วันทั้งวันเขาทำงานไปยิ้มไป เพราะในระยะสายตาเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาจากแผ่นกระดาษก็มักจะเห็นคนรักร่ายรำอยู่เกือบจะตลอด อะไรมันจะดีไปกว่าการได้ดูมหรสพขนาดเล็กและนั่งจิบกาแฟอุ่น ๆ ไปด้วย
พิภพในตอนเย็นที่จัดการงานส่วนของวันนี้เสร็จแล้วก็ลงมานั่งเล่นกับลูกสาว ซึ่งดูเหมือนลูกศิษย์เขาอย่างศรจะกลายเป็นที่รักแทนคนเป็นพ่ออย่างเขาไปเสียแล้ว อย่างที่คนเถ้าคนแก่บอกเอาไว้ว่าต้องรีบเก็บเกี่ยวช่วงเวลาวัยเด็กของลูกเอาไว้เพราะเมื่อโตขึ้นพวกเขาก็จะไม่สนใจแล้ว แต่ลูกสาวเขาพึ่งเข้าชั้นประถมได้ไม่นานเอง ทำไมถึงได้ติดเจ้าศรงอมแงมขนาดนี้
พ่อทหารลงมานั่งขัดสมาธิรับลูกสาวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด นั่งเล่นกันอยู่สักพักก่อนที่นพจะเดินมาบอกว่าอีกไม่นานจะพากันออกไปเดินตลาด
'เขาว่าพวกทหารญี่ปุ่นมีของมาขายมีใครจะไปบ้าง'
แน่นอนว่าเด็กหญิงขวัญย่อมสนอกสนใจยกมือไปเป็นคนแรก ก่อนจะตามด้วยคนในเรือน สรุปสุดท้ายคือไปกันหมด
พิภพหยัดตัวลุกยืดเส้นยืดสายแล้วจะเดินตามคนอื่น ๆ ลงเรือน
*แซก* เสียงใบไม้เสียดสีกันแว่วมาจากด้านในป่าข้างเรือนขณะที่ทุกอย่างเงียบสงัดไร้ซึ่งลมพัด ทว
"คุณหมอจ๊ะ ป้าทำขนมมาฝาก ขอบคุณที่ช่วยดูอาการสามีป้านะจ๊ะ""มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว...ครับ"หมอน้ำรับห่อใบตองมาด้วยความยินดีพร้อมส่งยิ้มการค้าไปให้หญิงวัยกลางคนที่มีสีหน้าเบิกบานใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดอะไรต่ออีกนิดหน่อยตามประสาผู้หญิง นอกจากเจ้าหล่อนจะกล่าวขอบคุณที่เขาตรวจให้แบบไม่เสียเงินแล้วยังพูดถึงเรื่องพลทหารญี่ปุ่นที่บางครั้งก็ตั้งวงเหล้าพูดจาโหวกเหวกโวยวาย จึงมาฝากเขาให้ไปเตือนเสียหน่อยซึ่งไม่รู้ว่าทำไมพักนี้ถึงมีคนรับฝากหมายสารเขาเยอะเสียเหลือเกิน เขาดูเป็นมิตรขนาดนั้นเลยหรืออย่างไรอาซามิคิดพลางแง้มห่อใบตองดูขนมภายในจนกลิ่นหอมหวานของกะทิและน้ำตาลลอยขึ้นมาเตะจมูกก็ชวนให้นายแพทย์ที่คิดว่าจะเก็บสิ่งนี้เอาไว้ทานเป็นของหวานมื้อเที่ยงต้องคิดใหม่แล้วเลื่อนตารางเวลาขึ้นมากินมันเสียตอนนี้แทน ทว่าในขณะที่กำลังจะเปิดขนมก้อนนั้นขึ้นมากินทันใดนั้นเสียงของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญก็โผล่พรวดขึ้นมาจากประตูหน้าห้อง"อรุณสวัสดิ์คร้าบหมอ ผมซื้อขนมมาฝากคร้าบ"คุณหมอจิ๊ปากกระตุกคิ้วไม่พอใจ กล้ามาขัดจังหวะความสุขเพียงไม่กี่อย่างของเขาเนี่ยนะ อาซาม
