“ดีเลย!”เมี่ยวอินยิ้มพราวเสน่ห์ จากนั้นก็กล่าวอย่างออดอ้อน “เจ้าคิดว่าข้าเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่นหรือ?”กล่าวจบ เมี่ยวอินถอดเสื้อออกอย่างใจกว้างมองดูปีศาจเย้ายวนเช่นนี้ หยุนเจิงเกิดไฟราคะภายในใจอย่างควบคุมไม่อยู่ไม่นาน เมี่ยวอินถอนเสื้อผ้าจนหมด เผชิญหน้ากับสายตารุ่มร้อนของหยุนเจิงเดินลงไปในถังน้ำเมี่ยวอินเพิ่งเดินเข้ามา ก็ถูกหยุนเจิงอุ้มเอาไว้อย่าเห็นเมี่ยวอินอยู่ข้างกายเขาตลอด แต่ตอนที่เคลื่อนทัพทำสงคราม พวกเขาไม่อาจใกล้ชิดกันได้!หยุนเจิงเหมือนถือกระบอกน้ำพุในทะเลทรายมานานแล้ว“ใจร้อนสิ่งใดเล่า!”เมี่ยวอินตบหน้าอกหยุนเจิง กล่าวตำหนิ “ข้าช่วยเจ้าอาบน้ำก่อน”กล่าวจบ เมี่ยวอินเดินลงถังไม้อย่างใจกล้าตอนที่นางช่วยหยุนเจิงอาบน้ำ มือร้ายทั้งสองข้างของหยุนเจิงอยู่ไม่สุขเลยเมี่ยวอินตบตีหยุนเจิงอย่างตำหนิอยู่หลายครั้ง สายตาตกไปอยู่ที่รอยแผลบนแผ่นหลังของหยุนเจิงนี่เป็นรอยแผลที่เหลือไว้จากการต่อสู้กับฮูเจี๋ยปากแผลปิดสนิทแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังอยู่รอยแผลเป็นประมาณสามนิ้ว แม้ไม่นับว่าน่ากลัวมาก แต่ในสายตาเที่ยวอิน ก็ยังคงรู้สึกปวดใจอยู่ดี“เป่ยหวนยอมจำนนแล้ว ต่อไปคงไม่มีสงคราม
ตอนเช้า ตอนที่หยุนเจิงตื่น เมี่ยวอินกำลังนอนหลับฝันทั้งสองคนต่างแห้งแล้งมานาน เมื่อคืนพลอดรักกันหลายต่อหลายครั้ง ทรมานกันจนพอใจมองดูเมี่ยวอินที่หน้าแดงอยู่หลายส่วน หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจนี่สิถึงจะเรียกว่าชีวิต!เมื่อคิดได้เช่นนี้ หยุนเจิงโอบเอวเมี่ยวอินกอดด้วยความอบอุ่น คิดจะมัวเมาอยูในความอบอุ่นต่อไป“ทำกันทั้งคืนแล้ว ยังทรมานไม่พอหรือ?”เมี่ยวอินหันหน้ามา มองหยุนเจิงด้วยสายตาเต็ไปด้วยน้ำแห่งฤดูใบไม้ผลิ“เจ้าตื่นแล้วหรือ?”หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย แต่กอดเมี่ยวอินแน่นขึ้น“ข้าตื่นนานแล้ว”เมี่ยวอินหัวเราะ “ข้าเห็นเจ้ายังไม่ตื่น กลัวจะทำเจ้าตื่น ข้ากำลังหลับตาพักผ่อนจิตใจ! เจ้าดูสิ ข้าตื่นก่อนเจ้า เมื่อคืนควรเป็นข้าที่ชนะ”กล่าวจบ เที่ยวอินกระพริบตาพราวเสน่ห์“เจ้ากำลังท้าทายช้าหรือ?”หยุนเจิงตัวสั่น “ดูเหมือน ข้ายังต้องสั่งสอนดีๆ สักหน่อยแล้ว!”“เลิกเล่นได้แล้ว!”เมี่ยวอินใบหน้าบึ้งตึง หยิกหยุนเจิงเบาๆ “รีบลุกขึ้นมากินข้างเช้าได้แล้ว”ปากเมี่ยวอินบอกหยุนเจิงหยุดก่อเรื่อง แต่หน้าตานั้นทำราวกับกำลังกระซิบอยู่ข้างหูหยุนเจิง มาสิ เร็วเข้า…ว่ะฮ่ะๆ!นังปีศาจ!หยุนเจ
