ชนกันต์เดินออกไปจากห้องรับประทานอาหารด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ ธีทัตมองตามจนลับร่างของเจ้าตัว แล้วพูดกับน้องชายฝาแฝด “ปากหมานะมึง รู้อยู่ว่าไอ้กันต์มีปัญหากับครอบครัวของผู้หญิงคนเก่า” “หมา...บ๊อบๆ บ๊อบๆๆ” เสียงเล็กๆ จากคนในอ้อมแขนดังขึ้นทันทีที่ธีทัตพูดจบ ก่อฤกษ์หัวเราะร่วน มองหลานชายอย่างชอบใจ นอกจากเป็นเด็กหน้าตาน่ารักแล้ว ลูกชายของธีทัตยังฉายแววฉลาดเฉลียวอีกด้วย จนเขาอดที่จะกระเซ้าถามไม่ได้ “รู้จักเสียงหมาเห่าด้วยเหรอเราน่ะ” น้องพร้อมพยักหน้าหงึกๆ แล้วบอกคุณอาอย่างภูมิใจ “ป๊อมยู้ กันต์ฉอน” “งั้นเหรอ แต่ดูทรงแล้ว อาก่อว่าอีกไม่นานอากันต์คงได้สอนเสียงหมาหอนให้นายด้วย นายเคยได้ยินเสียงหมาหอนไหม” น้องพร้อมส่ายหน้าหวือ แล้วทำท่าทางกระตือรือร้นอยากจะรู้เสียให้ได้ จนก่อฤกษ์ต้องบอกอย่างเอาใจ “โบร้...โบร้ๆๆ...จำไว้นะ นี่เป็นเสียงหมาหอน ต่อไปนายอาจจะได้ยินเสียงหมาหอนจากอากันต์” น้องพร้อมตื่นเต้น พยายามเลียนเสียงหมาหอนตามอาก่อ หากคนเป็นพ่อกลับส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “มึงสอนอะไรหลานก็ไม่รู้ เดี๋ยวน้องพร้อมไปสอนแม่ของแกต่อ มันจะเดือดร้อนมาถึงกู” ก่อฤกษ์ยังสนุกที่ได้สอนหลานตัวป้อม ท่าทาง
อดที่จะสงสัยไม่ได้ เขาไม่วางใจนางวิวรรณ นึกระแวงว่านางอาจโทร.มาปั่นหัวเขา เพราะนางคงรู้มาจากลูกสาวว่าวันนี้เขามีเดตกับผู้หญิงคนอื่น...ชนกันต์รู้ดีว่าหญิงวัยกลางคนคนนี้เหลี่ยมจัด ซึ่งไม่ต่างกับลูกชายของนางนักหรอก เขารู้ไส้รู้พุงคนบ้านนี้ดี...กวินเคยเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่เขาให้ความรักและคอยช่วยเหลือยามเจ้าตัวไปเรียนที่ต่างประเทศ เขาเคยช่วยกวินทั้งเรื่องเงินทองทั้งเรื่องโอกาส พาเจ้าตัวเข้ากลุ่มก๊วน เขาแนะนำให้กวินรู้จักกับเพื่อนฝูงของเขาในฐานะน้องชายคนหนึ่ง แต่สุดท้ายเจ้าวายร้ายนั่นกลับแว้งกัดเขา จนเขาแทบเอาชีวิตไม่รอดเพราะความใจคดของมันกรามแกร่งบดแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมานานกว่าห้าปี แต่มันยังเป็นฝันร้ายหลอกหลอนเขาในบางค่ำคืนมือแข็งแรงยกขึ้นมาลูบปลายคางที่มีไรเคราปกคลุมจางๆ เขายังสัมผัสรอยแผลเป็นจากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ ส่องกระจกทีไรเขายังมองเห็นรอยแผลได้อย่างชัดเจน แต่ให้ตายเถอะ เขายังโง่เผลอไปไว้ใจคนบ้านนั้นเป็นครั้งที่สอง ซึ่งรอบนี้เป็นฝีมือของแม่ตัวดีที่เป็นลูกสาวคนเล็กของนางวิวรรณ เขาต้องสูญเงินไปแปดแสนกว่าบาทก็เพราะเธอ