กลิ่นเขม่าควันฉุนจมูกและสายลมที่พัดพากลุ่มเพลิงภายในบ้านเด็กกำพร้าโหมกระหน่ำ คานไม้โทรมถล่มลงมาทับร่างของหญิงชราอันเป็นที่รักพร้อมกับเหล่าพี่น้องต่างสายเลือด มีเพียงเด็กตัวเล็กคนหนึ่งที่กระทำผิดกฎออกมาเล่นกลางดึกทว่ากลับต้องสลดเมื่อมาเห็นภาพความตายนับสิบ ฝ่ามือคู่น้อยอดทนต่อความร้อนดึงท่อนไม้ดำเมี่ยมออกในขณะที่เจ็บจนน้ำตาเล็ด สะเก็ดไฟที่ยังลุกกระเด็นโดนแขนบ้างหน้าขาบ้างทว่าเด็กชายยังไม่หยุด สุดท้ายทุกอย่างกลับไร้ประโยชน์ เหล่าคนที่รักได้กลายเป็นเถ้าธุลีไม่ต่างจากตอไม้อันใกล้ที่โดนลูกหลงเด็กชายทรุดนั่งมองเหล่าร่างไร้วิญญาณ ทั้งตัวชาหนึบไม่จนไม่อาจรู้สึกรู้สาอะไร ทว่ากลับมีสิ่งหนึ่งที่ติดตาเด็กชาย ร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลางคนที่หัวเราะร่าพร้อมด้วยเงินถุงโตในมือและลูกน้องมากหน้าหลายตา ที่ไม่ทันได้สังเกตเด็กน้อย'เงินแค่นี้ก็พอจะให้ไอ้ดินมันแต่งเมียได้ล่ะวะ ฮ่า ๆ 'รอยสักอินทรีโอบพระจันทร์หลังคอ ลอนผมประกายครามสะท้อนผ่านแสงกองไฟที่ยังคงไม่มอดดี เสี้ยววินาทีนั้นเขาก็หาเป้าหมายของการใช้ชีวิตเจอคือการแก้แค้นไอ้ชั่วคนนั้นอย่างสาสมทว่ารู้อีกท
ปลื้มเดินมายังเรือนนางรำในขณะท้องฟ้ายังคงเป็นสีครามเนื่องจากเลยเวลาย่ำรุ่งมาไม่นานนักมาถึงก็เจอเด็กหญิงวิ่งเล่นกับเจ้าศรอยู่ในสวนดอกเข็มข้างเรือน ด้วยนิสัยติดตัวไม่วายนายสิบอารมณ์ดีต้องเข้าไปทักทายวี้ดว้ายกับเด็กหญิงก่อนจะเห็นว่าร้อยเอกเดินลงมาจากเรือนด้วยชุดที่อยู่บ้านแบบสุด ๆเสื้อกล้ามบวกกับผ้าขาวม้าผูกอย่างง่าย ณ จุดจุดนี้หากจะบอกว่าเป็นเจ้าของเรือนเขาก็เชื่อเจ้าตัวเดินลงมาถามในเรื่องที่เขาออกปากว่าจะตามสืบให้ เมื่อเขาอธิบายเรื่องราวความสัมพันธ์อันดูวายป่วงระหว่างหมอกับทหารให้รุ่นพี่เจ้าฟังอีกคนก็ดูว่าจะมีท่าทีไม่ค่อยแปลกใจนักประหนึ่งว่าคาดคะเนอะไรบางอย่างมาก่อนแล้วเมื่อได้ความเขาจึงถูกดึงตัวมาดูยังหน้าทางเข้าป่า พิภพชี้ไปยังรอยเท้าที่ตอนนี้ค่อนข้างจาง ด้วยว่าเมื่อคืนฝนตกน้ำชะรอยไปบางส่วน แต่ก็ยังคงดูเป็นรูปเป็นร่างได้ว่ารอยนี้ต้องมาจากบูทไม่ก็คอมแบตของทหารด้วยกันเป็นแน่ โดยเมื่อคืนตัวพิภพเองยังคงสงสัยว่าต้นเสียงนั่นคืออะไร กลางดึกจึงแอบลงเรือนมาส่องตะเกียงดูจนเห็นรอยเท้านี่ปรากฏอยู่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ของพวกเขาทั้งสองคนอย่างแน่
พิภพกล่าวตัดบทก่อนจะเดินออกไป บานประตูไม้หนาถูกปิดลงอย่างไม่เบาแรงนัก ภายในห้องจึงเหลือเพียงตรีศูลที่ยังคงตามสถานการณ์ไม่ทัน นั่งสับสนอยู่ภายในห้องพร้อมกับผ้าพันแผลบริเวณข้อเท้าขวาเขาเข้าใจได้ว่าทำไมคุณดินถึงดูโกรธเขาแบบนั้น แต่ทว่าคุณดินพักนี้ในสายตาเขาดูผิดแผกไปชอบกล บางทีก็นั่งถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่คนเดียว ทอดสายตามองไปยังป่าข้างเรือนอยู่ตลอด และที่สำคัญคืออารมณ์ เขาคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะภาระงานที่เจ้าตัวแบกอยู่ บางครั้งก็สุขุมทว่ากลับมีบางครั้งที่แสดงอาการฉุนเฉียวนางรำหนุ่มพรั่งพรูลมหายใจออกมาพลางมองลงไปยังฝ่าเท้าบนก้อนผ้านุ่มอย่างไรเสีย สิ่งนี้คงจะเป็นเพียงปัญหาชีวิตคู่อย่างที่คนอื่น ๆ อาจเป็น เขาแค่ต้องเปิดอกคุยกันมันก็เท่านั้น อย่าทำเหมือนนี่เป็นเรื่องใหญ่เลยตรีศูล. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .ภาพตรงหน้าของเขาว่างเปล่า บรรยากาศปกคลุมไปด้วยความมืดประหนึ่งว่าเปลือกตาเขากำลังปิดอยู่ ร่างกายเบาโหวงหวิวไร้ความรู้สึกคล้ายห้วงฝัน สัม
"โห่ อาจารย์อย่างน้อยก็ช่วยผมสักนิดได้ไหม ไม่ต้องทำท่าให้ดูก็ได้"นพเก้างอแงอยู่กลางเรือนเมื่อเจ้าของคณะสั่งให้เขาเป็นคนนำเด็ก ๆ ในการแสดงที่ใกล้เข้ามานี้เพียงตัวคนเดียวโดยปกติแล้วก็จะเป็นอาจารย์ที่คิดท่าแปรแถวให้แต่นี่เขาต้องทำเองตั้งแต่ต้นจนจบแค่คิดนพก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว อุตส่าห์หาข้ออ้างหน่วงเวลาไปเรียนที่พระนครได้แล้วเชียว!แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อจู่ ๆ ข้อเท้าของอาจารย์ก็เป็นแบบนั้น...ตรีศูลนั่งมองเจ้าเด็กขี้เกียจตีโพยตีพาย ทว่าเขารู้ดีว่าศิษย์เอกต้องทำออกมาได้อย่างแน่นอนเสียงบ่นง่องแง่งของนพยังคงดังเป็นพัก ๆ ในขณะที่ตัวแม่นางรำกำลังนั่งเด็ดกลีบกุหลาบอยู่ ณ โต๊ะรับแขกเตรียมจะทำน้ำอบที่ใกล้หมดเต็มที แน่นอนว่าต้องมีพ่อทหารนั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ เมื่อสายตาทอดมองไปยังชานเรือนตรงหน้าเห็นเด็กเล็กเด็กใหญ่นั่งจับกลุ่มพูดคุยกันระหว่างพักซ้อมเป็นที่เพลินตาสำหรับผู้ใหญ่ทั้งสองยิ่งแม้ข้อเท้าของเขาจะฟื้นตัวขึ้นมาบ้างจนสามารถทำกิจวัตรตามปกติได้พอสมควรแล้วแต่คุณดินก็ยังเป็นห่วงรบเร้าให้เขาอยู่ในสายตาตลอดเพราะเกรงว่าจะเป็นอะไรไปอีก'
ปลื้มรีบวิ่งตามหาร้อยตาลีตาเหลือก แม้จะคิดว่าด้วยความสามารถของอีกฝ่ายคงจะไม่เป็นไรแต่ก็นึกเป็นห่วงไม่ได้ นายสิบตามหาจนมาหยุดอยู่บริเวณหลังอาคาร เมื่อก้มหน้าหอบหายใจก็เห็นรอยเท้าย่ำทับกันไปมาอยู่หน้าทางเดินเข้าพงหญ้าจนคล้ายว่าตรงนี้จะมีการต่อสู้เกิดขึ้น เขาจึงตัดสินใจรีบวิ่งตามเข้าไป แล้วเมื่อคิดดี ๆ หากเดินลัดเลาะตามป่านี้ไปจนสุดทางมีความเป็นไปได้ว่าจะไปโผล่ที่หลังเรือนนางรำปลื้มวิเคราะห์สถานการณ์ประกอบกับสาวเท้าวิ่งด้วยความรวดเร็ว เมื่อเข้าไปลึกพอสมควรปลื้มก็ได้ยินเสียงแว่วมา เดินไปเรื่อย ๆ ก็ได้เห็นภาพอยู่ไกล ๆ ว่ามีกลุ่มคนกำลังตะลุมบอนกันอยู่*พลั่ก!* ทันใดนั้นก็มีแรงหมัดกระแทกเข้าที่ขมับข้างขวาของเขาอย่างจังจนผิวแตก เมื่อรีบตั้งสติมองก็เห็นว่าเป็นทหารญี่ปุ่นจำนวนสองคนก็ทำเอาเขาอารมณ์เสีย โถ่เว้ย ทำไมต้องเวลานี้ด้วยวะ เสียเวลาฉิบเป๋งด้วยกายหยาบที่มีขนาดต่างกันกว่าเขาจะล้มพวกมันได้ก็กินเวลาพอสมควร เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อเขามาถึงตำแหน่งนั้นหัวหน้าเขาก็เก็บกวาดพวกมันลงไปนอนกับพื้นแล้วเรียบร้อย แม้จะดูสะบักสะบอมไปบ้างแต่การเอาชนะทหารที่รูปร
