อากาศภายในห้องเย็นฉ่ำ หากกายหนาที่ขยับโยกเหนือกายบางกลับมีเม็ดเหงื่อผุดพราย เสียงครางหวานจากคนใต้ร่างดังคลอเคล้าเสียงคำรามเข้ม เขาจับร่างสาวพลิกหงายพลิกคว่ำกระแทกกระทั้นมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว กระทั่งใกล้จะถึงจุดปลดปล่อย ชายหนุ่มจึงเคลื่อนไหวถี่กระชั้น ช่องทางสาวที่แสนอุ่นนุ่มก็บีบรัดอย่างรุนแรงมือบางคว้าร่างหนาใหญ่ไว้ด้วยต้องการเป็นหลักยึด กุลนิภากำลังรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเหวี่ยงขึ้นสูงจนลอยละล่อง ความเสียวซ่านกำลังโจมตีทั้งกาย เธอกอดเขาอย่างแนบแน่น ชั่วอึดใจต่อมาสายรุ้งก็ระเบิดพร่าง เธอเกร็งไปทั้งร่าง เธอกำลังสูญสิ้นการควบคุมตัวเองชนกันต์หายใจหอบขณะกระแทกแก่นกายอย่างทรงพลังเข้าสู่ร่างอวบอัดของหญิงสาว ก่อนจะปล่อยให้ความอุ่นร้อนฉีดพ่นเข้าสู่กายของเธอ“อิงเป็นของผม จำไว้ ผมไม่มีทางปล่อยคุณไป”เสียงกระซิบห้าวพร่าดังขึ้นอย่างชัดเจน กุลนิภาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แม้ร่างกายยังถูกตอกตรึงด้วยร่างกายของเขา กระทั่งมือหนาจับปลายคางมนเอาไว้ แล้วบังคับให้เธอหันกลับมา“ลืมตาสิ มองผม”เมื่อเธอดื้อ เ
“คนบ้า หน้ามืด บ้ากามที่สุดเลย”เสียงแผ่วเบาหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่คนที่เดินออกมาจากห้องนอนกลับได้ยินอย่างชัดเจน เขายืนกางขาน้อยๆ แล้วเอียงคอมองเธอวินาทีนั้นกุลนิภาถึงได้รู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป เธอชะงักเท้ากึก แล้วค่อยๆ ถอยหลังเพื่อให้ห่างจากเขา“หิวหรือเปล่า”“คะ? คุณถามฉันเหรอ”“อยู่กันสองคน ผมคงถามกุมารทองมั้ง”“ยัง...”เธอยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ถามสวนขึ้นมา“วันนี้คุณกินข้าวหรือยัง”กุลนิภาส่ายหน้า ตัดสินใจบอกไปตามตรง เพราะเขาคงคาดคั้นจนรู้ความจริง ทั้งที่ตอนแรกเธอคิดจะรอให้เขาออกไปข้างนอกเสียก่อน ช่วงบ่ายวันนี้ชนกันต์ต้องเข้าไปที่สำนักงานของราชเวคิน กรุ๊ป เธอจำตารางงานของเขาได้ เธอตั้งใจจะใช้ช่วงเวลานั้นเข้าไปทำกับข้าวในครัวกินเอง“ไปแต่งตัว ผมจะพาคุณไปกินข้าวข้างนอก”“ไม่ไปค่ะ”“อะไรนะ?”ชายหนุ่มถามย้ำ เขาได้ยินคำพูดของเธอชัดเจน
เพราะใครล่ะที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้...กุลนิภาแย้งในใจ พยายามตัดความสงสารตัวเองทิ้งไป แม้คนอื่นมองเธอน่าสมเพชและไร้ค่าสักแค่ไหน แต่เธอไม่ควรซ้ำเติมตัวเองหากไม่ทันที่เธอจะได้กินเบอร์ริโต้ไก่ในมือตัวเอง กลิ่นเบอร์ริโต้เนื้อของชนกันต์ก็โชยมาเตะจมูก มันทำให้เธอรู้สึกพะอืดพะอมเหม็น...หญิงสาวกลั้นลมหายใจ เธอรอให้เขากินเสร็จ หากกลิ่นเนื้อยังอวลอยู่รอบตัว มันไม่หายไปไหนเลย แม้รถเปิดประทุนโล่งแล้วก็ตาม เธออยากจะอาเจียน แต่กลับไม่มีอะไรในท้องออกมา เธอจึงทิ้งตัวลงกับเก้าอี้อีกหน ทั้งที่ในมือยังถืออาหารและเธอก็หิวจนติดหมัด แต่ไม่เธอสามารถกินได้ทรมานเหลือเกิน...