“เพราะเรื่องนี้ใช่ไหมคะ แม่กับพี่กัซเลยไม่ชอบเขา แล้วทำไมแม่ถึงให้หนูไปทำงานกับเขา ทั้งที่พี่กัซเคยมีเรื่องกับเขามาก่อน ทำไมแม่ไม่เล่าเรื่องระหว่างเขากับพี่กัซให้หนูรู้บ้าง”กุลนิภาตัดพ้อ ในเวลานั้นเธอเพิ่งกลับมาเมืองไทย เธอตั้งใจจะหางานทำเอง เธอมั่นใจในความสามารถของตัวเอง แต่แม่ก็คัดค้านเสียทุกทาง แล้วบอกว่าแม่ได้เตรียมงานไว้ให้เธอแล้ว นั่นก็คือธุรกิจร้านอาหารแบรนด์ดังระดับโลกที่ราชเวคิน กรุ๊ปได้ร่วมทุนกับนักธุรกิจชาวจีนเพื่อมาเปิดสาขาในประเทศไทยกุลนิภาไม่รู้ถึงที่มาของงานที่เธอได้ทำ เธอไม่รู้ว่าแม่เป็นฝ่ายของานจากชนกันต์หรือเป็นเขาเองที่เสนองานมาให้เธอ...พอถามเรื่องนี้ออกไปทีไร เธอกลับไม่เคยได้รับคำตอบจากใครเลยจนถึงวันนี้กุลนิภายังจมอยู่กับความสับสนและความมืดมนจนไม่รู้จะหาทางออกให้ตัวเองได้อย่างไร“พี่ของแกมีเรื่องกับเขา แกไม่เกี่ยว แกก็อยู่ของแกไป”“หนูไม่เกี่ยวได้ยังไง สุดท้ายแล้วหนูก็ทำเงินของเขาหาย แม่ก็รู้ว่าใครเอาเงินก้อนนั้นไปจากหนู...เพราะคิดว่ามันเป็นเงินของคุณกันต์ใช่
โดยไม่ต้องลงมือเอง แม่ก็ฟาดพี่ชายกลับให้แล้ว ชนกันต์นึกขันพี่ชายตัวเอง“แม่พูดว่าผมไม่ต่างกับเฮียก่อไม่ได้นะครับ เพราะผมไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนเฮียก่อ แม่พูดอย่างนี้ผมเสียหาย”อดที่จะซ้ำเติมหนักๆ ไม่ได้ เพราะเขาถนัดเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว...มีสงครามในบ้านคราใด ชนกันต์จะขออยู่ข้างฝ่ายผู้ชนะ เขาถือคตินี้เรื่อยมา“งั้นแกทำตัวดีๆ ไว้ให้ได้นะ พลาดเมื่อไร ฉันจะคอยดู”“ทำไมก่อพูดกับน้องอย่างนี้ พูดเหมือนจะให้น้องเจอเรื่องเจอราวเสียให้ได้” คุณอมลรดาเอ็ดลูกชายคนรอง ก่อนจะหันไปทางลูกชายคนที่สาม “ไม่เอาแบบเฮียก่อนะกันต์ คราวนั้นแม่หัวใจเกือบวาย อย่าไปทำใครท้องแล้วทิ้งขว้าง เลือดเนื้อเชื้อไขของเราทั้งนั้น ถ้ากันต์คบใครก็ทำให้เป็นขั้นเป็นตอน แต่งงานแต่งการกันให้เรียบร้อย แม่ไม่ใช่แม่ผัวใจร้าย แม่ขอแค่ลูกสะใภ้เป็นคนดี ดูแลครอบครัวได้ อบรมลูกๆ ของเราเป็น และไม่ทำตัวเสื่อมเสีย แม่รับได้ทั้งนั้น”ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวแท้ๆ...ก่อฤกษ์ปิดปากฉับเสีย เพราะกลัวโดนแม่เทศน์อีก เขาเหลือบมองน้องชาย
