โชคดีที่เป็นช่วงเวลาบ่าย รถยังไม่ติด แต่ระหว่างทางที่กุลนิภานั่งรถแท็กซี่กลับมาที่คอนโดมิเนียม เธอต้องคอยลุ้นไปตลอดทางเหมือนกัน เพราะเธอสัมผัสจากน้ำเสียงของชนกันต์ได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด เธอไม่รู้หรอกว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร แต่เมื่อเธออยู่กับเขา เธอก็ไม่อยากกลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาชนกันต์ไม่เคยทำร้ายเธอ เธอไม่ได้โกหกแม่ แต่ร่างกายของเธอบอบช้ำจากเรี่ยวแรงมหาศาลของเขาอยู่บ่อยๆ บางครั้งเขาทำให้เธอขยาดและหวาดหวั่นกับการร่วมรัก...มันไม่ใช่ความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่มันกลายเป็นอารมณ์ปรารถนารุนแรงที่เขาจุดขึ้นในกายของเธอชนกันต์ทำให้เธอลืมตัว หลงลืมทุกสิ่งทุกอย่างยามอยู่ใต้ร่างหนาหนั่นของเขา กุลนิภาแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเอง หากแม้ช่วงเวลานั้นเธอรู้สึกหวาดกลัวเขา แต่ในขณะเดียวกันเธอก็อยากโผนเข้าหาและกอดรัดเขาอย่างแนบแน่น เขาควบคุมทั้งร่างกายทั้งวิญญาณของเธอ และเมื่อเกมรักผ่านไป ร่างกายของเธอจึงเหลือรอยช้ำจากการถูกโรมรันที่ไม่เคยออมแรงแทบทุกครั้งกุลนิภากัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ...เธอรู้ ชนกันต์ใช้ร่างกายของเธออย่างเต็มที่ เขาไม่เคยถนอม ไม่
กุลนิภาใช้เวลาในห้องน้ำอย่างสบายใจ เธอตัดสินใจนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำ การกลับมาอยู่ใกล้ชนกันต์ มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย แม้รู้ว่าเขาไม่เคยรักและไม่เคยถนอม แต่เธอกลับโหยหาเขา ถ้าหากถามว่าพื้นที่ซอกมุมไหนบนโลกใบนี้ที่ทำให้เธอรู้สึกได้รับการปกป้องมากที่สุด...มันอาจเป็นเรื่องประหลาดนัก ถ้าเธอตอบคือการได้อยู่ใกล้คนที่ไม่เคยใจดีกับเธออย่างเขานี่แหละหลายสิบนาทีต่อมาเมื่อกุลนิภาออกมาจากห้องน้ำ กายสาวที่มีเสื้อคลุมอาบน้ำสวมอย่างรัดกุมเดินออกมาอย่างระมัดระวัง เธอเห็นเขานั่งเอนกายอ่านหนังสือบนโซฟายาว นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เธอนึกทึ่งในตัวเขา ภายใต้รูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว นิสัยค่อนไปทางกร้าวและห้าว แต่ชนกันต์มักมีมุมที่สงบและอยู่นิ่งเงียบกับตัวเองเสมอหญิงสาวยิ้ม...พลันนึกตำหนิตัวเองว่าตนคงบ้าไปแล้วอย่างแน่นอน ทำไมถึงมองเขาดีไปหมดเธอเดินเข้าไปในห้องเก็บเสื้อผ้า เสื้อผ้าและของใช้ของเธอถูกจัดเก็บไว้ตรงมุมหนึ่ง มันมีน้อยนิดเมื่อเทียบกับของของเขา ถึงแม้อยู่ด้วยกัน แต่กุลนิภาก็เจียมตัวว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร ดังนั้นเธอจึงไม่เคยล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเข
