เพราะใครล่ะที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้...กุลนิภาแย้งในใจ พยายามตัดความสงสารตัวเองทิ้งไป แม้คนอื่นมองเธอน่าสมเพชและไร้ค่าสักแค่ไหน แต่เธอไม่ควรซ้ำเติมตัวเอง
หากไม่ทันที่เธอจะได้กินเบอร์ริโต้ไก่ในมือตัวเอง กลิ่นเบอร์ริโต้เนื้อของชนกันต์ก็โชยมาเตะจมูก มันทำให้เธอรู้สึกพะอืดพะอม เหม็น... หญิงสาวกลั้นลมหายใจ เธอรอให้เขากินเสร็จ หากกลิ่นเนื้อยังอวลอยู่รอบตัว มันไม่หายไปไหนเลย แม้รถเปิดประทุนโล่งแล้วก็ตาม เธออยากจะอาเจียน แต่กลับไม่มีอะไรในท้องออกมา เธอจึงทิ้งตัวลงกับเก้าอี้อีกหน ทั้งที่ในมือยังถืออาหารและเธอก็หิวจนติดหมัด แต่ไม่เธอสามารถกินได้ ทรมานเหลือเกิน...แค่หิวข้าว แต่ทำไมถึงทรมานอย่างนี้นะ กุลนิภาได้ยินเสียงถามดังข้างหู เธอรู้ว่าเป็นเสียงของชนกันต์ เขาถามว่าเธอเป็นอะไร แล้วเขายังบ่นอีกยืดยาว เธอบอกให้เขาหยุดพูด เพราะเธอรู้สึกเวียนศีรษะมาก แต่กลับได้ยินเพียงเสียงอือออของตัวเองดังออกมา พลันเธอสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิเย็นฉ่ำ กลิ่นเนื้อและเครื่องเทศของอาหารหายไป เหลือเพียงกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศในรถที่เธอคุ้นเคย มันทำให้เธอรู้สึกดีดูท่าทางวิธี ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ คงใช้ได้ผล เพราะคนตัวโตเงียบไปแล้ว เขาเปิดประตูรถแล้วก้าวออกไปพร้อมกับเอกสารในมือ กุลนิภาจึงรีบเปิดประตูรถลงตาม เธอรีบจ้ำเท้าตามเขาเข้าไปข้างในอาคาร...เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่น กระทั่งคนทั้งคู่เข้าไปในลิฟต์ เขาก็พูดโพล่งออกมาอย่างที่ทำให้เธอต้องตีสีหน้าเลิ่กลั่กเหมือนกลัวใครจะมาได้ยินทั้งที่อยู่กันสองคน“คุณคิดอย่างนั้นก็ได้ ผมไม่สนใจ เพราะยังไงผมก็ได้ตัวคุณมานอนด้วยอยู่แล้ว”สำนักงานราชเวคิน กรุ๊ปเป็นตึกสูงสามสิบชั้น ห้องทำงานของชนกันต์ตั้งอยู่บนชั้นที่ยี่สิบแปด เธอเห็นห้องทำงานอีกห้องตั้งอยู่ติดกัน มันคงเป็นห้องทำงานของผู้บริหารใหญ่สักคน เพราะเธอเห็นว่ามีโต๊ะเลขาฯ วางอยู่ตรงหน้าห้องด้วย ส่วนหน้าห้องของชนกันต์นั้นกลับโล่งว่างกุลนิภาถูกดันหลังให้เข้าไปในห้องทำงานของเขา เขาพาเธอเดินผ่านเข้าไปด้านใน เธอจึงไม่ทันได้สังเกตอะไร เพราะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยอมรับว่าเธอกำลังรู้สึกตื่นเต้นและหวาดหวั่น แถมยังต้องระมัดระวังตัว เพราะไม่รู้ว่าชนกันต์พาเธอเข้ามาใน