ครั้งนี้ เมี่ยวอินไม่ได้ปฏิเสธอีก เพียงแค่หยอกล้อเรื่องตลกอย่างควบคุมไม่อยู่ “หากคนไม่รู้ คงคิดว่าเจ้าเอาแต่ทำสงครามเพื่อชิงสถานะให้ผู้หญิงของตน...”“ข้ากำลังช่วยเสด็จพ่อแบ่งเบาความทุกข์ยาก” หยุนเจิงหัวเราะตอนที่ทั้งสองคนกำลังรักใคร่ลึกซึ้งกัน จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตู“องค์ชาย ทหารยามเฝ้าองค์หญิงเจียเหยาส่งข่าวมา องค์หญิงเจียเหยาโวยวายต้องการพบท่าน”เสียงเกาเหอลอยมาจากนอกประตู“เจียเหยา?”หยุนเจิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ให้คนไปบอกนาง ข้าไม่ว่าง! มีเรื่องใด รอข้าว่างก่อนค่อยว่ากัน!”“ขอรับ!”เกาเหอจากไปไร้สุ่มไร้เสียง“เจ้าไปดูก่อนเถอะ”เมี่ยวอินลุกขึ้นนั่ง “ดีไม่ดี นางอาจมีเรื่องสำคัญ?”เมี่ยวอินพูดไปสวมเสื้อผ้าไปหยุนเจิงส่ายหน้า “เล่ห์เหลี่ยมเจียเหยามีมากมาย ปล่อยนางไว้สองสามวันก่อนค่อยว่ากัน!”ระหว่างที่พูด สายตาของหยุนเจิงทอดมองเมี่ยวอินที่เพิ่งสวมเสื้อซับในเผชิญกับสายตาหยุนเจิง เมี่ยวอินโมโห “เจ้ามันเป็นหมาป่าหิวกระหายไม่รู้จักอิ่ม?”เจ้าหมอนี่!ทำไปไม่รู้กี่รอบแล้ว?อย่างกับหมาป่าหิวโหยไม่กลัวทำให้ร่างกายทรุดโทรมหรืออื้ม ต่อไปห้ามทำเรื่องไร้สาระกับเขาเช่นนี
เวลาตอนบ่าย หยุนเจิงมาถึงยังสถานที่กักบริเวณเจียเหยาเจียเหยายังคงสงบนิ่ง มองดูแล้วไม่เห็นร่องรอยลนลานสักนิดก็เหมือนตอนที่หยุนเจิงกักบริเวณนางที่ซั่วฟาง“เจ้าตัดใจมาได้แล้ว?”เจียเหยามองหยุนเจิงด้วยความโมโห เหมือนกับลูกสะใภ้ที่ถูกเมินเฉยเผชิญกับสายตาของเจียเหยา หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเจียเหยาเป็นผู้หญิงฉลาดแต่การกระทำของนางตอนนี้ช่างโง่นักนางยิ่งทำเช่นนี้ เขายิ่งไม่ไว้ใจนาง ยิ่งคิดอยากเอาชีวิตนาง“บอกมาเถอะ หาข้ามีเรื่องใด?”หยุนเจิงเดินเข้าไป นั่งอยู่ตรงข้ามเจียเหยา“เจ้าเป็นถึงจิ้งเป่ยอ๋อง ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องคุมขังทูตของพวกเรากระมัง?”เจียเหยาจ้องหยุนเจิง “เจ้าคิดจะปล่อยกุ้ยโหยวและฟางหยุนซื่อเมื่อใด?”หยุนเจิงช้อนเปลือกตามองเล็กน้อย “เรื่องแค่นี้?”“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าหาเจ้าด้วยเรื่องใด?” เจียเหยาเลิกคิ้วหัวเราะ “หรือว่า เจ้าคิดว่าข้าจะคุยกับเจ้าเรื่องสายลม ดอกไม้ หิมะ พระจันทร์หรือ?”“หากเจ้าคิดจะสนทนา ข้าก็ไม่มีความเห็น”หยุนเจิงยักไหล่ “แต่ว่า เจ้าบอกว่าคุมขังทูตของพวกเจ้า นั่นไม่เป็นความจริงเลย! เดิมทีข้าเพียงคิดจะทำงานให้เสร็จก่อนค่อยต้อนรับพวกเขาเ