“ให้ผมเลิกกับคุณเหรอ เลิกได้ยังไง ในเมื่อเราไม่เคยคบกัน”ชนกันต์ไม่พลาดที่จะพูดจาทำร้ายจิตใจเธอ ทั้งที่เขาเข้าใจดีว่าเธอหมายถึงเรื่องอะไร กุลนิภาต้องใช้ความเข้มแข็งเป็นอย่างมากเพื่อมองข้ามมันไป“คุณต้องซื่อสัตย์กับเธอ”“กับใคร?”“ซื่อสัตย์กับผู้หญิงที่คุณจะแต่งงานด้วย”“ตอนนี้ผมยังไม่แต่งงานและผมอยากได้ตัวคุณ”“ฉันขอเวลาทำงานและจะเก็บเงินมาใช้คืนคุณให้ครบ”“คุณทุจริตเงิน รู้ใช่ไหมว่าพนักงานที่โดนข้อหานี้คงไม่มีบริษัทไหนเสี่ยงรับเข้าทำงาน”กุลนิภารู้เรื่องนี้ดี มันเสี่ยงกับอนาคตของเธอ แต่เธอจะใช้ชีวิตอย่างไรถ้าในอนาคตเธอไม่สามารถหางานทำ ไม่มีรายได้มาเลี้ยงดูตัวเอง เธอไม่อยากถูกขึ้นแบล็กลิสต์จากราชเวคิน กรุ๊ป ซึ่งมันเป็นอีกเหตุผลที่ตอนนั้นเธอตัดสินใจชดใช้ให้ชนกันต์จนจบสิ้นก่อน แม้ทางเลือกมีเพียงชดใช้ด้วยร่างกายก็ตาม“ถ้าคุณจะกรุณา ช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความ
อากาศภายในห้องเย็นฉ่ำ หากกายหนาที่ขยับโยกเหนือกายบางกลับมีเม็ดเหงื่อผุดพราย เสียงครางหวานจากคนใต้ร่างดังคลอเคล้าเสียงคำรามเข้ม เขาจับร่างสาวพลิกหงายพลิกคว่ำกระแทกกระทั้นมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว กระทั่งใกล้จะถึงจุดปลดปล่อย ชายหนุ่มจึงเคลื่อนไหวถี่กระชั้น ช่องทางสาวที่แสนอุ่นนุ่มก็บีบรัดอย่างรุนแรงมือบางคว้าร่างหนาใหญ่ไว้ด้วยต้องการเป็นหลักยึด กุลนิภากำลังรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเหวี่ยงขึ้นสูงจนลอยละล่อง ความเสียวซ่านกำลังโจมตีทั้งกาย เธอกอดเขาอย่างแนบแน่น ชั่วอึดใจต่อมาสายรุ้งก็ระเบิดพร่าง เธอเกร็งไปทั้งร่าง เธอกำลังสูญสิ้นการควบคุมตัวเองชนกันต์หายใจหอบขณะกระแทกแก่นกายอย่างทรงพลังเข้าสู่ร่างอวบอัดของหญิงสาว ก่อนจะปล่อยให้ความอุ่นร้อนฉีดพ่นเข้าสู่กายของเธอ“อิงเป็นของผม จำไว้ ผมไม่มีทางปล่อยคุณไป”เสียงกระซิบห้าวพร่าดังขึ้นอย่างชัดเจน กุลนิภาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แม้ร่างกายยังถูกตอกตรึงด้วยร่างกายของเขา กระทั่งมือหนาจับปลายคางมนเอาไว้ แล้วบังคับให้เธอหันกลับมา“ลืมตาสิ มองผม”เมื่อเธอดื้อ เ