รุ่งเช้ามาตรีศูลที่ครั้งนี้เป็นฝ่ายตื่นก่อนลืมตามาก็เห็นใบหน้าของนายทหารที่ยังคงหลับอยู่ ชวนให้นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่พวกเขามีปากเสียงกันหนักขนาดนั้นเป็นครั้งแรกโฉมงามถอนหายใจออกมาก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแว่นบนหัวเตียงขึ้นมาสวม แล้วจึงค่อย ๆ ขยับขาเพื่อไม่ให้ข้อเท้าได้รับการกระทบกระเทือน แม้จะบอกว่าเดินได้แล้วก็จริงทว่าหากนั่งในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ แล้วลุกเดินกะทันหันละก็ข้อเท้าจะรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที ยิ่งหลังจากตื่นนอนยิ่งต้องใช้เวลานั่งพัก หากย้อนกลับไปได้เขาน่าจะมองทางให้ดีกว่านี้จะได้ไม่ต้องมาเจ็บตัว แถมกับดักหนูนั่นมาจากไหนก็ไม่รู้ จะเป็นของตาเทิดตาไฮ้ก็ไม่น่าเพราะทั้งสองตอนนี้อยู่พระนครจะมาซุ่มซ่ามวางของในเขตเรือนจังหวัดชุมพรได้อย่างไร เด็ก ๆ นางรำก็ซักซ้อมบนเรือนตลอด แล้วมันจะเป็นใครไปได้เขานึกหน้าคุณโอคาดะขึ้นมาได้ทว่าทหารคนนั้นถึงเขาจะได้คุยเพียงไม่กี่ครั้ง หรือแม้ว่าอีกคนจะเป็นชาวต่างชาติ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปตัดสินเขาว่านั่นจะเกิดจากฝีมือเจ้าตัว หากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีชาวต่างแดนมาแวะเวียนแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติ เขาพยายามเว้นระยะห่างแต
ในตอนนี้พวกเขาพากันมาอยู่ที่โรงพยาบาลสนามแม้พิภพอยากจะพาไปโรงหมอแต่เป็นที่รู้กันว่าบรรดาหมอส่วนใหญ่ก็ย้ายมาประจำการที่นี่เป็นการชั่วคราวทำให้สถานีอนามัยแถบนี้ปิดกว่าจะเจออีกทีก็ต้องเดินทางข้ามตำบลโดยตรงหน้าของพวกเขาคือหมอชาวญี่ปุ่นที่พิภพไม่ค่อยจะถูกชะตาด้วยเท่าไรนักแต่จะให้ทำอย่างไรได้ เมื่อแม่นางรำเอาตัวเองขึ้นมาเป็นตัวประกันว่าหากไม่ทำตามที่บอกก็จะไม่ยอมตรวจกับหมออื่นนายแพทย์ตรวจดูข้อเท้าอย่างละเอียด ค่อย ๆ จับพลิกดูพร้อมกับสอบถามข้อมูลจากตรีศูลที่นั่งบนเก้าอี้ผู้ป่วยไปด้วย ซึ่งผลที่ออกมาคือ'ปกติดี แต่ช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้แนะนำว่าให้เดินระวังหน่อย'คุณหมอยังคงพูดห้วนตรงอย่างเคยแต่ก็ช่วยให้พ่อทหารที่ดูจะเป็นกังวลเกินหน้าเกินตาผ่อนปรนมาตรการลงมา และปล่อยให้แม่นางรำได้เดินไปไหนมาไหนคนเดียวได้บ้างเหมือนอย่างในตอนนี้ที่เขาเดินออกมาพบคุณน้ำที่โรงพยาบาลได้อย่างเป็นปกติแม้พ่อทหารจะยืนเป็นผู้รักษาความปลอดภัยอยู่หน้าประตูใหญ่ ถึงทีแรกเจ้าตัวจะขอเดินตามขึ้นมาด้วยแต่เขาก็ต่อรองจนได้ขึ้นมาคนเดียว เพราะทางเดินก็ใช่ว่าจะใหญ่เดินไปเดินมาสองคนอาจ
