โดยไม่ต้องลงมือเอง แม่ก็ฟาดพี่ชายกลับให้แล้ว ชนกันต์นึกขันพี่ชายตัวเอง
“แม่พูดว่าผมไม่ต่างกับเฮียก่อไม่ได้นะครับ เพราะผมไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนเฮียก่อ แม่พูดอย่างนี้ผมเสียหาย” อดที่จะซ้ำเติมหนักๆ ไม่ได้ เพราะเขาถนัดเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว...มีสงครามในบ้านคราใด ชนกันต์จะขออยู่ข้างฝ่ายผู้ชนะ เขาถือคตินี้เรื่อยมา “งั้นแกทำตัวดีๆ ไว้ให้ได้นะ พลาดเมื่อไร ฉันจะคอยดู” “ทำไมก่อพูดกับน้องอย่างนี้ พูดเหมือนจะให้น้องเจอเรื่องเจอราวเสียให้ได้” คุณอมลรดาเอ็ดลูกชายคนรอง ก่อนจะหันไปทางลูกชายคนที่สาม “ไม่เอาแบบเฮียก่อนะกันต์ คราวนั้นแม่หัวใจเกือบวาย อย่าไปทำใครท้องแล้วทิ้งขว้าง เลือดเนื้อเชื้อไขของเราทั้งนั้น ถ้ากันต์คบใครก็ทำให้เป็นขั้นเป็นตอน แต่งงานแต่งการกันให้เรียบร้อย แม่ไม่ใช่แม่ผัวใจร้าย แม่ขอแค่ลูกสะใภ้เป็นคนดี ดูแลครอบครัวได้ อบรมลูกๆ ของเราเป็น และไม่ทำตัวเสื่อมเสีย แม่รับได้ทั้งนั้น” ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวแท้ๆ...ก่อฤกษ์ปิดปากฉับเสีย เพราะกลัวโดนแม่เทศน์อีก เขาเหลือบมองน้องชายชนกันต์ไปส่งก่อฤกษ์ที่สนามบินและอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายจนได้เวลาขึ้นเครื่องเดินทาง จากนั้นเขาจึงขับรถไปยังร้านอาหารสาขาใหญ่ที่เปิดอยู่ในพื้นที่โรงแรมหรูย่านกลางเมืองเมื่อชายหนุ่มรูปร่างสูงสมส่วนชวนมองเดินเข้าไปในร้านอาหารทางประตูด้านหน้า เพียงแค่เขาเดินผ่านโต๊ะของลูกค้าผู้หญิงสี่คน พวกเธอก็สบตากันอย่างพร้อมเพรียง“ผู้ชายคนเมื่อกี้เป็นเจ้าของร้าน”เมื่อคนแรกเปิดประเด็น คนที่สองและคนที่สามที่นั่งร่วมโต๊ะก็ผสมโรงทันที“ทำไมหล่อจัง หล่อออราแสงแยงตา”“หน้าตาคุ้นๆ อยู่นะ เหมือนเคยเห็นมาก่อน...เขาเป็นดาราหรือเปล่า”“ไม่ใช่ดารา แต่เขามีแฟนเป็นดารา เธอคงเคยเห็นเขาในข่าวก็เลยคุ้นหน้า เขาเป็นแฟนของไอซ์ อรรพีไง”“เป็นแค่แฟน ยังไม่แต่งงาน งั้นฉันก็มีสิทธิ์ ต่อไปฉันจะมากินข้าวที่นี่ทุกวัน ฉันจะได้เจอเขาบ่อยๆ”ผู้หญิงหน้าตาสวยเด่นที่นั่งฟังการสนทนาอย่างเงียบๆ พูดขึ้นมาบ้าง ทว่าเพื่อนอีกคนก็ดับฝันของเธอทันควัน
โชคดีที่เป็นช่วงเวลาบ่าย รถยังไม่ติด แต่ระหว่างทางที่กุลนิภานั่งรถแท็กซี่กลับมาที่คอนโดมิเนียม เธอต้องคอยลุ้นไปตลอดทางเหมือนกัน เพราะเธอสัมผัสจากน้ำเสียงของชนกันต์ได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด เธอไม่รู้หรอกว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร แต่เมื่อเธออยู่กับเขา เธอก็ไม่อยากกลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาชนกันต์ไม่เคยทำร้ายเธอ เธอไม่ได้โกหกแม่ แต่ร่างกายของเธอบอบช้ำจากเรี่ยวแรงมหาศาลของเขาอยู่บ่อยๆ บางครั้งเขาทำให้เธอขยาดและหวาดหวั่นกับการร่วมรัก...