“คนบ้า หน้ามืด บ้ากามที่สุดเลย”เสียงแผ่วเบาหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่คนที่เดินออกมาจากห้องนอนกลับได้ยินอย่างชัดเจน เขายืนกางขาน้อยๆ แล้วเอียงคอมองเธอวินาทีนั้นกุลนิภาถึงได้รู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป เธอชะงักเท้ากึก แล้วค่อยๆ ถอยหลังเพื่อให้ห่างจากเขา“หิวหรือเปล่า”“คะ? คุณถามฉันเหรอ”“อยู่กันสองคน ผมคงถามกุมารทองมั้ง”“ยัง...”เธอยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ถามสวนขึ้นมา“วันนี้คุณกินข้าวหรือยัง”กุลนิภาส่ายหน้า ตัดสินใจบอกไปตามตรง เพราะเขาคงคาดคั้นจนรู้ความจริง ทั้งที่ตอนแรกเธอคิดจะรอให้เขาออกไปข้างนอกเสียก่อน ช่วงบ่ายวันนี้ชนกันต์ต้องเข้าไปที่สำนักงานของราชเวคิน กรุ๊ป เธอจำตารางงานของเขาได้ เธอตั้งใจจะใช้ช่วงเวลานั้นเข้าไปทำกับข้าวในครัวกินเอง“ไปแต่งตัว ผมจะพาคุณไปกินข้าวข้างนอก”“ไม่ไปค่ะ”“อะไรนะ?”ชายหนุ่มถามย้ำ เขาได้ยินคำพูดของเธอชัดเจน
เพราะใครล่ะที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้...กุลนิภาแย้งในใจ พยายามตัดความสงสารตัวเองทิ้งไป แม้คนอื่นมองเธอน่าสมเพชและไร้ค่าสักแค่ไหน แต่เธอไม่ควรซ้ำเติมตัวเองหากไม่ทันที่เธอจะได้กินเบอร์ริโต้ไก่ในมือตัวเอง กลิ่นเบอร์ริโต้เนื้อของชนกันต์ก็โชยมาเตะจมูก มันทำให้เธอรู้สึกพะอืดพะอมเหม็น...หญิงสาวกลั้นลมหายใจ เธอรอให้เขากินเสร็จ หากกลิ่นเนื้อยังอวลอยู่รอบตัว มันไม่หายไปไหนเลย แม้รถเปิดประทุนโล่งแล้วก็ตาม เธออยากจะอาเจียน แต่กลับไม่มีอะไรในท้องออกมา เธอจึงทิ้งตัวลงกับเก้าอี้อีกหน ทั้งที่ในมือยังถืออาหารและเธอก็หิวจนติดหมัด แต่ไม่เธอสามารถกินได้ทรมานเหลือเกิน...แค่หิวข้าว แต่ทำไมถึงทรมานอย่างนี้นะกุลนิภาได้ยินเสียงถามดังข้างหู เธอรู้ว่าเป็นเสียงของชนกันต์ เขาถามว่าเธอเป็นอะไร แล้วเขายังบ่นอีกยืดยาว เธอบอกให้เขาหยุดพูด เพราะเธอรู้สึกเวียนศีรษะมาก แต่กลับได้ยินเพียงเสียงอือออของตัวเองดังออกมาพลันเธอสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิเย็นฉ่ำ กลิ่นเนื้อและเครื่องเทศของอาหารหายไป เหลือเพียงกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศในรถที่เธอคุ้นเคย มันทำให้เธอรู้สึกดี
ดูท่าทางวิธี ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ คงใช้ได้ผล เพราะคนตัวโตเงียบไปแล้ว เขาเปิดประตูรถแล้วก้าวออกไปพร้อมกับเอกสารในมือ กุลนิภาจึงรีบเปิดประตูรถลงตาม เธอรีบจ้ำเท้าตามเขาเข้าไปข้างในอาคาร...เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่น กระทั่งคนทั้งคู่เข้าไปในลิฟต์ เขาก็พูดโพล่งออกมาอย่างที่ทำให้เธอต้องตีสีหน้าเลิ่กลั่กเหมือนกลัวใครจะมาได้ยินทั้งที่อยู่กันสองคน“คุณคิดอย่างนั้นก็ได้ ผมไม่สนใจ เพราะยังไงผมก็ได้ตัวคุณมานอนด้วยอยู่แล้ว”สำนักงานราชเวคิน กรุ๊ปเป็นตึกสูงสามสิบชั้น ห้องทำงานของชนกันต์ตั้งอยู่บนชั้นที่ยี่สิบแปด เธอเห็นห้องทำงานอีกห้องตั้งอยู่ติดกัน มันคงเป็นห้องทำงานของผู้บริหารใหญ่สักคน เพราะเธอเห็นว่ามีโต๊ะเลขาฯ วางอยู่ตรงหน้าห้องด้วย ส่วนหน้าห้องของชนกันต์นั้นกลับโล่งว่างกุลนิภาถูกดันหลังให้เข้าไปในห้องทำงานของเขา เขาพาเธอเดินผ่านเข้าไปด้านใน เธอจึงไม่ทันได้สังเกตอะไร เพราะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยอมรับว่าเธอกำลังรู้สึกตื่นเต้นและหวาดหวั่น แถมยังต้องระมัดระวังตัว เพราะไม่รู้ว่าชนกันต์พาเธอเข้ามาใน
เป็นธีทัตอีกเช่นเคยที่ดึงการสนทนากลับไปยังงาน การประชุมในวันนี้ถือเป็นการประชุมภายในสำหรับผู้บริหาร นอกจากนายเนตรซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้ลูกชายอยู่เบื้องหลังแล้ว ยังมีผู้บริหารที่มีบทบาทสำคัญอีกสามคน กระทั่งเวลาผ่านไปนานกว่าสองชั่วโมง เมื่อทุกคนได้รับรู้ผลประกอบการและได้พูดคุยถึงทิศทางของบริษัทในไตรมาสถัดไปแล้ว ผู้บริหารทั้งสามคนก็ลุกจากเก้าอี้แล้วออกไปจากห้องประชุม...เหลือเพียงพ่อและลูกชายในตระกูลราชเวคินที่นั่งดื่มกาแฟกันต่อ“ทำไมเปลี่ยนเสื้อ เฮียก่อถ่ายรูปกับนายที่สนามบิน ฉันยังเห็นว่าเมื่อเช้านายใส่เสื้อสีดำอยู่เลย”ก่อฤกษ์โพสต์รูปและแท็กหาเมีย พี่ชายของเขาคงอยากรายงานเมียว่ากำลังจะขึ้นเครื่องบินกลับออสเตรเลีย และยังบอกว่าชนกันต์เป็นคนขับรถไปส่งที่สนามบินด้วยตัวเอง ภพธรจำได้ดีว่าในรูปถ่ายนั้นชนกันต์สวมเสื้อผ้าสีดำทั้งชุด แต่ตอนนี้เจ้าตัวเปลี่ยนมาใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินแล้ว แม้เป็นเสื้อเชิ้ตที่มีรูปแบบคล้ายกัน แต่มันเป็นเสื้อคนละตัว...“เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำไมนายต้องเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ นายไปทำอะไรมาหรือเปล่า ที่สำคัญวันนี้นายยังเข้า
“ถ้าคุณแต่งงาน คุณจะมีลูกไหมคะ”กุลนิภาถามขึ้นมาหลังจากสงครามรักบนเตียงนอนของยามเช้าจบลง ซึ่งเธอซุกซบอยู่บนอกเขามาสักพักแล้ว“ถามทำไม หรือคุณรู้อะไรมา”รู้อะไร?...กุลนิภาระแวงว่าชนกันต์จะรู้เรื่องลูกในท้อง ในขณะที่เขากลับนึกถึงผู้หญิงอีกคน“ฉันแค่อยากรู้ความคิดของคุณ แต่ถ้าคุณไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”“ถ้าคนที่ผมแต่งงานด้วยเขาไม่อยากมีลูก ผมก็ไม่มีปัญหา ผมแต่งงานกับใครก็เพราะผมอยากอยู่กับคนคนนั้น ส่วนลูก...