เมืองจักรพรรดิต้าเฉียน อารมณ์ของจักรพรรดิเหวินสองวันนี้ดีเป็นพิเศษ มักจะแอบพระสลวนอยู่ตามลำพังครั้งนี้ จักรพรรดิเหวินหลบอยู่ในห้องทรงอักษรแอบพระสลวนขึ้นมา จากนั้นก็นำหนังสือยอมจำนนของเป่ยหวนที่หยุนเจิงส่งมาให้เปิดอ่านอีกรอบ หลังอ่านจบ ก็นำรายงานการรบขึ้นมาอ่านอีกครั้งจดหมายรายงานการรบฉบับบนี้ มีพระองค์ผู้เดียวที่อ่านคนมากมายรู้ว่าซั่วเป่ยรบชนะอีกแล้ว แต่ผลการรบ มีเพียงจักรพรรดิเหวินที่ทรงทราบด้านข้างของเขา ยังมีรายงานการรบอีกฉบับเป็นรายงานการรบของรัชทายาทหยุนลี่เขียนด้วยตัวเองความวุ่นวายตากอันอ๋องสงบแล้ว พวกเขากำลังกลับราชสำนักหลังจากได้รับชัยชชนะสำหรับรายงานการรบของหยุนลี่ จักรพรรดิเหวินทรงอ่านเพียงรอบเดียวก็ไม่ทอดพระเนตรอีกรายงานการรบสยบความวุ่นวายของอันอ๋อง ไม่มีสิ่งใดน่าดูจริงแท้!หากแม้แต่ความวุ่นวายของอันอ๋องยังสยบไม่ได้ เซียวว่านโฉวก็กลับไปขายขนมเปี๊ยะข้าวได้แล้ว!แม้จักรพรรดิเหวินจะทรงดีพระทัยมาก แต่ต่อหน้าคนภายนอก พระองค์แสร้งทำเป็นกลัดกลุ้มพระทัยกล่าวตามตรง จักรพรรดิเหวินทรงเสแสร้งได้ยากลำบากยิ่งทั้งหมดก็เป็นเพราะเจ้าหกลูกทรพี!จักรพรรดิเหวินกล่าวตำ
จักรพรรดิเหวินพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวถาม “ผ่านความวุ่นวายของอันอ๋องครั้งนี้ เจ้าเห็นข้อเสียของราชสำนักเราหรือไม่?”“คือ...”หยุนเจิงไม่เข้าใจ ก้มโค้งกล่าว “ลูกโง่เขลา ขอเสด็จพ่อทรงอธิบาย”“ครอบครัวผู้มีอำนาจและราชวงศ์”จักรพรรดิเหวินขมวดคิ้ว กล่าวอย่างกลัดกลุ้ม “จ้างจื่อแค่เพียงคนเดียว ยังสามารถร่วมสมคบคิดกับอันอ๋องก่อกบฏได้ พวกเขาก่อความวุ่นวาย ราชสำนักก็จะสูญเสียภาษีไปหนึ่งปี...”กล่าวจบ จักรพรรดิเหวินหยิบสาส์นฉบับหนึ่งส่งให้หยุนลี่นี่คือสาส์นที่สวีสือฝู่ถวายขึ้นมาเป็นเงินเสบียงที่ใช้ในการสยบความวุ่นวายอันอ๋องที่กรมการคลังตรวจสอบและคำนวนอย่างละเอียดการก่อกบฏของอันอ๋อง นำมาซึ่งความเสียหายอย่างหนักของฝู่โจวราชสำนักชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับครอบครัวของทหารที่เสียชีวิต การบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยสงคราม ซ่อมแซมกำแพงเมืองต่างและหน่วยงานราชการที่เสียหายในซู่โจว ล้วนต้องใช้เงินและเสบียงหากคำนวณดูแล้ว ราชสำนักใช้เงินในการสยบความวุ่นวายของอันอ๋องไม่น้อยเลย หยุนลี่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิเหวินมีเจตนาใด ไม่กล้ากล่าวออกไปอย่างหุนหันพลันแล่น ทำได้เพียงถอนหายใจตาม “อันอ๋องก่อความวุ่นวายครั้