ชนกันต์ไปส่งก่อฤกษ์ที่สนามบินและอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายจนได้เวลาขึ้นเครื่องเดินทาง จากนั้นเขาจึงขับรถไปยังร้านอาหารสาขาใหญ่ที่เปิดอยู่ในพื้นที่โรงแรมหรูย่านกลางเมืองเมื่อชายหนุ่มรูปร่างสูงสมส่วนชวนมองเดินเข้าไปในร้านอาหารทางประตูด้านหน้า เพียงแค่เขาเดินผ่านโต๊ะของลูกค้าผู้หญิงสี่คน พวกเธอก็สบตากันอย่างพร้อมเพรียง“ผู้ชายคนเมื่อกี้เป็นเจ้าของร้าน”เมื่อคนแรกเปิดประเด็น คนที่สองและคนที่สามที่นั่งร่วมโต๊ะก็ผสมโรงทันที“ทำไมหล่อจัง หล่อออราแสงแยงตา”“หน้าตาคุ้นๆ อยู่นะ เหมือนเคยเห็นมาก่อน...เขาเป็นดาราหรือเปล่า”“ไม่ใช่ดารา แต่เขามีแฟนเป็นดารา เธอคงเคยเห็นเขาในข่าวก็เลยคุ้นหน้า เขาเป็นแฟนของไอซ์ อรรพีไง”“เป็นแค่แฟน ยังไม่แต่งงาน งั้นฉันก็มีสิทธิ์ ต่อไปฉันจะมากินข้าวที่นี่ทุกวัน ฉันจะได้เจอเขาบ่อยๆ”ผู้หญิงหน้าตาสวยเด่นที่นั่งฟังการสนทนาอย่างเงียบๆ พูดขึ้นมาบ้าง ทว่าเพื่อนอีกคนก็ดับฝันของเธอทันควัน
โชคดีที่เป็นช่วงเวลาบ่าย รถยังไม่ติด แต่ระหว่างทางที่กุลนิภานั่งรถแท็กซี่กลับมาที่คอนโดมิเนียม เธอต้องคอยลุ้นไปตลอดทางเหมือนกัน เพราะเธอสัมผัสจากน้ำเสียงของชนกันต์ได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด เธอไม่รู้หรอกว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร แต่เมื่อเธออยู่กับเขา เธอก็ไม่อยากกลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาชนกันต์ไม่เคยทำร้ายเธอ เธอไม่ได้โกหกแม่ แต่ร่างกายของเธอบอบช้ำจากเรี่ยวแรงมหาศาลของเขาอยู่บ่อยๆ บางครั้งเขาทำให้เธอขยาดและหวาดหวั่นกับการร่วมรัก...มันไม่ใช่ความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่มันกลายเป็นอารมณ์ปรารถนารุนแรงที่เขาจุดขึ้นในกายของเธอชนกันต์ทำให้เธอลืมตัว หลงลืมทุกสิ่งทุกอย่างยามอยู่ใต้ร่างหนาหนั่นของเขา กุลนิภาแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเอง หากแม้ช่วงเวลานั้นเธอรู้สึกหวาดกลัวเขา แต่ในขณะเดียวกันเธอก็อยากโผนเข้าหาและกอดรัดเขาอย่างแนบแน่น เขาควบคุมทั้งร่างกายทั้งวิญญาณของเธอ และเมื่อเกมรักผ่านไป ร่างกายของเธอจึงเหลือรอยช้ำจากการถูกโรมรันที่ไม่เคยออมแรงแทบทุกครั้งกุลนิภากัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ...เธอรู้ ชนกันต์ใช้ร่างกายของเธออย่างเต็มที่ เขาไม่เคยถนอม ไม่