มันไม่ใช่ความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่มันกลายเป็นอารมณ์ปรารถนารุนแรงที่เขาจุดขึ้นในกายของเธอชนกันต์ทำให้เธอลืมตัว หลงลืมทุกสิ่งทุกอย่างยามอยู่ใต้ร่างหนาหนั่นของเขา กุลนิภาแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเอง หากแม้ช่วงเวลานั้นเธอรู้สึกหวาดกลัวเขา แต่ในขณะเดียวกันเธอก็อยากโผนเข้าหาและกอดรัดเขาอย่างแนบแน่น เขาควบคุมทั้งร่างกายทั้งวิญญาณของเธอ และเมื่อเกมรักผ่านไป ร่างกายของเธอจึงเหลือรอยช้ำจากการถูกโรมรันที่ไม่เคยออมแรงแทบทุกครั้งกุลนิภากัดริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ...เธอรู้ ชนกันต์ใช้ร่างกายของเธออย่างเต็มที่ เขาไม่เคยถนอม ไม่
กุลนิภาใช้เวลาในห้องน้ำอย่างสบายใจ เธอตัดสินใจนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำ การกลับมาอยู่ใกล้ชนกันต์ มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย แม้รู้ว่าเขาไม่เคยรักและไม่เคยถนอม แต่เธอกลับโหยหาเขา ถ้าหากถามว่าพื้นที่ซอกมุมไหนบนโลกใบนี้ที่ทำให้เธอรู้สึกได้รับการปกป้องมากที่สุด...มันอาจเป็นเรื่องประหลาดนัก ถ้าเธอตอบคือการได้อยู่ใกล้คนที่ไม่เคยใจดีกับเธออย่างเขานี่แหละหลายสิบนาทีต่อมาเมื่อกุลนิภาออกมาจากห้องน้ำ กายสาวที่มีเสื้อคลุมอาบน้ำสวมอย่างรัดกุมเดินออกมาอย่างระมัดระวัง เธอเห็นเขานั่งเอนกายอ่านหนังสือบนโซฟายาว นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เธอนึกทึ่งในตัวเขา ภายใต้รูปลักษณ์โฉบเฉี่ยว นิสัยค่อนไปทางกร้าวและห้าว แต่ชนกันต์มักมีมุมที่สงบและอยู่นิ่งเงียบกับตัวเองเสมอหญิงสาวยิ้ม...พลันนึกตำหนิตัวเองว่าตนคงบ้าไปแล้วอย่างแน่นอน ทำไมถึงมองเขาดีไปหมดเธอเดินเข้าไปในห้องเก็บเสื้อผ้า เสื้อผ้าและของใช้ของเธอถูกจัดเก็บไว้ตรงมุมหนึ่ง มันมีน้อยนิดเมื่อเทียบกับของของเขา ถึงแม้อยู่ด้วยกัน แต่กุลนิภาก็เจียมตัวว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร ดังนั้นเธอจึงไม่เคยล่วงล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเข
“ให้ผมเลิกกับคุณเหรอ เลิกได้ยังไง ในเมื่อเราไม่เคยคบกัน”ชนกันต์ไม่พลาดที่จะพูดจาทำร้ายจิตใจเธอ ทั้งที่เขาเข้าใจดีว่าเธอหมายถึงเรื่องอะไร กุลนิภาต้องใช้ความเข้มแข็งเป็นอย่างมากเพื่อมองข้ามมันไป“คุณต้องซื่อสัตย์กับเธอ”“กับใคร?”“ซื่อสัตย์กับผู้หญิงที่คุณจะแต่งงานด้วย”“ตอนนี้ผมยังไม่แต่งงานและผมอยากได้ตัวคุณ”“ฉันขอเวลาทำงานและจะเก็บเงินมาใช้คืนคุณให้ครบ”“คุณทุจริตเงิน รู้ใช่ไหมว่าพนักงานที่โดนข้อหานี้คงไม่มีบริษัทไหนเสี่ยงรับเข้าทำงาน”กุลนิภารู้เรื่องนี้ดี มันเสี่ยงกับอนาคตของเธอ แต่เธอจะใช้ชีวิตอย่างไรถ้าในอนาคตเธอไม่สามารถหางานทำ ไม่มีรายได้มาเลี้ยงดูตัวเอง เธอไม่อยากถูกขึ้นแบล็กลิสต์จากราชเวคิน กรุ๊ป ซึ่งมันเป็นอีกเหตุผลที่ตอนนั้นเธอตัดสินใจชดใช้ให้ชนกันต์จนจบสิ้นก่อน แม้ทางเลือกมีเพียงชดใช้ด้วยร่างกายก็ตาม“ถ้าคุณจะกรุณา ช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความ
อากาศภายในห้องเย็นฉ่ำ หากกายหนาที่ขยับโยกเหนือกายบางกลับมีเม็ดเหงื่อผุดพราย เสียงครางหวานจากคนใต้ร่างดังคลอเคล้าเสียงคำรามเข้ม เขาจับร่างสาวพลิกหงายพลิกคว่ำกระแทกกระทั้นมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว กระทั่งใกล้จะถึงจุดปลดปล่อย ชายหนุ่มจึงเคลื่อนไหวถี่กระชั้น ช่องทางสาวที่แสนอุ่นนุ่มก็บีบรัดอย่างรุนแรงมือบางคว้าร่างหนาใหญ่ไว้ด้วยต้องการเป็นหลักยึด กุลนิภากำลังรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเหวี่ยงขึ้นสูงจนลอยละล่อง ความเสียวซ่านกำลังโจมตีทั้งกาย เธอกอดเขาอย่างแนบแน่น ชั่วอึดใจต่อมาสายรุ้งก็ระเบิดพร่าง เธอเกร็งไปทั้งร่าง เธอกำลังสูญสิ้นการควบคุมตัวเองชนกันต์หายใจหอบขณะกระแทกแก่นกายอย่างทรงพลังเข้าสู่ร่างอวบอัดของหญิงสาว ก่อนจะปล่อยให้ความอุ่นร้อนฉีดพ่นเข้าสู่กายของเธอ“อิงเป็นของผม จำไว้ ผมไม่มีทางปล่อยคุณไป”เสียงกระซิบห้าวพร่าดังขึ้นอย่างชัดเจน กุลนิภาเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แม้ร่างกายยังถูกตอกตรึงด้วยร่างกายของเขา กระทั่งมือหนาจับปลายคางมนเอาไว้ แล้วบังคับให้เธอหันกลับมา“ลืมตาสิ มองผม”เมื่อเธอดื้อ เ
“คนบ้า หน้ามืด บ้ากามที่สุดเลย”เสียงแผ่วเบาหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่คนที่เดินออกมาจากห้องนอนกลับได้ยินอย่างชัดเจน เขายืนกางขาน้อยๆ แล้วเอียงคอมองเธอวินาทีนั้นกุลนิภาถึงได้รู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป เธอชะงักเท้ากึก แล้วค่อยๆ ถอยหลังเพื่อให้ห่างจากเขา“หิวหรือเปล่า”“คะ? คุณถามฉันเหรอ”“อยู่กันสองคน ผมคงถามกุมารทองมั้ง”“ยัง...”เธอยังพูดไม่ทันจบ เขาก็ถามสวนขึ้นมา“วันนี้คุณกินข้าวหรือยัง”กุลนิภาส่ายหน้า ตัดสินใจบอกไปตามตรง เพราะเขาคงคาดคั้นจนรู้ความจริง ทั้งที่ตอนแรกเธอคิดจะรอให้เขาออกไปข้างนอกเสียก่อน ช่วงบ่ายวันนี้ชนกันต์ต้องเข้าไปที่สำนักงานของราชเวคิน กรุ๊ป เธอจำตารางงานของเขาได้ เธอตั้งใจจะใช้ช่วงเวลานั้นเข้าไปทำกับข้าวในครัวกินเอง“ไปแต่งตัว ผมจะพาคุณไปกินข้าวข้างนอก”“ไม่ไปค่ะ”“อะไรนะ?”ชายหนุ่มถามย้ำ เขาได้ยินคำพูดของเธอชัดเจน
