จักรพรรดิเหวินพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวถาม “ผ่านความวุ่นวายของอันอ๋องครั้งนี้ เจ้าเห็นข้อเสียของราชสำนักเราหรือไม่?”“คือ...”หยุนเจิงไม่เข้าใจ ก้มโค้งกล่าว “ลูกโง่เขลา ขอเสด็จพ่อทรงอธิบาย”“ครอบครัวผู้มีอำนาจและราชวงศ์”จักรพรรดิเหวินขมวดคิ้ว กล่าวอย่างกลัดกลุ้ม “จ้างจื่อแค่เพียงคนเดียว ยังสามารถร่วมสมคบคิดกับอันอ๋องก่อกบฏได้ พวกเขาก่อความวุ่นวาย ราชสำนักก็จะสูญเสียภาษีไปหนึ่งปี...”กล่าวจบ จักรพรรดิเหวินหยิบสาส์นฉบับหนึ่งส่งให้หยุนลี่นี่คือสาส์นที่สวีสือฝู่ถวายขึ้นมาเป็นเงินเสบียงที่ใช้ในการสยบความวุ่นวายอันอ๋องที่กรมการคลังตรวจสอบและคำนวนอย่างละเอียดการก่อกบฏของอันอ๋อง นำมาซึ่งความเสียหายอย่างหนักของฝู่โจวราชสำนักชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของทหารที่เสียชีวิต การบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยสงคราม ซ่อมแซมกำแพงเมืองต่างและหน่วยงานราชการที่เสียหายในซู่โจว ล้วนต้องใช้เงินและเสบียงหากคำนวณดูแล้ว ราชสำนักใช้เงินในการสยบความวุ่นวายของอันอ๋องไม่น้อยเลย หยุนลี่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิเหวินมีเจตนาใด ไม่กล้ากล่าวออกไปอย่างหุนหันพลันแล่น ทำได้เพียงถอนหายใจตาม “อันอ๋องก่อความวุ่นวายครั้
คำพูดของจักรพรรดิเหวิน ทำให้สมองของหยุนลี่เกิดเสียงวิ้งๆ ขึ้นมาจริงด้วย!เป่ยหวนล้วนถูกเจ้าหกทำลายแล้ว!เจ้าหกคนเดรัจฉานต้องการไปยึดอำนาจก่อกบฎที่ซั่วเป่ยตอนนี้ เจ้าสัตว์เดรัจฉานนี้ทหารแข็งแกร่งม้าแข็งแรง หากเขาเคลื่อนทัพลงใต้ ความเป็นไปได้ที่กองทัพของราชสำนักจะขัดขวางไว้ได้มีน้อยมากคาดว่า แม่ทัพอาวุโสมากมายของราชวงศ์คงไม่กล้ากรีธาทัพออกรบ!จะสู้เช่นไร?เจ้าหกคงไม่เสี่ยงสังหารบิดาแล้วขึ้นครองราชแต่เขาที่เป็นรัชทายาทต้องซวยแน่นอน!ไม่ว่าเขา เจ้าสอง เจ้าสี่ เจ้าห้า เกรงว่าต้องตายกลายเป็นวิญญาณเพราะเจ้าสัตว์เดรัจฉานนี่!“ต่อให้เสด็จพ่อเปิดตลาดการค้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนทัพลงใต้!”หยุนลี่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมองมองจักรพรรดิเหวิน“เปิดตลาดการค้า เขาไม่มีข้ออ้างให้เคลื่อนทัพลงใต้แล้ว ความชอบธรรมยังเข้าข้างเรา”จักรพรรดิเหวินส่ายหน้า “ตอนนี้ที่ข้ากังวลที่สุดไม่ใช่เจ้าหก แต่เป็นตระกูลผู้มีอำนาจและราชวงศ์! เมื่อเจ้าหกเคลื่อนทัพลงใต้ ตระกูลผู้มีอำนาจและราชวงศ์เหล่านั้นเกรงว่าคงก่อความวุ่นวายด้านหลังพวกเรา...”จักรพรรดิเหวินกล่าวเช่นนี้ ทันใดนั้นหยุนลี่ก็รู้สึกเหมือนน
