"โห่ อาจารย์อย่างน้อยก็ช่วยผมสักนิดได้ไหม ไม่ต้องทำท่าให้ดูก็ได้"
นพเก้างอแงอยู่กลางเรือนเมื่อเจ้าของคณะสั่งให้เขาเป็นคนนำเด็ก ๆ ในการแสดงที่ใกล้เข้ามานี้เพียงตัวคนเดียว
โดยปกติแล้วก็จะเป็นอาจารย์ที่คิดท่าแปรแถวให้แต่นี่เขาต้องทำเองตั้งแต่ต้นจนจบแค่คิดนพก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว อุตส่าห์หาข้ออ้างหน่วงเวลาไปเรียนที่พระนครได้แล้วเชียว!
แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อจู่ ๆ ข้อเท้าของอาจารย์ก็เป็นแบบนั้น...
ตรีศูลนั่งมองเจ้าเด็กขี้เกียจตีโพยตีพาย ทว่าเขารู้ดีว่าศิษย์เอกต้องทำออกมาได้อย่างแน่นอน
เสียงบ่นง่องแง่งของนพยังคงดังเป็นพัก ๆ ในขณะที่ตัวแม่นางรำกำลังนั่งเด็ดกลีบกุหลาบอยู่ ณ โต๊ะรับแขกเตรียมจะทำน้ำอบที่ใกล้หมดเต็มที แน่นอนว่าต้องมีพ่อทหารนั่งทำงานอยู่ข้าง ๆ เมื่อสายตาทอดมองไปยังชานเรือนตรงหน้าเห็นเด็กเล็กเด็กใหญ่นั่งจับกลุ่มพูดคุยกันระหว่างพักซ้อมเป็นที่เพลินตาสำหรับผู้ใหญ่ทั้งสองยิ่ง
แม้ข้อเท้าของเขาจะฟื้นตัวขึ้นมาบ้างจนสามารถทำกิจวัตรตามปกติได้พอสมควรแล้วแต่คุณดินก็ยังเป็นห่วงรบเร้าให้เขาอยู่ในสายตาตลอดเพราะเกรงว่าจะเป็นอะไรไปอีก
'
ปลื้มรีบวิ่งตามหาร้อยตาลีตาเหลือก แม้จะคิดว่าด้วยความสามารถของอีกฝ่ายคงจะไม่เป็นไรแต่ก็นึกเป็นห่วงไม่ได้ นายสิบตามหาจนมาหยุดอยู่บริเวณหลังอาคาร เมื่อก้มหน้าหอบหายใจก็เห็นรอยเท้าย่ำทับกันไปมาอยู่หน้าทางเดินเข้าพงหญ้าจนคล้ายว่าตรงนี้จะมีการต่อสู้เกิดขึ้น เขาจึงตัดสินใจรีบวิ่งตามเข้าไป แล้วเมื่อคิดดี ๆ หากเดินลัดเลาะตามป่านี้ไปจนสุดทางมีความเป็นไปได้ว่าจะไปโผล่ที่หลังเรือนนางรำปลื้มวิเคราะห์สถานการณ์ประกอบกับสาวเท้าวิ่งด้วยความรวดเร็ว เมื่อเข้าไปลึกพอสมควรปลื้มก็ได้ยินเสียงแว่วมา เดินไปเรื่อย ๆ ก็ได้เห็นภาพอยู่ไกล ๆ ว่ามีกลุ่มคนกำลังตะลุมบอนกันอยู่*พลั่ก!* ทันใดนั้นก็มีแรงหมัดกระแทกเข้าที่ขมับข้างขวาของเขาอย่างจังจนผิวแตก เมื่อรีบตั้งสติมองก็เห็นว่าเป็นทหารญี่ปุ่นจำนวนสองคนก็ทำเอาเขาอารมณ์เสีย โถ่เว้ย ทำไมต้องเวลานี้ด้วยวะ เสียเวลาฉิบเป๋งด้วยกายหยาบที่มีขนาดต่างกันกว่าเขาจะล้มพวกมันได้ก็กินเวลาพอสมควร เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อเขามาถึงตำแหน่งนั้นหัวหน้าเขาก็เก็บกวาดพวกมันลงไปนอนกับพื้นแล้วเรียบร้อย แม้จะดูสะบักสะบอมไปบ้างแต่การเอาชนะทหารที่รูปร
