กลิ่นเขม่าควันฉุนจมูกและสายลมที่พัดพากลุ่มเพลิงภายในบ้านเด็กกำพร้าโหมกระหน่ำ คานไม้โทรมถล่มลงมาทับร่างของหญิงชราอันเป็นที่รักพร้อมกับเหล่าพี่น้องต่างสายเลือด มีเพียงเด็กตัวเล็กคนหนึ่งที่กระทำผิดกฎออกมาเล่นกลางดึกทว่ากลับต้องสลดเมื่อมาเห็นภาพความตายนับสิบ ฝ่ามือคู่น้อยอดทนต่อความร้อนดึงท่อนไม้ดำเมี่ยมออกในขณะที่เจ็บจนน้ำตาเล็ด สะเก็ดไฟที่ยังลุกกระเด็นโดนแขนบ้างหน้าขาบ้างทว่าเด็กชายยังไม่หยุด สุดท้ายทุกอย่างกลับไร้ประโยชน์ เหล่าคนที่รักได้กลายเป็นเถ้าธุลีไม่ต่างจากตอไม้อันใกล้ที่โดนลูกหลง
เด็กชายทรุดนั่งมองเหล่าร่างไร้วิญญาณ ทั้งตัวชาหนึบไม่จนไม่อาจรู้สึกรู้สาอะไร ทว่ากลับมีสิ่งหนึ่งที่ติดตาเด็กชาย ร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลางคนที่หัวเราะร่าพร้อมด้วยเงินถุงโตในมือและลูกน้องมากหน้าหลายตา ที่ไม่ทันได้สังเกตเด็กน้อย
'เงินแค่นี้ก็พอจะให้ไอ้ดินมันแต่งเมียได้ล่ะวะ ฮ่า ๆ '
รอยสักอินทรีโอบพระจันทร์หลังคอ ลอนผมประกายครามสะท้อนผ่านแสงกองไฟที่ยังคงไม่มอดดี เสี้ยววินาทีนั้นเขาก็หาเป้าหมายของการใช้ชีวิตเจอ
คือการแก้แค้นไอ้ชั่วคนนั้นอย่างสาสม
ทว่ารู้อีกท
ปลื้มเดินมายังเรือนนางรำในขณะท้องฟ้ายังคงเป็นสีครามเนื่องจากเลยเวลาย่ำรุ่งมาไม่นานนักมาถึงก็เจอเด็กหญิงวิ่งเล่นกับเจ้าศรอยู่ในสวนดอกเข็มข้างเรือน ด้วยนิสัยติดตัวไม่วายนายสิบอารมณ์ดีต้องเข้าไปทักทายวี้ดว้ายกับเด็กหญิงก่อนจะเห็นว่าร้อยเอกเดินลงมาจากเรือนด้วยชุดที่อยู่บ้านแบบสุด ๆเสื้อกล้ามบวกกับผ้าขาวม้าผูกอย่างง่าย ณ จุดจุดนี้หากจะบอกว่าเป็นเจ้าของเรือนเขาก็เชื่อเจ้าตัวเดินลงมาถามในเรื่องที่เขาออกปากว่าจะตามสืบให้ เมื่อเขาอธิบายเรื่องราวความสัมพันธ์อันดูวายป่วงระหว่างหมอกับทหารให้รุ่นพี่เจ้าฟังอีกคนก็ดูว่าจะมีท่าทีไม่ค่อยแปลกใจนักประหนึ่งว่าคาดคะเนอะไรบางอย่างมาก่อนแล้วเมื่อได้ความเขาจึงถูกดึงตัวมาดูยังหน้าทางเข้าป่า พิภพชี้ไปยังรอยเท้าที่ตอนนี้ค่อนข้างจาง ด้วยว่าเมื่อคืนฝนตกน้ำชะรอยไปบางส่วน แต่ก็ยังคงดูเป็นรูปเป็นร่างได้ว่ารอยนี้ต้องมาจากบูทไม่ก็คอมแบตของทหารด้วยกันเป็นแน่ โดยเมื่อคืนตัวพิภพเองยังคงสงสัยว่าต้นเสียงนั่นคืออะไร กลางดึกจึงแอบลงเรือนมาส่องตะเกียงดูจนเห็นรอยเท้านี่ปรากฏอยู่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ของพวกเขาทั้งสองคนอย่างแน่