คำพูดของจักรพรรดิเหวิน ทำให้สมองของหยุนลี่เกิดเสียงวิ้งๆ ขึ้นมาจริงด้วย!เป่ยหวนล้วนถูกเจ้าหกทำลายแล้ว!เจ้าหกคนเดรัจฉานต้องการไปยึดอำนาจก่อกบฎที่ซั่วเป่ยตอนนี้ เจ้าสัตว์เดรัจฉานนี้ทหารแข็งแกร่งม้าแข็งแรง หากเขาเคลื่อนทัพลงใต้ ความเป็นไปได้ที่กองทัพของราชสำนักจะขัดขวางไว้ได้มีน้อยมากคาดว่า แม่ทัพอาวุโสมากมายของราชวงศ์คงไม่กล้ากรีธาทัพออกรบ!จะสู้เช่นไร?เจ้าหกคงไม่เสี่ยงสังหารบิดาแล้วขึ้นครองราชแต่เขาที่เป็นรัชทายาทต้องซวยแน่นอน!ไม่ว่าเขา เจ้าสอง เจ้าสี่ เจ้าห้า เกรงว่าต้องตายกลายเป็นวิญญาณเพราะเจ้าสัตว์เดรัจฉานนี่!“ต่อให้เสด็จพ่อเปิดตลาดการค้า เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนทัพลงใต้!”หยุนลี่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมองมองจักรพรรดิเหวิน“เปิดตลาดการค้า เขาไม่มีข้ออ้างให้เคลื่อนทัพลงใต้แล้ว ความชอบธรรมยังเข้าข้างเรา”จักรพรรดิเหวินส่ายหน้า “ตอนนี้ที่ข้ากังวลที่สุดไม่ใช่เจ้าหก แต่เป็นตระกูลผู้มีอำนาจและราชวงศ์! เมื่อเจ้าหกเคลื่อนทัพลงใต้ ตระกูลผู้มีอำนาจและราชวงศ์เหล่านั้นเกรงว่าคงก่อความวุ่นวายด้านหลังพวกเรา...”จักรพรรดิเหวินกล่าวเช่นนี้ ทันใดนั้นหยุนลี่ก็รู้สึกเหมือนน
สถานการณ์ของตระกูลผู้มีอำนาจและราชวงศ์ พวกเขารู้ดีอย่างยิ่งเมื่อหยุนเจิงเคลื่อนทัพลงใต้ ไม่เพียงแต่ตระกูลผู้มีอำนาจและราชวงศ์จะคล้อยตามหยุนเจิง ดีไม่ดี อาจฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายหยุนเจิงเป็นคนที่ต่อกรด้วยยากยิ่งหากเกิดไฟไหม้สวนหลังบ้าน อย่าว่าแต่หยุนลี่ที่เป็นรัชทายาทเลย แม้แต่จักรพรรดิเหวินที่เป็นจักรพรรดิคงต้องถูกดึงลงจากหลังม้าแล้วแต่ตระกูลสวีเป็นตระกูลผู้มีอำนาจหรือไม่?หรือต้องให้เขาจัดการตระกูลตัวเองหรือ?สวีสือฝู่นิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็ถามหยั่งเชิง “การกระทำของฝ่าบาทครั้งนี้ เป็นการยิงหินนัดเดียวได้นก สองตัว! แต่ตระกูลผู้มีอำนาจและราชวงศ์เหล่านั้นอำนาจบารมียิ่งใหญ่ เสียงลงมือกับพวกเขา เกรงว่าจะเกิดปัญหา วุ่นวายพะย่ะค่ะ!”“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ!”หยุนลี่พยักหน้าเห็นด้วย“ข้ารู้”จักรพรรดิเหวินพยักหน้า “ดังนั้น สิ่งที่ข้าคิดคือ เรื่องนี้ต้องทำทีละก้าว การเคลื่อนไหวไม่อาจใหญ่มากนัก!”สวีสือฝู่ครุ่นคิด กล่าวอย่างเอาอกเอาใจ “ฝ่าบาทตรัสมีเหตุผลพะย่ะค่ะ”จักรพรรดิเหวินนวดพระเศียรที่กำลังปวด สายพระเนตรทอดมองสวีสือฝู่และหยุนลี่สลับกันไปมาทั้งสองคนถูกสายพระเนตรของจักรพร
สวีสือฝู่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิเหวินทรงกำลังคิดสิ่งใด ทำได้เพียงตามจักรพรรดิเหวินไปยังสวนหลวง“เหล่าสวี พวกเรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว?”ขณะที่เดินไป จักรพรรดิเหวินก็ทรงตรัสออกมาหนึ่งประโยคเหล่าสวี?สวีสือฝู่เท้าหยุดชะงักคำเรียกนี้ เขาไม่ได้ยินจากพระโอฐของจักรพรรดิเหวินมานางหลายปีแล้วจักรพรรดิเหวินตรัสเรียกเช่นนี้ขึ้นมากะทันหัน เกรงว่าน่าจะมีเจตนาอื่น!สวีสือฝู่คิดเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามจักรพรรดิเหวิน ตอบด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “กระหม่อมคิดคำนวณดูแล้ว กระหม่อมกับพระองค์รู้จักกันเกือบสี่สิบปีแล้วพะย่ะค่ะ”“ใช่แล้ว! เกือบสี่สิบปีแล้ว! พวกเราล้วนแก่แล้ว!”