เป็นธีทัตอีกเช่นเคยที่ดึงการสนทนากลับไปยังงาน การประชุมในวันนี้ถือเป็นการประชุมภายในสำหรับผู้บริหาร นอกจากนายเนตรซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้ลูกชายอยู่เบื้องหลังแล้ว ยังมีผู้บริหารที่มีบทบาทสำคัญอีกสามคน กระทั่งเวลาผ่านไปนานกว่าสองชั่วโมง เมื่อทุกคนได้รับรู้ผลประกอบการและได้พูดคุยถึงทิศทางของบริษัทในไตรมาสถัดไปแล้ว ผู้บริหารทั้งสามคนก็ลุกจากเก้าอี้แล้วออกไปจากห้องประชุม...เหลือเพียงพ่อและลูกชายในตระกูลราชเวคินที่นั่งดื่มกาแฟกันต่อ“ทำไมเปลี่ยนเสื้อ เฮียก่อถ่ายรูปกับนายที่สนามบิน ฉันยังเห็นว่าเมื่อเช้านายใส่เสื้อสีดำอยู่เลย”ก่อฤกษ์โพสต์รูปและแท็กหาเมีย พี่ชายของเขาคงอยากรายงานเมียว่ากำลังจะขึ้นเครื่องบินกลับออสเตรเลีย และยังบอกว่าชนกันต์เป็นคนขับรถไปส่งที่สนามบินด้วยตัวเอง ภพธรจำได้ดีว่าในรูปถ่ายนั้นชนกันต์สวมเสื้อผ้าสีดำทั้งชุด แต่ตอนนี้เจ้าตัวเปลี่ยนมาใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินแล้ว แม้เป็นเสื้อเชิ้ตที่มีรูปแบบคล้ายกัน แต่มันเป็นเสื้อคนละตัว...“เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำไมนายต้องเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ นายไปทำอะไรมาหรือเปล่า ที่สำคัญวันนี้นายยังเข้า
“ไม่ ผมแค่เอาเธอมานอนด้วย ผมไม่เคยคิดจะแต่งงานกับเธออยู่แล้ว ส่วนการที่เธอมาอยู่กับผม ผมก็ไม่ได้บังคับ ทุกอย่างเป็นไปตามความสมัครใจของเธอเอง มันเป็นเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทนกัน”“พ่อไม่เคยว่าถ้าแกจะเลี้ยงผู้หญิงสักคน เพราะแกยังไม่แต่งงาน พ่อเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี แกมีผู้หญิงเป็นตัวเป็นตนสักคน มันดีกว่าการที่แกไปนอนกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่แกต้องมั่นใจว่าแกควบคุมผู้หญิงคนนี้ได้...ถ้าแกไม่คิดจริงจังกับเธอ แกก็อย่าประมาทให้เธอจับแกแต่งงานได้”“อิงไม่กล้าหือกับผมหรอกครับ ผมควบคุมเธอได้”ชนกันต์กระตุกมุมปากยิ้มขำทั้งที่พ่อกับพี่ชายยังตีสีหน้าเรียบ ไม่มีใครขำไปกับเขา...เขาไม่กังวลเรื่องนี้สักนิด กุลนิภาเปรียบเหมือนลูกไก่ในกำมือของเขา เขาสามารถชี้เป็นชี้ตายชีวิตของเธอได้ด้วยซ้ำ“ความมั่นใจนี่แหละที่จะทำให้แกพลาดสักวัน” ธีทัตพูดเตือนสติในฐานะคนที่ผ่านชีวิตอันยุ่งเหยิงมาแล้วชนกันต์เลิกคิ้วสูง เขาไม่เถียง แม้ไม่เชื่อว่าสิ่งที่พี่ชายพูดจะเกิดขึ้นกับเขา เพราะเขาคว