พิภพกล่าวตัดบทก่อนจะเดินออกไป บานประตูไม้หนาถูกปิดลงอย่างไม่เบาแรงนัก ภายในห้องจึงเหลือเพียงตรีศูลที่ยังคงตามสถานการณ์ไม่ทัน นั่งสับสนอยู่ภายในห้องพร้อมกับผ้าพันแผลบริเวณข้อเท้าขวาเขาเข้าใจได้ว่าทำไมคุณดินถึงดูโกรธเขาแบบนั้น แต่ทว่าคุณดินพักนี้ในสายตาเขาดูผิดแผกไปชอบกล บางทีก็นั่งถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่คนเดียว ทอดสายตามองไปยังป่าข้างเรือนอยู่ตลอด และที่สำคัญคืออารมณ์ เขาคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะภาระงานที่เจ้าตัวแบกอยู่ บางครั้งก็สุขุมทว่ากลับมีบางครั้งที่แสดงอาการฉุนเฉียวนางรำหนุ่มพรั่งพรูลมหายใจออกมาพลางมองลงไปยังฝ่าเท้าบนก้อนผ้านุ่มอย่างไรเสีย สิ่งนี้คงจะเป็นเพียงปัญหาชีวิตคู่อย่างที่คนอื่น ๆ อาจเป็น เขาแค่ต้องเปิดอกคุยกันมันก็เท่านั้น อย่าทำเหมือนนี่เป็นเรื่องใหญ่เลยตรีศูล. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .ภาพตรงหน้าของเขาว่างเปล่า บรรยากาศปกคลุมไปด้วยความมืดประหนึ่งว่าเปลือกตาเขากำลังปิดอยู่ ร่างกายเบาโหวงหวิวไร้ความรู้สึกคล้ายห้วงฝัน สัม
"โห่ อาจารย์อย่างน้อยก็ช่วยผมสักนิดได้ไหม ไม่ต้องทำท่าให้ดูก็ได้"นพเก้างอแงอยู่กลางเรือนเมื่อเจ้าของคณะสั่งให้เขาเป็นคนนำเด็ก ๆ ในการแสดงที่ใกล้เข้ามานี้เพียงตัวคนเดียวโดยปกติแล้วก็จะเป็นอาจารย์ที่คิดท่าแปรแถวให้แต่นี่เขาต้องทำเองตั้งแต่ต้นจนจบแค่คิดนพก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว อุตส่าห์หาข้ออ้างหน่วงเวลาไปเรียนที่พระนครได้แล้วเชียว!แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อจู่ ๆ ข้อเท้าของอาจารย์ก็เป็นแบบนั้น...ตรีศูลนั่งมองเจ้าเด็กขี้เกียจตีโพยตีพาย ทว่าเขารู้ดีว่าศิษย์เอกต้องทำออกมาได้อย่างแน่นอนเสียงบ่นง่องแง่งของนพยังคงดังเป็นพัก ๆ ในขณะที่ตัวแม่นางรำกำลังนั่งเด็ดกลีบกุหลาบอยู่ ณ โต๊ะรับแขกเตรียมจะทำน้ำอบที่ใกล้หมดเต็มที แน่นอนว่าต้องมีพ่อทหารนั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ เมื่อสายตาทอดมองไปยังชานเรือนตรงหน้าเห็นเด็กเล็กเด็กใหญ่นั่งจับกลุ่มพูดคุยกันระหว่างพักซ้อมเป็นที่เพลินตาสำหรับผู้ใหญ่ทั้งสองยิ่งแม้ข้อเท้าของเขาจะฟื้นตัวขึ้นมาบ้างจนสามารถทำกิจวัตรตามปกติได้พอสมควรแล้วแต่คุณดินก็ยังเป็นห่วงรบเร้าให้เขาอยู่ในสายตาตลอดเพราะเกรงว่าจะเป็นอะไรไปอีก'