รุ่งเช้ามาตรีศูลที่ครั้งนี้เป็นฝ่ายตื่นก่อนลืมตามาก็เห็นใบหน้าของนายทหารที่ยังคงหลับอยู่ ชวนให้นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่พวกเขามีปากเสียงกันหนักขนาดนั้นเป็นครั้งแรกโฉมงามถอนหายใจออกมาก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแว่นบนหัวเตียงขึ้นมาสวม แล้วจึงค่อย ๆ ขยับขาเพื่อไม่ให้ข้อเท้าได้รับการกระทบกระเทือน แม้จะบอกว่าเดินได้แล้วก็จริงทว่าหากนั่งในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ แล้วลุกเดินกะทันหันละก็ข้อเท้าจะรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที ยิ่งหลังจากตื่นนอนยิ่งต้องใช้เวลานั่งพัก หากย้อนกลับไปได้เขาน่าจะมองทางให้ดีกว่านี้จะได้ไม่ต้องมาเจ็บตัว แถมกับดักหนูนั่นมาจากไหนก็ไม่รู้ จะเป็นของตาเทิดตาไฮ้ก็ไม่น่าเพราะทั้งสองตอนนี้อยู่พระนครจะมาซุ่มซ่ามวางของในเขตเรือนจังหวัดชุมพรได้อย่างไร เด็ก ๆ นางรำก็ซักซ้อมบนเรือนตลอด แล้วมันจะเป็นใครไปได้เขานึกหน้าคุณโอคาดะขึ้นมาได้ทว่าทหารคนนั้นถึงเขาจะได้คุยเพียงไม่กี่ครั้ง หรือแม้ว่าอีกคนจะเป็นชาวต่างชาติ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปตัดสินเขาว่านั่นจะเกิดจากฝีมือเจ้าตัว หากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีชาวต่างแดนมาแวะเวียนแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติ เขาพยายามเว้นระยะห่างแต
ในตอนนี้พวกเขาพากันมาอยู่ที่โรงพยาบาลสนามแม้พิภพอยากจะพาไปโรงหมอแต่เป็นที่รู้กันว่าบรรดาหมอส่วนใหญ่ก็ย้ายมาประจำการที่นี่เป็นการชั่วคราวทำให้สถานีอนามัยแถบนี้ปิดกว่าจะเจออีกทีก็ต้องเดินทางข้ามตำบลโดยตรงหน้าของพวกเขาคือหมอชาวญี่ปุ่นที่พิภพไม่ค่อยจะถูกชะตาด้วยเท่าไรนักแต่จะให้ทำอย่างไรได้ เมื่อแม่นางรำเอาตัวเองขึ้นมาเป็นตัวประกันว่าหากไม่ทำตามที่บอกก็จะไม่ยอมตรวจกับหมออื่นนายแพทย์ตรวจดูข้อเท้าอย่างละเอียด ค่อย ๆ จับพลิกดูพร้อมกับสอบถามข้อมูลจากตรีศูลที่นั่งบนเก้าอี้ผู้ป่วยไปด้วย ซึ่งผลที่ออกมาคือ'ปกติดี แต่ช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้แนะนำว่าให้เดินระวังหน่อย'คุณหมอยังคงพูดห้วนตรงอย่างเคยแต่ก็ช่วยให้พ่อทหารที่ดูจะเป็นกังวลเกินหน้าเกินตาผ่อนปรนมาตรการลงมา และปล่อยให้แม่นางรำได้เดินไปไหนมาไหนคนเดียวได้บ้างเหมือนอย่างในตอนนี้ที่เขาเดินออกมาพบคุณน้ำที่โรงพยาบาลได้อย่างเป็นปกติแม้พ่อทหารจะยืนเป็นผู้รักษาความปลอดภัยอยู่หน้าประตูใหญ่ ถึงทีแรกเจ้าตัวจะขอเดินตามขึ้นมาด้วยแต่เขาก็ต่อรองจนได้ขึ้นมาคนเดียว เพราะทางเดินก็ใช่ว่าจะใหญ่เดินไปเดินมาสองคนอาจ