"สองปีผ่านไปไวจังน้า"เป็นหญิงแววเจ้าประจำพูดเปิดประเด็น เนื่องจากเมื่อวานเป็นวันสุดท้ายของภาคเรียนที่สี่แต่ละคนล้วนมีสภาพไม่ต่างจากผีตายซากจึงเลื่อนนัดกินเลี้ยงมาเป็นวันเสาร์แทน กระนั้นก็ยังคงมีปัญหาเพราะต่างคนต่างต้องเริ่มเตรียมตัวฝึกงานกว่าจะหาเวลาตรงกันได้ก็ปาไปบ่ายสามโมง"ทีแรกเราไม่อยากมาเรียนต่อเสียด้วยซ้ำ แต่พอได้มาแล้วก็สนุกดีนะครับ""เราก็คิดว่าไม่น่าจะหาเพื่อนได้ตั้งแต่วันแรกเหมือนกัน"เพื่อนทั้งสองได้ยินที่แก้วพูดก็หัวเราะ อย่างเจ้าตัวน่ะเหรอจะหาเพื่อนไม่ได้ เรียนมาสองปีใคร ๆ ก็รู้ว่าแก้วเป็นหน้าเป็นตาให้แก่กลุ่มมากขนาดไหน อาจเพราะเป็นพี่โตสุดในห้องเรียนกระมัง จึงพูดคุยสื่อสารถูกคอกับคณาจารย์ ทั้งยังเป็นที่พึ่งพาให้แก่เพื่อน ๆ คนอื่นในห้องได้อีกแบบนี้จะไม่ให้เป็นที่รักได้อย่างไรไม่นานบริกรสาวก็ถือถาดสังกะสีเคลือบเงามาพร้อมกับค่อย ๆ จัดเรียงจานบนโต๊ะไม้กลม ร้านที่พวกเขานัดมาทานร่วมกันเป็นร้านอาหารไทยทั่วไปมีรสชาติที่ไม่หวือหวามากทั้งยังใกล้กับวิทยาลัย กระนั้นเครื่องเรือนภายในร้านดูสวยสะดุดตาเสริมบรรยากาศให้ลูกค้าที่เข้ามาอ
แม้วันนี้จะเป็นวันหยุดแต่คุณพ่อของบ้านมีหน้าที่ต้องออกไปสะสางงานกับผู้จัดการส่วนตัวเล็กน้อยทำให้ตั้งแต่เวลาแปดโมงถึงบ่ายโมงครึ่งภายในบ้านจึงมีเพียงคุณย่า หลานสาว และแม่นางรำสามคน พวกเขาทราบกันดีว่าช่วงนี้เจ้าตัวออกไปทำธุระค่อนข้างบ่อย จึงมักหาอะไรทำอย่างเขาก็ฝึกทำอาหารให้คล่อง บางครั้งก็สอนหนังสือน้องขวัญเวลาเด็กหญิงได้รับการบ้านมาแต่วันนี้นับเป็นวันพิเศษกิจกรรมภายในครัวเรือนรอบนี้จึงเป็นการ'จัดงานวันเกิด'ให้พ่อทหารแต่เดิมคุณแม่เล่าว่าเมื่อถึงวันเกิดใครในบ้านลูกชายหล่อนจะพาออกทานมื้อพิเศษนอกบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นร้านวิภาโภชนาหรือไม่ก็ร้านที่คนคนนั้นสนใจ ทว่าสำหรับวันเกิดของตนเองแล้วนั้นเจ้าตัวกลับไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไรนัก มีวันหนึ่งเขาเคยถามวันเกิดกับพี่ดินแต่คำตอบที่ได้คือ'ผมลืมไปแล้วครับ'มันน่าหยิกเสียจริง ทีวันเกิดลูก วันเกิดเขาจำได้แม่น ไม่รู้ว่าหากบอกเวลาเกิดไปด้วยเจ้าตัวคงนั่งจับนาฬิกาสุขสันต์วันเกิดเลยกระมังดีหน่อยที่คุณแม่จำได้ว่าวันเกิดเจ้าลูกชายเป็นวันที่เท่าไร เขาจึงพอกะเกณฑ์เวลาที่จะไปซื้อของขวัญได้