กุลนิภาใช้เวลาในห้องน้ำอย่างสบายใจ เธอตัดสินใจนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำ การกลับมาอยู่ใกล้ชนกันต์ มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย แม้รู้ว่าเขาไม่เคยรักและไม่เคยถนอม แต่เธอกลับโหยหาเขา ถ้าหากถามว่าพื้นที่ซอกมุมไหนบนโลกใบนี้ที่ทำให้เธอรู้สึกได้รับการปกป้องมากที่สุด...มันอาจเป็นเรื่องประหลาดนัก ถ้าเธอตอบคือการได้อยู่ใกล้คนที่ไม่เคยใจดีกับเธออย่างเขานี่แหละหลายสิบนาทีต่อมาเมื่อกุลนิภาออกมาจากห้องน้ำ กายสาวที่มีเสื้อคลุมอาบน้ำสวมอย่างรัดกุมเดินออกมาอย่างระมัดระวัง เธอเห็นเขานั่งเอนกายอ่านหนังสือบนโซฟายาว นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เธอนึกทึ่งในตัวเขา ภายใต้รูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว นิสัยค่อนไปทางกร้าวและห้าว แต่ชนกันต์มักมีมุมที่สงบและอยู่นิ่งเงียบกับตัวเองเสมอหญิงสาวยิ้ม...พลันนึกตำหนิตัวเองว่าตนคงบ้าไปแล้วอย่างแน่นอน ทำไมถึงมองเขาดีไปหมดเธอเดินเข้าไปในห้องเก็บเสื้อผ้า เสื้อผ้าและของใช้ของเธอถูกจัดเก็บไว้ตรงมุมหนึ่ง มันมีน้อยนิดเมื่อเทียบกับของของเขา ถึงแม้อยู่ด้วยกัน แต่กุลนิภาก็เจียมตัวว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร ดังนั้นเธอจึงไม่เคยล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเข
“ให้ผมเลิกกับคุณเหรอ เลิกได้ยังไง ในเมื่อเราไม่เคยคบกัน”ชนกันต์ไม่พลาดที่จะพูดจาทำร้ายจิตใจเธอ ทั้งที่เขาเข้าใจดีว่าเธอหมายถึงเรื่องอะไร กุลนิภาต้องใช้ความเข้มแข็งเป็นอย่างมากเพื่อมองข้ามมันไป“คุณต้องซื่อสัตย์กับเธอ”“กับใคร?”“ซื่อสัตย์กับผู้หญิงที่คุณจะแต่งงานด้วย”“ตอนนี้ผมยังไม่แต่งงานและผมอยากได้ตัวคุณ”“ฉันขอเวลาทำงานและจะเก็บเงินมาใช้คืนคุณให้ครบ”“คุณทุจริตเงิน รู้ใช่ไหมว่าพนักงานที่โดนข้อหานี้คงไม่มีบริษัทไหนเสี่ยงรับเข้าทำงาน”กุลนิภารู้เรื่องนี้ดี มันเสี่ยงกับอนาคตของเธอ แต่เธอจะใช้ชีวิตอย่างไรถ้าในอนาคตเธอไม่สามารถหางานทำ ไม่มีรายได้มาเลี้ยงดูตัวเอง เธอไม่อยากถูกขึ้นแบล็กลิสต์จากราชเวคิน กรุ๊ป ซึ่งมันเป็นอีกเหตุผลที่ตอนนั้นเธอตัดสินใจชดใช้ให้ชนกันต์จนจบสิ้นก่อน แม้ทางเลือกมีเพียงชดใช้ด้วยร่างกายก็ตาม“ถ้าคุณจะกรุณา ช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความ
“ถ้าคุณแต่งงาน คุณจะมีลูกไหมคะ”กุลนิภาถามขึ้นมาหลังจากสงครามรักบนเตียงนอนของยามเช้าจบลง ซึ่งเธอซุกซบอยู่บนอกเขามาสักพักแล้ว“ถามทำไม หรือคุณรู้อะไรมา”รู้อะไร?...กุลนิภาระแวงว่าชนกันต์จะรู้เรื่องลูกในท้อง ในขณะที่เขากลับนึกถึงผู้หญิงอีกคน“ฉันแค่อยากรู้ความคิดของคุณ แต่ถ้าคุณไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”“ถ้าคนที่ผมแต่งงานด้วยเขาไม่อยากมีลูก ผมก็ไม่มีปัญหา ผมแต่งงานกับใครก็เพราะผมอยากอยู่กับคนคนนั้น ส่วนลูก...