จักรพรรดิเหวินถอนพระทัย “ไม่ปิดบังเจ้า หลังเรื่องของเว่ยเหวินจง ข้าเคยคิดที่จะปลดรัชทายาท!”สวีสือฝู่หนังตากระตุก ไม่รู้ควรตอบเช่นไร“เหตุใด ตกใจกลัวแล้ว?”จักรพรรดิเหวินหันพระพักตร์ทอดพระเนตรสวีสือฝู่ที่ไม่พูดไม่จา“คือ...”สวีสือฝู่ฝืนยิ้มออกมา “กระหม่อมไม่กล้าปิดบังฝ่าบาท กระหม่อมตกใจกลัวแล้วพะย่ะค่ะ”จักรพรรดิเหวินสีพระพักตร์เคร่งขรึม ตรัสเสียงเฉียบ “ข้ารู้ เจ้าสามต้องติดต่อกับเว่ยเหวินจงเป็นการส่วนตัว คิดจะฆ่าเจ้าหก”สวีสือ
“กระหม่อมเข้าใจพะย่ะค่ะ!”สวีสือฝู่พยักหน้าหนักแน่นความสำคัญของฟู่โจว ไม่ต้องกล่าวก็เข้าใจเขาละโมบเงินจากที่ใด ก็ไม่กล้าละโมบเงินค่าจ้างกองทัพแนวป้องกันฟู่โจว!จักรพรรดิเหวินครุ่นคิดเงียบๆ จากนั้นก็กล่าวต่อ “เจ้าหกลูกทรพีตีเป่ยหวนจนขอยอมจำนนเจรจาสันติ ราชสำนักก็ต้องแสดงความเห็นไม่มากก็น้อย กลับไปเจ้าปรึกษาการพระราชทานรางวัลเรื่องนี้!”“พรุ่งนี้ตอนประชุมขุนนาง ข้าจะประกาศรายงานการรบของเจ้าลูกทรพีในท้องพระโรง!”“ถึงเวลานั้น เกี่ยวกับรางวัลที่ประธานในกองทหารมณฑลทางเหนือ พรุ่งนี้ต้องมีการประชุมหารือครั้งใหญ่”“ข้าต้องการเพียงข้อเดียว ห้ามขัดต่อจิตใจทหาร แต่ก็ห้ามพระราชทานรางวัลมากเกินไป!”เมื่อได้ฟังคำร้องขอของจักรพรรดิเหวิน สวีสือฝู่ร้องคร่ำครวญในใจห้ามขัดต่อใจเหล่าทหาร แต่ก็ห้ามให้เงินมากเกินไป?ให้พวกเขาจะเจรจาแผนการประทานรางวัลได้เช่นไร!นี่ก็คือคำในพจนานุกรมที่บอกว่าไม่ให้ข้าวสารแต่สั่งให้คนหุงข้าวหรือ?สวีสือฝู่บ่นในใจอยู่นาน ทว่ากลับต้องฝืนใจตอบตกลงแล้วต่อไป จักรพรรดิเหวินทรงสนทนากับสวีสือฝู่อีกสักพัก จึงปล่อยให้สวีสือฝู่จากไปสวีสือฝู่เพิ่งออกไป พระพัตกร์ของจักรพร
ชั่วพริบตา เวลาผ่านไปหลายวันแล้วพวกหยุนเจิงในที่สุดก็มาถึงชายแดนกู้อย่างรวดเร็วผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว หยุนเจิงเหนื่อยล้าทั้งกายใจการต่อสู้ครั้งนี้เดินทางไปไกลมาก!ต่อสู้กันไม่กี่ครั้ง ทั้งหมดใช้เวลาไปกับการเดินทางตอนที่หยุนเจิงกำลังแอบทอดถอนใจ บริเวณไกลๆ ก็ปรากฏกลุ่มคนดำทมิฬเป็นแถบ คนเหล่านั้นเหมือนกำลังซ่อมแซมบางอย่าง“ส่งคนไปดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”หยุนเจิงสั่งเกาเหอไม่นาน องครักษ์คนหนึ่งก็ควบม้าตรงเข้ามาไม่นาน หยุนเจิงเห็นองครักษ์พาคนสองสามคนควบม้ามาทางนี้ใครมาแล้ว?หยุนเจิงมองด้วยความสงสัยเมื่อคนเหล่านั้นวิ่งเข้ามาใกล้ ในที่สุดหยุนเจิงก็รู้แล้วว่าใครมาจางซู!แล้วน่าจะมีหมิงเย่ว์!จางซูรูปร่างชัดเจน!แต่ให้เห็นหน้าไม่ชัด แต่ก็สามารถคาดเดาจากรูปร่างได้“องค์ชาย องค์ชาย...”“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่...”ยังอยู่ห่างกัน จางซูส่งเสียงร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ ทั้งยังได้ยินเสียงของหมิงเย่ว์ได้อย่างคลุมเครือไม่นาน จางซูและหมิงเย่ว์ก็พาคนวิ่งเข้ามาทั้งสองคนหยุดลงในระยะห่างกันยี่สิบจั้ง แล้วพลิกตัวลงจากหลังม้าสภาพจางซูลงจากหลังม้าค่อนข้างทุลักทะเล ทำเอาหมิงเย่ว์บนเข
