเขาเช่นนี
เวลาตอนบ่าย หยุนเจิงมาถึงยังสถานที่กักบริเวณเจียเหยาเจียเหยายังคงสงบนิ่ง มองดูแล้วไม่เห็นร่องรอยลนลานสักนิดก็เหมือนตอนที่หยุนเจิงกักบริเวณนางที่ซั่วฟาง“เจ้าตัดใจมาได้แล้ว?”เจียเหยามองหยุนเจิงด้วยความโมโห เหมือนกับลูกสะใภ้ที่ถูกเมินเฉยเผชิญกับสายตาของเจียเหยา หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเจียเหยาเป็นผู้หญิงฉลาดแต่การกระทำของนางตอนนี้ช่างโง่นักนางยิ่งทำเช่นนี้ เขายิ่งไม่ไว้ใจนาง ยิ่งคิดอยากเอาชีวิตนาง“บอกมาเถอะ หาข้ามีเรื่องใด?”หยุนเจิงเดินเข้าไป นั่งอยู่ตรงข้ามเจียเหยา“เจ้าเป็นถึงจิ้งเป่ยอ๋อง ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องคุมขังทูตของพวกเรากระมัง?”เจียเหยาจ้องหยุนเจิง “เจ้าคิดจะปล่อยกุ้ยโหยวและฟางหยุนซื่อเมื่อใด?”หยุนเจิงช้อนเปลือกตามองเล็กน้อย “เรื่องแค่นี้?”“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าหาเจ้าด้วยเรื่องใด?” เจียเหยาเลิกคิ้วหัวเราะ “หรือว่า เจ้าคิดว่าข้าจะคุยกับเจ้าเรื่องสายลม ดอกไม้ หิมะ พระจันทร์หรือ?”“หากเจ้าคิดจะสนทนา ข้าก็ไม่มีความเห็น”หยุนเจิงยักไหล่ “แต่ว่า เจ้าบอกว่าคุมขังทูตของพวกเจ้า นั่นไม่เป็นความจริงเลย! เดิมทีข้าเพียงคิดจะทำงานให้เสร็จก่อนค่อยต้อนรับพวกเขาเ
หญิงสาวนิ่งเงียบ ทำอย่างไรดี? นางเองก็อยากหาคนมาปรึกษา ว่าควรทำเช่นไรในสถานการณ์นี้ แต่เวลานี้… เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบแก่นางได้ ไม่นึกเลยว่า… แผนการที่นางวางมาอย่างรอบคอบมายาวนาน กลับจะพังทลายลงในมือของหยุนลี่! เฮ้อ! นางทอดถอนใจยาวในใจ แต่ในดวงตากลับปรากฏประกายเย็นยะเยือก "ไม่ว่าอย่างไร… ฮั่วเหวินจิ้งต้องไม่มีชีวิตรอดไปถึงมือหยุนเจิง! หากไร้ซึ่งความกังวลเรื่องครอบครัว ฮั่วเหวินจิ้งจะต้องเปิดโปงเราทั้งหมดแน่!" นางรู้ดีว่าฮั่วเหวินจิ้งกำลังกังวลสิ่งใด สิ่งที่ฮั่วเหวินจิ้งกังวลที่สุดในตอนนี้ คือความปลอดภัยของครอบครัว เขาจึงไม่กล้าเปิดโปงนางออกไป แต่หากครอบครัวของฮั่วเหวินจิ้งถูกส่งไปถึงมือหยุนเจิงอย่างปลอดภัย เช่นนั้น เขาย่อมไม่มีเหตุผลใดให้ปิดปากอีกต่อไป! ระหว่างหยุนลี่กับหยุนเจิง นางเกรงกลัวหยุนเจิงมากกว่า เพราะหยุนเจิงคือผู้กุมอำนาจกองทัพ… หากหยุนเจิงรู้ว่า ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้คือตัวนางเอง เช่นนั้น… นางคงหนีไม่พ้นความตาย! ไม่ใช่แค่หยุนเจิง… แม้แต่หยุนลี่ หรือแม้กระทั่งองค์จักรพรรดิ… ก็คงไม่ปล่อยนางไปเช่นกัน! เมื่อได้ยินเช่