แม้เช้าวันนี้นพจะไม่มีซ้อมเพราะอาจารย์บอกให้งดชั่วคราวไปก่อนแต่เจ้าศรมันดันลืมว่าตัวเองตากผ้าเอาไว้ เสื้อผ้าที่ขนมาจึงมีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับหนึ่งสัปดาห์ ไอ้เด็กนี่มันน่าหยิกจริงเชียวทำไมถึงไม่ตรวจทานให้ดีก่อนนพเก้าถอนหายใจออกมาพลางมองอดิศรที่หัวเราะแหะ ๆ แล้วก็พึ่งมานึกออกว่าเมื่อวานตัวเองลืมช่วยลุงทหารปรามอาจารย์ พอเกิดเรื่องที่เจ้าขวัญร้องไห้เพราะเจอเงาตะคุ่มในป่าสติเขาก็กระเจิงเลยเชียว ไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นยังไงบ้าง ทั้งสองจะยังอยู่ดีรึเปล่าเพราะบรรยากาศช่วงนี้ก็ใช่ว่าจะรื่นรมย์นัก"จริง ๆ ผมมาคนเดียวก็ได้ พี่นพไม่ต้องหรอก"ศรพูดด้วยความเกรงใจเพราะเห็นเจ้าพี่ทำหน้าเคร่งเครียด"เอ็งก็รู้นี่ว่าตอนนี้ที่เรือนมันไม่ปกติ ไปคนเดียวมันอันตราย"ศรที่ได้ยินคนแก่กว่าพูดดังนั้นก็ได้แต่เออออตามก่อนจะชำเลืองมองความต่างของขนาดตัว เขาที่ยังโตได้อีกตอนนี้มีส่วนสูงเกินจนยืนเห็นกระหม่อมพี่นพแล้วก็เกาคางตัวเองแกรก ๆ พี่ชายตัวจิ๋วจะทำอะไรได้เล่าศรเองใจจริงก็ไม่อยากเดินกลับเรือนนักหรอกด้วยบรรยากาศที่ผ่านมาก็ชวนให้เด็กคนเดียวอย่างเขาไม่ค่อยอยาก
แม่นางรำกับคุณหมอนั่งสนทนากันจนเกือบลืมเวลาพอมาดูอีกทีก็ปาไปจะบ่ายเสียแล้ว"คุณน้ำสนใจทานมื้อเที่ยงด้วยกันเลยไหมครับ""ไม่เป็นไรครับ จริง ๆ ผมก็ควรรีบกลับตั้งแต่แรกเพราะเดี๋ยวจะมีคนมาเห็นเอา"ก็เขาหนีออกมาจากฐานทัพในขณะที่กำลังโดนผู้พันจับตามองอยู่ หากเจ้าตัวออกตามหาแล้วมาเจอเขาเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้ละก็คนรอบข้างอาจจะซวยได้เมื่อได้ยินดังนั้นทำให้ตรีศูลต้องวิ่งไปหยิบร่มบนเรือนมาให้เจ้าตัวยืมอีกครั้งทั้งที่พึ่งเอากลับมาคืนเมื่อเช้า เพราะตอนนี้เมฆตั้งเค้ามาคล้ายว่าพายุจะเข้ากลางวันแสก ๆ"เดินทางปลอดภัยนะครับ"ตรีศูลกล่าวขณะเดินลงมาส่งคุณหมอและนายสิบ แน่นอนว่าพิภพต้องเดินตามลงมาประกบ ท่าทางการบอกลาระหว่างแม่นางรำและคุณหมอช่างดูน่ารักน่าชังยิ่ง คนหนึ่งกล่าวลาอย่างสดใสคนหนึ่งพยักหน้าหงึก ๆนางรำหนุ่มโบกมือลาด้วยความผาสุกเพราะวันนี้รู้สึกเหมือนตัวเองได้สนิทกับเพื่อนใหม่มากขึ้นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ถึงรอยแผลอันนับไม่ถ้วนของเจ้าตัวคุณหมอกระชับคันร่มพร้อมโบกมือลาเพื่อนนางรำทว่าเมื่อหันมาอีกทางหางตาดันไปสบเข้าก