ปลื้มรีบวิ่งตามหาร้อยตาลีตาเหลือก แม้จะคิดว่าด้วยความสามารถของอีกฝ่ายคงจะไม่เป็นไรแต่ก็นึกเป็นห่วงไม่ได้ นายสิบตามหาจนมาหยุดอยู่บริเวณหลังอาคาร เมื่อก้มหน้าหอบหายใจก็เห็นรอยเท้าย่ำทับกันไปมาอยู่หน้าทางเดินเข้าพงหญ้าจนคล้ายว่าตรงนี้จะมีการต่อสู้เกิดขึ้น เขาจึงตัดสินใจรีบวิ่งตามเข้าไป แล้วเมื่อคิดดี ๆ หากเดินลัดเลาะตามป่านี้ไปจนสุดทางมีความเป็นไปได้ว่าจะไปโผล่ที่หลังเรือนนางรำปลื้มวิเคราะห์สถานการณ์ประกอบกับสาวเท้าวิ่งด้วยความรวดเร็ว เมื่อเข้าไปลึกพอสมควรปลื้มก็ได้ยินเสียงแว่วมา เดินไปเรื่อย ๆ ก็ได้เห็นภาพอยู่ไกล ๆ ว่ามีกลุ่มคนกำลังตะลุมบอนกันอยู่*พลั่ก!* ทันใดนั้นก็มีแรงหมัดกระแทกเข้าที่ขมับข้างขวาของเขาอย่างจังจนผิวแตก เมื่อรีบตั้งสติมองก็เห็นว่าเป็นทหารญี่ปุ่นจำนวนสองคนก็ทำเอาเขาอารมณ์เสีย โถ่เว้ย ทำไมต้องเวลานี้ด้วยวะ เสียเวลาฉิบเป๋งด้วยกายหยาบที่มีขนาดต่างกันกว่าเขาจะล้มพวกมันได้ก็กินเวลาพอสมควร เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อเขามาถึงตำแหน่งนั้นหัวหน้าเขาก็เก็บกวาดพวกมันลงไปนอนกับพื้นแล้วเรียบร้อย แม้จะดูสะบักสะบอมไปบ้างแต่การเอาชนะทหารที่รูปร
รุ่งเช้ามาตรีศูลที่ครั้งนี้เป็นฝ่ายตื่นก่อนลืมตามาก็เห็นใบหน้าของนายทหารที่ยังคงหลับอยู่ ชวนให้นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่พวกเขามีปากเสียงกันหนักขนาดนั้นเป็นครั้งแรกโฉมงามถอนหายใจออกมาก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแว่นบนหัวเตียงขึ้นมาสวม แล้วจึงค่อย ๆ ขยับขาเพื่อไม่ให้ข้อเท้าได้รับการกระทบกระเทือน แม้จะบอกว่าเดินได้แล้วก็จริงทว่าหากนั่งในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ แล้วลุกเดินกะทันหันละก็ข้อเท้าจะรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที ยิ่งหลังจากตื่นนอนยิ่งต้องใช้เวลานั่งพัก หากย้อนกลับไปได้เขาน่าจะมองทางให้ดีกว่านี้จะได้ไม่ต้องมาเจ็บตัว แถมกับดักหนูนั่นมาจากไหนก็ไม่รู้ จะเป็นของตาเทิดตาไฮ้ก็ไม่น่าเพราะทั้งสองตอนนี้อยู่พระนครจะมาซุ่มซ่ามวางของในเขตเรือนจังหวัดชุมพรได้อย่างไร เด็ก ๆ นางรำก็ซักซ้อมบนเรือนตลอด แล้วมันจะเป็นใครไปได้เขานึกหน้าคุณโอคาดะขึ้นมาได้ทว่าทหารคนนั้นถึงเขาจะได้คุยเพียงไม่กี่ครั้ง หรือแม้ว่าอีกคนจะเป็นชาวต่างชาติ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปตัดสินเขาว่านั่นจะเกิดจากฝีมือเจ้าตัว หากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีชาวต่างแดนมาแวะเวียนแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติ เขาพยายามเว้นระยะห่างแต
