เสียงลมหายใจหอบกระเส่าจากคนที่เคลื่อนไหวอยู่เหนือกายบางดังคลอเคล้าเสียงเนื้อกระทบเนื้อ ร่างกายของกุลนิภาสั่นคลอนตามแรงกระแทกกระทั้น เธอหลับตารอกระทั่งทุกอย่างจบลงพร้อมกับความสุขสมที่พรายพร่างอยู่ในกาย
มันทรมาน มันเจ็บปวด หากเจือความสุขล้ำ...มันเป็นรสชาติที่กุลนิภาเพิ่งได้สัมผัส เธอไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกที่กำลังเกิดกับตัวเองนั้นเป็นเรื่องปกติไหม คู่รักทั่วไปรู้สึกเหมือนเธอหรือเปล่า...หรือมีเพียงเธอที่จมอยู่กับมัน เมื่อเขาผละออก กุลนิภาจึงดึงผ้าห่มออกมาห่อกาย ขยับออกห่างจากเขา ตั้งใจจะเข้าห้องน้ำ แต่ต้องหยุดตัวเองทันทีเมื่อเขาคว้าเธอไปกักกันไว้ในอ้อมกอด... “ทำไมถึงไม่เข้าห้องน้ำในห้องทำงานของผม” กุลนิภาเบนหน้าไปมองเขาทั้งที่ไม่อยากมอง เพราะเธออยากรู้ว่าทำไมเขาถึงติดใจเรื่องนี้นัก... เขาเป็นบ้าอะไร “ฉันแค่ไม่อยากใช้ มันเป็นห้องน้ำส่วนตัวของคุณ” “คุณรังเกียจ? แล้วทีอย่างนี้ล่ะ เราอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน นอนเตียงเดียวกัน ใช้ห้องน้ำเดียวกัน ทำไมคุณถึงทำได้&เธอไม่ได้ละอายต่อการกระทำของตัวเอง เพราะเธอยืนยันคำเดิมว่าไม่เคยคิดจะจับเขา การเข้ามาทำงานของเธอไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง เธอแค่ต้องการทำงาน แต่เธอกำลังรู้สึกละอายต่อการกระทำของแม่ต่างหากสายเรียกเข้าดังขึ้นมา เป็นเสียงจากโทรศัพท์มือถือของชนกันต์ กุลนิภามองตามทิศทางของเสียง...มันดังมาจากหน้าเตียงนอนนั่นเอง“หยิบให้หน่อยสิ”เขาสั่งพลางคลายอ้อมแขนออกจากเธอ กุลนิภาทำตามอย่างไม่คิดค้าน เพราะถือว่าตัวเองอยู่ใกล้มันมากกว่าเขา หญิงสาวกระชับผ้าห่มห่อร่าง แล้วขยับกายไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสแล็กส์สีดำที่ถูกถอดกองไว้หน้าเตียงมาส่งให้เขา หากสายตาเจ้ากรรมดันเหลือบเห็นชื่อของเจ้าของสายบนหน้าจอโทรศัพท์เข้าเสียแล้วคุณไอซ์...หัวใจกระตุก เธอพยายามรักษาสีหน้าเอาไว้ แล้วฉวยโอกาสในขณะที่เขากำลังรับสายรีบลุกออกจากเตียงนอนโดยไวกุลนิภาชำระล้างร่างกายไม่นาน แต่เธอยังถ่วงเวลาจนมั่นใจว่าชนกันต์พูดสายกับอรรพีเสร็จแล้ว เมื่อเธอเดินออกมา จึงเห็นเขานั่งกอดอกพิงหัวเตียงอยู่ดวงตาคมทอดมองเธอนิ่งๆ มั
รถพอร์เชอคันสีเหลืองสดชะลอความเร็วเมื่อมาถึงหน้าร้านขายยา บริเวณหน้าร้านไม่มีที่จอดรถ ชนกันต์จึงต้องเคลื่อนรถผ่านไปอย่างช้าๆ เพื่อตรงไปยังที่จอดรถชั่วคราวที่เขาหมายตาเอาไว้ แต่มันอยู่ห่างจากร้านขายยาพอสมควร“ฉันจะเข้าไปซื้อของคนเดียว คุณนำรถไปจอดรอฉันก็แล้วกันค่ะ พอซื้อเสร็จแล้วฉันจะไปหาคุณเอง หรือถ้าฉันไปหาคุณช้า คุณจะไปทำธุระเลยก็ได้ ฉันจะเดินกลับคอนโดเอง”“ผมจะรอคุณ”ชนกันต์บอกเสียงเข้ม กุลนิภาจึงไม่เถียงและไม่พยายามเสนอทางเลือกอื่นให้เขาอีกหญิงสาวก้าวลงจากรถคันหรูแล้วตรงไปยังประตูร้านขายยา เมื่อชำเลืองมองรถคันนั้น แล้วเห็นว่ามันเคลื่อนห่างออกไปแล้ว เธอจึงผลักประตูกระจกแล้วบอกกับเภสัชกรที่อยู่หลังเคาน์เตอร์“ขอซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์ค่ะ”“น้องมาซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์เหมือนกันหรือคะ ของพี่ประจำเดือนขาดไปเดือนกว่าแล้ว พี่กำลังลุ้นจะมีเจ้าตัวเล็กอยู่เลยค่ะ”ไม่ใช่คำพูดของเภสัชกร แต่เป็นคำพูดของหญิงสาววัยประมาณสามส
“ฉันกำลังบอกคุณกันต์ว่าเขาไม่ได้มาสาย แต่เป็นพวกเราเองที่นัดกันโดยไม่ได้ถามเวลาที่เขาสะดวกก่อน เขาเลยต้องตามมาทีหลังพวกเรา”“อ๋อ! เรื่องนี้เอง ไม่เป็นไรค่ะคุณกันต์ พวกเราคนกันเองทั้งนั้น”เพื่อนสาวเออออตามอรรพี เพราะหน้าที่ของพวกเธอก็คือทำให้ชนกันต์เกิดความสะดวกสบายใจที่จะเข้ามาร่วมสังสรรค์กับกลุ่มของพวกเธอในขณะที่ชนกันต์กำลังสังสรรค์กับเซเลบสาวพร้อมกับเพื่อนของเธอ คนที่เขาขับรถมาส่งที่คอนโดมิเนียมกลับกำลังนั่งคู้ตัวอยู่บนโซฟาตามลำพัง ในมือมีชุดตรวจการตั้งครรภ์ที่เพิ่งใช้งาน เธอถือมันไว้อย่างนั้น แล้วเพ่งมองขีดสีแดงสองขีดที่ปรากฎบนแท่งสีขาวด้วยหัวใจหนักอึ้ง“ลูก? เราท้อง…”มันไม่ใช่ฝัน กุลนิภาไม่อาจหลอกตัวเองว่าผลตรวจการตั้งครรภ์คลาดเคลื่อน เพราะผลที่ได้จากการตรวจในร้านขายยาก็ให้ผลตรงกับการตรวจในครั้งนี้ ซึ่งต่างกับผู้หญิงอีกคนที่ให้ผลตรงกันข้าม เธอคนนั้นผิดหวังเป็นอย่างมากที่ยังไม่ตั้งครรภ์ ในขณะที่กุลนิภาได้แต่ยืนนิ่งงัน เพราะรู้สึกชาหนึบไปทั้งตัว‘พี่ยินดีกับน
ก่อนเข้ามาในห้องนอน กุลนิภาไม่ทันได้ดูนาฬิกา เธอจึงไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไร รู้เพียงว่ามันคงดึกมากแล้ว แต่คนข้างนอกยังไม่เข้ามานอน ส่วนตัวเธอเองดันตาสว่าง ความง่วงนอนก่อนหน้านี้ปลิวหายไปแล้วหญิงสาวนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง พลันต้องหยุดตัวเองเมื่อได้ยินเสียงกีตาร์ลอยเข้ามา เธอเผลอกลั้นลมหายใจไปกับจังหวะดนตรีที่คุ้นเคย มันเป็นจังหวะเพลงที่ชนกันต์เคยเล่นกีตาร์และร้องให้เธอได้ยินยามที่เธอมาอยู่กับเขาในช่วงแรกๆฉันเรียกคุณว่าที่รักได้ไหมคุณจะเป็นเพื่อนกับฉันได้ไหมคุณจะเป็นคนรักของฉันจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตได้ไหมให้ฉันแสดงให้คุณเห็นถึงความรักโดยไม่มีการเสแสร้งใดๆ[แปลจากเพลง At My Worst]ช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของฉัน...กุลนิภาไม่เคยรู้ว่าในแต่ละครั้งที่ชนกันต์เล่นกีตาร์และร้องเพลงนี้ เขาอยู่ในอารมณ์ไหน เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการสื่อเพลงนี้ถึงตัวเขาเองหรือแทนความรู้สึกของเธอ...หรือสุดท้ายเขาอาจไม่ได้คิดอะไรเลยในครั้งก่อนนั้นเธอซาบซึ้งไปกับบทเพลง แอบลอบมองใบหน้าขอ