เช้าวันรุ่งขึ้นพิภพเป็นฝ่ายตื่นขึ้นมาก่อนอย่างเคย หลังพาตัวเองไปอาบน้ำอาบท่าและทำมื้อเช้ารอคนขี้เซา ทว่าเมื่อตระเตรียมข้าวปลาอาหารเสร็จจากปกติที่แม่นางรำจะตื่นไม่ห่างจากเขามากนักทว่ายามนี้กลับยังไม่เห็นอีกคนเดินออกมาล้างหน้าล้างตาก็ชวนให้พ่อทหารรู้สึกสงสัย จึงเดินวกกลับเข้าไปดูก็ยังเห็นว่าคนตัวเล็กยังคงซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มขดเป็นก้อนกลมในขณะที่ภายในห้องตอนนี้มีแสงแดดส่องเข้ามาจนจากอากาศที่เย็นเมื่อกลางคืนอุ่นขึ้นอย่างสัมผัสได้พิภพในเสื้อผ้าอย่างง่ายเดินเข้าไปนั่งปลายเตียงก่อนจะแตะไปยังกลางลำตัวของแม่นางรำเป็นการปลุก"คุณแก้วตื่นได้แล้วครับ ผมเตรียมมื้อเช้าเอาไว้ให้แล้ว"ทว่าเมื่อกล่าวไปเช่นนั้นคนบนเตียงก็ยังคงขยับหยุกหยิกอยู่ใต้ผ้านวมแทนที่จะโผล่หน้ามาให้เห็นอย่างเคย จนพิภพเริ่มตงิดใจนายทหารจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดผ้าห่มหัวเตียงตรีศูลที่นอนขดหันหลังให้พ่อทหารเมื่อจู่ ๆ ก็มีแสงแยงตาก็รีบพลิกร่างหันมามองพ่อทหารด้วยความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว แววตาทั้งสองหรี่ปรือด้วยความอ่อนแรงพร้อมกับเส้นผมยาวที่เกาะติดกับกรอบหน้าเพราะเหงื่อไคลที่ผุดขึ้นมาเป็นจำน
"ตอนนี้ยาควินินไม่มีเลยจ้ะพ่อ"พนักงานร้านขายยากล่าวตอบคำถามด้วยความสุภาพปนเศร้าหมอง เนื่องจากนี่ก็เข้าวันที่สามแล้วที่หญิงเจ้าเห็นชายคนนี้มาถามถึงยาตัวเดิม พิภพได้ยินคำตอบปฏิเสธมาด้วยกันแล้วไม่ต่ำกว่าสิบรอบ ไม่ว่าร้านเล็กร้านใหญ่เขาล้วนเข้าไปสอบมาจนหมด ทว่าก็ได้รับแต่คำตอบเดิม ๆพิภพเดินคอตกออกมาจากร้าน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าของร้านยังบอกข่าวที่ชวนให้เขาหดหู่เข้าไปอีกว่าเมื่อหลายวันก่อนมีเหตุโจรปล้นรถไฟทำให้แม้กระทั่งยาแก้ปวดหัวที่ควรจะมีติดร้านเสมอก็ยังขาดตลาด ในตอนนี้เขาไม่รู้จะหาวิธีแก้ยังไงดีแล้วพ่อทหารกลับมาถึงก็นั่งหน้าดำคร่ำเครียด เขายอมไม่นอนเพื่อที่จะได้เป็นลูกค้ารายแรกเสมอแต่นี่จะสิบร้านรวมร้านแผงลอยก็แล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของยาแก้ไข้สักนิดพ่อทหารเดินคอตกกลับมาถึงเรือนในเวลาประมาณหกโมงครึ่งซึ่งเป็นเวลาที่ตรีศูลตื่นขึ้นมาพอดีและเด็ก ๆ นางรำที่อาสามาช่วยอยู่เฝ้าเรือนก็พากันกลับ แม่นางรำเดินออกมานั่งเล่นริมระเบียงรับลม ดีหน่อยที่เจ้านพพอรู้สูตรยาหม้อเพราะที่บ้านสอนมาจึงมอบให้เขาเป็นคนทำเพื่อบรรเทาอาการร้อน ๆ หนาว ๆ ของตรีศูลไปก่อนที่คว