ผมยังนึกภาพตัวเองมีลูกไม่ออก บางทีผมอาจไม่ได้รักเด็กขนาดที่จะมีลูกเอง ผมคงไม่พร้อมที่จะทุ่มเทให้ลูกของผมเหมือนอย่างที่พ่อแม่เคยให้กับผม”น่าอิจฉาจัง...ความรู้สึกนี้โฉบเข้ามาในหัวของกุลนิภาชนกันต์มีพ่อแม่ที่รักเขามาก จนเขากลัวว่าตัวเองอาจไม่สามารถทุ่มเทและรักลูกได้เหมือนอย่างที่พ่อแม่ของเขาเคยเป็น...ในขณะที่เธอไม่กล้าคิดถึงแม่ของตัวเอง ถึงแม้เธอจะไม่เชื่อว่าแม่ไม่รักเธอ เธอยังคิดเสมอว่าแม่คงมีเหตุผลที่เธอไม่รู้และไม่เข้าใจ แต่นั่นแหละ การกระทำของแม่ส
“อือ...”เสียงห้าวทุ้มดังอยู่ข้างหู กุลนิภารู้ว่าเป็นเสียงของชนกันต์ เธอจำได้ดี แต่ตอนนี้เธออยากหลับ ไม่อยากตื่นขึ้นมารับสายของเขาแล้ว อยากบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน แต่เธอทำได้แค่บอกเสียงอือออในลำคอ...เขาคงเข้าใจ เพราะเธอได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากเขาหากเมื่อจะพาตัวเองเข้าสู่นิทรารมย์อีกหน กุลนิภากลับรู้สึกถึงรอยสัมผัสบริเวณแก้ม ริมฝีปาก แม้กระทั่งซอกคอ จนเธอต้องพลิกกายหนี“ผมจะไปอาบน้ำ เดี๋ยวกลับมา”“อืม...”ในความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น กุลนิภาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป นึกแปลกใจว่าเธอกำลังคุยโทรศัพท์กับชนกันต์ แต่ทำไมมันถึงคล้ายกับเขามาอยู่ใกล้เธอ หากนั่นแหละ เธอไม่คิดจะหาคำตอบ เธอปล่อยความสงสัยไว้ตรงนี้ เพราะตอนนี้เธอต้องการหลับกุลนิภารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นและสากระคายที่กำลังตวัดไล้อยู่ตรงยอดอก มือบางคว้าหมับเจ้าสิ่งนั้นไว้หวังจะให้มันหยุด เพราะเธอรู้สึกถึงความซ่านสยิวมที่โจมตีเข้ามาอย่างรุนแรง“ห
ทั้งผลไม้รสเปรี้ยวทั้งยาลมและยาหอมยังไม่อาจช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะของชนกันต์ได้ มันทรมาน เขาอยากกอดกายบางและซุกใบหน้ากับอกอวบของเธอแล้วหลับไปจนถึงตอนเช้า แต่สิ่งที่คว้าได้นั้นมีแต่หมอนข้างชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งกลางเตียง ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เขายกมือขึ้นมาเสยผมลวกๆ เมื่อหันซ้ายแลขวาไม่เห็นสิ่งที่ต้องการ ไม่มีสิ่งใดแทนเธอได้ ความรู้สึกหงุดหงิดก็พุ่งขึ้นสูง มือหนาคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วโทร.ไปหาเธออย่างไวกุลนิภากำลังเคลิ้มหลับ เธอสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ เธอหยิบมันขึ้นมาดูหน้าจอทั้งที่พอจะรู้ว่าใครโทร.