“เรื่องนี้ข้าเชื่อ”เจียเหยาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว ในทางกลับกันยังกล่าวด้วยความสนอกสนใจ “ก่อนหน้านี้ข้าขอให้เจ้าฆ่าข้า เจ้าก็ไม่ยอมฆ่าข้า เหตุใดตอนนี้จึงคิดอยากฆ่าข้าแล้ว?”หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงใจ “เพราะเจ้าอดทนเก่งเกินไป”อดทนหรือ?เจียเหยายิ้มถากถางหากมีทางเลือก ใยนางต้องอดทน?“เทียบกับเจ้าแล้ว ข้าไม่กล้าบอกว่าข้าอดทนเก่ง! อย่างมากข้าก็แค่เลือกอย่างจนใจเท่านั้น”เจียเหยาจ้องมองหยุนเจิงด้วยสายตาแวววาว “คนอัจฉริยะเช่นเจ้า แต่ใช้เวลายี่สิบปีกลับถูกทำให้หลายเป็นคนไร้ประโยชน์ เจ้าคิดว่า ทั่วทั้งใต้หล้ายังจะมีผู้ใดอดทนได้มากกว่าเจ้าอีกหรือ?”เมื่อได้ฟังคำพูดของเจียเหยา หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะข้าอดทนได้มากเลย!เช่นนั้นพวกพี่ชายก็เป็นแค่คนขี้ขลาดแล้ว!“ถึงเช่นไรพวกเราล้วนไม่ใช่คนดี แล้วก็ไม่ใช่คนโง่ จริงใจหน่อยเถอะ!”หยุนเจิงแนะนำด้วยความหวังดี “เอาล่ะ มากกว่านี้ข้าไม่พูดแล้ว! ไปเถอะ ข้าพาเจ้าไปพบพวกกุ้ยโหยว!”เจียเหยาเดินตามหลังหยุนเจิง มองแผ่นหลังหยุนเจิงด้วยความสับสนหยุนเจิงกลัวความอดทนของนางจริงหรือ?บางที ความจริงเขาอาจกลัวตกหลุมรักนาง?ทำให้หยุนเจิงตกหลุมรักนา
หยุนเจิงอยู่ที่ชายแดนกู้สามวัน จัดการเรื่องที่ควรจัดการเรื่องของเจียเหยา เขายังไม่ได้ตัดสินใจเขาสับสนอย่างหนัก ไม่อาจตัดสินใจได้ชั่วคราวสุดท้าย หยุนเจิงก็ไม่ได้รอจนจางซูและหมิงเย่ว์กลับมา ทำได้เพียงวางแผนพาเจียเหยาไปยังติ้งเป่ยก่อนการไปครั้งนี้ เป็นการตัดสินว่าควรปฏิบัติต่อเจียเหยาเช่นไรสองวันให้หลัง พวกเขามาถึงติ้งเป่ย“นึกไม่ถึง ครั้งแรกที่ข้ามาติ้งเป่ย จะมาในฐานะเชลยศึก”มองกำแพงติ้งเป่ยเบื้องหน้า เจียเหยาเผยรอยยิ้มถากถางตัวเองอย่างควบคุมไม่อยู่“เจ้าไม่ใช่เชลยศึก”หยุนเจิงยิ้มเรียบ “เจ้าสามารถเห็นตัวเองเป็นทูต”“ทูตหรือ?”เจียเหยาหัวเราะถากถางตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็หันไปมองหยุนเจิง “พาข้าไปดูมันเทศดินก่อน ได้หรือไม่?”“……”เมื่อได้ฟังคำพูดของเจียเหยา คนรอบกายหยุนเจิงพากันหมดคำพูดพวกเขาไม่รู้จริงๆ เจียเหยายึดติดกับมันเทศดินเหล่านั้นเพียงใดนางไม่ลืมมันเทศดินแม้แต่ชั่วเวลาเดียว!ถึงเช่นไรมันเทศดินเหล่านี้ก็ไม่ใช่ของพวกเขาแล้ว เหตุใดนางจึงยึดติดกับมันเทศเหล่านี้ไม่ปล่อยด้วยเล่า?“ช้าหน่อยค่อยไปเถอะ!”หยุนเจิงปฏิเสธเจียเหยา “ข้าเพิ่งมาถึงติ้งเป่ย มีอย่างที่ใดบ้