สถานการณ์ของตระกูลผู้มีอำนาจและราชวงศ์ พวกเขารู้ดีอย่างยิ่งเมื่อหยุนเจิงเคลื่อนทัพลงใต้ ไม่เพียงแต่ตระกูลผู้มีอำนาจและราชวงศ์จะคล้อยตามหยุนเจิง ดีไม่ดี อาจฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายหยุนเจิงเป็นคนที่ต่อกรด้วยยากยิ่งหากเกิดไฟไหม้สวนหลังบ้าน อย่าว่าแต่หยุนลี่ที่เป็นรัชทายาทเลย แม้แต่จักรพรรดิเหวินที่เป็นจักรพรรดิคงต้องถูกดึงลงจากหลังม้าแล้วแต่ตระกูลสวีเป็นตระกูลผู้มีอำนาจหรือไม่?หรือต้องให้เขาจัดการตระกูลตัวเองหรือ?สวีสือฝู่นิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็ถามหยั่งเชิง “การกระทำของฝ่าบาทครั้งนี้ เป็นการยิงหินนัดเดียวได้นก สองตัว! แต่ตระกูลผู้มีอำนาจและราชวงศ์เหล่านั้นอำนาจบารมียิ่งใหญ่ เสียงลงมือกับพวกเขา เกรงว่าจะเกิดปัญหา วุ่นวายพะย่ะค่ะ!”“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ!”หยุนลี่พยักหน้าเห็นด้วย“ข้ารู้”จักรพรรดิเหวินพยักหน้า “ดังนั้น สิ่งที่ข้าคิดคือ เรื่องนี้ต้องทำทีละก้าว การเคลื่อนไหวไม่อาจใหญ่มากนัก!”สวีสือฝู่ครุ่นคิด กล่าวอย่างเอาอกเอาใจ “ฝ่าบาทตรัสมีเหตุผลพะย่ะค่ะ”จักรพรรดิเหวินนวดพระเศียรที่กำลังปวด สายพระเนตรทอดมองสวีสือฝู่และหยุนลี่สลับกันไปมาทั้งสองคนถูกสายพระเนตรของจักรพร
สวีสือฝู่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิเหวินทรงกำลังคิดสิ่งใด ทำได้เพียงตามจักรพรรดิเหวินไปยังสวนหลวง“เหล่าสวี พวกเรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว?”ขณะที่เดินไป จักรพรรดิเหวินก็ทรงตรัสออกมาหนึ่งประโยคเหล่าสวี?สวีสือฝู่เท้าหยุดชะงักคำเรียกนี้ เขาไม่ได้ยินจากพระโอฐของจักรพรรดิเหวินมานางหลายปีแล้วจักรพรรดิเหวินตรัสเรียกเช่นนี้ขึ้นมากะทันหัน เกรงว่าน่าจะมีเจตนาอื่น!สวีสือฝู่คิดเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามจักรพรรดิเหวิน ตอบด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “กระหม่อมคิดคำนวณดูแล้ว กระหม่อมกับพระองค์รู้จักกันเกือบสี่สิบปีแล้วพะย่ะค่ะ”“ใช่แล้ว! เกือบสี่สิบปีแล้ว! พวกเราล้วนแก่แล้ว!”จักรพรรดิเหวินถอนพระทัย “ไม่ปิดบังเจ้า หลังเรื่องของเว่ยเหวินจง ข้าเคยคิดที่จะปลดรัชทายาท!”สวีสือฝู่หนังตากระตุก ไม่รู้ควรตอบเช่นไร“เหตุใด ตกใจกลัวแล้ว?”จักรพรรดิเหวินหันพระพักตร์ทอดพระเนตรสวีสือฝู่ที่ไม่พูดไม่จา“คือ...”สวีสือฝู่ฝืนยิ้มออกมา “กระหม่อมไม่กล้าปิดบังฝ่าบาท กระหม่อมตกใจกลัวแล้วพะย่ะค่ะ”จักรพรรดิเหวินสีพระพักตร์เคร่งขรึม ตรัสเสียงเฉียบ “ข้ารู้ เจ้าสามต้องติดต่อกับเว่ยเหวินจงเป็นการส่วนตัว คิดจะฆ่าเจ้าหก”สวีสือ