บ้านสองชั้นที่ตั้งอยู่ริมคลองของคุณวิวรรณในวันนี้เงียบเหงา เพราะหลังจากกุลนิภาย้ายไปอยู่ที่คอนโดมิเนียมกับลูกชายเศรษฐีใหญ่ที่นางหมายมั่นปั้นมือว่าจะเอาเขามาเป็นลูกเขยให้ได้นั้น เจ้าตัวก็ห่างจากนางไปเลย ในช่วงแรกคุณวิวรรณหลงคิดว่าลูกสาวสุขสบายดี นางจึงตั้งใจที่จะให้ความเป็นส่วนตัวกับลูกสาวอย่างเต็มที่ แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ นางกลับได้รู้ว่าแท้จริงฝ่ายชายไม่ได้ยกย่องลูกสาวเกินกว่าฐานะปัจจุบัน…สถานะของกุลนิภาจึงไม่ต่างกับผู้หญิงแก้ขัดของชนกันต์“ปุ้มไม่รู้ว่าน้องอิงกลับมาจากต่างประเทศแล้ว ตอนนี้น้องอิงทำงานที่ไหนหรือคะ”ม.ร.ว.ปวีณ์นุชผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของนางถามมาจากปลายสาย คุณวิวรรณที่เผลอปล่อยความคิดล่องลอยไปไกลถึงกับเกิดอาการอ้ำอึ้ง ยอมรับว่านางรู้สึกอับอายจนไม่อยากเล่าเรื่องในครอบครัวให้ใครฟัง โดยเฉพาะญาติๆ ของตัวเอง...ชะรอยอีกฝ่ายจะรู้ถึงความลำบากใจของนาง เธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย“ตอนน้องอิงเป็นเด็ก น้องอิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ตอนนี้โตเป็นสาวแล้วก็คงสวยมากใช่ไหมคะ เมื่อก่อนใครเห็นใครก็รัก เพราะน้องอิงมีท่า
กุลนิภาลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องครัว เมื่อมั่นใจว่าพ้นจากสายตาของชนกันต์แล้ว เธอจึงดึงกระดาษทิชชูมาซับน้ำใสที่เอ่อท้นออกมาทางหางตาไม่รู้จะย้ำบอกตัวเองอย่างไรดีว่าเธอควรเลิกน้อยใจเขาได้แล้ว เพราะเธอไม่มีสิทธิ์รู้สึกเช่นนั้น ลูกของเธอก็เช่นกัน เมื่อเธอตัดสินใจที่จะไม่ให้ชนกันต์รู้เรื่องลูก เธอไม่ต้องการให้เขาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เธอก็ต้องไม่รู้สึกอ่อนไหวและไม่น้อยใจ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตามรถสปอร์ตคันสีเหลืองสดแล่นมาจอดหน้าบ้านราชเวคิน คนขับรถก้าวลงมาจากรถ และเขาต้องเปิดยิ้มกว้างเมื่อเจ้าความสดใสประจำบ้านมายืนยิ้มแฉ่งรอรับ“กันต์มาแย้ว เย่นกับป๊อมนะ”“อากันต์เพิ่งมาถึงบ้าน แทนที่จะเอาน้ำมาให้กิน กลับชวนอากันต์เล่นนะเรา”ชนกันต์เย้าขณะยกร่างป้อมขึ้นสู่อ้อมแขน เจ้าตัวน้อยขยับขยุกขยิก แล้วดึงห่อสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋ากางเกงขาสั้น“ป๊อมมีช็อกแลตน้า”ทั้งคำพูดทั้งสีหน้า รวมถึงห่อช็อกโกแลตยับย่นที่เจ้าตัวเอาออกมามาโชว์ ทำให้ค