มาในเวลานี้“คุณนอนหรือยัง”“ฉันกำลังจะหลับค่ะ”กุลนิภาตอบ คิดว่าชนกันต์คงมีธุระสำคัญ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่โทร.มาหาเธอในเวลาใกล้ดึกเช่นนี้ เธอจึงรอฟังเขาพูดด้วยใจจดจ่อ ทว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นกลับเป็นเสียงบ่นที่บอกให้รู้ว่าเขากำลังหงุดหงิดเหลือทน...แต่เขาหงุดหงิดอะไร เธอก็ยังจับใจความไม่ได้“ผมนอนไม่หลับ ผมเวียนหัวจะตายอยู่แล้ว ผมเป็นอะ
กุลนิภาไม่ทันได้วางโทรศัพท์ลง เสียงของสายเรียกเข้าก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวถอนหายใจ...ไม่ว่าอย่างไรชนกันต์ก็ยังเป็นชนกันต์คนเดิม เขาไม่มีวันยอมจบเรื่องง่ายๆเธอกดรับสายทันที ไม่มีอาการรีรอเหมือนคราวก่อน“ถ้าคุณกลัวจะติดไข้จากฉัน ฉันยืนยันได้เลยว่าฉันไม่ได้ป่วย ฉันไม่ได้เป็นโรคร้าย ไม่มีเชื้อโรคจากตัวฉันที่จะทำให้คุณป่วยตายอย่างแน่นอน ส่วนการที่คุณเวียนหัวคลื่นไส้ คุณต้องไปหาคำตอบจากหมอเอาเอง ฉันให้คำตอบคุณไม่ได้ เพราะอาการของคุณไม่เกี่ยวกับฉัน”กุลนิภาพูดรัวม้วนเดียวจบ โดยไม่เว้นจังหวะให้อีกฝ่ายได้พูด ตัวเธอเองก็แทบไม่ได้หายใจ...หากนึกทึ่งตัวเองเสียด้วยซ้ำที่กล้าเถียงเขาได้ถึงขนาดนี้หญิงสาวตั้งสติรออีกฝ่ายโต้ตอบกลับมา แต่เขายังเงียบ...มันเงียบเสียจนเธอรู้สึกแปลกใจ เพราะตามปกติชนกันต์ไม่เคยยอมแพ้เธอ เมื่อต่อปากต่อคำกันคราใด เขาพร้อมจะสวมวิญญาณเด็กสามขวบงัดทุกวิถีทางมาสู้กับเธอทุกทีมือบางดึงโทรศัพท์มือถือออกมามองหน้าจอ พลันต้องเบิกตากว้าง เพราะมันเป็นเบอร์โทร.ของคนที่เธอไม่รู้จัก ซึ่ง
อาการแพ้ท้องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้านี้ทำให้กุลนิภานอนซมอยู่บนเตียง เมื่อร่างกายอ่อนแอจนถึงที่สุด เธอก็นึกถึงชนกันต์ แต่ความคิดนั้นกลับกลายเป็นความกลัวในเวลาถัดมา...เธอกลัวเขาจะมาพรากลูกไปจากเธอเมื่อสายเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา มันเป็นเบอร์ที่เธอไม่รู้จัก กุลนิภากำลังจะตัดสายทิ้ง เพราะเธอไม่มีอารมณ์จะคุยกับใคร หากฉุกคิดถึงคนที่เธอเพิ่งให้เบอร์โทร.ไปได้ เมื่อกดรับสาย เธอจึงรู้ว่ามันเป็นสายจากพี่ชายต่างมารดาของเธอจริงๆ“อิงอิงใช่ไหมครับ พี่นิคเองนะครับ”“พี่นิค...”เธอพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส แต่พูดออกมาแค่คำเดียว เสียงของเธอก็ขาดหาย แถมมันยังแผ่วเครืออีกด้วย“อิงอิงเป็นยังไงบ้าง เราท้องอยู่ใช่ไหม”คำถามที่สองทำให้กุลนิภานิ่งงัน แม้เตรียมใจไว้แล้วว่าอคินรู้เรื่องนี้ได้ไม่ยาก แต่เขาทำให้เธอไม่ทันได้ตั้งตัว“ใช่ค่ะ อิงกำลังท้อง แต่อิงไม่อยากให้ใครรู้”เมื่อมาถึงขั้นนี้ กุลนิภาจึงบอกอคินไปตรงๆ เธอ