ทุกคนพากันขึ้นหลังม้า“ข้าตามไปดูด้วยหรือ?”เวลานี้ เจียเหยาพลันถามหยุนเจิง“เจ้าอย่าไปดีกว่า!”หยุนเจิงหันหน้ามองเจียเหยา “ข้าไม่คิดปิดบังเจ้า โรงเตาเผาของพวกเรา มีทักษะลับมากมาย หากถูกเจ้าแอบเรียนจะทำเช่นไร? มิฉะนั้น เจ้าใช้ม้าศึกหนึ่งหมื่นตัวเป็นค่าครู?”ม้าศึกหนึ่งหมื่นตัวหรือ?อย่าว่าแต่เจียเหยาเลย แม้แต่พวกเมี่ยวอินยังกล่าวสิ่งใดไม่ออกเลยคิดสิ่งใดอยู่!ยังต้องการม้าศึกหนึ่งหมื่นตัว?ไม่อยากให้เจียเหยาไปก็บอกมาตรงๆ สิ!“ท่านพี่...”เจียเหยาออดอ้อนน้ำเสียงหยาดเยิ้มนั่นทำเอาจางซูทำเหมือนเห็นผีเกิดเรื่องใดขึ้น?หยุนเจิงนำศีรษะของพ่อและพี่ชายเจียเหยาส่งไปเมืองจักรพรรดิแล้วเจียเหยายังเรียกหยุนเจิงเช่นนี้?เหมือนกับนกน้อยที่ต้องการพึ่งพาคน?“เจ้าไม่ต้องไปหรอก”หยุนเจิงปฏิเสธโดยตรง จากนั้นก็เรียกพวกจางซู “ไปเถอะ!”ความจริง ก็แค่โรงเตาเผาเท่านั้น โดยก็ไม่มีทักษะใดให้กล่าวถึงสิ่งเดียวที่ใหม่นิดหน่อย ก็คือการใช้ถ่านเลนทดแทนไม้ฟืนทว่าโรงเตาเผาแห่งนี้ยังสร้างไม่เสร็จ ถ่านเลนน่าจะยังไม่ขนส่งมา ต่อให้พาเจียเหยาไปดู ก็ไม่มีสิ่งใดมากมายแต่ยิ่งเห็นเจียเหยาเป็นเช่นนี้ เ
“จะใช้เงินมากมายขนาดไหนกัน?” “ก็เยอะจริงพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ลูกเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกใช้เงินไปมากขนาดนี้” หยุนเจิงทำหน้ามุ่ยเหมือนคนมีทุกข์ จนเยี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ แทบอยากจะตีเขา เจ้าคนนี้นี่! พูดเกินจริงก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ! เสด็จพ่ออย่างไรก็เป็นถึงกษัตริย์ แม้จะไม่ทราบรายละเอียดว่าการสร้างเมืองใช้เงินเท่าไร แต่ก็น่าจะพอรู้คร่าวๆ อยู่บ้าง สิบล้านตำลึงขึ้นไป เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร? นี่มันก็เหมือนกับการโกหกเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้งเลยไม่ใช่หรือ? “พอแล้ว อย่ามาทำตัวพล่ามเป็นคนจนให้ข้าฟังเลย!” จักรพรรดิเหวินเหลือบมองหยุนเจิงด้วยหางตา “ข้าไม่ได้อยากได้เงินของเจ้าหรือธุรกิจทำเงินของเจ้า! และเจ้าก็อย่าหวังจะได้สักตำลึงจากข้าเลย ท้องพระคลังตอนนี้ไม่มีเงินให้เจ้าแล้ว!” พล่ามว่าจนหรือ? เขาอยากพล่ามว่าจนนักหรือ! ในปีนี้ ต้าเฉียนก็ถือว่าเจอภัยพิบัติไม่น้อย ใช้เงินไปเหมือนน้ำไหล ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสะสมจากหลายปีที่ผ่านมา ราชสำนักคงอดอยากไปแล้ว! “ก็ได้ๆ!” หยุนเจิงพยักหน้ารับหลายครั้ง ในใจโล่งอกอย่างยิ่ง เขายังกลัวว่าเสด็จพ่อจะมาที่นี่เพื่อมารีดไถ โดยเ