แค่หิวข้าว แต่ทำไมถึงทรมานอย่างนี้นะกุลนิภาได้ยินเสียงถามดังข้างหู เธอรู้ว่าเป็นเสียงของชนกันต์ เขาถามว่าเธอเป็นอะไร แล้วเขายังบ่นอีกยืดยาว เธอบอกให้เขาหยุดพูด เพราะเธอรู้สึกเวียนศีรษะมาก แต่กลับได้ยินเพียงเสียงอือออของตัวเองดังออกมาพลันเธอสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิเย็นฉ่ำ กลิ่นเนื้อและเครื่องเทศของอาหารหายไป เหลือเพียงกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศในรถที่เธอคุ้นเคย มันทำให้เธอรู้สึกดี
ดูท่าทางวิธี ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ คงใช้ได้ผล เพราะคนตัวโตเงียบไปแล้ว เขาเปิดประตูรถแล้วก้าวออกไปพร้อมกับเอกสารในมือ กุลนิภาจึงรีบเปิดประตูรถลงตาม เธอรีบจ้ำเท้าตามเขาเข้าไปข้างในอาคาร...เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่น กระทั่งคนทั้งคู่เข้าไปในลิฟต์ เขาก็พูดโพล่งออกมาอย่างที่ทำให้เธอต้องตีสีหน้าเลิ่กลั่กเหมือนกลัวใครจะมาได้ยินทั้งที่อยู่กันสองคน“คุณคิดอย่างนั้นก็ได้ ผมไม่สนใจ เพราะยังไงผมก็ได้ตัวคุณมานอนด้วยอยู่แล้ว”สำนักงานราชเวคิน กรุ๊ปเป็นตึกสูงสามสิบชั้น ห้องทำงานของชนกันต์ตั้งอยู่บนชั้นที่ยี่สิบแปด เธอเห็นห้องทำงานอีกห้องตั้งอยู่ติดกัน มันคงเป็นห้องทำงานของผู้บริหารใหญ่สักคน เพราะเธอเห็นว่ามีโต๊ะเลขาฯ วางอยู่ตรงหน้าห้องด้วย ส่วนหน้าห้องของชนกันต์นั้นกลับโล่งว่างกุลนิภาถูกดันหลังให้เข้าไปในห้องทำงานของเขา เขาพาเธอเดินผ่านเข้าไปด้านใน เธอจึงไม่ทันได้สังเกตอะไร เพราะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยอมรับว่าเธอกำลังรู้สึกตื่นเต้นและหวาดหวั่น แถมยังต้องระมัดระวังตัว เพราะไม่รู้ว่าชนกันต์พาเธอเข้ามาใน
เป็นธีทัตอีกเช่นเคยที่ดึงการสนทนากลับไปยังงาน การประชุมในวันนี้ถือเป็นการประชุมภายในสำหรับผู้บริหาร นอกจากนายเนตรซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้ลูกชายอยู่เบื้องหลังแล้ว ยังมีผู้บริหารที่มีบทบาทสำคัญอีกสามคน กระทั่งเวลาผ่านไปนานกว่าสองชั่วโมง เมื่อทุกคนได้รับรู้ผลประกอบการและได้พูดคุยถึงทิศทางของบริษัทในไตรมาสถัดไปแล้ว ผู้บริหารทั้งสามคนก็ลุกจากเก้าอี้แล้วออกไปจากห้องประชุม...เหลือเพียงพ่อและลูกชายในตระกูลราชเวคินที่นั่งดื่มกาแฟกันต่อ“ทำไมเปลี่ยนเสื้อ เฮียก่อถ่ายรูปกับนายที่สนามบิน ฉันยังเห็นว่าเมื่อเช้านายใส่เสื้อสีดำอยู่เลย”ก่อฤกษ์โพสต์รูปและแท็กหาเมีย พี่ชายของเขาคงอยากรายงานเมียว่ากำลังจะขึ้นเครื่องบินกลับออสเตรเลีย และยังบอกว่าชนกันต์เป็นคนขับรถไปส่งที่สนามบินด้วยตัวเอง ภพธรจำได้ดีว่าในรูปถ่ายนั้นชนกันต์สวมเสื้อผ้าสีดำทั้งชุด แต่ตอนนี้เจ้าตัวเปลี่ยนมาใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินแล้ว แม้เป็นเสื้อเชิ้ตที่มีรูปแบบคล้ายกัน แต่มันเป็นเสื้อคนละตัว...“เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำไมนายต้องเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ นายไปทำอะไรมาหรือเปล่า ที่สำคัญวันนี้นายยังเข้า