"จริง ๆ เราไม่ต้องเอามาให้เขาก็ได้นะครับ"นี่เป็นคำถามของพิภพที่สงสัยในตัวของโฉมงามซึ่งตอนนี้กำลังเดินถือตะกร้าผลไม้ลงจากรถสามล้อด้วยความร่าเริงที่ตัวเองหายป่วยและกลับมาเดินเหินได้อีกครั้ง คนงามที่วันนี้ใส่เสื้อปิดเนื้อแขนจึงหันมาตอบกับพ่อทหารฉะฉาน"ไม่ได้ครับ เขาสู้อุตส่าห์เดินทางมาตรวจให้ผมตั้งสองสามรอบ"ตรีศูลกล่าว ภายในสามวันแรกที่เขาทานยาตามหมอสั่งก็มีอาการดีขึ้นจนกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แน่นอนว่าระยะเวลาอีกสี่วันที่เหลือแม้ภายนอกจะดูหายแล้วแต่ก็ต้องทานยาให้ครบเพราะคุณหมอบอกว่าเดี๋ยวจะเสี่ยงเป็นโรคได้อีก กระนั้นขนาดเขาไม่ได้มีอาการน่าเป็นห่วง เจ้าตัวก็ยังยอมมาถึงเรือนตามคำขอร้องของคุณดินเอง แล้วจะมาบอกว่าไม่ต้องเอาของตอบแทนไปให้นี่มันก็กระไรอยู่นายทหารและนางรำหนุ่มเดินเข้าไปยังสถานีอนามัย เป็นตรีศูลที่สอดส่องมองหานายแพทย์วัยกลางคนที่เคยมาตรวจจนเห็นว่าเจ้าตัวกำลังเดินมาคุยกับนางพยาบาลหน้าแผนกต้อนรับพอดี"อ้าว สวัสดีครับ ครั้งนี้เป็นอะไรมาอีกรึเปล่า" คนในชุดกาวน์ถามตามหน้าที่"เปล่าหรอกครับ ผมแค่อยากเอาของมาขอบคุณเฉย ๆ"
๑๙ถึง คุณแก้วผู้ครอบครองหัวใจของผม ตอนผมเขียนจดหมายฉบับนี้แม้มันจะไม่ใช่ฉบับสุดท้าย แต่ผมก็ใจหายไม่น้อยเมื่อรู้ว่าจะเขียนจดหมายถึงคุณได้เพียงแค่นี้เพราะผมเหลือเวลาอีกไม่มากในการเขียนพวกมันขึ้นมา บางทีโทษที่ได้รับอาจมากเกินกว่ายี่สิบปีหรือผมอาจไม่มีลมหายใจจะกลับมาบอกรักคุณด้วยตัวเอง ดังนั้นไม่ว่ามันจะจำเจแค่ไหน ผมก็จะบอกว่าผมรักคุณ ผมรู้ว่าผมกำลังใช้คำที่มีความหมายอันลึกซึ้งพร่ำเพรื่อ แต่ไม่มีคำไหนที่จะอธิบายความรู้สึกของผมไปได้มากไปกว่าคำนี้แล้ว ได้โปรดให้อภัยผู้ชายน่าเบื่อคนนี้ด้วยนะครับ ผ่านมาจนจะครบยี่สิบปี โลกในตอนนั้นคงเปลี่ยนไปมาก คงจะมีรถเต็มทั่วท้องถนน คงจะมีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมากมาย แต่อย่างน้อย ขอแค่คุณเปิดอ่านจดหมายเก่า ๆ ฉบับนี้และอ่านมันเพียงแค่คำขึ้นต้น ผมที่อยู่ในเรือนจำคงจะมีความสุขมากเกินคณานับ