สองวันต่อมา หยุนลี่ได้รับจดหมายตอบกลับจากหยุนเจิง เมื่อมองเนื้อหาในจดหมาย หยุนลี่แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เขาถึงกับขยี้ตาหลายรอบ กลัวว่าตัวเองจะมองผิดไป ตกลงแล้ว! เจ้าหกสุนัขชั่วนั่นตอบตกลงจริงๆ! หยุนเจิงยอมจ่ายเงิน หนึ่งล้านสองแสนตำลึง พร้อมกับส่งตัวหยางหุยโจว เพื่อแลกกับอิสรภาพของฮั่วเหวินจิ้งและครอบครัวทั้งสิบสามชีวิต ท้ายจดหมาย หยุนเจิงยังกล่าวข่มขู่ หากครอบครัวฮั่วเหวินจิ้งมีอันเป็นไป อย่าได้โทษว่าเขาไม่ไว้หน้า! "ฮ่าๆๆ!" เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้อ่านผิดไป หยุนลี่ถึงกับหัวเราะลั่น หนึ่งล้านสองแสนตำลึง แม้จะยังไม่เทียบเท่ากับจำนวนเงินที่เขาเคยถูกหยุนเจิงโกงไป แต่หนึ่งล้านสองแสนตำลึงก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อย สำหรับเขาแล้ว นี่มีความหมายไม่น้อยนี่เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถหลอกเอาเงินจากหยุนเจิงได้! และครั้งแรกนี้ก็เล่นไปถึง หนึ่งล้านสองแสนตำลึง! จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไร!? ปากของฮั่วเหวินจิ้งแข็งเกินไป หากฆ่าฮั่วเหวินจิ้งทิ้งเพียงเพราะความโกรธ ก็มีแต่เสียเปล่า แต่ถ้าใช้เขามารีดเงินจากเจ้าหกได้… ไม่ใช่ว่าเป็นประโยชน์กว่าหรือ!? คิดไม่ถึงว่า มันสำเร
เมื่อหยุนเจิงกล่าวจบ ก็เล่าถึงข้อสันนิษฐานของตนให้เสิ่นควานฟัง นอกจากเหตุผลนี้แล้ว เขาก็นึกไม่ออกถึงสาเหตุอื่นเลย หยุนลี่คงไม่ถึงกับยากจนขนาดจับใครมาเรียกค่าไถ่จากเขาโดยไม่มีเหตุผลหรอกใช่ไหม? หากมีสิ่งผิดปกติ ย่อมต้องมีเงื่อนงำซ่อนอยู่! เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนเจิง เสิ่นควานก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิด ว่ากันตามตรง ข้อสันนิษฐานของฝ่าบาทก็มีความเป็นไปได้อยู่มาก ฝ่าบาทจับตัวคนของหยุนลี่ แล้วเรียกค่าไถ่ หยุนลี่ก็ทำตามแบบเดียวกัน จับตัวคนที่เขาคิดว่าเป็นสายของฝ่าบาท แล้วเรียกค่าไถ่บ้าง? หรือว่านี่จะเป็นการใช้วิธีของศัตรูมาตอบโต้ศัตรูแบบที่ฝ่าบาทเคยพูดสินะ? “กราบทูลฝ่าบาท แม่ทัพอวี่ชื่อจงส่งสาสน์เร่งด่วนมา!” ในขณะนั้นเอง กองทหารองครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน พร้อมถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในมือ สาสน์ด่วนจากอวี่ชื่อจง? หรือว่าเจ้าสามคิดลงมือแล้ว!? เจ้าสามคงไม่บ้าถึงขั้นเปิดศึกในเวลานี้หรอกกระมัง? “นำมานี่!” หยุนเจิงรีบให้เสิ่นควานรับจดหมายมา เมื่อได้รับจดหมายจากเสิ่นควาน หยุนเจิงก็เปิดอ่านอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเห็นเนื้อหาในจดหมาย สีหน้าของเขากลั