“ไม่ ผมแค่เอาเธอมานอนด้วย ผมไม่เคยคิดจะแต่งงานกับเธออยู่แล้ว ส่วนการที่เธอมาอยู่กับผม ผมก็ไม่ได้บังคับ ทุกอย่างเป็นไปตามความสมัครใจของเธอเอง มันเป็นเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทนกัน”“พ่อไม่เคยว่าถ้าแกจะเลี้ยงผู้หญิงสักคน เพราะแกยังไม่แต่งงาน พ่อเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี แกมีผู้หญิงเป็นตัวเป็นตนสักคน มันดีกว่าการที่แกไปนอนกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่แกต้องมั่นใจว่าแกควบคุมผู้หญิงคนนี้ได้...ถ้าแกไม่คิดจริงจังกับเธอ แกก็อย่าประมาทให้เธอจับแกแต่งงานได้”“อิงไม่กล้าหือกับผมหรอกครับ ผมควบคุมเธอได้”ชนกันต์กระตุกมุมปากยิ้มขำทั้งที่พ่อกับพี่ชายยังตีสีหน้าเรียบ ไม่มีใครขำไปกับเขา...เขาไม่กังวลเรื่องนี้สักนิด กุลนิภาเปรียบเหมือนลูกไก่ในกำมือของเขา เขาสามารถชี้เป็นชี้ตายชีวิตของเธอได้ด้วยซ้ำ“ความมั่นใจนี่แหละที่จะทำให้แกพลาดสักวัน” ธีทัตพูดเตือนสติในฐานะคนที่ผ่านชีวิตอันยุ่งเหยิงมาแล้วชนกันต์เลิกคิ้วสูง เขาไม่เถียง แม้ไม่เชื่อว่าสิ่งที่พี่ชายพูดจะเกิดขึ้นกับเขา เพราะเขาคว
ด้านในห้องทำงานไร้คนตัวบางที่เขาย้ำนักหนาว่าให้เธอรอเขาอยู่ในนี้ ห้ามออกไปเพ่นพ่านข้างนอกโดยเด็ดขาดชนกันต์โยนเอกสารลงบนโต๊ะใกล้ตัวด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ เขาอยากเอาเรื่องหล่อนให้หนัก โทษฐานที่ไม่ทำตามคำสั่งของเขา“อย่าให้รู้นะว่าจงใจเดินออกไปให้ใครต่อใครเห็น เธอจะประกาศตัวว่าเป็นเมียฉันหรือยังไง”ทายาทคนที่สามของราชเวคิน กรุ๊ปพึมพำอย่างหัวเสีย เขาเดินอาดๆ ผ่านประตูห้องทำงานออกไป ซึ่งบริเวณนี้ไร้วี่แววของกุลนิภาเช่นกัน กระทั่งเขาเห็นผู้ช่วยเลขาฯ ของน้องชายนั่งอยู่ตรงโต๊ะของเธอ เขาจึงสาวเท้าไปหา“ผู้หญิงในห้องของผมหายไปไหน”“หนูไม่ทราบค่ะ หนูสั่งอาหารมาให้เธอ จากนั้นหนูก็ เอ่อ...มานั่งตรงนี้”เจ้าหล่อนออกอาการเลิ่กลั่ก สีหน้าแสดงความหวาดหวั่น ชนกันต์จึงรู้ตัวว่าตนไม่ได้ระงับอารมณ์โกรธ ดังนั้นเขาจึงปรับสีหน้าเสียใหม่ แล้วพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง“เธอไม่อยู่ในห้อง อาหารก็ยังเหลือเต็มจาน”“หนูสั่งมะม่วงกับสับ