วันที่พวกเขาต้องกลับบ้านนั้นมาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ประหนึ่งชั่วพริบตาช่วงเวลาหนึ่งเดือนก็หมดลง กระนั้นแม้ตัวเขาจะกลับมาใช้ชีวิตบนเรือนนางรำอย่างปกติ กระนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขาและพ่อเสือสุพรรณยังคงดำเนินต่อไป "แบบนี้ผมคงคิดถึงแย่" "พูดแบบนี้แต่ยังไงผมก็ต้องกลับบ้านอยู่ดีนะครับ" พิภพตั้งใจพูดให้ตนนั้นดูน่าสงสารในสายตาโฉมงามแต่เพราะคงจะใช้วิธีนี้บ่อยเกินจนโดนแก้วจับไต๋ได้หมดแล้ว ช่วงเวลาหนึ่งเดือนพวกเขาได้ทำหลายอย่างร่วมกัน ตระเวนป่า ชวนกันไปเก็บผลไม้ หรือแม้แต่การนอนบนเตียงเดียวกันทว่าถึงอย่างนั้น แม่คนงามยังคงไม่อนุญาตให้เขาขยับความสัมพันธ์ไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งยังดูสนุกสนานที่ได้หยอกล้อปั่นหัวเขาเล่น แสนซนเหลือเกิน&nbs
ตรีศูลอยู่ที่นี่มาร่วมเดือนเริ่มสนิทกับทุกคนในชุมเสือมากขึ้น ยิ่งได้มารู้ว่าแต่ละคนผ่านอะไรมาบ้างในชีวิต ความเข้าใจที่มีเจตนารมณ์ของชายผู้เป็นมหาโจรยิ่งมากขึ้น เบื้องลึกเบื้องหลังของแต่ละคนช่างน่าเศร้า บางคนระหกระเหินเร่ร่อนมาจากแดนไกล บางคนเคยมีการงานที่ดีแต่หัวหน้าคดโกงใส่ร้าย หรืออย่างพี่ประไพที่เกิดมาในชุมเสือแต่แรก เพราะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสืออย่างใครเขา สาวเจ้าจึงอ่านเขียนไม่ได้ จะมีก็แต่คุณดิน คุณปลื้ม และเจ้าสิงห์ที่เรียนมา ว่าง ๆ ก็จะมาคอยสอนหนังสือ ทว่าเอาเข้าจริงทั้งสามคนก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากนักหรอก "แก้วสอนเก่งจัง" "พี่เรียนรู้ไวต่างหากจ้ะ" เนื่องจากเจ้าพี่ขอให้เขาสอนเขียนอ่านพื้นฐานให้บนชานเรือน ดีที่ที่นี่มีกระดาษเครื่องเขียนครบครัน เขาจึงสอนให้ได้อย่างไม่ติดขัดอะไร&n
ตรีศูลแม้ร่างกายยังคงหนักอึ้งและสะลึมสะลือเพราะฤทธิ์ยาแต่ตลอดหลายวันที่เขานอนซมอยู่บนเตียงเขารู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นที่เข้ามาเช็ดเนื้อตัวอยู่ไม่ขาด ทว่าเมื่อตอนที่เขาลืมตาตื่นชายคนนั้นก็มักจะมีกิจให้ต้องออกไปนอกห้องจนเขาไม่สามารถขอบคุณได้ ทว่าตอนนี้อาการเขาดีขึ้นมากแล้ว สามารถมีแรงกลับมาพาตัวเองลุกขึ้นนั่งได้โดยไม่ปวดหัว ร่างโปร่งในเสื้อผ้าตัวโคร่งปล่อยผมยาวสยายลงมาก่อนจะใช้นิ้วสางให้พอเรียบเป็นทรง มองซ้ายมองขวาสำรวจข้าวของภายในห้องก่อนจะรู้ว่าเจ้าของเป็นคนเรียบง่าย โต๊ะตู้เตียงล้วนเป็นของไม่ได้มีลวดลายหวือหวา ทั้งห้องยังโล่งโปร่งไม่มีเครื่องเรือนประดับเพื่อความสวยงามมากนัก *แอ๊ด* เสียงบานพับประตูดังขึ้นก่อนที่ชายร่างสูงใหญ่ในเสื้อผ้าอย่างง่ายจะเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ ทว่ากลับต้องตกใจเมื่อเห็นว่าโฉมงามที่นอนซมข้ามวันข้ามคืนมีแรงพอจะลุกขึ้นมานั่งขอบเตียงได้แล้ว&nbs