เพราะใครล่ะที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้...กุลนิภาแย้งในใจ พยายามตัดความสงสารตัวเองทิ้งไป แม้คนอื่นมองเธอน่าสมเพชและไร้ค่าสักแค่ไหน แต่เธอไม่ควรซ้ำเติมตัวเองหากไม่ทันที่เธอจะได้กินเบอร์ริโต้ไก่ในมือตัวเอง กลิ่นเบอร์ริโต้เนื้อของชนกันต์ก็โชยมาเตะจมูก มันทำให้เธอรู้สึกพะอืดพะอมเหม็น...หญิงสาวกลั้นลมหายใจ เธอรอให้เขากินเสร็จ หากกลิ่นเนื้อยังอวลอยู่รอบตัว มันไม่หายไปไหนเลย แม้รถเปิดประทุนโล่งแล้วก็ตาม เธออยากจะอาเจียน แต่กลับไม่มีอะไรในท้องออกมา เธอจึงทิ้งตัวลงกับเก้าอี้อีกหน ทั้งที่ในมือยังถืออาหารและเธอก็หิวจนติดหมัด แต่ไม่เธอสามารถกินได้ทรมานเหลือเกิน...แค่หิวข้าว แต่ทำไมถึงทรมานอย่างนี้นะกุลนิภาได้ยินเสียงถามดังข้างหู เธอรู้ว่าเป็นเสียงของชนกันต์ เขาถามว่าเธอเป็นอะไร แล้วเขายังบ่นอีกยืดยาว เธอบอกให้เขาหยุดพูด เพราะเธอรู้สึกเวียนศีรษะมาก แต่กลับได้ยินเพียงเสียงอือออของตัวเองดังออกมาพลันเธอสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิเย็นฉ่ำ กลิ่นเนื้อและเครื่องเทศของอาหารหายไป เหลือเพียงกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศในรถที่เธอคุ้นเคย มันทำให้เธอรู้สึกดี
ดูท่าทางวิธี ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ คงใช้ได้ผล เพราะคนตัวโตเงียบไปแล้ว เขาเปิดประตูรถแล้วก้าวออกไปพร้อมกับเอกสารในมือ กุลนิภาจึงรีบเปิดประตูรถลงตาม เธอรีบจ้ำเท้าตามเขาเข้าไปข้างในอาคาร...เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่น กระทั่งคนทั้งคู่เข้าไปในลิฟต์ เขาก็พูดโพล่งออกมาอย่างที่ทำให้เธอต้องตีสีหน้าเลิ่กลั่กเหมือนกลัวใครจะมาได้ยินทั้งที่อยู่กันสองคน“คุณคิดอย่างนั้นก็ได้ ผมไม่สนใจ เพราะยังไงผมก็ได้ตัวคุณมานอนด้วยอยู่แล้ว”สำนักงานราชเวคิน กรุ๊ปเป็นตึกสูงสามสิบชั้น ห้องทำงานของชนกันต์ตั้งอยู่บนชั้นที่ยี่สิบแปด เธอเห็นห้องทำงานอีกห้องตั้งอยู่ติดกัน มันคงเป็นห้องทำงานของผู้บริหารใหญ่สักคน เพราะเธอเห็นว่ามีโต๊ะเลขาฯ วางอยู่ตรงหน้าห้องด้วย ส่วนหน้าห้องของชนกันต์นั้นกลับโล่งว่างกุลนิภาถูกดันหลังให้เข้าไปในห้องทำงานของเขา เขาพาเธอเดินผ่านเข้าไปด้านใน เธอจึงไม่ทันได้สังเกตอะไร เพราะสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยอมรับว่าเธอกำลังรู้สึกตื่นเต้นและหวาดหวั่น แถมยังต้องระมัดระวังตัว เพราะไม่รู้ว่าชนกันต์พาเธอเข้ามาใน
นายแพทย์อคินตัดสายจากน้องสาว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แพทย์หญิงเปรมวดีเดินกลับมาที่โต๊ะ หลังจากที่เธอไปเข้าห้องน้ำของร้านอาหาร“มื้อนี้นิคต้องเลี้ยงเรานะ เพราะเราทำงานให้นิคได้ดีเกินคาด”“เราเลี้ยงเปรมแน่นอน เราจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว แต่เปรมต้องขับรถพาเราไปทำธุระแถวหลักสี่ก่อน อ้อ! เราต้องซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นด้วย ว่าแต่มันคือมะม่วงอะไร เราไม่รู้จัก”นายแพทย์หนุ่มทำหน้าครุ่นคิด เหมือนกับเขากำลังเจอปัญหาใหญ่ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างจริงจัง“มะม่วงเปรี้ยวอมหวาน