วันถัดมา จักรพรรดิเหวินที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางก็ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ จักรพรรดิเหวินก็ให้ทุกคนพาเดินสำรวจในเล่ออาน จักรพรรดิเหวินไม่ได้เปิดเผยฐานะตนเอง ไม่ได้พาผู้ติดตามมากมาย และยังปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากเดินสำรวจรอบเมือง จักรพรรดิเหวินก็ค่อนข้างพอใจ ระหว่างเดินบนถนนในเมือง จักรพรรดิเหวินก็ย่อตัวลงดูอะไรบางอย่าง “นี่มันอะไรหรือ?” จักรพรรดิเหวินชี้ไปที่ปูนระหว่างก้อนอิฐสองก้อนแล้วถาม “นี่คือปูนซีเมนต์” หยุนเจิงอธิบาย “มันทำหน้าที่เหมือนกาวข้าวเหนียว แต่มีความแข็งแรงกว่าเล็กน้อย และหาง่ายกว่า ไม่เปลืองข้าว แค่ปริมาณการผลิตยังน้อยอยู่” “สิ่งนี้ใช้ได้ทีเดียว!” จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นช้าๆ “เจ้าเคยคิดจะขายปูนซีเมนต์นี้ไปพื้นที่เขตในหรือไม่?” “นั่นคงยากหน่อย” หยุนเจิงส่ายหัว “ซั่วเป่ยยังขาดปูนนี้มาก จะเอาไปขายที่เขตในได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ส่วนใหญ่ใช้ในงานของราชสำนัก ชาวบ้านทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้” “เช่นนั้น มันเทศล่ะ?” จักรพรรดิเหวินมองหยุนเจิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่ามันเทศในซั่วเป่ยป
“ห้ะ?” หยุนเจิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “วางใจเถอะ ข้ารู้ขอบเขตดี” จักรพรรดิเหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นช่วงสำคัญที่เจ้าจะรวบรวมใจชาวเป่ยหวน แม้ข้าจะอยากไปบวงสรวงฟ้าดินที่เขาเทพหมาป่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ข้าเข้าใจดี” “เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่เรื่องของขอบเขตหรือไม่ขอบเขตนะพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงคร่ำครวญแทบล้มประดาตาย “เสด็จพ่อจะไปเยือนวังหลวงเป่ยหวน เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่เสด็จพ่อคิดดูเถิด หากเสด็จพ่อไป ลูกคงต้องนำทัพสักหมื่นสองหมื่นนายเพื่อคุ้มครองเสด็จพ่อใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? ทัพหมื่นสองหมื่นนาย เดินทางหน้าหนาว ต้องขนเสบียงและเสื้อผ้ากันหนาวแค่ไหน? ไปกลับอย่างไรเสียก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?” นี่ยังไม่รวมว่าต้องออกเดินทางจากค่ายใหญ่เขาห่านป่าหวนกลับ! หากออกเดินทางจากที่อื่น เวลาก็ยิ่งนานกว่านี้! นี่เป็นการเดินทางของฮ่องเต้นะ! จะให้เดินทางเร่งด่วนตลอดทางก็ไม่ได้! ต่อให้เสด็จพ่ออยากไปจริง ก็ควรรอเวลาที่เหมาะสมกว่านี้! “สักสองเดือนก็สักสองเดือนเถอะ!” จักรพรรดิเหวินกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสีย เจ้าก็ไม่จัดงานแต่งกับเจียเ