“นี่คือสิ่งที่ลูกเขยควรทำ”หยุนเจิงถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็กล่าว “กลับไป พวกเราเลือกวัน ที่ซั่วเป่ยให้พวกเขา...”“ไม่ต้องหรอก”ฮูหยินเสิ่นส่ายหน้าเบาๆ “พวกเราแบ่งดินในถุงเป็นสามส่วน สร้างป้ายวิญญาณให้พวกเขาก็พอแล้ว”พวกเขาสามพ่อลูกมีหลุมฝังศพแล้วไม่จำเป็นต้องสร้างหลุมฝังศพอีกมีป้ายวิญญาณ ตอนวันส่งท้ายปีเก่าก็สามารถจุดธูปได้ในเมื่อฮูหยินเสิ่นกล่าวเช่นนี้แล้ว หยุนเจิงก็ไม่กล่าวมากความอีกดินถุงนี้ทำให้บรรยากาศการเฉลิมฉลองเจือจางลงเล็กน้อยแต่ว่า สามพ่อลูกเสิ่นหนานเจิงเสียชีวิตไปหกปีแล้ว ต่อให้โศกเศร้าเพียงใด ก็ล้วนถูกเวลาทำให้จืดจางแล้วพวกหยุนเจิงสามารถได้รับชัยชนะ นี่ถึงจะเป็นเรื่องควรค่าต่อการเฉลิมฉลองที่สุด“พอแล้ว พอแล้ว กลับจวนก่อนเถอะ!”ฮูหยินเสิ่นยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาในดวงตา “คืนนี้ พวกเราต้องเฉลิมฉลองกันให้ดี”เมื่อทุกคนได้ฟัง ก็พากันพยักหน้าหยุนเจิงเดินมาหาเยี่ยจื่อและเสิ่นลั่วเยี่ยน ไม่สนใจคนมากมายที่อยู่ในเหตุการณ์ หอมแก้มหญิงสาวทั้งสองคน ดึงดูดสายตาโกรธเคืองจากหญิงทั้งสอง“ลูกของพวกเราเชื่อฟังหรือไม่?”หยุนเจิงยกมือขึ้นลูบท้องของเสิ่นลั่วเยี่ยน เรากลับกำลังรับ
กลางคืน ทุกคนย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะฉลองใหญ่กันสักรอบเพียงแต่ว่า เรื่องครึกครื้นและการฉลองนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเจียเหยาเจียเหยายังคงถูกกักบริเวณ แต่ว่า เรื่องการกิน หยุนเจิงไม่ได้ทารุณนางไม่เพียงส่งอาหารสมบูรณ์หลากหลายไปให้นาง ยังส่งเหล้าให้นางหนึ่งกาด้วยทว่า คนที่เฝ้าเจียเหยารายงานกลับมา เจียเหยาหนักอกหนักใจ แทบไม่มีความคิดอยากกินอาหารเลย เอาแต่ดื่มสุราติดต่อกันหลายแก้วหลังอาหารค่ำ หยุนเจิงพาทุกคนนั่งตากลมภายในลานบ้านเยี่ยจื่อนำราชโองการและสาสน์ตราตั้งที่จักรพรรดิเหวินส่งมามอบให้หยุนเจิง อีกอย่าง ยังมีจดหมายส่วนพระองค์ที่จักรพรรดิเหวินมอบให้หยุนเจิงราชทูตจากไปตั้งหลายวันแล้ว ของสองสิ่งนี้ เดิมเป็นสิ่งที่ต้องให้หยุนเจิงสั่งคนไปส่งที่เป่ยหวนแต่ว่า ตอนนี้เจียเหยาอยู่ในมือหยุนเจิงแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้หยุนเจิงส่งคนไปอีกสาสน์ตราตั้งฉบับนี้สลักขึ้นจากแผ่นกระดาษทองแดง ไม่เพียงอลังกาล ยังวิจิตรสวยงามเนื้อหาในสาสน์ตราตั้งค่อนข้างซับซ้อนแต่ใจความสำคัญคือให้องค์ชายหกแห่งต้าเฉียนและองค์หญิงเจียเหยาแห่งเป่ยหวนแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์แต่ว่า ไม่รู้ว่าจักรพรรดิเหวินมีเจตนาหรือ