ในตอนนี้พวกเขาพากันมาอยู่ที่โรงพยาบาลสนามแม้พิภพอยากจะพาไปโรงหมอแต่เป็นที่รู้กันว่าบรรดาหมอส่วนใหญ่ก็ย้ายมาประจำการที่นี่เป็นการชั่วคราวทำให้สถานีอนามัยแถบนี้ปิดกว่าจะเจออีกทีก็ต้องเดินทางข้ามตำบลโดยตรงหน้าของพวกเขาคือหมอชาวญี่ปุ่นที่พิภพไม่ค่อยจะถูกชะตาด้วยเท่าไรนักแต่จะให้ทำอย่างไรได้ เมื่อแม่นางรำเอาตัวเองขึ้นมาเป็นตัวประกันว่าหากไม่ทำตามที่บอกก็จะไม่ยอมตรวจกับหมออื่นนายแพทย์ตรวจดูข้อเท้าอย่างละเอียด ค่อย ๆ จับพลิกดูพร้อมกับสอบถามข้อมูลจากตรีศูลที่นั่งบนเก้าอี้ผู้ป่วยไปด้วย ซึ่งผลที่ออกมาคือ'ปกติดี แต่ช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้แนะนำว่าให้เดินระวังหน่อย'คุณหมอยังคงพูดห้วนตรงอย่างเคยแต่ก็ช่วยให้พ่อทหารที่ดูจะเป็นกังวลเกินหน้าเกินตาผ่อนปรนมาตรการลงมา และปล่อยให้แม่นางรำได้เดินไปไหนมาไหนคนเดียวได้บ้างเหมือนอย่างในตอนนี้ที่เขาเดินออกมาพบคุณน้ำที่โรงพยาบาลได้อย่างเป็นปกติแม้พ่อทหารจะยืนเป็นผู้รักษาความปลอดภัยอยู่หน้าประตูใหญ่ ถึงทีแรกเจ้าตัวจะขอเดินตามขึ้นมาด้วยแต่เขาก็ต่อรองจนได้ขึ้นมาคนเดียว เพราะทางเดินก็ใช่ว่าจะใหญ่เดินไปเดินมาสองคนอาจ
แม้เช้าวันนี้นพจะไม่มีซ้อมเพราะอาจารย์บอกให้งดชั่วคราวไปก่อนแต่เจ้าศรมันดันลืมว่าตัวเองตากผ้าเอาไว้ เสื้อผ้าที่ขนมาจึงมีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับหนึ่งสัปดาห์ ไอ้เด็กนี่มันน่าหยิกจริงเชียวทำไมถึงไม่ตรวจทานให้ดีก่อนนพเก้าถอนหายใจออกมาพลางมองอดิศรที่หัวเราะแหะ ๆ แล้วก็พึ่งมานึกออกว่าเมื่อวานตัวเองลืมช่วยลุงทหารปรามอาจารย์ พอเกิดเรื่องที่เจ้าขวัญร้องไห้เพราะเจอเงาตะคุ่มในป่าสติเขาก็กระเจิงเลยเชียว ไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นยังไงบ้าง ทั้งสองจะยังอยู่ดีรึเปล่าเพราะบรรยากาศช่วงนี้ก็ใช่ว่าจะรื่นรมย์นัก"จริง ๆ ผมมาคนเดียวก็ได้ พี่นพไม่ต้องหรอก"ศรพูดด้วยความเกรงใจเพราะเห็นเจ้าพี่ทำหน้าเคร่งเครียด"เอ็งก็รู้นี่ว่าตอนนี้ที่เรือนมันไม่ปกติ ไปคนเดียวมันอันตราย"ศรที่ได้ยินคนแก่กว่าพูดดังนั้นก็ได้แต่เออออตามก่อนจะชำเลืองมองความต่างของขนาดตัว เขาที่ยังโตได้อีกตอนนี้มีส่วนสูงเกินจนยืนเห็นกระหม่อมพี่นพแล้วก็เกาคางตัวเองแกรก ๆ พี่ชายตัวจิ๋วจะทำอะไรได้เล่าศรเองใจจริงก็ไม่อยากเดินกลับเรือนนักหรอกด้วยบรรยากาศที่ผ่านมาก็ชวนให้เด็กคนเดียวอย่างเขาไม่ค่อยอยาก