ด้านในห้องทำงานไร้คนตัวบางที่เขาย้ำนักหนาว่าให้เธอรอเขาอยู่ในนี้ ห้ามออกไปเพ่นพ่านข้างนอกโดยเด็ดขาดชนกันต์โยนเอกสารลงบนโต๊ะใกล้ตัวด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ เขาอยากเอาเรื่องหล่อนให้หนัก โทษฐานที่ไม่ทำตามคำสั่งของเขา“อย่าให้รู้นะว่าจงใจเดินออกไปให้ใครต่อใครเห็น เธอจะประกาศตัวว่าเป็นเมียฉันหรือยังไง”ทายาทคนที่สามของราชเวคิน กรุ๊ปพึมพำอย่างหัวเสีย เขาเดินอาดๆ ผ่านประตูห้องทำงานออกไป ซึ่งบริเวณนี้ไร้วี่แววของกุลนิภาเช่นกัน กระทั่งเขาเห็นผู้ช่วยเลขาฯ ของน้องชายนั่งอยู่ตรงโต๊ะของเธอ เขาจึงสาวเท้าไปหา“ผู้หญิงในห้องของผมหายไปไหน”“หนูไม่ทราบค่ะ หนูสั่งอาหารมาให้เธอ จากนั้นหนูก็ เอ่อ...มานั่งตรงนี้”เจ้าหล่อนออกอาการเลิ่กลั่ก สีหน้าแสดงความหวาดหวั่น ชนกันต์จึงรู้ตัวว่าตนไม่ได้ระงับอารมณ์โกรธ ดังนั้นเขาจึงปรับสีหน้าเสียใหม่ แล้วพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง“เธอไม่อยู่ในห้อง อาหารก็ยังเหลือเต็มจาน”“หนูสั่งมะม่วงกับสับ
เสียงลมหายใจหอบกระเส่าจากคนที่เคลื่อนไหวอยู่เหนือกายบางดังคลอเคล้าเสียงเนื้อกระทบเนื้อ ร่างกายของกุลนิภาสั่นคลอนตามแรงกระแทกกระทั้น เธอหลับตารอกระทั่งทุกอย่างจบลงพร้อมกับความสุขสมที่พรายพร่างอยู่ในกายมันทรมาน มันเจ็บปวด หากเจือความสุขล้ำ...มันเป็นรสชาติที่กุลนิภาเพิ่งได้สัมผัส เธอไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกที่กำลังเกิดกับตัวเองนั้นเป็นเรื่องปกติไหม คู่รักทั่วไปรู้สึกเหมือนเธอหรือเปล่า...หรือมีเพียงเธอที่จมอยู่กับมันเมื่อเขาผละออก กุลนิภาจึงดึงผ้าห่มออกมาห่อกาย ขยับออกห่างจากเขา ตั้งใจจะเข้าห้องน้ำ แต่ต้องหยุดตัวเองทันทีเมื่อเขาคว้าเธอไปกักกันไว้ในอ้อมกอด...“ทำไมถึงไม่เข้าห้องน้ำในห้องทำงานของผม”กุลนิภาเบนหน้าไปมองเขาทั้งที่ไม่อยากมอง เพราะเธออยากรู้ว่าทำไมเขาถึงติดใจเรื่องนี้นัก...เขาเป็นบ้าอะไร“ฉันแค่ไม่อยากใช้ มันเป็นห้องน้ำส่วนตัวของคุณ”“คุณรังเกียจ? แล้วทีอย่างนี้ล่ะ เราอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน นอนเตียงเดียวกัน ใช้ห้องน้ำเดียวกัน ทำไมคุณถึงทำได้&
เธอไม่ได้ละอายต่อการกระทำของตัวเอง เพราะเธอยืนยันคำเดิมว่าไม่เคยคิดจะจับเขา การเข้ามาทำงานของเธอไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง เธอแค่ต้องการทำงาน แต่เธอกำลังรู้สึกละอายต่อการกระทำของแม่ต่างหากสายเรียกเข้าดังขึ้นมา เป็นเสียงจากโทรศัพท์มือถือของชนกันต์ กุลนิภามองตามทิศทางของเสียง...มันดังมาจากหน้าเตียงนอนนั่นเอง“หยิบให้หน่อยสิ”เขาสั่งพลางคลายอ้อมแขนออกจากเธอ กุลนิภาทำตามอย่างไม่คิดค้าน เพราะถือว่าตัวเองอยู่ใกล้มันมากกว่าเขา หญิงสาวกระชับผ้าห่มห่อร่าง แล้วขยับกายไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสแล็กส์สีดำที่ถูกถอดกองไว้หน้าเตียงมาส่งให้เขา หากสายตาเจ้ากรรมดันเหลือบเห็นชื่อของเจ้าของสายบนหน้าจอโทรศัพท์เข้าเสียแล้วคุณไอซ์...หัวใจกระตุก เธอพยายามรักษาสีหน้าเอาไว้ แล้วฉวยโอกาสในขณะที่เขากำลังรับสายรีบลุกออกจากเตียงนอนโดยไวกุลนิภาชำระล้างร่างกายไม่นาน แต่เธอยังถ่วงเวลาจนมั่นใจว่าชนกันต์พูดสายกับอรรพีเสร็จแล้ว เมื่อเธอเดินออกมา จึงเห็นเขานั่งกอดอกพิงหัวเตียงอยู่ดวงตาคมทอดมองเธอนิ่งๆ มั