เมื่อได้ฟังโจวเต้ากงบ่นอย่างนี้ หยุนลี่ก็เดาได้ทันทีว่าเจ้านี่ต้องการพูดอะไรต่อไป ชัดเลย เขาคงจะมาขอเกราะจากตนแน่ๆ ใช่ไหม? “พอแล้วๆ!” หยุนลี่ขัดจังหวะคำพูดของโจวเต้ากง “ที่นี่ยังขาดเกราะอีกเท่าไหร่?” “หนึ่งหมื่นสามพันชุด” โจวเต้ากงตอบทันที “ขาดมากขนาดนี้เลย?” ใบหน้าของหยุนลี่กระตุกเล็กน้อย “ตามที่เจ้าพูด คนหนึ่งหมื่นที่ประจำอยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้ก็แทบไม่มีเกราะเลยใช่ไหม?” “พ่ะย่ะค่ะ!” โจวเต้ากงพยักหน้า “หนึ่งหมื่นนั้นล้วนเป็นทหารที่เพิ่งเกณฑ์ใหม่ และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่นั่น…” ฝึกซ้อม? ใบหน้าของหยุนลี่มืดครึ้ม เกือบจะสบถออกมา ไม่มีเกราะป้องกัน นี่ก็เรียกว่าฝึกซ้อมหรือไงวะ? นี่มันเรียกว่าทิ้งข้าวเปลืองเบี้ยเลี้ยงมากกว่า! ถ้าเจ้าหกยกพลบุกมา จะหวังพึ่งคนพวกนี้ได้ไหม? พวกทหารนี่คงเป็นแค่เป้าซ้อมมือให้เจ้าหกไม่ใช่หรือไง? บ้าบอคอแตก! แนวป้องกันนี่ ไม่มีเสียยังจะดีกว่า! อย่างนี้ ราชสำนักยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มหาศาลอีกด้วย! หยุนลี่โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ไม่อาจระบายความโกรธใส่โจวเต้ากงได้ เรื่องนี้จะไปโทษโจวเต้ากงก็ไม่ได้! เกรา
ฟู่โจวหัวเมืองเมืองสี่ทิศนี่คือพื้นที่ที่ใกล้กับซั่วเป่ยที่สุดของฟู่โจว หยุนเจิงจะจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาที่ฟู่โจว การสร้างจวนอ๋องใหม่ในเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้ จึงต้องซื้อจวนจากเหล่าขุนนางใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศแทน เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของหยุนลี่ องค์รัชทายาท ที่จะช่วยดูแลจัดการ แต่หยุนลี่ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ขุนนางในกรมพิธีการตัดสินใจกันเอง เขาเกลียดชังหยุนเจิงจนแทบอยากสับร่างหยุนเจิงเป็นชิ้นๆ แล้วจะให้เขามาช่วยเลือกจวนให้อย่างนั้นหรือ? ถ้าให้ช่วยเลือกโลงศพแทน เขาคงรีบทำอย่างกระตือรือร้นแน่! หลังจากโยนเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ให้ขุนนางระดับล่างจัดการ หยุนลี่ก็พาคนเดินทางไปยังค่ายใหญ่หัวเมืองสี่ทิศ นับตั้งแต่จ้าวจี๋นำทัพไปยังเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ฟู่โจวก็เหลือเพียงกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังทั้งสามหมื่นนายนี้ก็เกือบทั้งหมดประจำอยู่ในหัวเมืองสี่ทิศ หยุนลี่ไม่หวั่นเกรงที่จะถูกตำหนิเรื่องการติดต่อกับแม่ทัพในกองทัพโดยพลการ การตรวจสอบค่ายใหญ่ในหัวเมืองสี่ทิศ เป็นภารกิจที่จักรพรรดิเหวินมอบหมายให้เขาก่อนที่จะเดินทางไปยังซั่วเป่ย เมื่อหยุนลี่พาคนมา