แม่นางรำกับคุณหมอนั่งสนทนากันจนเกือบลืมเวลาพอมาดูอีกทีก็ปาไปจะบ่ายเสียแล้ว"คุณน้ำสนใจทานมื้อเที่ยงด้วยกันเลยไหมครับ""ไม่เป็นไรครับ จริง ๆ ผมก็ควรรีบกลับตั้งแต่แรกเพราะเดี๋ยวจะมีคนมาเห็นเอา"ก็เขาหนีออกมาจากฐานทัพในขณะที่กำลังโดนผู้พันจับตามองอยู่ หากเจ้าตัวออกตามหาแล้วมาเจอเขาเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้ละก็คนรอบข้างอาจจะซวยได้เมื่อได้ยินดังนั้นทำให้ตรีศูลต้องวิ่งไปหยิบร่มบนเรือนมาให้เจ้าตัวยืมอีกครั้งทั้งที่พึ่งเอากลับมาคืนเมื่อเช้า เพราะตอนนี้เมฆตั้งเค้ามาคล้ายว่าพายุจะเข้ากลางวันแสก ๆ"เดินทางปลอดภัยนะครับ"ตรีศูลกล่าวขณะเดินลงมาส่งคุณหมอและนายสิบ แน่นอนว่าพิภพต้องเดินตามลงมาประกบ ท่าทางการบอกลาระหว่างแม่นางรำและคุณหมอช่างดูน่ารักน่าชังยิ่ง คนหนึ่งกล่าวลาอย่างสดใสคนหนึ่งพยักหน้าหงึก ๆนางรำหนุ่มโบกมือลาด้วยความผาสุกเพราะวันนี้รู้สึกเหมือนตัวเองได้สนิทกับเพื่อนใหม่มากขึ้นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ถึงรอยแผลอันนับไม่ถ้วนของเจ้าตัวคุณหมอกระชับคันร่มพร้อมโบกมือลาเพื่อนนางรำทว่าเมื่อหันมาอีกทางหางตาดันไปสบเข้าก
๑๙ถึง คุณแก้วผู้ครอบครองหัวใจของผม ตอนผมเขียนจดหมายฉบับนี้แม้มันจะไม่ใช่ฉบับสุดท้าย แต่ผมก็ใจหายไม่น้อยเมื่อรู้ว่าจะเขียนจดหมายถึงคุณได้เพียงแค่นี้เพราะผมเหลือเวลาอีกไม่มากในการเขียนพวกมันขึ้นมา บางทีโทษที่ได้รับอาจมากเกินกว่ายี่สิบปีหรือผมอาจไม่มีลมหายใจจะกลับมาบอกรักคุณด้วยตัวเอง ดังนั้นไม่ว่ามันจะจำเจแค่ไหน ผมก็จะบอกว่าผมรักคุณ ผมรู้ว่าผมกำลังใช้คำที่มีความหมายอันลึกซึ้งพร่ำเพรื่อ แต่ไม่มีคำไหนที่จะอธิบายความรู้สึกของผมไปได้มากไปกว่าคำนี้แล้ว ได้โปรดให้อภัยผู้ชายน่าเบื่อคนนี้ด้วยนะครับ ผ่านมาจนจะครบยี่สิบปี โลกในตอนนั้นคงเปลี่ยนไปมาก คงจะมีรถเต็มทั่วท้องถนน คงจะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมากมาย แต่อย่างน้อย ขอแค่คุณเปิดอ่านจดหมายเก่า ๆ ฉบับนี้และอ่านมันเพียงแค่คำขึ้นต้น ผมที่อยู่ในเรือนจำคงจะมีความสุขมากเกินคณานับ