นิสัยดื้อดึงของโฉมงามคนรักยังคงเป็นปัญหาภายในของเขาที่ยังคงแก้ไม่หาย ไม่ว่าจะตื๊อจะยกเหตุผลนานานับสิบประการมากรอกหูแม่นางรำก็มักจะไม่ฟังรวมไปถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน"ผมไปก่อนนะครับ""ที่จริงเราไม่ต้องไปก็ได้นะครับ"พิภพเอ่ยไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร แต่ที่แน่ ๆ เขาพูดประโยคนี้ทุกครั้งที่มาส่งคนรักไปชุมพร เพราะเจ้าตัวบอกว่ามีคณะนางรำก็ต้องกลับไปดูแลไม่อยากปล่อยสองตาเอาไว้เพราะเป็นห่วงเกรงว่าคณะดนตรีจะกลายเป็นซุ้มยาดองไปเสียก่อน บวกกับท่านทั้งสองอายุมากแล้วควรหมั่นกลับไปเป็นระยะเพื่อบรรเทางานที่เข้ามา เพราะอย่างไรเสียแม้จะขึ้นชื่อว่าคณะนางรำแต่นักดนตรีก็มีเพิ่มขึ้นมาหลังจากมีสองตากลับมาช่วยฝึกซ้อมอย่างเต็มตัว ตารางงานอะไรก็ควรทำให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เสียชื่อในอนาคต ซึ่งนั่นเป็นสิ่งพิภพเข้าใจโฉมงามในฐานะเจ้าของคณะคนปัจจุบันเป็นอย่างดีทว่าเรื่องของเรื่องคือเจ้าตัวบอกกับเขาแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าอยากออกค่าเทอมค่าบำรุงการศึกษาของวิทยาลัยด้วยตนเองเพราะมันไม่ได้มากมายอะไร อย่างไรเสียก็พึ่งจะขอทุนได้ไปเมื่อต้นปี ตลอดหนึ่งปีมานี่อีกฝ่ายจึงเพิ่มตารางงานเข้
เนื่องจากแม่นางรำบอกกับเขาเอาไว้ก่อนแล้วว่าช่วงนี้เป็นช่วงของสัปดาห์สอบจึงขออ่านหนังสือดึกหน่อย ซึ่งเขาไม่ได้ว่าอะไรทั้งยังสนับสนุนและซื้อโคมไฟตั้งโต๊ะมาให้ใช้แทนตะเกียงจะได้ไม่เสียสายตา ดังนั้นคืนนี้เขาจึงต้องเข้านอนไปคนเดียวและปล่อยให้ว่าที่คุณครูทบทวนตำราทว่านานวันเข้าแม้จะผ่านช่วงสอบไปแล้วแก้วก็ยังคงนั่งอ่านหนังสือดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่ยอมหลับยอมนอน"แก้วนอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปเรียนไม่ไหว"พิภพกล่าวขึ้นพลางมองไปยังโต๊ะเขียนหนังสือมุมห้องนอน ตอนนี้ก็ใกล้สี่ทุ่มแล้ว เขางีบหลับไปพักหนึ่งก่อนตื่นมากะจะเข้าห้องน้ำก็ยังคงเห็นแม่นางรำนั่งอ่านหนังสืออยู่"ขออีกแป๊บหนึ่ง""แป๊บหนึ่งอะไร ตาจะปิดอยู่แล้วนั่น"แม้โฉมงามจะขอเวลาแต่สภาพตอนนี้ใกล้จะหลับเต็มที ไม่รู้ที่วิทยาลัยโครงการให้มาทำหรือเปล่าแก้วถึงได้ตั้งอกตั้งใจอ่านขนาดนี้พิภพเดินเข้าไปใกล้กะจะดูเสียหน่อยว่าแม่นางรำกำลังเครียดกับเนื้อหาอะไร ทว่าเมื่อคนบนเก้าอี้จับได้ว่าเขากำลังเดินเข้าไปใกล้ก็รีบปิดหนังสือพึ่บพั่บแล้วหากระดาษสมุดอะไรมาบังไม่ให้เห็นหน้าปก อย
"ขวัญวันนี้แต่งตัวน่ารักจังเลยค่ะ"ว่าที่คุณครูคนสวยที่เอ่ยชมสาวน้อยประจำบ้านซึ่งกำลังเดินเตาะแตะออกมาในชุดกระโปรงสีเหลืองลายปักดอกไม้เข้าคู่กับกระเป๋าใบจิ๋วพร้อมกับผมสีดำที่ยาวขึ้นจนสามารถถักเปียสองข้างได้เด็กน้อยจูงมือคุณย่าออกมายังหน้าบ้าน ก่อนที่หญิงมีอายุจะหันกลับไปปิดประตูลงกลอนบ้านเพราะวันนี้ทั้งครอบครัวมีนัดไปทานมื้อพิเศษร่วมกันเนื่องจากเด็กหญิงขวัญฤดีสอบได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งของห้องและครูแก้วที่สอบเข้าวิทยาลัยได้สำเร็จตรีศูลรับหน้าที่เป็นคนจูงมือเด็กหญิง ทั้งสองแต่งตัวเข้าคู่กันอย่างกับนัดกันมา