“กระหม่อมเข้าใจพะย่ะค่ะ!”สวีสือฝู่พยักหน้าหนักแน่นความสำคัญของฟู่โจว ไม่ต้องกล่าวก็เข้าใจเขาละโมบเงินจากที่ใด ก็ไม่กล้าละโมบเงินค่าจ้างกองทัพแนวป้องกันฟู่โจว!จักรพรรดิเหวินครุ่นคิดเงียบๆ จากนั้นก็กล่าวต่อ “เจ้าหกลูกทรพีตีเป่ยหวนจนขอยอมจำนนเจรจาสันติ ราชสำนักก็ต้องแสดงความเห็นไม่มากก็น้อย กลับไปเจ้าปรึกษาการพระราชทานรางวัลเรื่องนี้!”“พรุ่งนี้ตอนประชุมขุนนาง ข้าจะประกาศรายงานการรบของเจ้าลูกทรพีในท้องพระโรง!”“ถึงเวลานั้น เกี่ยวกับรางวัลที่ประธานในกองทหารมณฑลทางเหนือ พรุ่งนี้ต้องมีการประชุมหารือครั้งใหญ่”“ข้าต้องการเพียงข้อเดียว ห้ามขัดต่อจิตใจทหาร แต่ก็ห้ามพระราชทานรางวัลมากเกินไป!”เมื่อได้ฟังคำร้องขอของจักรพรรดิเหวิน สวีสือฝู่ร้องคร่ำครวญในใจห้ามขัดต่อใจเหล่าทหาร แต่ก็ห้ามให้เงินมากเกินไป?ให้พวกเขาจะเจรจาแผนการประทานรางวัลได้เช่นไร!นี่ก็คือคำในพจนานุกรมที่บอกว่าไม่ให้ข้าวสารแต่สั่งให้คนหุงข้าวหรือ?สวีสือฝู่บ่นในใจอยู่นาน ทว่ากลับต้องฝืนใจตอบตกลงแล้วต่อไป จักรพรรดิเหวินทรงสนทนากับสวีสือฝู่อีกสักพัก จึงปล่อยให้สวีสือฝู่จากไปสวีสือฝู่เพิ่งออกไป พระพัตกร์ของจักรพร
ชั่วพริบตา เวลาผ่านไปหลายวันแล้วพวกหยุนเจิงในที่สุดก็มาถึงชายแดนกู้อย่างรวดเร็วผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว หยุนเจิงเหนื่อยล้าทั้งกายใจการต่อสู้ครั้งนี้เดินทางไปไกลมาก!ต่อสู้กันไม่กี่ครั้ง ทั้งหมดใช้เวลาไปกับการเดินทางตอนที่หยุนเจิงกำลังแอบทอดถอนใจ บริเวณไกลๆ ก็ปรากฏกลุ่มคนดำทมิฬเป็นแถบ คนเหล่านั้นเหมือนกำลังซ่อมแซมบางอย่าง“ส่งคนไปดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”หยุนเจิงสั่งเกาเหอไม่นาน องครักษ์คนหนึ่งก็ควบม้าตรงเข้ามาไม่นาน หยุนเจิงเห็นองครักษ์พาคนสองสามคนควบม้ามาทางนี้ใครมาแล้ว?หยุนเจิงมองด้วยความสงสัยเมื่อคนเหล่านั้นวิ่งเข้ามาใกล้ ในที่สุดหยุนเจิงก็รู้แล้วว่าใครมาจางซู!แล้วน่าจะมีหมิงเย่ว์!จางซูรูปร่างชัดเจน!แต่ให้เห็นหน้าไม่ชัด แต่ก็สามารถคาดเดาจากรูปร่างได้“องค์ชาย องค์ชาย...”“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่...”ยังอยู่ห่างกัน จางซูส่งเสียงร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ ทั้งยังได้ยินเสียงของหมิงเย่ว์ได้อย่างคลุมเครือไม่นาน จางซูและหมิงเย่ว์ก็พาคนวิ่งเข้ามาทั้งสองคนหยุดลงในระยะห่างกันยี่สิบจั้ง แล้วพลิกตัวลงจากหลังม้าสภาพจางซูลงจากหลังม้าค่อนข้างทุลักทะเล ทำเอาหมิงเย่ว์บนเข