“เสด็จพ่อ ที่ซั่วเป่ยขาดแคลนอาหารอย่างหนัก!” หยุนเจิงกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ตอนนี้ลูกไม่ได้ดูแลแค่ชาวซั่วเป่ย แต่ยังต้องเลี้ยงดูคนในเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งเป่ยหมัวถัว กุ่ยฟาง เป่ยหวน ทุกพื้นที่เหล่านี้…” “คำพูดพวกนี้ไปบอกพี่สามของเจ้าสิ อย่ามาพูดกับข้า!” จักรพรรดิเหวินไม่ฟังคำพร่ำบ่นของหยุนเจิง ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย บอกกับเจ้าสาม? หยุนเจิงเบะปาก แค่มันเทศในห้องใต้ดินนี้ เจ้าสามจะซื้อไหวหรือ? ตามราคาที่ตนตั้งไว้ก่อนหน้า ถ้าเจ้าสามไม่จ่ายเงินออกมาสักหลายล้านตำลึง คงไม่มีทางซื้อมันเทศในห้องนี้ได้ ถ้าถึงขั้นนั้น เจ้าสามคงต้องกลายเป็นหัวหน้าแผนกปล้นบ้านประจำราชสำนักต้าเฉียนแน่! มองเห็นสีหน้าขัดใจของหยุนเจิง จักรพรรดิเหวินวางมันเทศในมือ พลางตบไหล่หยุนเจิงอย่างแรง “จงจำไว้ ประชาชนในเขตในก็ล้วนเป็นราษฎรในความดูแลของเจ้า!” นั่นไง! เริ่มมาล้างสมองกันอีกแล้ว! หยุนเจิงบ่นในใจ พลางเปลี่ยนเรื่องถาม “เสด็จพ่ออยากลองชิมรสมันเทศนี่ไหม?” “ตอนนี้เลย?” จักรพรรดิเหวินแปลกใจเล็กน้อย “อื้ม” หยุนเจิงพยักหน้า “มันเทศนี่ปอกเปลือกแล้วกินดิบได้ กินน้อ
ผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็เดินทางกลับถึงเมืองติ้งเป่ยจนได้ ด้วยเหตุที่จักรพรรดิเหวินทรงกำชับไว้ล่วงหน้า การเสด็จมายังเมืองติ้งเป่ยครั้งนี้จึงถูกปิดเป็นความลับอย่างเข้มงวด มีเพียงผู้คนในจวนอ๋องเท่านั้นที่รับทราบ ครั้นถึงเมืองติ้งเป่ย จักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้รีบไปยังจวนอ๋องในทันที แต่กลับยืนกรานให้หยุนเจิงพาไปชมมันเทศเสียก่อน ถึงกับดึงตัวไปก็ยังไม่ยอม หยุนเจิงถึงกับเอ่ยว่าให้คนยกมันเทศมาถวายให้ทอดพระเนตรที่จวนก็ยังไม่ยอม ทั้งยังยืนกรานจะไปดูด้วยพระองค์เองที่ห้องใต้ดินเก็บมันเทศ หยุนเจิงเริ่มระแวงหนักว่าตาแก่นี้คงกลัวว่าตนจะยกมันเทศไม่กี่หัวมาหลอกให้พอพระทัย จึงต้องการไปตรวจดูคลังสำรองเสียก่อนว่าจะสามารถยึดมันเทศไปจากตนได้สักเท่าใด ด้วยการยืนกรานของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงจึงจำต้องพาไปยังสถานที่เก็บมันเทศแห่งหนึ่ง แม้ว่ามันเทศจะถูกแบ่งเก็บไว้ในห้องใต้ดินหลายแห่ง แต่สถานที่เหล่านั้นก็อยู่ติดกัน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการยามเฝ้ารักษา จักรพรรดิเหวินเพียงลงจากรถม้า ก็เห็นกองทหารจำนวนมากสวมเกราะพร้อมอาวุธครบมือ “เจ้าช่างเฝ้าแน่นหนาดีจริง! หรือเจ้ากลัวใครจะมาขโมยมันเทศของเจ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