วันที่พวกเขาต้องกลับบ้านนั้นมาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ประหนึ่งชั่วพริบตาช่วงเวลาหนึ่งเดือนก็หมดลง กระนั้นแม้ตัวเขาจะกลับมาใช้ชีวิตบนเรือนนางรำอย่างปกติ กระนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขาและพ่อเสือสุพรรณยังคงดำเนินต่อไป "แบบนี้ผมคงคิดถึงแย่" "พูดแบบนี้แต่ยังไงผมก็ต้องกลับบ้านอยู่ดีนะครับ" พิภพตั้งใจพูดให้ตนนั้นดูน่าสงสารในสายตาโฉมงามแต่เพราะคงจะใช้วิธีนี้บ่อยเกินจนโดนแก้วจับไต๋ได้หมดแล้ว ช่วงเวลาหนึ่งเดือนพวกเขาได้ทำหลายอย่างร่วมกัน ตระเวนป่า ชวนกันไปเก็บผลไม้ หรือแม้แต่การนอนบนเตียงเดียวกันทว่าถึงอย่างนั้น แม่คนงามยังคงไม่อนุญาตให้เขาขยับความสัมพันธ์ไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งยังดูสนุกสนานที่ได้หยอกล้อปั่นหัวเขาเล่น แสนซนเหลือเกิน&nbs
ตรีศูลอยู่ที่นี่มาร่วมเดือนเริ่มสนิทกับทุกคนในชุมเสือมากขึ้น ยิ่งได้มารู้ว่าแต่ละคนผ่านอะไรมาบ้างในชีวิต ความเข้าใจที่มีเจตนารมณ์ของชายผู้เป็นมหาโจรยิ่งมากขึ้น เบื้องลึกเบื้องหลังของแต่ละคนช่างน่าเศร้า บางคนระหกระเหินเร่ร่อนมาจากแดนไกล บางคนเคยมีการงานที่ดีแต่หัวหน้าคดโกงใส่ร้าย หรืออย่างพี่ประไพที่เกิดมาในชุมเสือแต่แรก เพราะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสืออย่างใครเขา สาวเจ้าจึงอ่านเขียนไม่ได้ จะมีก็แต่คุณดิน คุณปลื้ม และเจ้าสิงห์ที่เรียนมา ว่าง ๆ ก็จะมาคอยสอนหนังสือ ทว่าเอาเข้าจริงทั้งสามคนก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากนักหรอก "แก้วสอนเก่งจัง" "พี่เรียนรู้ไวต่างหากจ้ะ" เนื่องจากเจ้าพี่ขอให้เขาสอนเขียนอ่านพื้นฐานให้บนชานเรือน ดีที่ที่นี่มีกระดาษเครื่องเขียนครบครัน เขาจึงสอนให้ได้อย่างไม่ติดขัดอะไร&n
ตรีศูลแม้ร่างกายยังคงหนักอึ้งและสะลึมสะลือเพราะฤทธิ์ยาแต่ตลอดหลายวันที่เขานอนซมอยู่บนเตียงเขารู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นที่เข้ามาเช็ดเนื้อตัวอยู่ไม่ขาด ทว่าเมื่อตอนที่เขาลืมตาตื่นชายคนนั้นก็มักจะมีกิจให้ต้องออกไปนอกห้องจนเขาไม่สามารถขอบคุณได้ ทว่าตอนนี้อาการเขาดีขึ้นมากแล้ว สามารถมีแรงกลับมาพาตัวเองลุกขึ้นนั่งได้โดยไม่ปวดหัว ร่างโปร่งในเสื้อผ้าตัวโคร่งปล่อยผมยาวสยายลงมาก่อนจะใช้นิ้วสางให้พอเรียบเป็นทรง มองซ้ายมองขวาสำรวจข้าวของภายในห้องก่อนจะรู้ว่าเจ้าของเป็นคนเรียบง่าย โต๊ะตู้เตียงล้วนเป็นของไม่ได้มีลวดลายหวือหวา ทั้งห้องยังโล่งโปร่งไม่มีเครื่องเรือนประดับเพื่อความสวยงามมากนัก *แอ๊ด* เสียงบานพับประตูดังขึ้นก่อนที่ชายร่างสูงใหญ่ในเสื้อผ้าอย่างง่ายจะเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ ทว่ากลับต้องตกใจเมื่อเห็นว่าโฉมงามที่นอนซมข้ามวันข้ามคืนมีแรงพอจะลุกขึ้นมานั่งขอบเตียงได้แล้ว&nbs