อรรพีไม่มีข่าวเสียหาย ถึงแม้เธอได้โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปีแล้วก็ตาม การพูดจาและวางตัวของเธอก็ดูดี ท่าทางฉลาดเฉลียวทันคนสมเป็นผู้หญิงยุคใหม่ ช่างถูกใจนางจริงๆ...แต่ติดนิดเดียวตรงที่อรรพีเคยให้สัมภาษณ์ถึงทัศนคติการมีชีวิตคู่ว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เธอก็อยากจะแต่งงาน แต่เธอไม่ต้องการมีลูก เพราะเธอเชื่อว่าเพียงแค่คนสองคนที่รักและเข้าใจกันก็สามารถสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องมีโซ่ทองคล้องใจ“สรุปว่าถ้าเจ้ากันต์กับหนูไอซ์ตกลงเป็นแฟนกัน คุณก็ให้การ์ดผ่านพวกเขาเลยใช่ไหม”“รดาต้องให้ผ่านอยู่แล้วค่ะ สำหรับเรื่องพวกนี้ รดาตามใจลูกทุกคน ขอแค่เธอเป็นผู้หญิงที่ดี ไม่มีเรื่องเสียหายมาให้ครอบครัวเราต้องพลอยอับอายไปด้วยก็พอ เพราะรดาอยากได้ผู้หญิงที่รักลูกของเราจริงๆ มาเป็นลูกสะใภ้”คุณเนตรรู้ว่าคุณอมลรดากลัวผู้หญิงอีกจำพวกที่อาจเข้ามาพัวพันและทำให้ชนกันต์ต้องเสื่อมเสีย เขาจึงปิดเรื่องที่ลูกชายพาผู้หญิงที่เลี้ยงไว้ไปที่บริษัท แถมยังให้เจ้าหล่อนเข้าไปนั่งรออยู่ในห้องทำงานส่วนตัว...รับรองเลยว่าถ้าหากคุณอมลรดารู้เรื่องนี้ นางจะต้
เช้าวันใหม่ กุลนิภาตื่นขึ้นมาด้วยอาการศีรษะหนักอึ้ง เพราะเมื่อคืนกว่าเธอจะนอนหลับก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม เธอเข้าไปอาบน้ำและแต่งตัวเพื่อเตรียมไปโรงพยาบาลเธอทำทุกอย่างเหมือนหุ่นยนต์ เธอออกคำสั่งให้ตัวเองลุกขึ้นมาทำ...แม้แต่การเดินไปตามถนนในซอยเพื่อตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ห่างจากคอนโดมิเนียมเกือบห้าร้อยเมตร...ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวในยามสาย แต่เธอก็เดินไปถึงทั้งที่ไม่เคยเดินในเส้นทางนี้มาก่อน ซึ่งมันทำให้เธอเหนื่อยหอบอยู่เหมือนกันกุลนิภาไม่คิดจะทรมานตัวเอง เธอไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น แต่เธอแค่ลองใช้ชีวิตในอีกรูปแบบ เพราะอีกไม่นานเธออาจต้องเผชิญกับมันโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าเป็นโรงพยาบาลที่กุลนิภาเลือกมาฝากครรภ์ เธอมีเหตุผลสองข้อ นั่นคือที่แห่งนี้พลุกพล่านด้วยคนไข้ที่มาใช้บริการ เธอจึงหวังว่าตัวเองคงไม่บังเอิญเจอคนรู้จัก ส่วนอีกข้อนั้นคือเธอมีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่าย ตอนนี้เธอแทบไม่มีเงินติดตัว ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมีเงินสดแค่ไม่กี่พันบาท ส่วนเงินในบัญชีนั้นแทบไม่เหลือแล้วหญิงสาวผิว