กางเกงสีน้ำตาลไหม้และเสื้อเนื้อละเอียดสีเกาลัดเป็นภาพอันน่าดูชมแก่พ่อทหารเสาหลักของบ้านที่ใส่เสื้อผ้าพอให้ดูได้ ถ้าเมื่อเช้าแม่นางรำไม่ลากเขาเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อคงได้ไปทานมื้อเย็นพร้อมเสื้อขาด ๆ เป็นแน่"ตายจริง แบบนี้แม่ก็ไม่เข้าพวกอยู่คนเดียวสิจ๊ะ"แม่เอี่ยมหันมามองเด็ก ๆ ก็นึกอยากจะกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อ หล่อนติดใส่เสื้อถักลูกไม้แขนสามส่วนสีขาวรู้แบบนี้น่าจะหยิบตัวที่สีออกเหลืองมาเสียหน่อย"ใครว่าล่ะจ้ะ กระเป๋าแม่ก
ตรีศูลที่รีบออกมาก่อนเพราะอายปาก แม้มันจะเป็นคำพูดปกติไม่ได้หวือหวาอะไรมากมายทว่ามันกลับทำให้ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เสียอย่างนั้น ของที่คิดว่าง่ายมันกลับไม่ง่ายเลยจริง ๆ แต่คุณแม่บอกว่าพี่เขาชอบเขาก็จะลองทำไปเรื่อย ๆ ดูจะได้ปรับสมดุลอารมณ์เขินเป็นเด็กแบบนี้ไปในตัวเดินมาเพียงสิบห้านาทีเข้าประตูใหญ่และเดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงหอประชุมที่ตอนนี้เต็มไปด้วยนักศึกษาหน้าใหม่กันทั้งนั้น แล้วเขาที่อายุย่างเข้าเลขสามแล้วยังเนียนกับฝูงชนอยู่ไหมล่ะนี่ว่าที่คุณครูถอนหายใจไปพลางหย่อนกายทิ้งตัวลงบนเก้าอี้สาธารณะใต้ร่มไม้มองเหล่าเด็ก ๆ ที่ต่างจับกลุ่มพูดคุยกันเป็นกลุ่มย่อย ๆ ทำให้นึกถึงลูกศิษย์ตัวเองที่ได้ข่าวมาว่าตอนนี้เจ้านพสอบติดและได้เข้าศึกษาต่อเป็นที่เรียบร้อย ในตอนนี้ที่คณะก็มีเพียงแค่ตาเทิดตาไฮ้คอยสอนดนตรี อย่างว่าเขาต้องกลับไปดูแลคณะบ้างในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ งานคงจะหนักน่าดูแต่ก็คงสนุกพอกันพิธีปฐมนิเทศถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย นักศึกษาแต่ละคณะถูกจัดแบ่งเป็นระเบียบแถวตามป้ายทำให้เขารู้ว่าหลักสูตรที่เขากำลังเรียนมีคนน้อยกว่าใครเพื่อน ทั้งยังมีคนที่น่าจะอยู่รุ่นราวคร
แม้ยามนี้อาทิตย์จะยังไม่ขึ้น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีขาบดำ บรรยากาศรอบข้างเย็นสบายเนื่องด้วยไอความหนาวที่โชยพัดเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างที่ถูกเปิดเอาไว้สำหรับระบายอากาศ ริ้วมุ้งบางปลิวอย่างเชื่องช้าก่อนจะถูกมือคู่สวยรวบมัดเข้ากับเสาเรียบร้อยตรีศูลในเสื้อคอปกแข็งสีขาวสะอาดกางเกงสีดำครามและเข็มขัดเข้าเอวจัดแจงผ้าโปร่งให้เข้าทีก่อนจะหย่อนกายนั่งอยู่ขอบเตียง พินิจมองเจ้าของบ้านหลังเก่าแก่อย่างนึกสนุก มือคู่บางจากที่เอาไว้ค้ำยันตัวกับผืนผ้ากลับค่อย ๆ ยื่นปลายนิ้วไปแตะยังปลายจมูกของพ่อทหารที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่อง ทันใดนั้นหว่างคิ้วก็ย่นเข้าหากันเป็นที่ขบขันแก่แม่นางรำ คนเด็กกว่าจึงถือโอกาสอีกครั้งโดยการเคลื่อนร่างไปนั่งบนเตียงอย่างเต็มตัว และจึงเมียงมองหาจุดน่าแกล้งต่อ"อ๊ะ!"