จักรพรรดิเหวินหยุดครู่หนึ่ง ก่อนถ่ายทอดคำที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกล่าวไว้ให้หยุนเจิงฟัง ผู้เลี้ยงแกะในมือนั้น ต้องมีผืนดิน หมาป่า แกะ และสุนัข! ผืนดิน คือกฎเกณฑ์ ขีดเส้นจำกัดไว้เป็นคอก หมาป่าคือภัยคุกคาม บอกฝูงแกะว่าอย่าได้วิ่งพล่าน ในพื้นที่ที่ขีดเส้นให้เท่านั้นจึงจะปลอดภัยจากหมาป่า แกะ คือหัวหน้าฝูง ขณะเลี้ยง หากควบคุมหัวหน้าฝูงได้ ฝูงแกะก็จะไม่หลงทาง สุนัขช่วยต้อนฝูงแกะ นำแกะที่ไม่เชื่อฟังกลับเข้าฝูง เมื่อได้ฟังคำพูดของจักรพรรดิเหวิน หยุนเจิงก็อดไม่ได้ที่จะตระหนักในทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จางฮว๋ายก็คือหัวหน้าฝูงแกะตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิพระองค์ก่อนหรือเสด็จพ่อ ต่างก็ต้องการหัวหน้าฝูงตัวนี้เพื่อควบคุมฝูงแกะ ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนเจิงก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดจะส่งเกาซื่อเจินมาให้ลูกเป็นหัวหน้าฝูงใช่ไหม?” “เจ้าคิดว่าเกาซื่อเจินมีความสามารถจะเป็นหัวหน้าฝูงหรือ?” จักรพรรดิเหวินเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม กล่าวอย่างมีนัยว่า “หัวหน้าฝูงไม่ใช่ว่าใครจะเป็นได้!” เช่นนี้เองหรือ? หยุนเจิงครุ่นคิดอยู่ในใจ จริงแท้ เกาซื่อเจินไม่มีความสามาร
คนเราไม่ใช่หญ้าหรือไม้ ใครเลยจะไร้ซึ่งความรู้สึก? แต่ตราบใดที่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์จักรพรรดิ หลายเรื่องก็จะมิอาจทำตามใจตนได้อีก เมื่อได้ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะอื่นใดมากมาย สถานะแรกของเจ้าก็คือจักรพรรดิ! “ความจริง ลูกไม่ได้คิดถึงตำแหน่งนั้นมากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเจิงกล่าวอย่างจริงจัง “ก็เพราะลูกเข้าใจสิ่งที่เสด็จพ่อพูด ลูกถึงไม่อยาก…” “เจ้าคิดว่าตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่เจ้าเลือกเองได้หรือ?” จักรพรรดิเหวินตัดคำพูดของหยุนเจิงทันที “หากเจ้าไม่ขึ้นครองราชย์ แล้วผู้คนภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะเป็นเช่นไร? บรรดาแม่ทัพผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่เหล่านี้ ใครเล่าจะทำให้พวกเขารู้สึกวางใจได้ นอกจากเจ้า?” เพราะผลงานสูงจนสั่นคลอนพระราชอำนาจใช่หรือไม่? หยุนเจิงยิ้มอย่างจนปัญญา ในข้อนี้ เขาเองก็เห็นด้วย นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแม่ทัพมากมายที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่แต่ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า เพียงเมื่อพวกเขาสิ้นชีวิต จักรพรรดิจึงจะวางใจได้ ไม่ฉะนั้น เมื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรส่งเสียงเรียก ใครเล่าจะไม่เกรงกลัว? “เรื่องในวันข้างหน้า ไว้ค่อยว่ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงไ
หยุนเจิงเล่าเรื่องนี้กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้น จักรพรรดิเหวินแทบไม่พูดแทรก เพียงแต่ทานหม้อไฟร้อนๆ พร้อมจิบสุราไปพลาง จนกระทั่งหยุนเจิงพูดจบ จักรพรรดิเหวินจึงวางตะเกียบลง พร้อมมองหยุนเจิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าสงสัย “เสด็จพ่อ มองลูกเช่นนี้ทำไม?” หยุนเจิงถูกมองจนขนลุก ในใจแอบคิดว่า หรือว่าตาแก่คนนี้จะมีแผนร้ายอีกแล้ว “ใครสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้า?” จักรพรรดิเหวินมีสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “อย่ามาอ้างว่าหนังสือแปลกประหลาดเล่มนั้นสอนเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าหนังสือจะมีเรื่องพวกนี้!” ศาสตร์แห่งจักรพรรดิ! นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้จากหนังสือได้ และอาจารย์ก็ไม่สามารถสอนเรื่องพวกนี้ กระทั่งองค์ชายส่วนใหญ่ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งจักรพรรดิอย่างลึกซึ้ง แล้วหยุนเจิงที่เคยใช้เวลาอยู่แต่ในจวนปี้ปัวนั้น ใครกันที่สอนเรื่องพวกนี้ให้เขา? หรือว่าเขาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้เอง? หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนลูกไม่มีอะไรทำ ก็มักอ่านพงศาวดารบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ลูกเรียนรู้มาจากพงศาวดาร” “ไร้สาระ!” จักรพรรดิเหวินตอบกลับอย่างไม่สุภาพ “หากเรียนรู้เรื่อง
จากทางใต้จนถึงซั่วเป่ยระยะทางไกลถึงเพียงนี้ ระหว่างทางไม่มีความช่วยเหลือจากทางการ หรือทางการไม่อนุญาตให้ผ่าน เหล่าผู้ประสบภัยแม้จะมีปีกบิน ก็ใช่ว่าจะบินมาถึงซั่วเป่ยได้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ทั้งหมดเป็นเรื่องที่พี่สามของเจ้าจัดการ” จักรพรรดิเหวินหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ “พอเถอะ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้อีก! เจ้าพูดวกไปวนมานานนักแล้ว มีข้ออ้างอะไรที่ดีกว่านี้หรือไม่?” ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ? เรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือไร? หยุนเจิงในใจเต็มไปด้วยความอึดอัด จึงไม่อยากแต่งเรื่องอ้างใดๆ อีก กล่าวตรงๆ ว่า “ลูกไม่ปิดบังเสด็จพ่อแล้ว ลูกไม่อยากจัดพิธีสมรสกับเจียเหยาเลยสักนิด! ลูกคิดว่าลูกกับเจียเหยาแค่มีสถานะเป็นสามีภรรยาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องจัดงานสมรสใหญ่โตให้เปลืองแรงและสิ้นเปลืองทรัพย์สินหรอก” จักรพรรดิเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ มองหยุนเจิงพร้อมกล่าวว่า “ข้าลำบากวุ่นวายเตรียมงานมานานถึงเพียงนี้ แม้แต่ปีใหม่ยังไม่ได้อยู่ฉลองในเมืองหลวง แต่ต้องมาเตรียมงานสมรสให้เจ้า หากเจ้าไม่จัดพิธีสมรส ข้าก็คงกลายเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว! เจ้าลองพูดดูสิ ว