ทุกคนพากันขึ้นหลังม้า“ข้าตามไปดูด้วยหรือ?”เวลานี้ เจียเหยาพลันถามหยุนเจิง“เจ้าอย่าไปดีกว่า!”หยุนเจิงหันหน้ามองเจียเหยา “ข้าไม่คิดปิดบังเจ้า โรงเตาเผาของพวกเรา มีทักษะลับมากมาย หากถูกเจ้าแอบเรียนจะทำเช่นไร? มิฉะนั้น เจ้าใช้ม้าศึกหนึ่งหมื่นตัวเป็นค่าครู?”ม้าศึกหนึ่งหมื่นตัวหรือ?อย่าว่าแต่เจียเหยาเลย แม้แต่พวกเมี่ยวอินยังกล่าวสิ่งใดไม่ออกเลยคิดสิ่งใดอยู่!ยังต้องการม้าศึกหนึ่งหมื่นตัว?ไม่อยากให้เจียเหยาไปก็บอกมาตรงๆ สิ!“ท่านพี่...”เจียเหยาออดอ้อนน้ำเสียงหยาดเยิ้มนั่นทำเอาจางซูทำเหมือนเห็นผีเกิดเรื่องใดขึ้น?หยุนเจิงนำศีรษะของพ่อและพี่ชายเจียเหยาส่งไปเมืองจักรพรรดิแล้วเจียเหยายังเรียกหยุนเจิงเช่นนี้?เหมือนกับนกน้อยที่ต้องการพึ่งพาคน?“เจ้าไม่ต้องไปหรอก”หยุนเจิงปฏิเสธโดยตรง จากนั้นก็เรียกพวกจางซู “ไปเถอะ!”ความจริง ก็แค่โรงเตาเผาเท่านั้น โดยก็ไม่มีทักษะใดให้กล่าวถึงสิ่งเดียวที่ใหม่นิดหน่อย ก็คือการใช้ถ่านเลนทดแทนไม้ฟืนทว่าโรงเตาเผาแห่งนี้ยังสร้างไม่เสร็จ ถ่านเลนน่าจะยังไม่ขนส่งมา ต่อให้พาเจียเหยาไปดู ก็ไม่มีสิ่งใดมากมายแต่ยิ่งเห็นเจียเหยาเป็นเช่นนี้ เ
พูดไม่สู้ลงมือทำ ถึงเช่นไรที่นี่ก็มีถ่านเลนอยู่ หยุนเจิงสั่งคนบดถ่านเลนมาเล็กน้อย กรองเอาจำนวนที่ค่อนข้างละเอียดออกมา จากนั้นก็ลงมือด้วยตัวเอง ผสมกับดินตรงนั้น ปากก็ร้องไม่หยุด “ยอดเพียงใด ตอนนี้ข้ากำลังเล่นโคลนอยู่ที่ซั่วเป่ย...”“องค์ชาย ท่านกำลังร้องเพลงใด?”จางซูถามด้วยความสงสัย“ไม่มีสิ่งใด”หยุนเจิงหัวเราะ “ก็แค่ฮัมเพลงไปเรื่อยเท่านั้น...”จางซูเมื่อได้ยิน ก็ไม่ถามสิ่งใดมากมาย เรียนการเล่นโคลนกับหยุนเจิงทั้งสองคนกำลังเล่นกันอย่างมีความสุข เมี่ยวอินและหมิงเย่ว์มองหน้ากันแล้วหัวเราะ“ศิษย์พี่ องค์ชายเรียกสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด?”หมิงเย่ว์กระซิบถามเมี่ยวอิน“ข้าจะรู้ได้เช่นไร?”เมี่ยวอินส่ายหน้าหัวเราะ “ถึงเช่นไรเรื่องที่พวกเราไม่รู้ เขาต่างบอกว่านี่เป็นสิ่งที่อ่านมาจากตำราโบราณนั่น ตอนนี้พวกเราขี้เกียจถามแล้ว ก็ทำเป็นคิดซะว่าเอาอ่านมาจากตำราโบราณนั่นแล้วกัน!”สำหรับตำราโบราณที่หยุนเจิงกล่าวถึง เมี่ยวอินสงสัยมาตลอดแต่ว่า เดิมทีนางก็เหมือนเป็นคนคนเดียวกับหยุนเจิง ไม่จำเป็นต้องค้นหาว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหกนางรู้เพียงง หยุนเจิงเป็นผู้ชายของนาง ไม่ทำร้ายนาง นี่ก็เพียง