กุลนิภาตื่นนอนตั้งแต่ตีห้า เธออาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยโดยไม่มีอาการอ่อนเพลีย นึกชมลูกว่าน่ารักเหลือเกิน ลูกคงรู้ว่าวันนี้แม่ต้องย้ายบ้าน แม่ต้องทำธุระหลายอย่าง ลูกจึงไม่กวนและไม่งอแง ลูกให้ความร่วมมือกับเธอเป็นอย่างดีเวลาหกนาฬิกาเศษ หญิงสาวลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในลิฟต์เพื่อลงสู่ชั้นล่าง เธอฝากกุญแจและคีย์การ์ดเพื่อคืนให้ชนกันต์ไว้ที่เคาน์เตอร์ในล็อบบี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ประจำจุดนั้นถามเธออย่างสงสัย“คุณจะไปต่างจังหวัดหรือคะ ฉันถามเผื่อว่าเจ้าหน้าที่นิติบุคคลอยากรู้ข้อมูลไว้น่ะค่ะ”“ฉันจะย้ายไปอยู่ที่อื่นค่ะ ฉันไม่กลับมาที่นี่แล้ว”ประโยคท้ายช่างแผ่วเบา กุลนิภาหวังว่าคำตอบคงชัดเจนมากพอที่จะหยุดความสงสัยจากใครต่อใครได้...ซึ่งแน่นอน ไม่มีใครรั้งเธอไว้ด้วยคำถามอีกแล้วรถแท็กซี่ที่เธอเรียกผ่านแอปพลิเคชันจอดรออยู่ด้านหน้าล็อบบี้แล้ว คนขับรถช่วยเธอขนกระเป๋าเดินทางไปใส่ไว้ในท้ายรถ ก่อนที่เธอจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งทางตอนหลังจุดหมายปลายทางของเธอ
“ทำไมกลับเร็ว นายเพิ่งขับรถออกไปส่งคุณไอซ์ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลย”คนที่นั่งเอกขเนกอยู่บนเก้าอี้ริมสวนบริเวณหน้าบ้านส่งเสียงถามเมื่อเห็นชนกันต์ก้าวลงมาจากรถ จนเขาต้องเดินไปหาเจ้าตัว แล้วตอบเสียงเหนื่อยหน่าย“รถไม่ติด”“ฉันรู้ว่ารถไม่ติด แต่นายไม่พาเธอแวะไปที่อื่นเลยเหรอ อย่างเช่นไปนั่งดื่มเหล้าด้วยกันแล้วค่อยพาเธอไปส่งที่บ้าน คุณไอซ์ไม่ใช่เด็กสาวแล้วนะ เธอเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและเธอก็สวยมากด้วย เธอกลับบ้านดึกได้...มีแต่แม่ของเราที่ทำท่าตกใจว่ามันดึกแล้ว คุณไอซ์ต้องรีบกลับบ้าน”ชนกันต์ขยับมุมปากยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในห้องรับประทานอาหารเมื่อสักครู่ใหญ่ ในตอนนั้นเขาเห็นน้องชายกลั้นหัวเราะขำกับคำพูดของแม่ แต่เรื่องนี้จะโทษแม่ก็ไม่ได้ เพราะในวันนี้อรรพีวางท่าเป็นสาวใสซื่อจนเกินตัวตนจริงๆ ของเธอไปมากอันที่จริงเขาชอบอย่างที่เธอเป็นอยู่แล้ว เพราะมันดูเป็นธรรมชาติดี อีกทั้งเขายังวางตัวกับเธอได้ง่าย ยอมรับเลยว่าภาพพจน์ที่เธอแสดงออกในวันนี้มันกลับทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ“นายไม่มีอะไรจะเล่าให้ฉันฟังเหรอ”“ใคร