จักรพรรดิเหวินให้เวลาหยุนเจิงคิดเหตุผลมาแก้ตัวอย่างเต็มที่ พระองค์เองก็ค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอย่างไม่รีบร้อน “เนื้อนี้ค่อนข้างเหนียวไปหน่อย” จักรพรรดิเหวินเคี้ยวเนื้อในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ดูท่าว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ ฟันของข้าไม่เหมือนเดิมแล้ว” “……” หยุนเจิงหน้ามืด หัวเราะอย่างขื่นขมพลางมองไปที่จักรพรรดิเหวิน “ลูกจะให้คนไปหาในเมืองดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ว่ามีลูกวัวอยู่บ้างหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาเชือดมันสดๆ เอาเนื้อมาถวาย?” เหนียวอะไรกัน! ไม่ใช่ว่ากำลังอ้อมค้อมจะบอกว่าตนเองโตพอที่จะไม่ฟังคำสั่งแล้วหรือไร? จักรพรรดิเหวินหยุดมือเล็กน้อย ก่อนจะมองหยุนเจิงด้วยสายตาทั้งขบขันและหงุดหงิด “เจ้าตั้งใจจะยั่วข้าใช่ไหม?” “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!” หยุนเจิงส่ายหัวพร้อมยิ้ม “เสด็จพ่อเสด็จมาไกลถึงเพียงนี้ ลูกจะไม่รับรองเสด็จพ่ออย่างดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” “ช่างเถอะ! ข้าไม่กล้าสั่งให้เจ้าเชือดลูกวัวเพื่อมารับรองข้าหรอก” จักรพรรดิเหวินเอ่ยอย่างเรียบๆ “วัวเป็นรากฐานของเกษตรกรรม รอให้ลูกวัวโตแล้วใช้มันไถนาเพื่อประโยชน์ของราษฎรจะดีกว่า!” แค่นี้ก็จบแล้วไม่ใช่หรื
บัดนี้ ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสี่คนแล้วจักรพรรดิเหวินหันไปมองเมี่ยวอินอีกครั้ง “เจ้าคือเมี่ยวอินใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่า ข้าได้มีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายารองของเจ้าหกแล้วไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกเสด็จพ่อสักคำ?” เมี่ยวอินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิเหวินด้วยสีหน้าซับซ้อน “หากพระองค์เป็นหญิงสาวธรรมดาเฉกเช่นหม่อมฉัน พระองค์จะสามารถเรียกคำว่าเสด็จพ่อออกมาจากปากได้หรือเพคะ?” “ก็คงยากที่จะพูดออกมา” จักรพรรดิเหวินไม่ได้โกรธ “ข้าได้สั่งประหารครอบครัวของเจ้า แต่ข้าก็ได้ประหารลูกชายของตัวเองเช่นกัน!” “แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดต่อเจ้า และจะไม่ร้องขอการให้อภัยจากเจ้า!” “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ไม่ว่ารัชทายาทองค์ก่อนจะถูกใส่ร้ายจนต้องก่อกบฏหรือไม่ แต่ตราบใดที่เขาชักธงขึ้นแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางย้อนกลับไปได้!” “ข้าเป็นผู้นำครอบครัว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ข้าคือกษัตริย์ของแผ่นดินนี้!” คำพูดของจักรพรรดิเหวินหนักแน่นดุจหินผา แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเมื่อมาถึง สิ่งแรกที่เขาต้องเผชิญคือเรื่องของเมี่ยวอิน “ใช่เพคะ!” เมี่ยวอินยิ้มเจื่อน “ห