รถพอร์เชอคันสีเหลืองสดชะลอความเร็วเมื่อมาถึงหน้าร้านขายยา บริเวณหน้าร้านไม่มีที่จอดรถ ชนกันต์จึงต้องเคลื่อนรถผ่านไปอย่างช้าๆ เพื่อตรงไปยังที่จอดรถชั่วคราวที่เขาหมายตาเอาไว้ แต่มันอยู่ห่างจากร้านขายยาพอสมควร“ฉันจะเข้าไปซื้อของคนเดียว คุณนำรถไปจอดรอฉันก็แล้วกันค่ะ พอซื้อเสร็จแล้วฉันจะไปหาคุณเอง หรือถ้าฉันไปหาคุณช้า คุณจะไปทำธุระเลยก็ได้ ฉันจะเดินกลับคอนโดเอง”“ผมจะรอคุณ”ชนกันต์บอกเสียงเข้ม กุลนิภาจึงไม่เถียงและไม่พยายามเสนอทางเลือกอื่นให้เขาอีกหญิงสาวก้าวลงจากรถคันหรูแล้วตรงไปยังประตูร้านขายยา เมื่อชำเลืองมองรถคันนั้น แล้วเห็นว่ามันเคลื่อนห่างออกไปแล้ว เธอจึงผลักประตูกระจกแล้วบอกกับเภสัชกรที่อยู่หลังเคาน์เตอร์“ขอซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์ค่ะ”“น้องมาซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์เหมือนกันหรือคะ ของพี่ประจำเดือนขาดไปเดือนกว่าแล้ว พี่กำลังลุ้นจะมีเจ้าตัวเล็กอยู่เลยค่ะ”ไม่ใช่คำพูดของเภสัชกร แต่เป็นคำพูดของหญิงสาววัยประมาณสามส
“ฉันกำลังบอกคุณกันต์ว่าเขาไม่ได้มาสาย แต่เป็นพวกเราเองที่นัดกันโดยไม่ได้ถามเวลาที่เขาสะดวกก่อน เขาเลยต้องตามมาทีหลังพวกเรา”“อ๋อ! เรื่องนี้เอง ไม่เป็นไรค่ะคุณกันต์ พวกเราคนกันเองทั้งนั้น”เพื่อนสาวเออออตามอรรพี เพราะหน้าที่ของพวกเธอก็คือทำให้ชนกันต์เกิดความสะดวกสบายใจที่จะเข้ามาร่วมสังสรรค์กับกลุ่มของพวกเธอในขณะที่ชนกันต์กำลังสังสรรค์กับเซเลบสาวพร้อมกับเพื่อนของเธอ คนที่เขาขับรถมาส่งที่คอนโดมิเนียมกลับกำลังนั่งคู้ตัวอยู่บนโซฟาตามลำพัง ในมือมีชุดตรวจการตั้งครรภ์ที่เพิ่งใช้งาน เธอถือมันไว้อย่างนั้น แล้วเพ่งมองขีดสีแดงสองขีดที่ปรากฎบนแท่งสีขาวด้วยหัวใจหนักอึ้ง“ลูก? เราท้อง…”มันไม่ใช่ฝัน กุลนิภาไม่อาจหลอกตัวเองว่าผลตรวจการตั้งครรภ์คลาดเคลื่อน เพราะผลที่ได้จากการตรวจในร้านขายยาก็ให้ผลตรงกับการตรวจในครั้งนี้ ซึ่งต่างกับผู้หญิงอีกคนที่ให้ผลตรงกันข้าม เธอคนนั้นผิดหวังเป็นอย่างมากที่ยังไม่ตั้งครรภ์ ในขณะที่กุลนิภาได้แต่ยืนนิ่งงัน เพราะรู้สึกชาหนึบไปทั้งตัว‘พี่ยินดีกับน