“ไอซ์กราบขอบคุณคุณลุงเนตรกับคุณป้ารดามากนะคะที่เอ็นดูไอซ์ ชวนไอซ์มาทานอาหารที่บ้านราชเวคิน”เสียงหวานฉอเลาะดังขึ้นหลังจากอาหารมื้อค่ำจบลง ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว เรียกได้ว่าวันนี้สมาชิกครอบครัวราชเวคินกินอาหารดึกกว่าปกติ...ยกเว้นเจ้าตัวป่วนประจำบ้านที่กินเสร็จก่อนใครและคนเป็นแม่พาเข้านอนเรียบร้อยแล้ว“อาหารถูกปากหนูไอซ์หรือเปล่าจ๊ะ ถ้ามีอะไรก็บอกป้าได้นะ”“อาหารอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ ไอซ์รู้นะว่าคุณป้าตั้งใจทำของชอบของไอซ์ตั้งหลายเมนู ไอซ์รู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของคุณป้ามากๆ เลยค่ะ”เซเลบสาวตอบคุณอมลรดา หากสายตาชม้ายมองชนกันต์ที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างเธอชายหนุ่มยังคงปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามสถานการณ์ จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าอรรพีโผล่มารับประทานอาหารกับครอบครัวของเขาได้อย่างไร ทำไมเขาไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ว่าก็ว่าเถอะ เขาเป็นคนเกริ่นชวนเธอเอง แต่เมื่อเธอบอกว่ายังไม่มีเวลาว่าง เขาจึงไม่ได้ถามเธออีก เพราะไม่อยากรบกวนเวลาของเธอ เขาเข้าใจดีว่าในฐานะนักธุรกิจแ
เมื่อเดินไปถึงห้องรับประทานอาหาร ชายหนุ่มก็พูดออกมาทั้งที่ความสงสัยยังไม่หายไป“นั่งกันครบองค์ประชุมเลยเหรอ มีวาระสำคัญหรือเปล่า ทำไมผมไม่รู้อยู่คนเดียว”สายตาแทบทุกคู่หันมามองเขา ชนกันต์อ่านความรู้สึกของคนในครอบครัวไม่ออก เพราะเป็นสายตาที่เขาไม่ชินเอาเสียเลย แต่รู้ว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง มันไม่ใช่สถานการณ์ปกติ หากชายหนุ่มไม่ทันได้ถามใคร เขาก็เห็นดวงหน้าสวยโดดเด่นของใครบางคนที่เบือนมาส่งยิ้มให้เขา“คุณไอซ์!”ภายในห้องชุดของคอนโดมิเนียมหรูถูกปกคลุมด้วยความมืดทั้งที่เป็นเวลาไม่ถึงสองทุ่ม คนที่อยู่ในห้องยังไม่เข้านอน เธอนั่งคุดคู้อยู่บนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น เธอไม่ยอมเปิดสวิตช์ไฟให้แสงสว่างส่องลงมา คล้ายกับว่าเธอยินดีที่จะอยู่ในความมืด เพราะต้องการให้มันพรางตัวเธอให้หายไปจากโลกใบนี้เมื่อเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา หัวใจที่แห้งเหี่ยวเกิดพองโต เพราะเชื่อมั่นว่าชนกันต์เป็นเจ้าของสายเรียกนั้น แต่เธอรีบปรับความรู้สึกเสียใหม่ เพราะสำนึกได้ว่าเธอไม่ควรดีใจกับการที่คนที่เพิ่งยื
ชนกันต์ไม่ได้บอกไว้ว่าเย็นนี้เขากลับมาที่คอนโดมิเนียมหรือกลับไปที่บ้านราชเวคิน...กุลนิภาจึงได้แต่ยืนมองเนื้อวากิวสำหรับทำสเต๊กอย่างลังเล นานชั่วอึดใจกว่าเธอจะตัดสินใจเก็บมันกลับเข้าตู้เย็น“ถ้าพ่อไม่มาหาเรา สเต๊กเนื้อก็เป็นหมัน เพราะแม่กินเนื้อไม่ได้ เดี๋ยวจะเสียของเปล่าๆ ช่วงนี้แม่เหม็นเนื้อมาก สงสัยหนูคงจะไม่ชอบเนื้อใช่ไหมจ๊ะ เพราะเมื่อก่อนแม่ยังกินเนื้อกับพ่อได้อยู่เลย”กุลนิภาพูดคุยกับลูกในท้อง