เสียงลมหายใจหอบกระเส่าจากคนที่เคลื่อนไหวอยู่เหนือกายบางดังคลอเคล้าเสียงเนื้อกระทบเนื้อ ร่างกายของกุลนิภาสั่นคลอนตามแรงกระแทกกระทั้น เธอหลับตารอกระทั่งทุกอย่างจบลงพร้อมกับความสุขสมที่พรายพร่างอยู่ในกายมันทรมาน มันเจ็บปวด หากเจือความสุขล้ำ...มันเป็นรสชาติที่กุลนิภาเพิ่งได้สัมผัส เธอไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกที่กำลังเกิดกับตัวเองนั้นเป็นเรื่องปกติไหม คู่รักทั่วไปรู้สึกเหมือนเธอหรือเปล่า...หรือมีเพียงเธอที่จมอยู่กับมันเมื่อเขาผละออก กุลนิภาจึงดึงผ้าห่มออกมาห่อกาย ขยับออกห่างจากเขา ตั้งใจจะเข้าห้องน้ำ แต่ต้องหยุดตัวเองทันทีเมื่อเขาคว้าเธอไปกักกันไว้ในอ้อมกอด...“ทำไมถึงไม่เข้าห้องน้ำในห้องทำงานของผม”กุลนิภาเบนหน้าไปมองเขาทั้งที่ไม่อยากมอง เพราะเธออยากรู้ว่าทำไมเขาถึงติดใจเรื่องนี้นัก...เขาเป็นบ้าอะไร“ฉันแค่ไม่อยากใช้ มันเป็นห้องน้ำส่วนตัวของคุณ”“คุณรังเกียจ? แล้วทีอย่างนี้ล่ะ เราอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน นอนเตียงเดียวกัน ใช้ห้องน้ำเดียวกัน ทำไมคุณถึงทำได้&
นายแพทย์อคินตัดสายจากน้องสาว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แพทย์หญิงเปรมวดีเดินกลับมาที่โต๊ะ หลังจากที่เธอไปเข้าห้องน้ำของร้านอาหาร“มื้อนี้นิคต้องเลี้ยงเรานะ เพราะเราทำงานให้นิคได้ดีเกินคาด”“เราเลี้ยงเปรมแน่นอน เราจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว แต่เปรมต้องขับรถพาเราไปทำธุระแถวหลักสี่ก่อน อ้อ! เราต้องซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นด้วย ว่าแต่มันคือมะม่วงอะไร เราไม่รู้จัก”นายแพทย์หนุ่มทำหน้าครุ่นคิด เหมือนกับเขากำลังเจอปัญหาใหญ่ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างจริงจัง“มะม่วงเปรี้ยวอมหวาน ผลมีสีเหลืองเหมือนขมิ้น ว่าแต่นิคจะซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นไปให้ใครเหรอ”“น้องสาว”“หืม? อิงอิงเหรอ”“เรามีน้องสาวคนเดียว”“งั้นเดี๋ยวเราจะพานิคไปซื้อ น้องสาวของนิคก็เป็นคนไข้ของเรา เราเป็นหมอเจ้าของเคสนี้…ว่าแต่คอนโดของน้องสาวอยู่ที่สาทรไม่ใช่เหรอ ทำไมนิคให้เราไปส่งแถวหลักสี่”“อิงอิงย้ายออกมาจากคอนโดแล้ว ตอนนี้เธอพักอยู่ที่โรงแรมย่านหลักสี่”มันเป็นข่าวใหม่ที่ทำให้หมอสาวต้องนิ
กุลนิภาตื่นนอนตั้งแต่ตีห้า เธออาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยโดยไม่มีอาการอ่อนเพลีย นึกชมลูกว่าน่ารักเหลือเกิน ลูกคงรู้ว่าวันนี้แม่ต้องย้ายบ้าน แม่ต้องทำธุระหลายอย่าง ลูกจึงไม่กวนและไม่งอแง ลูกให้ความร่วมมือกับเธอเป็นอย่างดีเวลาหกนาฬิกาเศษ หญิงสาวลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในลิฟต์เพื่อลงสู่ชั้นล่าง เธอฝากกุญแจและคีย์การ์ดเพื่อคืนให้ชนกันต์ไว้ที่เคาน์เตอร์ในล็อบบี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ประจำจุดนั้นถามเธออย่างสงสัย“คุณจะไปต่างจังหวัดหรือคะ ฉันถามเผื่อว่าเจ้าหน้าที่นิติบุคคลอยากรู้ข้อมูลไว้น่ะค่ะ”“ฉันจะย้ายไปอยู่ที่อื่นค่ะ ฉันไม่กลับมาที่นี่แล้ว”ประโยคท้ายช่างแผ่วเบา กุลนิภาหวังว่าคำตอบคงชัดเจนมากพอที่จะหยุดความสงสัยจากใครต่อใครได้...ซึ่งแน่นอน ไม่มีใครรั้งเธอไว้ด้วยคำถามอีกแล้วรถแท็กซี่ที่เธอเรียกผ่านแอปพลิเคชันจอดรออยู่ด้านหน้าล็อบบี้แล้ว คนขับรถช่วยเธอขนกระเป๋าเดินทางไปใส่ไว้ในท้ายรถ ก่อนที่เธอจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งทางตอนหลังจุดหมายปลายทางของเธอ