ผมยังนึกภาพตัวเองมีลูกไม่ออก บางทีผมอาจไม่ได้รักเด็กขนาดที่จะมีลูกเอง ผมคงไม่พร้อมที่จะทุ่มเทให้ลูกของผมเหมือนอย่างที่พ่อแม่เคยให้กับผม”น่าอิจฉาจัง...ความรู้สึกนี้โฉบเข้ามาในหัวของกุลนิภาชนกันต์มีพ่อแม่ที่รักเขามาก จนเขากลัวว่าตัวเองอาจไม่สามารถทุ่มเทและรักลูกได้เหมือนอย่างที่พ่อแม่ของเขาเคยเป็น...ในขณะที่เธอไม่กล้าคิดถึงแม่ของตัวเอง ถึงแม้เธอจะไม่เชื่อว่าแม่ไม่รักเธอ เธอยังคิดเสมอว่าแม่คงมีเหตุผลที่เธอไม่รู้และไม่เข้าใจ แต่นั่นแหละ การกระทำของแม่ส
“อือ...”เสียงห้าวทุ้มดังอยู่ข้างหู กุลนิภารู้ว่าเป็นเสียงของชนกันต์ เธอจำได้ดี แต่ตอนนี้เธออยากหลับ ไม่อยากตื่นขึ้นมารับสายของเขาแล้ว อยากบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน แต่เธอทำได้แค่บอกเสียงอือออในลำคอ...เขาคงเข้าใจ เพราะเธอได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากเขาหากเมื่อจะพาตัวเองเข้าสู่นิทรารมย์อีกหน กุลนิภากลับรู้สึกถึงรอยสัมผัสบริเวณแก้ม ริมฝีปาก แม้กระทั่งซอกคอ จนเธอต้องพลิกกายหนี“ผมจะไปอาบน้ำ เดี๋ยวกลับมา”“อืม...”ในความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น กุลนิภาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป นึกแปลกใจว่าเธอกำลังคุยโทรศัพท์กับชนกันต์ แต่ทำไมมันถึงคล้ายกับเขามาอยู่ใกล้เธอ หากนั่นแหละ เธอไม่คิดจะหาคำตอบ เธอปล่อยความสงสัยไว้ตรงนี้ เพราะตอนนี้เธอต้องการหลับกุลนิภารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นและสากระคายที่กำลังตวัดไล้อยู่ตรงยอดอก มือบางคว้าหมับเจ้าสิ่งนั้นไว้หวังจะให้มันหยุด เพราะเธอรู้สึกถึงความซ่านสยิวมที่โจมตีเข้ามาอย่างรุนแรง“ห
ทั้งผลไม้รสเปรี้ยวทั้งยาลมและยาหอมยังไม่อาจช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะของชนกันต์ได้ มันทรมาน เขาอยากกอดกายบางและซุกใบหน้ากับอกอวบของเธอแล้วหลับไปจนถึงตอนเช้า แต่สิ่งที่คว้าได้นั้นมีแต่หมอนข้างชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งกลางเตียง ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เขายกมือขึ้นมาเสยผมลวกๆ เมื่อหันซ้ายแลขวาไม่เห็นสิ่งที่ต้องการ ไม่มีสิ่งใดแทนเธอได้ ความรู้สึกหงุดหงิดก็พุ่งขึ้นสูง มือหนาคว้าโทรศัพท์มือถือแล้วโทร.