อุทยานบุปผาหลวง หลังจากการประชุมเช้าเสร็จสิ้น จักรพรรดิเหวินรับสั่งให้คนไปแจ้งหยุนลี่ ให้มาเดินเล่นเป็นเพื่อน บิดาและบุตรก้าวเดินไปข้างหน้า ขณะที่มู่ชุ่นและขุนนางติดตามคนอื่นๆ จงใจเว้นระยะห่างออกไป "ฮั่วเหวินจิ้งยังไม่ยอมเปิดปากรึ?" จักรพรรดิเหวินทรงไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องหลัง ตรัสถามด้วยพระพักตร์เคร่งขรึม "ยังพ่ะย่ะค่ะ" หยุนลี่ส่ายศีรษะเบาๆ "ฮั่วเหวินจิ้งไม่กลัวทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง ยืนกรานไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อพรรคพวก" จักรพรรดิเหวินตรัส "ในเมื่อฮั่วเหวินจิ้งไม่ยอมพูด เช่นนั้นก็เปลี่ยนวิธีเถิด!" เปลี่ยนวิธี? หยุนลี่มองจักรพรรดิเหวินด้วยความฉงน "เสด็จพ่อทรงมีแผนใด?" "แผนการวิเศษอะไรนั้นไม่มี มีแค่แผนโง่ๆ แผนหนึ่ง" จักรพรรดิเหวินแย้มสรวล "เจ้าหกไม่เคยเล่นงานเจ้ารึ? เช่นนั้นเจ้าก็เอาฮั่วเหวินจิ้งมาเล่นงานเขาบ้างสิ! ให้เขานำเงินมาไถ่ตัวฮั่วเหวินจิ้งและครอบครัวของเขา!" อืม? หยุนลี่ได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวินเช่นนั้น พลันเกิดประกายความคิด สามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยรึ? "แผนนี้ของเสด็จพ่อแยบยลยิ่ง!" หยุนลี่รีบกล่าวคำเยินยอจักรพรรดิเวหิน ก่อนจะมีท่าทีล
"ข้าให้ความไว้วางใจเจ้าไม่น้อย แต่เจ้าเอาความภักดีไปให้สุนัขกินแล้วหรือ?" "ข้าทำผิดอะไรกับเจ้าหรือ?" ยิ่งพูดยิ่งโกรธ หยุนลี่กระทืบฮั่วเหวินจิ้งซ้ำอีกหลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะต้องการเก็บชีวิตของมันไว้เพื่อรีดข้อมูล เขาคงสั่งให้จับมันไปประหารเจ็ดชั่วโคตรไปแล้ว! "แค่กๆ..." ฮั่วเหวินจิ้งถูกเตะซ้ำๆ จนกระอักเลือดออกมาเป็นสาย หยุนลี่พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้เผลอฆ่ามันซะก่อน ตะคอกเสียงดัง "บอกมา! ยังมีพวกของเจ้ากี่คน!?" ฮั่วเหวินจิ้งนอนตัวสั่นอยู่บนพื้น แววตาเจ็บปวด "กระหม่อม...ไม่รู้จริงๆ... แค่กๆ..." กล่าวจบฮั่วเหวินจิ้งก็สำลักเลือดออกมาอีก "ไม่รู้? คิดว่าข้าเป็นคนโง่หรือไง!?" หยุนลี่มองฮั่วเหวินจิ้งด้วยสายตาเย็นชา "ข้ากำลังให้โอกาสเจ้า หากเจ้ายังไม่เห็นค่าของมัน ข้าไม่เพียงจะทำให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้ แต่จะส่งคนไปสังหารทั้งตระกูลเจ้าให้สิ้นซาก!" น้ำเสียงของหยุนลี่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง เขาต้องรีดเอาข้อมูลออกมาให้ได้! ต้องรู้ให้แน่ชัดว่าข้างกายเขายังมีคนของเจ้าหกแฝงตัวอยู่อีกหรือไม่! "กระหม่อมไม่รู้จริงๆ!" ฮั่วเหวินจิ้งส่งเสียงคร่ำครวญ "ต่อให้ฝ่าบาทสั