เธอทำเหมือนกับลูกได้ยินและเข้าใจคำพูดของเธอ ในแต่ละวันมันจึงกลายเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเธอ เพราะเธอรู้สึกเหมือนมีคนคนหนึ่งอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาหญิงสาวเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่น ทำท่าจะเปิดโทรทัศน์ แต่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นมา แม้รู้ว่ามีแค่คนเดียวที่จะเข้ามาในห้องนี้ได้ แต่เธอก็เดินออกไปดูด้วยความเคยชินความประหลาดใจทอขึ้นมาในดวงตาหวาน ซึ่งคนตัวใหญ่ที่เดินเข้ามาต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม“มีอะไรหรือเปล่าถึงมองผมอย่างนี้”“ฉันไม่รู้ว่าวันนี้คุณจะกลับมาที่คอนโด”“ไม่ใช่จะ
เสียงแดดยามสายที่ทอทอดเข้ามาทางหน้าต่างของห้องครัวขับไล่ความอึมครึมได้เป็นอย่างดี ไม่รู้กุลนิภาคิดไปเองหรือเปล่าว่าวันนี้อากาศสดใสมากกว่าเมื่อวาน ทั้งที่เธอฟังพยากรณ์อากาศแล้วพบว่าทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนจากเดิม ไม่ว่าอุณหภูมิ เมฆฝน หรือความโปร่งของท้องฟ้าในช่วงปลายหน้าร้อนที่กำลังย่างเข้าสู่หน้าฝนเมื่อเธอมองอาหารมื้อเช้าที่บรรจงทำเตรียมไว้สำหรับสองคน เรียวปากสวยก็แย้มยิ้ม คิดจะไปเรียกชนกันต์ให้มากินอาหาร เพราะเขาคงอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ทว่าเขาเข้ามาในห้องครัวเสียก่อน แล้วพูดถึงเรื่องที่เธอไม่อยากฟัง“ถ้าผมแต่งงาน คุณจะเสียใจไหม”กุลนิภานิ่งงัน ฝันหวานกับโลกใบสีชมพูที่เธอเพียรสร้างเมื่อครู่นี้แตกยับอย่างไม่มีชิ้นดี...มันเป็นคำถามที่เธอไม่จำเป็นต้องตอบและเขาไม่ควรถามเธอด้วย“ฉันทำมื้อเช้าให้คุณแล้วค่ะ”กุลนิภาบอกไปอีกทาง ก่อนเธอจะเดินเบี่ยงกายออกห่างจากเขา เธอตั้งใจจะออกไปจากห้องครัว หากเขารั้งต้นแขนของเธอไว้“กินด้วยกัน”&l
“ถ้าคุณแต่งงาน คุณจะมีลูกไหมคะ”กุลนิภาถามขึ้นมาหลังจากสงครามรักบนเตียงนอนของยามเช้าจบลง ซึ่งเธอซุกซบอยู่บนอกเขามาสักพักแล้ว“ถามทำไม หรือคุณรู้อะไรมา”รู้อะไร?...กุลนิภาระแวงว่าชนกันต์จะรู้เรื่องลูกในท้อง ในขณะที่เขากลับนึกถึงผู้หญิงอีกคน“ฉันแค่อยากรู้ความคิดของคุณ แต่ถ้าคุณไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”“ถ้าคนที่ผมแต่งงานด้วยเขาไม่อยากมีลูก ผมก็ไม่มีปัญหา ผมแต่งงานกับใครก็เพราะผมอยากอยู่กับคนคนนั้น ส่วนลูก...ผมยังนึกภาพตัวเองมีลูกไม่ออก บางทีผมอาจไม่ได้รักเด็กขนาดที่จะมีลูกเอง ผมคงไม่พร้อมที่จะทุ่มเทให้ลูกของผมเหมือนอย่างที่พ่อแม่เคยให้กับผม”น่าอิจฉาจัง...ความรู้สึกนี้โฉบเข้ามาในหัวของกุลนิภาชนกันต์มีพ่อแม่ที่รักเขามาก จนเขากลัวว่าตัวเองอาจไม่สามารถทุ่มเทและรักลูกได้เหมือนอย่างที่พ่อแม่ของเขาเคยเป็น...ในขณะที่เธอไม่กล้าคิดถึงแม่ของตัวเอง ถึงแม้เธอจะไม่เชื่อว่าแม่ไม่รักเธอ เธอยังคิดเสมอว่าแม่คงมีเหตุผลที่เธอไม่รู้และไม่เข้าใจ แต่นั่นแหละ การกระทำของแม่ส