ผลมีสีเหลืองเหมือนขมิ้น ว่าแต่นิคจะซื้อมะม่วงแก้วขมิ้นไปให้ใครเหรอ”“น้องสาว”“หืม? อิงอิงเหรอ”“เรามีน้องสาวคนเดียว”“งั้นเดี๋ยวเราจะพานิคไปซื้อ น้องสาวของนิคก็เป็นคนไข้ของเรา เราเป็นหมอเจ้าของเคสนี้…ว่าแต่คอนโดของน้องสาวอยู่ที่สาทรไม่ใช่เหรอ ทำไมนิคให้เราไปส่งแถวหลักสี่”“อิงอิงย้ายออกมาจากคอนโดแล้ว ตอนนี้เธอพักอยู่ที่โรงแรมย่านหลักสี่”มันเป็นข่าวใหม่ที่ทำให้หมอสาวต้องนิ
กุลนิภาตื่นนอนตั้งแต่ตีห้า เธออาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยโดยไม่มีอาการอ่อนเพลีย นึกชมลูกว่าน่ารักเหลือเกิน ลูกคงรู้ว่าวันนี้แม่ต้องย้ายบ้าน แม่ต้องทำธุระหลายอย่าง ลูกจึงไม่กวนและไม่งอแง ลูกให้ความร่วมมือกับเธอเป็นอย่างดีเวลาหกนาฬิกาเศษ หญิงสาวลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในลิฟต์เพื่อลงสู่ชั้นล่าง เธอฝากกุญแจและคีย์การ์ดเพื่อคืนให้ชนกันต์ไว้ที่เคาน์เตอร์ในล็อบบี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ประจำจุดนั้นถามเธออย่างสงสัย“คุณจะไปต่างจังหวัดหรือคะ ฉันถามเผื่อว่าเจ้าหน้าที่นิติบุคคลอยากรู้ข้อมูลไว้น่ะค่ะ”“ฉันจะย้ายไปอยู่ที่อื่นค่ะ ฉันไม่กลับมาที่นี่แล้ว”ประโยคท้ายช่างแผ่วเบา กุลนิภาหวังว่าคำตอบคงชัดเจนมากพอที่จะหยุดความสงสัยจากใครต่อใครได้...ซึ่งแน่นอน ไม่มีใครรั้งเธอไว้ด้วยคำถามอีกแล้วรถแท็กซี่ที่เธอเรียกผ่านแอปพลิเคชันจอดรออยู่ด้านหน้าล็อบบี้แล้ว คนขับรถช่วยเธอขนกระเป๋าเดินทางไปใส่ไว้ในท้ายรถ ก่อนที่เธอจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่งทางตอนหลังจุดหมายปลายทางของเธอ
“ทำไมกลับเร็ว นายเพิ่งขับรถออกไปส่งคุณไอซ์ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลย”คนที่นั่งเอกขเนกอยู่บนเก้าอี้ริมสวนบริเวณหน้าบ้านส่งเสียงถามเมื่อเห็นชนกันต์ก้าวลงมาจากรถ จนเขาต้องเดินไปหาเจ้าตัว แล้วตอบเสียงเหนื่อยหน่าย“รถไม่ติด”“ฉันรู้ว่ารถไม่ติด แต่นายไม่พาเธอแวะไปที่อื่นเลยเหรอ อย่างเช่นไปนั่งดื่มเหล้าด้วยกันแล้วค่อยพาเธอไปส่งที่บ้าน คุณไอซ์ไม่ใช่เด็กสาวแล้วนะ เธอเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและเธอก็สวยมากด้วย เธอกลับบ้านดึกได้...มีแต่แม่ของเราที่ทำท่าตกใจว่ามันดึกแล้ว คุณไอซ์ต้องรีบกลับบ้าน”ชนกันต์ขยับมุมปากยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในห้องรับประทานอาหารเมื่อสักครู่ใหญ่ ในตอนนั้นเขาเห็นน้องชายกลั้นหัวเราะขำกับคำพูดของแม่ แต่เรื่องนี้จะโทษแม่ก็ไม่ได้ เพราะในวันนี้อรรพีวางท่าเป็นสาวใสซื่อจนเกินตัวตนจริงๆ ของเธอไปมากอันที่จริงเขาชอบอย่างที่เธอเป็นอยู่แล้ว เพราะมันดูเป็นธรรมชาติดี อีกทั้งเขายังวางตัวกับเธอได้ง่าย ยอมรับเลยว่าภาพพจน์ที่เธอแสดงออกในวันนี้มันกลับทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ“นายไม่มีอะไรจะเล่าให้ฉันฟังเหรอ”“ใคร