ยามดึกสงัด ณ จวนองค์รัชทายาท แม้เวลาจะล่วงเข้าสู่เที่ยงคืนแล้ว แต่หยุนลี่ยังคงไม่ยอมนอน ฎีกาจากกรมกองต่างๆ ถูกส่งมารวมไว้ที่เขาทั้งหมด ปกติแล้วฎีกาเหล่านี้ก็มีไม่น้อยอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ปริมาณฎีกาเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบเท่าตัว ที่สำคัญ เนื้อหาในฎีกาส่วนใหญ่มีเพียงเรื่องเดียว ขอเงิน! แม้เขาจะหาทางแก้ปัญหาเรื่องเงินไปบางส่วนแล้ว แต่เงินในท้องพระคลังยังคงร่อยหรอ ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหกสุนัขชั่วนั่นคิดหาวิธีหลอกเอาเงินอยู่ตลอด! ขณะหยุนลีกำลังอ่านฎีกาชุดสุดท้าย ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก "ขอทูลองค์รัชทายาทฝ่าบาท ฮั่วเหวินจิ้งถูกจับกุมแล้วพ่ะย่ะค่ะ!" เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหยุนลี่ก็เปลี่ยนไปทันที ฮั่วเหวินจิ้ง! สารเลว! ที่แท้มันก็คือเขาจริงๆ ! "เข้ามา!" ประกายสังหารพุ่งวาบขึ้นในดวงตาของหยุนลี่ เขาแทบอยากฉีกทึ้งฮั่วเหวินจิ้งเป็นชิ้นๆ ยังดีที่เขาระแวดระวังไว้ก่อน ไม่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าชายชั่วผู้นี้จะซ่อนตัวอยู่ข้างกายเขาอีกนานเท่าใด! สมควรตาย! ไม่นานนัก องครักษ์ผู้รายงานข่าวก็เดินเข้ามา "จับตัวได้เมื่อใด?
ณ ชั่วขณะนั้น หยุนลี่พลันเข้าใจถึงความยากลำบากของจักรพรรดิเหวิน เหล่าขุนนางในราชสำนักนั้น ทั้งต้องใช้งาน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ปล่อยให้พวกเขามีอำนาจมากเกินไป จำเป็นต้องหาจุดสมดุลระหว่างการใช้งานกับการควบคุมพวกเขา ในราชสำนัก ย่อมไม่อาจปล่อยให้ขุนนางผู้ใดมีอำนาจล้นฟ้า แม้แต่ผู้ที่เขาไว้วางใจที่สุด! … ยามโพล้เพล้ ณ จวนฮั่ว "ฮั่วผิง นี่ก็ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เจ้าจะออกไปไหน?" พ่อบ้านที่ประจำอยู่หน้าจวนฮั่วทักขึ้นเมื่อเห็นฮั่วผิงกำลังจูงม้าเทียมเกวียนออกจากจวน ฮั่วผิงตอบกลับ "ฟืนถ่านในจวนใกล้หมดแล้ว นายท่านสั่งให้ข้ารีบออกไปซื้อก่อนที่ฟ้าจะมืด" "เช่นนั้นเจ้าต้องรีบกลับมาให้ทันมื้อเย็นนะ ถ้าพลาดเวลาอาหารก็ต้องอดข้าวแล้ว" พ่อบ้านที่เฝ้าประตูเตือนขึ้น ฮั่วผิงยิ้มขื่นๆ พยักหน้ารับ ก่อนจะขับเกวียนออกไป ไม่นาน ฮั่วผิงก็มาถึงตลาดขายถ่านทางตอนใต้ของเมือง ขณะที่เขามาถึง ร้านค้าถ่านก็เตรียมจะปิดร้านกันแล้ว "พ่อค้า รอก่อน! ข้าจะซื้อถ่าน" ฮั่วผิงตะโกนเรียกพ่อค้าผู้กำลังจะปิดร้าน พ่อค้าหันมามอง ก่อนจะชะงักมือที่กำลังปิดประตูร้าน "พี่ฮั่ว ทำไมเจ้าถึง