บนหน้าหนังสือพิมพ์หน้าแรกเมื่อหลายปีก่อนประกาศข่าวการจับกุมของเสือหินผู้เป็นดังจุดด่างพร้อยของวงการตำรวจ ไม่เคยมีใครสามารถควบคุมบุรุษผู้นี้ได้ทว่าท้ายที่สุดผู้ที่สามารถสวมกุญแจมือมันได้กลับเป็นลูกในไส้ของมันเอง ข่าวนี้แพร่สะพัดไปพร้อมกับความดีใจของปุถุชนคนทั่วไปโดยเฉพาะเศรษฐีผู้มากมีที่ต่างพากันโล่งใจ กกกอดทรัพย์สมบัติของตนซึ่งล้วนได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของผู้อื่น เพชรนิลจินดากองพะเนินในตู้นิรภัยมีที่มาจากเงินของชาวบ้านผู้หาเช้ากินค่ำ กว่าเขาจะได้พวกมันมากอดหอมมากมายจนล้นมือเช่นนี้มันผ่านการหลอกลวงมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ต้องหวาดกลัวเมื่อมีอ้ายอีหน้าไหนมันสะเหล่อตั้งตนเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เข่นฆ่าฉกชิงของในการดูแลไปเป็นสมบัติสาธารณะ แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะโจรผู้ร้ายได้ถูกจับ ไอ้พวกสิ้นไร้ไม้ตอกจะหาได้มีวีรบุรุษมาช่วยเหลืออีกต่อไป และของที่รักของเขาจะคงอยู่ตราบนาน
โฉมงามจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่อมีสุราอยู่ในร่างกาย นั่นคือสิ่งที่พิภพหาข้อสรุปได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมามากกว่าสิบครั้ง ที่ตาเทิดตาไฮ้เคยบอกว่าแม่นางรำขี้เมานั้นเป็นเรื่องจริงแบบที่ไม่ต้องหาหลักฐานอื่นใดมาพิสูจน์ เพราะเมื่อเขาลุกขึ้นมาจากพื้นกะจะไปล้างมือ แก้วจึงฉวยโอกาสคว้าขวดสุรากระดกประหนึ่งอดอยากปากแห้งมาจากไหน หันกลับมาอีกทีเจ้าตัวก็เมาแอ๋สิ้นสภาพปลดกระดุมปลดผ้าคลายร้อนนั่งกอดขวดแก้วยิ้มหวานเสียแล้ว เพราะเขากำชับว่าดื่มได้แต่ห้ามเมาเรื้อนอย่างคราวก่อนอีก ทว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ อีกฝ่ายพยายามหาลู่ทางจะกินให้ได้ท่าเดียว เขาล่ะเป็นห่วงเสียจริงหากเขาไม่อยู่ออกไปทำงานแล้วแม่นางรำจะเผลอไปสร้างเรื่องอะไรให้เขาต้องปวดหัวอีกบ้าง "งืม...อือ...พี่จ๋า น้องขออีกแก้วหนึ่งน้า" นั่น ขนาดหลับไปแล้วยังอุตส่าห์ขอมาได้อีก 