“ทำไมกลับเร็ว นายเพิ่งขับรถออกไปส่งคุณไอซ์ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลย”คนที่นั่งเอกขเนกอยู่บนเก้าอี้ริมสวนบริเวณหน้าบ้านส่งเสียงถามเมื่อเห็นชนกันต์ก้าวลงมาจากรถ จนเขาต้องเดินไปหาเจ้าตัว แล้วตอบเสียงเหนื่อยหน่าย“รถไม่ติด”“ฉันรู้ว่ารถไม่ติด แต่นายไม่พาเธอแวะไปที่อื่นเลยเหรอ อย่างเช่นไปนั่งดื่มเหล้าด้วยกันแล้วค่อยพาเธอไปส่งที่บ้าน คุณไอซ์ไม่ใช่เด็กสาวแล้วนะ เธอเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและเธอก็สวยมากด้วย เธอกลับบ้านดึกได้...มีแต่แม่ของเราที่ทำท่าตกใจว่ามันดึกแล้ว คุณไอซ์ต้องรีบกลับบ้าน”ชนกันต์ขยับมุมปากยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในห้องรับประทานอาหารเมื่อสักครู่ใหญ่ ในตอนนั้นเขาเห็นน้องชายกลั้นหัวเราะขำกับคำพูดของแม่ แต่เรื่องนี้จะโทษแม่ก็ไม่ได้ เพราะในวันนี้อรรพีวางท่าเป็นสาวใสซื่อจนเกินตัวตนจริงๆ ของเธอไปมากอันที่จริงเขาชอบอย่างที่เธอเป็นอยู่แล้ว เพราะมันดูเป็นธรรมชาติดี อีกทั้งเขายังวางตัวกับเธอได้ง่าย ยอมรับเลยว่าภาพพจน์ที่เธอแสดงออกในวันนี้มันกลับทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ“นายไม่มีอะไรจะเล่าให้ฉันฟังเหรอ”“ใคร
“ไอซ์กราบขอบคุณคุณลุงเนตรกับคุณป้ารดามากนะคะที่เอ็นดูไอซ์ ชวนไอซ์มาทานอาหารที่บ้านราชเวคิน”เสียงหวานฉอเลาะดังขึ้นหลังจากอาหารมื้อค่ำจบลง ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว เรียกได้ว่าวันนี้สมาชิกครอบครัวราชเวคินกินอาหารดึกกว่าปกติ...ยกเว้นเจ้าตัวป่วนประจำบ้านที่กินเสร็จก่อนใครและคนเป็นแม่พาเข้านอนเรียบร้อยแล้ว“อาหารถูกปากหนูไอซ์หรือเปล่าจ๊ะ ถ้ามีอะไรก็บอกป้าได้นะ”“อาหารอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ ไอซ์รู้นะว่าคุณป้าตั้งใจทำของชอบของไอซ์ตั้งหลายเมนู ไอซ์รู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของคุณป้ามากๆ เลยค่ะ”เซเลบสาวตอบคุณอมลรดา หากสายตาชม้ายมองชนกันต์ที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างเธอชายหนุ่มยังคงปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามสถานการณ์ จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าอรรพีโผล่มารับประทานอาหารกับครอบครัวของเขาได้อย่างไร ทำไมเขาไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ว่าก็ว่าเถอะ เขาเป็นคนเกริ่นชวนเธอเอง แต่เมื่อเธอบอกว่ายังไม่มีเวลาว่าง เขาจึงไม่ได้ถามเธออีก เพราะไม่อยากรบกวนเวลาของเธอ เขาเข้าใจดีว่าในฐานะนักธุรกิจแ