ประตูห้องชุดถูกเปิดออกอย่างระมัดระวัง เมื่อกุลนิภาเข้ามาข้างใน เธอรับรู้ได้ทันทีว่าไม่มีใครอยู่...แม้รู้อยู่แล้วว่าชนกันต์ไม่อยู่ที่นี่ แต่อีกใจเธอยังลุ้นว่าเขาอาจกลับมาเซอร์ไพรส์เธอ เธออาจเห็นเขานั่งรออยู่บนโซฟายาวตัวนี้หญิงสาววางกระเป๋าสะพายลง แล้วหย่อนกายนั่งบนโซฟาเพื่อพักให้หายเหนื่อย มือบางลูบหน้าท้อง ไล้วนเบาๆ ด้วยอยากสื่อไปถึงลูกน้อยที่นอนซุกตัวอยู่ในท้อง“พ่อของหนูไม่อยู่ที่ห้อง เขากลับไปที่บ้านราชเวคิน บ้านหลังนั้นมีคนอยู่หลายคน...ช่วงนี้พ่อต้องกลับไปช่วยพี่ชายของเขาเลี้ยงหลาน”พี่ชายของเขาและหลานชายของเขา...หากนับไปก็เป็นญาติสนิทของลูกในท้องของเธอ“แม่รู้ว่าถ้าหนูได้อยู่กับพวกเขา พวกเขาจะเลี้ยงดูหนูเป็นอย่างดี แต่อีกใจหนึ่งแม่ก็กลัว...แม่เลยไม่กล้าปล่อยให้หนูไป แม่กลัวว่าสิ่งที่แม่เคยเจอในวัยเด็กมันจะย้อนกลับมาหนู ถ้าเป็นอย่างนั้น แม่คงทำใจไม่ได้”ถ้าหากชนกันต์รู้เรื่องลูก รับรองเลยว่าเขาจะต้องแย่งลูกไปเลี้ยงดูเอง เขามีความพร้อมมากกว่าเธอหลาย
คุณตั้งครรภ์ได้สิบสองสัปดาห์แล้วค่ะ ระยะนี้อาการอ่อนเพลียจะลดลง แต่อาการวิงเวียนศีรษะยังมีอีกสักพัก คุณอาจมีอาการปวดหัว พยายามพักผ่อนให้เพียงพอและทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ถ้าเราไม่เครียดก็จะลดอาการพวกนี้ลงได้ค่ะ”แพทย์หญิงท่าทางใจดีบอกด้วยเสียงนุ่มนวล แม้อาการหลายอย่างบ่งบอกอย่างชัดเจน รวมถึงผลตรวจจากชุดทดสอบการตั้งครรภ์บอกว่าเธอท้อง แต่เมื่อฟังคำยืนยันจากคุณหมอซ้ำอีกที กุลนิภาก็เกิดอาการใจสั่นและมือเย็นขึ้นมา“ระยะนี้หมออยากให้คุณสังเกตตัวเองอย่างใกล้ชิด เพราะช่วงนี้ปากมดลูกมีความเปราะบาง การมีเพศสัมพันธ์ตามปกติก็อาจจะทำให้มีเลือดออกเล็กน้อยได้ มันไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าเลือดออกมากและมีอาการปวดท้องก็ต้องรีบมาพบหมอ”“ค่ะ...ได้ค่ะ”คุณหมอพูดอีกหลายคำ กุลนิภาพยายามตั้งใจฟัง แต่ยอมรับว่าหลายช่วงหลายตอนเธอเกิดอาการหูอื้อตาลาย กระทั่งขั้นตอนการพบหมอเสร็จสิ้นลง เธอจึงเดินออกมาจากห้องตรวจด้วยอาการใจลอย รู้สึกใจหวิวๆ คล้ายจะเป็นลม ได้แต่พยายามประคองตัวเองเอาไว้กุลนิภารับใบนัดมาพบหมอครั้งต่อไป นั่นก็คืออีกสี่สัปดาห