นายแพทย์อคินตัดสายจากน้องสาว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แพทย์หญิงเปรมวดีเดินกลับมาที่โต๊ะ หลังจากที่เธอไปเข้าห้องน้ำของร้านอาหาร“มื้อนี้นิคต้องเลี้ยงเรานะ เพราะเราทำงานให้นิคได้ดีเกินคาด”“เราเลี้ยงเปรมแน่นอน เราจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว แต่เปรมต้องขับรถพาเราไปทำธุระแถวหลักสี่ก่อน อ้อ! เราต้องซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นด้วย ว่าแต่มันคือมะม่วงอะไร เราไม่รู้จัก”นายแพทย์หนุ่มทำหน้าครุ่นคิด เหมือนกับเขากำลังเจอปัญหาใหญ่ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างจริงจัง“มะม่วงเปรี้ยวอมหวาน ผลมีสีเหลืองเหมือนขมิ้น ว่าแต่นิคจะซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นไปให้ใครเหรอ”“น้องสาว”“หืม? อิงอิงเหรอ”“เรามีน้องสาวคนเดียว”“งั้นเดี๋ยวเราจะพานิคไปซื้อ น้องสาวของนิคก็เป็นคนไข้ของเรา เราเป็นหมอเจ้าของเคสนี้…ว่าแต่คอนโดของน้องสาวอยู่ที่สาทรไม่ใช่เหรอ ทำไมนิคให้เราไปส่งแถวหลักสี่”“อิงอิงย้ายออกมาจากคอนโดแล้ว ตอนนี้เธอพักอยู่ที่โรงแรมย่านหลักสี่”มันเป็นข่าวใหม่ที่ทำให้หมอสาวต้องนิ
กุลนิภาตื่นนอนตั้งแต่ตีห้า เธออาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยโดยไม่มีอาการอ่อนเพลีย นึกชมลูกว่าน่ารักเหลือเกิน ลูกคงรู้ว่าวันนี้แม่ต้องย้ายบ้าน แม่ต้องทำธุระหลายอย่าง ลูกจึงไม่กวนและไม่งอแง ลูกให้ความร่วมมือกับเธอเป็นอย่างดีเวลาหกนาฬิกาเศษ หญิงสาวลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในลิฟต์เพื่อลงสู่ชั้นล่าง เธอฝากกุญแจและคีย์การ์ดเพื่อคืนให้ชนกันต์ไว้ที่เคาน์เตอร์ในล็อบบี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ประจำจุดนั้นถามเธออย่างสงสัย“คุณจะไปต่างจังหวัดหรือคะ ฉันถามเผื่อว่าเจ้าหน้าที่นิติบุคคลอยากรู้ข้อมูลไว้น่ะค่ะ”“ฉันจะย้ายไปอยู่ที่อื่นค่ะ ฉันไม่กลับมาที่นี่แล้ว”ประโยคท้ายช่างแผ่วเบา กุลนิภาหวังว่าคำตอบคงชัดเจนมากพอที่จะหยุดความสงสัยจากใครต่อใครได้...ซึ่งแน่นอน ไม่มีใครรั้งเธอไว้ด้วยคำถามอีกแล้วรถแท็กซี่ที่เธอเรียกผ่านแอปพลิเคชันจอดรออยู่ด้านหน้าล็อบบี้แล้ว คนขับรถช่วยเธอขนกระเป๋าเดินทางไปใส่ไว้ในท้ายรถ ก่อนที่เธอจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งทางตอนหลังจุดหมายปลายทางของเธอ
“ทำไมกลับเร็ว นายเพิ่งขับรถออกไปส่งคุณไอซ์ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลย”คนที่นั่งเอกขเนกอยู่บนเก้าอี้ริมสวนบริเวณหน้าบ้านส่งเสียงถามเมื่อเห็นชนกันต์ก้าวลงมาจากรถ จนเขาต้องเดินไปหาเจ้าตัว แล้วตอบเสียงเหนื่อยหน่าย“รถไม่ติด”“ฉันรู้ว่ารถไม่ติด แต่นายไม่พาเธอแวะไปที่อื่นเลยเหรอ อย่างเช่นไปนั่งดื่มเหล้าด้วยกันแล้วค่อยพาเธอไปส่งที่บ้าน คุณไอซ์ไม่ใช่เด็กสาวแล้วนะ เธอเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและเธอก็สวยมากด้วย เธอกลับบ้านดึกได้...