เมื่อเดินไปถึงห้องรับประทานอาหาร ชายหนุ่มก็พูดออกมาทั้งที่ความสงสัยยังไม่หายไป“นั่งกันครบองค์ประชุมเลยเหรอ มีวาระสำคัญหรือเปล่า ทำไมผมไม่รู้อยู่คนเดียว”สายตาแทบทุกคู่หันมามองเขา ชนกันต์อ่านความรู้สึกของคนในครอบครัวไม่ออก เพราะเป็นสายตาที่เขาไม่ชินเอาเสียเลย แต่รู้ว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง มันไม่ใช่สถานการณ์ปกติ หากชายหนุ่มไม่ทันได้ถามใคร เขาก็เห็นดวงหน้าสวยโดดเด่นของใครบางคนที่เบือนมาส่งยิ้มให้เขา“คุณไอซ์!”ภายในห้องชุดของคอนโดมิเนียมหรูถูกปกคลุมด้วยความมืดทั้งที่เป็นเวลาไม่ถึงสองทุ่ม คนที่อยู่ในห้องยังไม่เข้านอน เธอนั่งคุดคู้อยู่บนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น เธอไม่ยอมเปิดสวิตช์ไฟให้แสงสว่างส่องลงมา คล้ายกับว่าเธอยินดีที่จะอยู่ในความมืด เพราะต้องการให้มันพรางตัวเธอให้หายไปจากโลกใบนี้เมื่อเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา หัวใจที่แห้งเหี่ยวเกิดพองโต เพราะเชื่อมั่นว่าชนกันต์เป็นเจ้าของสายเรียกนั้น แต่เธอรีบปรับความรู้สึกเสียใหม่ เพราะสำนึกได้ว่าเธอไม่ควรดีใจกับการที่คนที่เพิ่งยื
ชนกันต์ไม่ได้บอกไว้ว่าเย็นนี้เขากลับมาที่คอนโดมิเนียมหรือกลับไปที่บ้านราชเวคิน...กุลนิภาจึงได้แต่ยืนมองเนื้อวากิวสำหรับทำสเต๊กอย่างลังเล นานชั่วอึดใจกว่าเธอจะตัดสินใจเก็บมันกลับเข้าตู้เย็น“ถ้าพ่อไม่มาหาเรา สเต๊กเนื้อก็เป็นหมัน เพราะแม่กินเนื้อไม่ได้ เดี๋ยวจะเสียของเปล่าๆ ช่วงนี้แม่เหม็นเนื้อมาก สงสัยหนูคงจะไม่ชอบเนื้อใช่ไหมจ๊ะ เพราะเมื่อก่อนแม่ยังกินเนื้อกับพ่อได้อยู่เลย”กุลนิภาพูดคุยกับลูกในท้อง เธอทำเหมือนกับลูกได้ยินและเข้าใจคำพูดของเธอ ในแต่ละวันมันจึงกลายเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเธอ เพราะเธอรู้สึกเหมือนมีคนคนหนึ่งอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาหญิงสาวเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่น ทำท่าจะเปิดโทรทัศน์ แต่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นมา แม้รู้ว่ามีแค่คนเดียวที่จะเข้ามาในห้องนี้ได้ แต่เธอก็เดินออกไปดูด้วยความเคยชินความประหลาดใจทอขึ้นมาในดวงตาหวาน ซึ่งคนตัวใหญ่ที่เดินเข้ามาต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม“มีอะไรหรือเปล่าถึงมองผมอย่างนี้”“ฉันไม่รู้ว่าวันนี้คุณจะกลับมาที่คอนโด”“ไม่ใช่จะ
เสียงแดดยามสายที่ทอทอดเข้ามาทางหน้าต่างของห้องครัวขับไล่ความอึมครึมได้เป็นอย่างดี ไม่รู้กุลนิภาคิดไปเองหรือเปล่าว่าวันนี้อากาศสดใสมากกว่าเมื่อวาน ทั้งที่เธอฟังพยากรณ์อากาศแล้วพบว่าทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนจากเดิม ไม่ว่าอุณหภูมิ เมฆฝน หรือความโปร่งของท้องฟ้าในช่วงปลายหน้าร้อนที่กำลังย่างเข้าสู่หน้าฝนเมื่อเธอมองอาหารมื้อเช้าที่บรรจงทำเตรียมไว้สำหรับสองคน เรียวปากสวยก็แย้มยิ้ม คิดจะไปเรียกชนกันต์ให้มากินอาหาร เพราะเขาคงอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ทว่าเขาเข้ามาในห้องครัวเสียก่อน แล้วพูดถึงเรื่องที่เธอไม่อยากฟัง“ถ้าผมแต่งงาน คุณจะเสียใจไหม”กุลนิภานิ่งงัน ฝันหวานกับโลกใบสีชมพูที่เธอเพียรสร้างเมื่อครู่นี้แตกยับอย่างไม่มีชิ้นดี...