“ไอซ์กราบขอบคุณคุณลุงเนตรกับคุณป้ารดามากนะคะที่เอ็นดูไอซ์ ชวนไอซ์มาทานอาหารที่บ้านราชเวคิน”เสียงหวานฉอเลาะดังขึ้นหลังจากอาหารมื้อค่ำจบลง ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งแล้ว เรียกได้ว่าวันนี้สมาชิกครอบครัวราชเวคินกินอาหารดึกกว่าปกติ...ยกเว้นเจ้าตัวป่วนประจำบ้านที่กินเสร็จก่อนใครและคนเป็นแม่พาเข้านอนเรียบร้อยแล้ว“อาหารถูกปากหนูไอซ์หรือเปล่าจ๊ะ ถ้ามีอะไรก็บอกป้าได้นะ”“อาหารอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ ไอซ์รู้นะว่าคุณป้าตั้งใจทำของชอบของไอซ์ตั้งหลายเมนู ไอซ์รู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของคุณป้ามากๆ เลยค่ะ”เซเลบสาวตอบคุณอมลรดา หากสายตาชม้ายมองชนกันต์ที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างเธอชายหนุ่มยังคงปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามสถานการณ์ จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าอรรพีโผล่มารับประทานอาหารกับครอบครัวของเขาได้อย่างไร ทำไมเขาไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ว่าก็ว่าเถอะ เขาเป็นคนเกริ่นชวนเธอเอง แต่เมื่อเธอบอกว่ายังไม่มีเวลาว่าง เขาจึงไม่ได้ถามเธออีก เพราะไม่อยากรบกวนเวลาของเธอ เขาเข้าใจดีว่าในฐานะนักธุรกิจแ
เมื่อเดินไปถึงห้องรับประทานอาหาร ชายหนุ่มก็พูดออกมาทั้งที่ความสงสัยยังไม่หายไป“นั่งกันครบองค์ประชุมเลยเหรอ มีวาระสำคัญหรือเปล่า ทำไมผมไม่รู้อยู่คนเดียว”สายตาแทบทุกคู่หันมามองเขา ชนกันต์อ่านความรู้สึกของคนในครอบครัวไม่ออก เพราะเป็นสายตาที่เขาไม่ชินเอาเสียเลย แต่รู้ว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง มันไม่ใช่สถานการณ์ปกติ หากชายหนุ่มไม่ทันได้ถามใคร เขาก็เห็นดวงหน้าสวยโดดเด่นของใครบางคนที่เบือนมาส่งยิ้มให้เขา“คุณไอซ์!”ภายในห้องชุดของคอนโดมิเนียมหรูถูกปกคลุมด้วยความมืดทั้งที่เป็นเวลาไม่ถึงสองทุ่ม คนที่อยู่ในห้องยังไม่เข้านอน เธอนั่งคุดคู้อยู่บนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น เธอไม่ยอมเปิดสวิตช์ไฟให้แสงสว่างส่องลงมา คล้ายกับว่าเธอยินดีที่จะอยู่ในความมืด เพราะต้องการให้มันพรางตัวเธอให้หายไปจากโลกใบนี้เมื่อเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา หัวใจที่แห้งเหี่ยวเกิดพองโต เพราะเชื่อมั่นว่าชนกันต์เป็นเจ้าของสายเรียกนั้น แต่เธอรีบปรับความรู้สึกเสียใหม่ เพราะสำนึกได้ว่าเธอไม่ควรดีใจกับการที่คนที่เพิ่งยื