มีแต่แม่ของเราที่ทำท่าตกใจว่ามันดึกแล้ว คุณไอซ์ต้องรีบกลับบ้าน”ชนกันต์ขยับมุมปากยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในห้องรับประทานอาหารเมื่อสักครู่ใหญ่ ในตอนนั้นเขาเห็นน้องชายกลั้นหัวเราะขำกับคำพูดของแม่ แต่เรื่องนี้จะโทษแม่ก็ไม่ได้ เพราะในวันนี้อรรพีวางท่าเป็นสาวใสซื่อจนเกินตัวตนจริงๆ ของเธอไปมากอันที่จริงเขาชอบอย่างที่เธอเป็นอยู่แล้ว เพราะมันดูเป็นธรรมชาติดี อีกทั้งเขายังวางตัวกับเธอได้ง่าย ยอมรับเลยว่าภาพพจน์ที่เธอแสดงออกในวันนี้มันกลับทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ“นายไม่มีอะไรจะเล่าให้ฉันฟังเหรอ”“ใคร
“ไอซ์กราบขอบคุณคุณลุงเนตรกับคุณป้ารดามากนะคะที่เอ็นดูไอซ์ ชวนไอซ์มาทานอาหารที่บ้านราชเวคิน”เสียงหวานฉอเลาะดังขึ้นหลังจากอาหารมื้อค่ำจบลง ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว เรียกได้ว่าวันนี้สมาชิกครอบครัวราชเวคินกินอาหารดึกกว่าปกติ...ยกเว้นเจ้าตัวป่วนประจำบ้านที่กินเสร็จก่อนใครและคนเป็นแม่พาเข้านอนเรียบร้อยแล้ว“อาหารถูกปากหนูไอซ์หรือเปล่าจ๊ะ ถ้ามีอะไรก็บอกป้าได้นะ”“อาหารอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ ไอซ์รู้นะว่าคุณป้าตั้งใจทำของชอบของไอซ์ตั้งหลายเมนู ไอซ์รู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของคุณป้ามากๆ เลยค่ะ”เซเลบสาวตอบคุณอมลรดา หากสายตาชม้ายมองชนกันต์ที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างเธอชายหนุ่มยังคงปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามสถานการณ์ จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าอรรพีโผล่มารับประทานอาหารกับครอบครัวของเขาได้อย่างไร ทำไมเขาไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ว่าก็ว่าเถอะ เขาเป็นคนเกริ่นชวนเธอเอง แต่เมื่อเธอบอกว่ายังไม่มีเวลาว่าง เขาจึงไม่ได้ถามเธออีก เพราะไม่อยากรบกวนเวลาของเธอ เขาเข้าใจดีว่าในฐานะนักธุรกิจแ
เมื่อเดินไปถึงห้องรับประทานอาหาร ชายหนุ่มก็พูดออกมาทั้งที่ความสงสัยยังไม่หายไป“นั่งกันครบองค์ประชุมเลยเหรอ มีวาระสำคัญหรือเปล่า ทำไมผมไม่รู้อยู่คนเดียว”สายตาแทบทุกคู่หันมามองเขา ชนกันต์อ่านความรู้สึกของคนในครอบครัวไม่ออก เพราะเป็นสายตาที่เขาไม่ชินเอาเสียเลย แต่รู้ว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง มันไม่ใช่สถานการณ์ปกติ หากชายหนุ่มไม่ทันได้ถามใคร เขาก็เห็นดวงหน้าสวยโดดเด่นของใครบางคนที่เบือนมาส่งยิ้มให้เขา“คุณไอซ์!”