เข้าปีที่หกของการเป็นคุณครูในโรงเรียนรัฐบาล แม้จะมีเรื่องยุ่งวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน เพราะยิ่งสอนไปนานเข้า สนิทกับเด็ก ๆ บางวันที่ส่งการบ้านไม่ทันก็จะมีคนมาเคาะประตูบ้านส่งงาน เขาไม่ได้คิดมากหากเด็ก ๆ จะแสดงความรับผิดชอบแบบนี้ แต่ปัญหาจะเกิดก็ต่อเมื่อพี่ดินกลับมาบ้าน เข้าใจว่าพอเด็ก ๆ เปิดประตูมาเจออดีตนายทหารสูงใหญ่ขนาดนั้นจะกลัวก็ไม่แปลก ทั้งยังโดนดุอีกว่าทำไมให้เด็กนักเรียนรู้ที่อยู่ สุดท้ายจึงต้องแก้ปัญหาด้วยการสั่งการบ้านเท่าที่จำเป็นและกำชับว่าให้ส่งตรงเวลาแม้จะมีบางคนที่ต้องเคี่ยวเข็ญกันบ้างก็ตาม "เฮ้อ..." ตรีศูลทอดถอนลมหายใจออกมาตั้งแต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกจากประตูรั้ว ไม่รู้ว่าต้องทำงานหนักแบบนี้ไปอีกเมื่อไหร่ เขาสนุกที่จะได้ตื่นเช้ามาเจอเด็ก ๆ แต่มันยังมีภาระงานอื่นเข้ามาด้วยจนต้องปันเวลาตรวจงานไปให้กิจกรรมโรงเรียน มิน่
เพราะอยู่บ้านกันเพียงสองคน งานบ้านจึงต้องแบ่งกันทำ ทว่าพี่ดินก็มีบ่อยครั้งที่ต้องเดินทางไปกลับพระนครชุมพร เขาที่ทำงานตามเวลาราชการในช่วงที่เจ้าตัวรับงานจึงต้องทดแทนหน้าที่ในส่วนนี้ กระนั้นเจ้าพี่ก็ยังใจดี บอกไม่ต้องถูบ้าน เช็ดทำความสะอาดเครื่องเรือนบ่อยนัก ทำเพียงซักผ้ารีดผ้าให้อีกฝ่ายเท่าที่จำเป็นก็พอ แต่ปัญหาที่ยังแก้ไม่หายตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่วิทยาลัยคือคราวที่จะต้องยกตะกร้าผ้าลงมาจากชั้นสอง เพราะตะกร้าของพ่อนักแสดงแม้จะมีประมาณผ้าผ่อนจำนวนพอกันกับเขาแต่พี่ดินตัวใหญ่อย่างกับยักษ์สวมเสื้อตัวเบ้อเร่อ ยิ่งเปียกน้ำยิ่งหนัก ไม่ต้องพูดถึงในตอนที่พี่ดินยังรับราชการทหาร แค่เอาชุดสีเขียวตัวเดียวจุ่มน้ำมาถือเขายังเมื่อยแขนเลย มายังปัจจุบันค่อยดีหน่อยที่มีแต่ผ้าเนื้อเบา แต่เมื่อตอนนี้นักแสดงดาวรุ่งกำลังทำงานอยู่ที่ไหนสักที่ในเมืองหลวง เขาที่อยู่ชุมพรเพียงลำพังจึงต้องใช้สำนวนตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเค้นพลังจากกล้ามเนื้อที่มีอยู่น้อยนิดแบกเจ้าตะกร้าจักสานลงมาจา
"ทำไมเราถึงหยุดล่ะฮึ?" พิภพถามในเมื่อแม่นางรำก่อนมื้ออาหารยังชักชวนไยเมื่อถึงคราวจึงปัดป้อง "ตอนนี้ทำไปเดี๋ยวก็มีคนมาขัดจังหวะอีก ไว้เดี๋ยวคืนนี้เรา...ค่อยมาทำกันนะครับ" ตรีศูลแน่นอนว่ายังคงไม่วางใจในเรื่องนี้ ช่วงกลางวันแม่บ้านพ่อบ้านเดินกันไปมาตลอด จนเขาใจหวิวกลัวใครจะมาเห็นเข้า หากเป็นตอนกลางคืนค่อยดีขึ้นมาหน่อยเพราะต่างคนต่างเข้านอนกันหมดแล้ว พิภพเมื่อได้ยินดังนั้นจึงยอมโอนอ่อนตามที่แม่คนงามต้องการ เขาไม่ขัดอะไรอยู่แล้วหากจะเลื่อนมันออกไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทว่าก่อนจะแยกย้ายกันไปจัดการธุระของตัวเองเขาขอทิ้งทวนเอาไว้เสียหน่อย "พี่ดิน! ทำอะไรครั-*จุ๊บ*&nb