ไปหาเธออย่างไวกุลนิภากำลังเคลิ้มหลับ เธอสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ เธอหยิบมันขึ้นมาดูหน้าจอทั้งที่พอจะรู้ว่าใครโทร.มาในเวลานี้“คุณนอนหรือยัง”“ฉันกำลังจะหลับค่ะ”กุลนิภาตอบ คิดว่าชนกันต์คงมีธุระสำคัญ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่โทร.มาหาเธอในเวลาใกล้ดึกเช่นนี้ เธอจึงรอฟังเขาพูดด้วยใจจดจ่อ ทว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นกลับเป็นเสียงบ่นที่บอกให้รู้ว่าเขากำลังหงุดหงิดเหลือทน...แต่เขาหงุดหงิดอะไร เธอก็ยังจับใจความไม่ได้“ผมนอนไม่หลับ ผมเวียนหัวจะตายอยู่แล้ว ผมเป็นอะ
กุลนิภาไม่ทันได้วางโทรศัพท์ลง เสียงของสายเรียกเข้าก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวถอนหายใจ...ไม่ว่าอย่างไรชนกันต์ก็ยังเป็นชนกันต์คนเดิม เขาไม่มีวันยอมจบเรื่องง่ายๆเธอกดรับสายทันที ไม่มีอาการรีรอเหมือนคราวก่อน“ถ้าคุณกลัวจะติดไข้จากฉัน ฉันยืนยันได้เลยว่าฉันไม่ได้ป่วย ฉันไม่ได้เป็นโรคร้าย ไม่มีเชื้อโรคจากตัวฉันที่จะทำให้คุณป่วยตายอย่างแน่นอน ส่วนการที่คุณเวียนหัวคลื่นไส้ คุณต้องไปหาคำตอบจากหมอเอาเอง ฉันให้คำตอบคุณไม่ได้ เพราะอาการของคุณไม่เกี่ยวกับฉัน”กุลนิภาพูดรัวม้วนเดียวจบ โดยไม่เว้นจังหวะให้อีกฝ่ายได้พูด ตัวเธอเองก็แทบไม่ได้หายใจ...หากนึกทึ่งตัวเองเสียด้วยซ้ำที่กล้าเถียงเขาได้ถึงขนาดนี้หญิงสาวตั้งสติรออีกฝ่ายโต้ตอบกลับมา แต่เขายังเงียบ...มันเงียบเสียจนเธอรู้สึกแปลกใจ เพราะตามปกติชนกันต์ไม่เคยยอมแพ้เธอ เมื่อต่อปากต่อคำกันคราใด เขาพร้อมจะสวมวิญญาณเด็กสามขวบงัดทุกวิถีทางมาสู้กับเธอทุกทีมือบางดึงโทรศัพท์มือถือออกมามองหน้าจอ พลันต้องเบิกตากว้าง เพราะมันเป็นเบอร์โทร.ของคนที่เธอไม่รู้จัก ซึ่ง
อาการแพ้ท้องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้านี้ทำให้กุลนิภานอนซมอยู่บนเตียง เมื่อร่างกายอ่อนแอจนถึงที่สุด เธอก็นึกถึงชนกันต์ แต่ความคิดนั้นกลับกลายเป็นความกลัวในเวลาถัดมา...เธอกลัวเขาจะมาพรากลูกไปจากเธอเมื่อสายเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา มันเป็นเบอร์ที่เธอไม่รู้จัก กุลนิภากำลังจะตัดสายทิ้ง เพราะเธอไม่มีอารมณ์จะคุยกับใคร หากฉุกคิดถึงคนที่เธอเพิ่งให้เบอร์โทร.ไปได้ เมื่อกดรับสาย เธอจึงรู้ว่ามันเป็นสายจากพี่ชายต่างมารดาของเธอจริงๆ“อิงอิงใช่ไหมครับ พี่นิคเองนะครับ”“พี่นิค...”เธอพยายามทำน้ำเสียงให้สดใส แต่พูดออกมาแค่คำเดียว เสียงของเธอก็ขาดหาย แถมมันยังแผ่วเครืออีกด้วย“อิงอิงเป็นยังไงบ้าง เราท้องอยู่ใช่ไหม”คำถามที่สองทำให้กุลนิภานิ่งงัน แม้เตรียมใจไว้แล้วว่าอคินรู้เรื่องนี้ได้ไม่ยาก แต่เขาทำให้เธอไม่ทันได้ตั้งตัว“ใช่ค่ะ อิงกำลังท้อง แต่อิงไม่อยากให้ใครรู้”เมื่อมาถึงขั้นนี้ กุลนิภาจึงบอกอคินไปตรงๆ เธอ