มันเป็นคำถามที่เธอไม่จำเป็นต้องตอบและเขาไม่ควรถามเธอด้วย“ฉันทำมื้อเช้าให้คุณแล้วค่ะ”กุลนิภาบอกไปอีกทาง ก่อนเธอจะเดินเบี่ยงกายออกห่างจากเขา เธอตั้งใจจะออกไปจากห้องครัว หากเขารั้งต้นแขนของเธอไว้“กินด้วยกัน”&l
“ถ้าคุณแต่งงาน คุณจะมีลูกไหมคะ”กุลนิภาถามขึ้นมาหลังจากสงครามรักบนเตียงนอนของยามเช้าจบลง ซึ่งเธอซุกซบอยู่บนอกเขามาสักพักแล้ว“ถามทำไม หรือคุณรู้อะไรมา”รู้อะไร?...กุลนิภาระแวงว่าชนกันต์จะรู้เรื่องลูกในท้อง ในขณะที่เขากลับนึกถึงผู้หญิงอีกคน“ฉันแค่อยากรู้ความคิดของคุณ แต่ถ้าคุณไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”“ถ้าคนที่ผมแต่งงานด้วยเขาไม่อยากมีลูก ผมก็ไม่มีปัญหา ผมแต่งงานกับใครก็เพราะผมอยากอยู่กับคนคนนั้น ส่วนลูก...ผมยังนึกภาพตัวเองมีลูกไม่ออก บางทีผมอาจไม่ได้รักเด็กขนาดที่จะมีลูกเอง ผมคงไม่พร้อมที่จะทุ่มเทให้ลูกของผมเหมือนอย่างที่พ่อแม่เคยให้กับผม”น่าอิจฉาจัง...ความรู้สึกนี้โฉบเข้ามาในหัวของกุลนิภาชนกันต์มีพ่อแม่ที่รักเขามาก จนเขากลัวว่าตัวเองอาจไม่สามารถทุ่มเทและรักลูกได้เหมือนอย่างที่พ่อแม่ของเขาเคยเป็น...ในขณะที่เธอไม่กล้าคิดถึงแม่ของตัวเอง ถึงแม้เธอจะไม่เชื่อว่าแม่ไม่รักเธอ เธอยังคิดเสมอว่าแม่คงมีเหตุผลที่เธอไม่รู้และไม่เข้าใจ แต่นั่นแหละ การกระทำของแม่ส
“อือ...”เสียงห้าวทุ้มดังอยู่ข้างหู กุลนิภารู้ว่าเป็นเสียงของชนกันต์ เธอจำได้ดี แต่ตอนนี้เธออยากหลับ ไม่อยากตื่นขึ้นมารับสายของเขาแล้ว อยากบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน แต่เธอทำได้แค่บอกเสียงอือออในลำคอ...เขาคงเข้าใจ เพราะเธอได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากเขาหากเมื่อจะพาตัวเองเข้าสู่นิทรารมย์อีกหน กุลนิภากลับรู้สึกถึงรอยสัมผัสบริเวณแก้ม ริมฝีปาก แม้กระทั่งซอกคอ จนเธอต้องพลิกกายหนี“ผมจะไปอาบน้ำ เดี๋ยวกลับมา”“อืม...”ในความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น กุลนิภาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป นึกแปลกใจว่าเธอกำลังคุยโทรศัพท์กับชนกันต์ แต่ทำไมมันถึงคล้ายกับเขามาอยู่ใกล้เธอ หากนั่นแหละ เธอไม่คิดจะหาคำตอบ เธอปล่อยความสงสัยไว้ตรงนี้ เพราะตอนนี้เธอต้องการหลับกุลนิภารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นและสากระคายที่กำลังตวัดไล้อยู่ตรงยอดอก มือบางคว้าหมับเจ้าสิ่งนั้นไว้หวังจะให้มันหยุด เพราะเธอรู้สึกถึงความซ่านสยิวมที่โจมตีเข้ามาอย่างรุนแรง“ห