ไม่ทันจะได้เล่นต่อแขนก็ถูกดึงไปข้างหน้าพร้อมกับน้ำหนักที่มากดเอวเอาไว้ ลืมตาขึ้นมาอีกทีตรีศูลจึงรู้ว่าตัวเองได้คร่อมพ่อทหารเสียแล้ว"ซนจังเลยเรา"พิภพกล่าวอย่างคนพึ่งตื่น เขาก็คิดอยู่ว่าแมวตัวไหนมาเอาอุ้งมือจิ้มหน้าที่แท้ก็เป็นแม่แมวนี่เอง นายทหารยกยิ้มก่อนจะหยัดตัวขึ้นโดยท
ทั้งสองมาขึ้นรถราง นั่งรอผู้โดยสารคนอื่นขึ้นจนครบไม่นานรถก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทีแรกพ่อทหารกะจะกลับไปนอนบ้านด้วยตัวเองแล้วค่อยตื่นมารับคนรักในวันรุ่งขึ้นทว่าด้วยสายตาอันเว้าวอนของนางรำตัวน้อยเขาจึงตอบตกลงที่จะมานอนค้างแรมอยู่ที่'บ้านใหญ่'ของเจ้าตัวหนึ่งคืนแทนทว่าเมื่อถึงเขาก็ต้องหน้าเหวอ เขาทราบดีจากเรื่องที่แม่นางรำเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าเจ้าตัวมาจากบ้านที่มีกินมีใช้ แต่ไม่คิดว่ามันจะมากมายขนาดนี้ พิภพยิ่งเดินเข้าไปก็ยิ่งอึ้งสวนเอยน้ำพุเอยมันชวนให้เขานึกถึงเรื่องราวในละครอย่างไรอย่างนั้น"พี่ตรีกลับมาแล้วเหรอครับ"เสียงสดใสของเด็กหนุ่มที่กำลังช่วยคุณลุงคนสวนเล็มพุ่มไม้แว่วมา เสียงรองเท้าหนังเนื้อดีกระทบพื้นปูนเรียบเป็นจังหวะ อดิศรในเสื้อคอปกลายทางกางเกงขาสั้นวิ่งมาต้อนรับพร้อมยกมือสวัสดีอดีตครูฝึก ใบหน้าผ่องใส เครื่องแต่งกายอันมีราคาชวนให้พิภพสงสัยว่า ถ้าเอ็งรวยขนาดนี้แล้วจะมาสมัครเป็นทหารเพื่อ!?เดินเข้ามาภายในแน่นอนว่าถูกต้อนรับเป็นอย่างดี แม้จะบอกว่าเขาเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บเองได้แต่เหล่าคนใช้ในบ้านก็อาสาจนเขาปฏิเสธไม่ได้"คุณดิน ใช่
"แก้ว รู้อะไรเกี่ยวกับเพื่อนเราบ้างหรือเปล่า?"พิภพถามเนื่องจากเขาเพียงมองแวบแรกก็รู้ได้แล้วว่าเจ้าเพื่อนสนิทมันคิดไม่ซื่อ ทว่าดูเหมือนแม่คนงามดูจะพูดคุยสนิทชิดเชื้ออย่างไม่มีตงิดใจถึงเรื่องนี้เลยสักนิด"รู้อะไรเหรอครับ" ตรีศูลฉงนสงสัยไม่เข้าใจ"รู้ไหมว่าเพื่อนคนนั้นเขาชอบเราอยู่"พิภพก้มลงกระซิบในขณะที่เดินถือกระเป๋าเดินออกจากสถานีใหญ่ ชวนให้แม่นางรำขำก๊ากกับสิ่งที่คนรักขี้หึงกำลังคิดอยู่"ฮ่า ๆ ไม่หรอกครับ อย่างมันน่ะเหรอจะมาชอบผม""ชะล่าใจเกินไปแล้ว"พิภพกล่าวออกมาอย่างหน่ายใจ ปล่อยให้โฉมงามไม่รู้เช่นนี้ก็ดี ดูจากสภาพการณ์พ่อหนุ่มคนนั้นหลังจากที่เห็นเขาแล้วดูจะเกร็ง ๆ กับแก้วขึ้นมาทันควัน ไม่มีทางข้ามเส้นไปได้มากกว่าสถานะเพื่อนหรอก"พี่ครับ""หือ?"พิภพหันไปสบตาแม่นางรำ ก่อนที่เมื่อถึงมุมอับลับตาคนตรีศูลจะเขย่งปลายเท้าขึ้นไปให้ริมฝีปากใกล้ใบหูของพ่อทหารมากที่สุดแล้วจึงกล่าว"ถึงด้วงมันจะชอบผมจริง แต่ยังไงผมก็รักพี่ดินคนเดียวนะครับ"คนในชุดสีขาวสะอาดกลับมายืนเต็มตามความสูง ยกยิ้มตาหยี