ประตูห้องชุดถูกเปิดออกอย่างระมัดระวัง เมื่อกุลนิภาเข้ามาข้างใน เธอรับรู้ได้ทันทีว่าไม่มีใครอยู่...แม้รู้อยู่แล้วว่าชนกันต์ไม่อยู่ที่นี่ แต่อีกใจเธอยังลุ้นว่าเขาอาจกลับมาเซอร์ไพรส์เธอ เธออาจเห็นเขานั่งรออยู่บนโซฟายาวตัวนี้หญิงสาววางกระเป๋าสะพายลง แล้วหย่อนกายนั่งบนโซฟาเพื่อพักให้หายเหนื่อย มือบางลูบหน้าท้อง ไล้วนเบาๆ ด้วยอยากสื่อไปถึงลูกน้อยที่นอนซุกตัวอยู่ในท้อง“พ่อของหนูไม่อยู่ที่ห้อง เขากลับไปที่บ้านราชเวคิน บ้านหลังนั้นมีคนอยู่หลายคน...ช่วงนี้พ่อต้องกลับไปช่วยพี่ชายของเขาเลี้ยงหลาน”พี่ชายของเขาและหลานชายของเขา...หากนับไปก็เป็นญาติสนิทของลูกในท้องของเธอ“แม่รู้ว่าถ้าหนูได้อยู่กับพวกเขา พวกเขาจะเลี้ยงดูหนูเป็นอย่างดี แต่อีกใจหนึ่งแม่ก็กลัว...แม่เลยไม่กล้าปล่อยให้หนูไป แม่กลัวว่าสิ่งที่แม่เคยเจอในวัยเด็กมันจะย้อนกลับมาหนู ถ้าเป็นอย่างนั้น แม่คงทำใจไม่ได้”ถ้าหากชนกันต์รู้เรื่องลูก รับรองเลยว่าเขาจะต้องแย่งลูกไปเลี้ยงดูเอง เขามีความพร้อมมากกว่าเธอหลาย
คุณตั้งครรภ์ได้สิบสองสัปดาห์แล้วค่ะ ระยะนี้อาการอ่อนเพลียจะลดลง แต่อาการวิงเวียนศีรษะยังมีอีกสักพัก คุณอาจมีอาการปวดหัว พยายามพักผ่อนให้เพียงพอและทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ถ้าเราไม่เครียดก็จะลดอาการพวกนี้ลงได้ค่ะ”แพทย์หญิงท่าทางใจดีบอกด้วยเสียงนุ่มนวล แม้อาการหลายอย่างบ่งบอกอย่างชัดเจน รวมถึงผลตรวจจากชุดทดสอบการตั้งครรภ์บอกว่าเธอท้อง แต่เมื่อฟังคำยืนยันจากคุณหมอซ้ำอีกที กุลนิภาก็เกิดอาการใจสั่นและมือเย็นขึ้นมา“ระยะนี้หมออยากให้คุณสังเกตตัวเองอย่างใกล้ชิด เพราะช่วงนี้ปากมดลูกมีความเปราะบาง การมีเพศสัมพันธ์ตามปกติก็อาจจะทำให้มีเลือดออกเล็กน้อยได้ มันไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าเลือดออกมากและมีอาการปวดท้องก็ต้องรีบมาพบหมอ”“ค่ะ...ได้ค่ะ”คุณหมอพูดอีกหลายคำ กุลนิภาพยายามตั้งใจฟัง แต่ยอมรับว่าหลายช่วงหลายตอนเธอเกิดอาการหูอื้อตาลาย กระทั่งขั้นตอนการพบหมอเสร็จสิ้นลง เธอจึงเดินออกมาจากห้องตรวจด้วยอาการใจลอย รู้สึกใจหวิวๆ คล้ายจะเป็นลม ได้แต่พยายามประคองตัวเองเอาไว้กุลนิภารับใบนัดมาพบหมอครั้งต่อไป นั่นก็คืออีกสี่สัปดาห