“อือ...”เสียงห้าวทุ้มดังอยู่ข้างหู กุลนิภารู้ว่าเป็นเสียงของชนกันต์ เธอจำได้ดี แต่ตอนนี้เธออยากหลับ ไม่อยากตื่นขึ้นมารับสายของเขาแล้ว อยากบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน แต่เธอทำได้แค่บอกเสียงอือออในลำคอ...เขาคงเข้าใจ เพราะเธอได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากเขาหากเมื่อจะพาตัวเองเข้าสู่นิทรารมย์อีกหน กุลนิภากลับรู้สึกถึงรอยสัมผัสบริเวณแก้ม ริมฝีปาก แม้กระทั่งซอกคอ จนเธอต้องพลิกกายหนี“ผมจะไปอาบน้ำ เดี๋ยวกลับมา”“อืม...”ในความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น กุลนิภาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป นึกแปลกใจว่าเธอกำลังคุยโทรศัพท์กับชนกันต์ แต่ทำไมมันถึงคล้ายกับเขามาอยู่ใกล้เธอ หากนั่นแหละ เธอไม่คิดจะหาคำตอบ เธอปล่อยความสงสัยไว้ตรงนี้ เพราะตอนนี้เธอต้องการหลับกุลนิภารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นและสากระคายที่กำลังตวัดไล้อยู่ตรงยอดอก มือบางคว้าหมับเจ้าสิ่งนั้นไว้หวังจะให้มันหยุด เพราะเธอรู้สึกถึงความซ่านสยิวมที่โจมตีเข้ามาอย่างรุนแรง“ห
ทั้งผลไม้รสเปรี้ยวทั้งยาลมและยาหอมยังไม่อาจช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะของชนกันต์ได้ มันทรมาน เขาอยากกอดกายบางและซุกใบหน้ากับอกอวบของเธอแล้วหลับไปจนถึงตอนเช้า แต่สิ่งที่คว้าได้นั้นมีแต่หมอนข้างชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งกลางเตียง ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เขายกมือขึ้นมาเสยผมลวกๆ เมื่อหันซ้ายแลขวาไม่เห็นสิ่งที่ต้องการ ไม่มีสิ่งใดแทนเธอได้ ความรู้สึกหงุดหงิดก็พุ่งขึ้นสูง มือหนาคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วโทร.ไปหาเธออย่างไวกุลนิภากำลังเคลิ้มหลับ เธอสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ เธอหยิบมันขึ้นมาดูหน้าจอทั้งที่พอจะรู้ว่าใครโทร.มาในเวลานี้“คุณนอนหรือยัง”“ฉันกำลังจะหลับค่ะ”กุลนิภาตอบ คิดว่าชนกันต์คงมีธุระสำคัญ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่โทร.มาหาเธอในเวลาใกล้ดึกเช่นนี้ เธอจึงรอฟังเขาพูดด้วยใจจดจ่อ ทว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นกลับเป็นเสียงบ่นที่บอกให้รู้ว่าเขากำลังหงุดหงิดเหลือทน...แต่เขาหงุดหงิดอะไร เธอก็ยังจับใจความไม่ได้“ผมนอนไม่หลับ ผมเวียนหัวจะตายอยู่แล้ว ผมเป็นอะ