บนหน้าหนังสือพิมพ์หน้าแรกเมื่อหลายปีก่อนประกาศข่าวการจับกุมของเสือหินผู้เป็นดังจุดด่างพร้อยของวงการตำรวจ ไม่เคยมีใครสามารถควบคุมบุรุษผู้นี้ได้ทว่าท้ายที่สุดผู้ที่สามารถสวมกุญแจมือมันได้กลับเป็นลูกในไส้ของมันเอง ข่าวนี้แพร่สะพัดไปพร้อมกับความดีใจของปุถุชนคนทั่วไปโดยเฉพาะเศรษฐีผู้มากมีที่ต่างพากันโล่งใจ กกกอดทรัพย์สมบัติของตนซึ่งล้วนได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของผู้อื่น เพชรนิลจินดากองพะเนินในตู้นิรภัยมีที่มาจากเงินของชาวบ้านผู้หาเช้ากินค่ำ กว่าเขาจะได้พวกมันมากอดหอมมากมายจนล้นมือเช่นนี้มันผ่านการหลอกลวงมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ต้องหวาดกลัวเมื่อมีอ้ายอีหน้าไหนมันสะเหล่อตั้งตนเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เข่นฆ่าฉกชิงของในการดูแลไปเป็นสมบัติสาธารณะ แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะโจรผู้ร้ายได้ถูกจับ ไอ้พวกสิ้นไร้ไม้ตอกจะหาได้มีวีรบุรุษมาช่วยเหลืออีกต่อไป และของที่รักของเขาจะคงอยู่ตราบนาน
โฉมงามจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่อมีสุราอยู่ในร่างกาย นั่นคือสิ่งที่พิภพหาข้อสรุปได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมามากกว่าสิบครั้ง ที่ตาเทิดตาไฮ้เคยบอกว่าแม่นางรำขี้เมานั้นเป็นเรื่องจริงแบบที่ไม่ต้องหาหลักฐานอื่นใดมาพิสูจน์ เพราะเมื่อเขาลุกขึ้นมาจากพื้นกะจะไปล้างมือ แก้วจึงฉวยโอกาสคว้าขวดสุรากระดกประหนึ่งอดอยากปากแห้งมาจากไหน หันกลับมาอีกทีเจ้าตัวก็เมาแอ๋สิ้นสภาพปลดกระดุมปลดผ้าคลายร้อนนั่งกอดขวดแก้วยิ้มหวานเสียแล้ว เพราะเขากำชับว่าดื่มได้แต่ห้ามเมาเรื้อนอย่างคราวก่อนอีก ทว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ อีกฝ่ายพยายามหาลู่ทางจะกินให้ได้ท่าเดียว เขาล่ะเป็นห่วงเสียจริงหากเขาไม่อยู่ออกไปทำงานแล้วแม่นางรำจะเผลอไปสร้างเรื่องอะไรให้เขาต้องปวดหัวอีกบ้าง "งืม...อือ...พี่จ๋า น้องขออีกแก้วหนึ่งน้า" นั่น ขนาดหลับไปแล้วยังอุตส่าห์ขอมาได้อีก 
เข้าปีที่หกของการเป็นคุณครูในโรงเรียนรัฐบาล แม้จะมีเรื่องยุ่งวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน เพราะยิ่งสอนไปนานเข้า สนิทกับเด็ก ๆ บางวันที่ส่งการบ้านไม่ทันก็จะมีคนมาเคาะประตูบ้านส่งงาน เขาไม่ได้คิดมากหากเด็ก ๆ จะแสดงความรับผิดชอบแบบนี้ แต่ปัญหาจะเกิดก็ต่อเมื่อพี่ดินกลับมาบ้าน