เช้าวันใหม่ กุลนิภาตื่นขึ้นมาด้วยอาการศีรษะหนักอึ้ง เพราะเมื่อคืนกว่าเธอจะนอนหลับก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม เธอเข้าไปอาบน้ำและแต่งตัวเพื่อเตรียมไปโรงพยาบาลเธอทำทุกอย่างเหมือนหุ่นยนต์ เธอออกคำสั่งให้ตัวเองลุกขึ้นมาทำ...แม้แต่การเดินไปตามถนนในซอยเพื่อตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ห่างจากคอนโดมิเนียมเกือบห้าร้อยเมตร...ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวในยามสาย แต่เธอก็เดินไปถึงทั้งที่ไม่เคยเดินในเส้นทางนี้มาก่อน ซึ่งมันทำให้เธอเหนื่อยหอบอยู่เหมือนกันกุลนิภาไม่คิดจะทรมานตัวเอง เธอไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น แต่เธอแค่ลองใช้ชีวิตในอีกรูปแบบ เพราะอีกไม่นานเธออาจต้องเผชิญกับมันโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าเป็นโรงพยาบาลที่กุลนิภาเลือกมาฝากครรภ์ เธอมีเหตุผลสองข้อ นั่นคือที่แห่งนี้พลุกพล่านด้วยคนไข้ที่มาใช้บริการ เธอจึงหวังว่าตัวเองคงไม่บังเอิญเจอคนรู้จัก ส่วนอีกข้อนั้นคือเธอมีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่าย ตอนนี้เธอแทบไม่มีเงินติดตัว ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมีเงินสดแค่ไม่กี่พันบาท ส่วนเงินในบัญชีนั้นแทบไม่เหลือแล้วหญิงสาวผิว
อรรพีไม่มีข่าวเสียหาย ถึงแม้เธอได้โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปีแล้วก็ตาม การพูดจาและวางตัวของเธอก็ดูดี ท่าทางฉลาดเฉลียวทันคนสมเป็นผู้หญิงยุคใหม่ ช่างถูกใจนางจริงๆ...แต่ติดนิดเดียวตรงที่อรรพีเคยให้สัมภาษณ์ถึงทัศนคติการมีชีวิตคู่ว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เธอก็อยากจะแต่งงาน แต่เธอไม่ต้องการมีลูก เพราะเธอเชื่อว่าเพียงแค่คนสองคนที่รักและเข้าใจกันก็สามารถสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องมีโซ่ทองคล้องใจ“สรุปว่าถ้าเจ้ากันต์กับหนูไอซ์ตกลงเป็นแฟนกัน คุณก็ให้การ์ดผ่านพวกเขาเลยใช่ไหม”“รดาต้องให้ผ่านอยู่แล้วค่ะ สำหรับเรื่องพวกนี้ รดาตามใจลูกทุกคน ขอแค่เธอเป็นผู้หญิงที่ดี ไม่มีเรื่องเสียหายมาให้ครอบครัวเราต้องพลอยอับอายไปด้วยก็พอ เพราะรดาอยากได้ผู้หญิงที่รักลูกของเราจริงๆ มาเป็นลูกสะใภ้”คุณเนตรรู้ว่าคุณอมลรดากลัวผู้หญิงอีกจำพวกที่อาจเข้ามาพัวพันและทำให้ชนกันต์ต้องเสื่อมเสีย เขาจึงปิดเรื่องที่ลูกชายพาผู้หญิงที่เลี้ยงไว้ไปที่บริษัท แถมยังให้เจ้าหล่อนเข้าไปนั่งรออยู่ในห้องทำงานส่วนตัว...รับรองเลยว่าถ้าหากคุณอมลรดารู้เรื่องนี้ นางจะต้