ภายในห้องชุดของคอนโดมิเนียมหรูถูกปกคลุมด้วยความมืดทั้งที่เป็นเวลาไม่ถึงสองทุ่ม คนที่อยู่ในห้องยังไม่เข้านอน เธอนั่งคุดคู้อยู่บนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น เธอไม่ยอมเปิดสวิตช์ไฟให้แสงสว่างส่องลงมา คล้ายกับว่าเธอยินดีที่จะอยู่ในความมืด เพราะต้องการให้มันพรางตัวเธอให้หายไปจากโลกใบนี้เมื่อเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา หัวใจที่แห้งเหี่ยวเกิดพองโต เพราะเชื่อมั่นว่าชนกันต์เป็นเจ้าของสายเรียกนั้น แต่เธอรีบปรับความรู้สึกเสียใหม่ เพราะสำนึกได้ว่าเธอไม่ควรดีใจกับการที่คนที่เพิ่งยื
ชนกันต์ไม่ได้บอกไว้ว่าเย็นนี้เขากลับมาที่คอนโดมิเนียมหรือกลับไปที่บ้านราชเวคิน...กุลนิภาจึงได้แต่ยืนมองเนื้อวากิวสำหรับทำสเต๊กอย่างลังเล นานชั่วอึดใจกว่าเธอจะตัดสินใจเก็บมันกลับเข้าตู้เย็น“ถ้าพ่อไม่มาหาเรา สเต๊กเนื้อก็เป็นหมัน เพราะแม่กินเนื้อไม่ได้ เดี๋ยวจะเสียของเปล่าๆ ช่วงนี้แม่เหม็นเนื้อมาก สงสัยหนูคงจะไม่ชอบเนื้อใช่ไหมจ๊ะ เพราะเมื่อก่อนแม่ยังกินเนื้อกับพ่อได้อยู่เลย”กุลนิภาพูดคุยกับลูกในท้อง เธอทำเหมือนกับลูกได้ยินและเข้าใจคำพูดของเธอ ในแต่ละวันมันจึงกลายเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเธอ เพราะเธอรู้สึกเหมือนมีคนคนหนึ่งอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาหญิงสาวเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่น ทำท่าจะเปิดโทรทัศน์ แต่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นมา แม้รู้ว่ามีแค่คนเดียวที่จะเข้ามาในห้องนี้ได้ แต่เธอก็เดินออกไปดูด้วยความเคยชินความประหลาดใจทอขึ้นมาในดวงตาหวาน ซึ่งคนตัวใหญ่ที่เดินเข้ามาต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม“มีอะไรหรือเปล่าถึงมองผมอย่างนี้”“ฉันไม่รู้ว่าวันนี้คุณจะกลับมาที่คอนโด”“ไม่ใช่จะ
เสียงแดดยามสายที่ทอทอดเข้ามาทางหน้าต่างของห้องครัวขับไล่ความอึมครึมได้เป็นอย่างดี ไม่รู้กุลนิภาคิดไปเองหรือเปล่าว่าวันนี้อากาศสดใสมากกว่าเมื่อวาน ทั้งที่เธอฟังพยากรณ์อากาศแล้วพบว่าทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนจากเดิม ไม่ว่าอุณหภูมิ เมฆฝน หรือความโปร่งของท้องฟ้าในช่วงปลายหน้าร้อนที่กำลังย่างเข้าสู่หน้าฝนเมื่อเธอมองอาหารมื้อเช้าที่บรรจงทำเตรียมไว้สำหรับสองคน เรียวปากสวยก็แย้มยิ้ม คิดจะไปเรียกชนกันต์ให้มากินอาหาร เพราะเขาคงอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ทว่าเขาเข้ามาในห้องครัวเสียก่อน แล้วพูดถึงเรื่องที่เธอไม่อยากฟัง“ถ้าผมแต่งงาน คุณจะเสียใจไหม”กุลนิภานิ่งงัน ฝันหวานกับโลกใบสีชมพูที่เธอเพียรสร้างเมื่อครู่นี้แตกยับอย่างไม่มีชิ้นดี...มันเป็นคำถามที่เธอไม่จำเป็นต้องตอบและเขาไม่ควรถามเธอด้วย“ฉันทำมื้อเช้าให้คุณแล้วค่ะ”กุลนิภาบอกไปอีกทาง ก่อนเธอจะเดินเบี่ยงกายออกห่างจากเขา เธอตั้งใจจะออกไปจากห้องครัว หากเขารั้งต้นแขนของเธอไว้“กินด้วยกัน”&l