เข้าใจว่าพอเด็ก ๆ เปิดประตูมาเจออดีตนายทหารสูงใหญ่ขนาดนั้นจะกลัวก็ไม่แปลก ทั้งยังโดนดุอีกว่าทำไมให้เด็กนักเรียนรู้ที่อยู่ สุดท้ายจึงต้องแก้ปัญหาด้วยการสั่งการบ้านเท่าที่จำเป็นและกำชับว่าให้ส่งตรงเวลาแม้จะมีบางคนที่ต้องเคี่ยวเข็ญกันบ้างก็ตาม "เฮ้อ..." ตรีศูลทอดถอนลมหายใจออกมาตั้งแต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกจากประตูรั้ว ไม่รู้ว่าต้องทำงานหนักแบบนี้ไปอีกเมื่อไหร่ เขาสนุกที่จะได้ตื่นเช้ามาเจอเด็ก ๆ แต่มันยังมีภาระงานอื่นเข้ามาด้วยจนต้องปันเวลาตรวจงานไปให้กิจกรรมโรงเรียน มิน่
เพราะอยู่บ้านกันเพียงสองคน งานบ้านจึงต้องแบ่งกันทำ ทว่าพี่ดินก็มีบ่อยครั้งที่ต้องเดินทางไปกลับพระนครชุมพร เขาที่ทำงานตามเวลาราชการในช่วงที่เจ้าตัวรับงานจึงต้องทดแทนหน้าที่ในส่วนนี้ กระนั้นเจ้าพี่ก็ยังใจดี บอกไม่ต้องถูบ้าน เช็ดทำความสะอาดเครื่องเรือนบ่อยนัก ทำเพียงซักผ้ารีดผ้าให้อีกฝ่ายเท่าที่จำเป็นก็พอ แต่ปัญหาที่ยังแก้ไม่หายตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่วิทยาลัยคือคราวที่จะต้องยกตะกร้าผ้าลงมาจากชั้นสอง เพราะตะกร้าของพ่อนักแสดงแม้จะมีประมาณผ้าผ่อนจำนวนพอกันกับเขาแต่พี่ดินตัวใหญ่อย่างกับยักษ์สวมเสื้อตัวเบ้อเร่อ ยิ่งเปียกน้ำยิ่งหนัก ไม่ต้องพูดถึงในตอนที่พี่ดินยังรับราชการทหาร แค่เอาชุดสีเขียวตัวเดียวจุ่มน้ำมาถือเขายังเมื่อยแขนเลย มายังปัจจุบันค่อยดีหน่อยที่มีแต่ผ้าเนื้อเบา แต่เมื่อตอนนี้นักแสดงดาวรุ่งกำลังทำงานอยู่ที่ไหนสักที่ในเมืองหลวง เขาที่อยู่ชุมพรเพียงลำพังจึงต้องใช้สำนวนตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเค้นพลังจากกล้ามเนื้อที่มีอยู่น้อยนิดแบกเจ้าตะกร้าจักสานลงมาจา
"ทำไมเราถึงหยุดล่ะฮึ?" พิภพถามในเมื่อแม่นางรำก่อนมื้ออาหารยังชักชวนไยเมื่อถึงคราวจึงปัดป้อง "ตอนนี้ทำไปเดี๋ยวก็มีคนมาขัดจังหวะอีก ไว้เดี๋ยวคืนนี้เรา...ค่อยมาทำกันนะครับ" ตรีศูลแน่นอนว่ายังคงไม่วางใจในเรื่องนี้ ช่วงกลางวันแม่บ้านพ่อบ้านเดินกันไปมาตลอด จนเขาใจหวิวกลัวใครจะมาเห็นเข้า หากเป็นตอนกลางคืนค่อยดีขึ้นมาหน่อยเพราะต่างคนต่างเข้านอนกันหมดแล้ว พิภพเมื่อได้ยินดังนั้นจึงยอมโอนอ่อนตามที่แม่คนงามต้องการ เขาไม่ขัดอะไรอยู่แล้วหากจะเลื่อนมันออกไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทว่าก่อนจะแยกย้ายกันไปจัดการธุระของตัวเองเขาขอทิ้งทวนเอาไว้เสียหน่อย "พี่ดิน! ทำอะไรครั-*จุ๊บ*&nb