เช้าวันใหม่ กุลนิภาตื่นขึ้นมาด้วยอาการศีรษะหนักอึ้ง เพราะเมื่อคืนกว่าเธอจะนอนหลับก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม เธอเข้าไปอาบน้ำและแต่งตัวเพื่อเตรียมไปโรงพยาบาลเธอทำทุกอย่างเหมือนหุ่นยนต์ เธอออกคำสั่งให้ตัวเองลุกขึ้นมาทำ...แม้แต่การเดินไปตามถนนในซอยเพื่อตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ห่างจากคอนโดมิเนียมเกือบห้าร้อยเมตร...ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวในยามสาย แต่เธอก็เดินไปถึงทั้งที่ไม่เคยเดินในเส้นทางนี้มาก่อน ซึ่งมันทำให้เธอเหนื่อยหอบอยู่เหมือนกันกุลนิภาไม่คิดจะทรมานตัวเอง เธอไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น แต่เธอแค่ลองใช้ชีวิตในอีกรูปแบบ เพราะอีกไม่นานเธออาจต้องเผชิญกับมันโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าเป็นโรงพยาบาลที่กุลนิภาเลือกมาฝากครรภ์ เธอมีเหตุผลสองข้อ นั่นคือที่แห่งนี้พลุกพล่านด้วยคนไข้ที่มาใช้บริการ เธอจึงหวังว่าตัวเองคงไม่บังเอิญเจอคนรู้จัก ส่วนอีกข้อนั้นคือเธอมีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่าย ตอนนี้เธอแทบไม่มีเงินติดตัว ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมีเงินสดแค่ไม่กี่พันบาท ส่วนเงินในบัญชีนั้นแทบไม่เหลือแล้วหญิงสาวผิว
อรรพีไม่มีข่าวเสียหาย ถึงแม้เธอได้โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปีแล้วก็ตาม การพูดจาและวางตัวของเธอก็ดูดี ท่าทางฉลาดเฉลียวทันคนสมเป็นผู้หญิงยุคใหม่ ช่างถูกใจนางจริงๆ...แต่ติดนิดเดียวตรงที่อรรพีเคยให้สัมภาษณ์ถึงทัศนคติการมีชีวิตคู่ว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เธอก็อยากจะแต่งงาน แต่เธอไม่ต้องการมีลูก เพราะเธอเชื่อว่าเพียงแค่คนสองคนที่รักและเข้าใจกันก็สามารถสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องมีโซ่ทองคล้องใจ“สรุปว่าถ้าเจ้ากันต์กับหนูไอซ์ตกลงเป็นแฟนกัน คุณก็ให้การ์ดผ่านพวกเขาเลยใช่ไหม”“รดาต้องให้ผ่านอยู่แล้วค่ะ สำหรับเรื่องพวกนี้ รดาตามใจลูกทุกคน ขอแค่เธอเป็นผู้หญิงที่ดี ไม่มีเรื่องเสียหายมาให้ครอบครัวเราต้องพลอยอับอายไปด้วยก็พอ เพราะรดาอยากได้ผู้หญิงที่รักลูกของเราจริงๆ มาเป็นลูกสะใภ้”คุณเนตรรู้ว่าคุณอมลรดากลัวผู้หญิงอีกจำพวกที่อาจเข้ามาพัวพันและทำให้ชนกันต์ต้องเสื่อมเสีย เขาจึงปิดเรื่องที่ลูกชายพาผู้หญิงที่เลี้ยงไว้ไปที่บริษัท แถมยังให้เจ้าหล่อนเข้าไปนั่งรออยู่ในห้องทำงานส่วนตัว...รับรองเลยว่าถ้าหากคุณอมลรดารู้เรื่องนี้ นางจะต้