“ถ้าคุณแต่งงาน คุณจะมีลูกไหมคะ”กุลนิภาถามขึ้นมาหลังจากสงครามรักบนเตียงนอนของยามเช้าจบลง ซึ่งเธอซุกซบอยู่บนอกเขามาสักพักแล้ว“ถามทำไม หรือคุณรู้อะไรมา”รู้อะไร?...กุลนิภาระแวงว่าชนกันต์จะรู้เรื่องลูกในท้อง ในขณะที่เขากลับนึกถึงผู้หญิงอีกคน“ฉันแค่อยากรู้ความคิดของคุณ แต่ถ้าคุณไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”“ถ้าคนที่ผมแต่งงานด้วยเขาไม่อยากมีลูก ผมก็ไม่มีปัญหา ผมแต่งงานกับใครก็เพราะผมอยากอยู่กับคนคนนั้น ส่วนลูก...ผมยังนึกภาพตัวเองมีลูกไม่ออก บางทีผมอาจไม่ได้รักเด็กขนาดที่จะมีลูกเอง ผมคงไม่พร้อมที่จะทุ่มเทให้ลูกของผมเหมือนอย่างที่พ่อแม่เคยให้กับผม”น่าอิจฉาจัง...ความรู้สึกนี้โฉบเข้ามาในหัวของกุลนิภาชนกันต์มีพ่อแม่ที่รักเขามาก จนเขากลัวว่าตัวเองอาจไม่สามารถทุ่มเทและรักลูกได้เหมือนอย่างที่พ่อแม่ของเขาเคยเป็น...ในขณะที่เธอไม่กล้าคิดถึงแม่ของตัวเอง ถึงแม้เธอจะไม่เชื่อว่าแม่ไม่รักเธอ เธอยังคิดเสมอว่าแม่คงมีเหตุผลที่เธอไม่รู้และไม่เข้าใจ แต่นั่นแหละ การกระทำของแม่ส
“อือ...”เสียงห้าวทุ้มดังอยู่ข้างหู กุลนิภารู้ว่าเป็นเสียงของชนกันต์ เธอจำได้ดี แต่ตอนนี้เธออยากหลับ ไม่อยากตื่นขึ้นมารับสายของเขาแล้ว อยากบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน แต่เธอทำได้แค่บอกเสียงอือออในลำคอ...เขาคงเข้าใจ เพราะเธอได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากเขาหากเมื่อจะพาตัวเองเข้าสู่นิทรารมย์อีกหน กุลนิภากลับรู้สึกถึงรอยสัมผัสบริเวณแก้ม ริมฝีปาก แม้กระทั่งซอกคอ จนเธอต้องพลิกกายหนี“ผมจะไปอาบน้ำ เดี๋ยวกลับมา”“อืม...”ในความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น กุลนิภาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป นึกแปลกใจว่าเธอกำลังคุยโทรศัพท์กับชนกันต์ แต่ทำไมมันถึงคล้ายกับเขามาอยู่ใกล้เธอ หากนั่นแหละ เธอไม่คิดจะหาคำตอบ เธอปล่อยความสงสัยไว้ตรงนี้ เพราะตอนนี้เธอต้องการหลับกุลนิภารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นและสากระคายที่กำลังตวัดไล้อยู่ตรงยอดอก มือบางคว้าหมับเจ้าสิ่งนั้นไว้หวังจะให้มันหยุด เพราะเธอรู้สึกถึงความซ่านสยิวมที่โจมตีเข้ามาอย่างรุนแรง“ห