แม้กู้ซิวจะคัดค้านอย่างหนัก แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนการตัดสินใจของหยุนลี่ได้ ท้ายที่สุด เรื่องนี้ก็ถูกกำหนดลงไป หยุนลี่ยังสั่งกำชับทั้งห้าว่าห้ามเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เมื่อทุกคนค่อยๆ ถอนตัวออกไป สวีสือฝู่กลับอ้างว่ามีเรื่องสำคัญต้องหารือกับหยุนลี่ และขออยู่ต่อ "ฝ่าบาท ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?" สวีสือฝู่ขมวดคิ้ว ถามหยุนลี่ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ตกปลา!" หยุนลี่เผยรอยยิ้มลึกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์และภาคภูมิใจอยู่ลึกๆ ความกังวลของกู้ซิวนั้นช่างเกินเหตุไป เขาคือองค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการในฐานะผู้แทนพระองค์ และเป็นจักรพรรดิในอนาคต! ย่อมเข้าใจผลกระทบของเรื่องนี้เป็นอย่างดี ไม่มีทางโง่เขลาถึงขั้นปล่อยเงินปลอมเข้าสู่ตลาดโดยตรง "ตกปลา?" แววตาของสวีสือฝู่ฉายแววเย็นเยียบ "ฝ่าบาททรงสงสัยว่ามีคนในพวกเราห้าคนนี้ไม่น่าไว้วางใจหรือ?" "ไม่ ไม่ใช่!" หยุนลี่รีบโบกมือ "ข้าย่อมเชื่อใจท่านลุงและพ่อตาแน่นอน! ข้าเพียงแต่สงสัยฮั่วเหวินจิ้งเท่านั้น…" กล่าวพลาง หยุนลี่ก็เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ฮั่วเหวินจิ้งพยายามบ่ายเบี่ยงไม่เดินทางไปฟู่โจว เขาถึงขั้นสงสัยว่า ครั้งก่อนท
หากกองทัพเกิดความวุ่นวายขนานใหญ่ ต้าเฉียนก็จะเข้าสู่กลียุคในไม่ช้า"พวกเจ้าดูเถิด!" หยุนลี่ใบหน้ามืดครึ้ม หยิบจดหมายสองฉบับบนโต๊ะส่งให้ทั้งห้าคนดู ทั้งห้าคนไม่กล้าชักช้า รีบรุดเข้ามาอ่านเนื้อหาในจดหมาย "สามล้านตำลึงเงิน เสบียงอาหารสองแสนชั่ง ช่างต่อเรือหนึ่งพันคน เขาช่างกล้าขอจริงๆ…" "ก็ต้องให้สิ! ไม่ให้แล้วจะทำอย่างไร? นี่ล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทฝ่าบาทรับปากไว้ไม่ใช่หรือ?" "ต่อให้รับปากแล้ว ก็ยังสามารถถ่วงเวลาไปก่อนได้มิใช่หรือ?" "จะถ่วงเวลาอย่างไร? หากถ่วงไปอีก ก็จะเลยฤดูกาลเพาะพันธุ์มันเทศแล้ว!" "ค่าไถ่ตัวหยางหุยโจวก็ต้องจ่าย หากปล่อยให้หยุนเจิงประหารหยางหุยโจว เช่นนั้นจะกระทบต่อพระเกียรติยศของฝ่าบาท…" ยังไม่ทันที่หยุนลี่จะเอ่ยถาม ทั้งห้าก็ถกเถียงกันขึ้นมาเอง การถ่วงเวลาออกไป ย่อมเป็นผลดีต่อพวกเขา แต่ปัญหาก็คือ หยุนเจิงได้เตือนมาในจดหมายแล้ว หากยังไม่ส่งเงิน เสบียง และช่างต่อเรือไปยังฟู่โจว ฤดูกาลเพาะพันธุ์มันเทศก็จะผ่านพ้นไป และหากต้องการมันเทศอีก ก็ต้องรอจนถึงปีหน้า ขณะที่ทั้งห้าคนยังวิตกกังวล หยุนลี่กลับเผยรอยยิ้มออกมา "ต้องให้แน่นอน! มันเทศต้