ชนกันต์ไม่ได้บอกไว้ว่าเย็นนี้เขากลับมาที่คอนโดมิเนียมหรือกลับไปที่บ้านราชเวคิน...กุลนิภาจึงได้แต่ยืนมองเนื้อวากิวสำหรับทำสเต๊กอย่างลังเล นานชั่วอึดใจกว่าเธอจะตัดสินใจเก็บมันกลับเข้าตู้เย็น“ถ้าพ่อไม่มาหาเรา สเต๊กเนื้อก็เป็นหมัน เพราะแม่กินเนื้อไม่ได้ เดี๋ยวจะเสียของเปล่าๆ ช่วงนี้แม่เหม็นเนื้อมาก สงสัยหนูคงจะไม่ชอบเนื้อใช่ไหมจ๊ะ เพราะเมื่อก่อนแม่ยังกินเนื้อกับพ่อได้อยู่เลย”กุลนิภาพูดคุยกับลูกในท้อง เธอทำเหมือนกับลูกได้ยินและเข้าใจคำพูดของเธอ ในแต่ละวันมันจึงกลายเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเธอ เพราะเธอรู้สึกเหมือนมีคนคนหนึ่งอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาหญิงสาวเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่น ทำท่าจะเปิดโทรทัศน์ แต่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นมา แม้รู้ว่ามีแค่คนเดียวที่จะเข้ามาในห้องนี้ได้ แต่เธอก็เดินออกไปดูด้วยความเคยชินความประหลาดใจทอขึ้นมาในดวงตาหวาน ซึ่งคนตัวใหญ่ที่เดินเข้ามาต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม“มีอะไรหรือเปล่าถึงมองผมอย่างนี้”“ฉันไม่รู้ว่าวันนี้คุณจะกลับมาที่คอนโด”“ไม่ใช่จะ
เสียงแดดยามสายที่ทอทอดเข้ามาทางหน้าต่างของห้องครัวขับไล่ความอึมครึมได้เป็นอย่างดี ไม่รู้กุลนิภาคิดไปเองหรือเปล่าว่าวันนี้อากาศสดใสมากกว่าเมื่อวาน ทั้งที่เธอฟังพยากรณ์อากาศแล้วพบว่าทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนจากเดิม ไม่ว่าอุณหภูมิ เมฆฝน หรือความโปร่งของท้องฟ้าในช่วงปลายหน้าร้อนที่กำลังย่างเข้าสู่หน้าฝนเมื่อเธอมองอาหารมื้อเช้าที่บรรจงทำเตรียมไว้สำหรับสองคน เรียวปากสวยก็แย้มยิ้ม คิดจะไปเรียกชนกันต์ให้มากินอาหาร เพราะเขาคงอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ทว่าเขาเข้ามาในห้องครัวเสียก่อน แล้วพูดถึงเรื่องที่เธอไม่อยากฟัง“ถ้าผมแต่งงาน คุณจะเสียใจไหม”กุลนิภานิ่งงัน ฝันหวานกับโลกใบสีชมพูที่เธอเพียรสร้างเมื่อครู่นี้แตกยับอย่างไม่มีชิ้นดี...มันเป็นคำถามที่เธอไม่จำเป็นต้องตอบและเขาไม่ควรถามเธอด้วย“ฉันทำมื้อเช้าให้คุณแล้วค่ะ”กุลนิภาบอกไปอีกทาง ก่อนเธอจะเดินเบี่ยงกายออกห่างจากเขา เธอตั้งใจจะออกไปจากห้องครัว หากเขารั้งต้นแขนของเธอไว้“กินด้วยกัน”&l
“ถ้าคุณแต่งงาน คุณจะมีลูกไหมคะ”กุลนิภาถามขึ้นมาหลังจากสงครามรักบนเตียงนอนของยามเช้าจบลง ซึ่งเธอซุกซบอยู่บนอกเขามาสักพักแล้ว“ถามทำไม หรือคุณรู้อะไรมา”รู้อะไร?...กุลนิภาระแวงว่าชนกันต์จะรู้เรื่องลูกในท้อง ในขณะที่เขากลับนึกถึงผู้หญิงอีกคน“ฉันแค่อยากรู้ความคิดของคุณ แต่ถ้าคุณไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”“ถ้าคนที่ผมแต่งงานด้วยเขาไม่อยากมีลูก ผมก็ไม่มีปัญหา ผมแต่งงานกับใครก็เพราะผมอยากอยู่กับคนคนนั้น ส่วนลูก...ผมยังนึกภาพตัวเองมีลูกไม่ออก บางทีผมอาจไม่ได้รักเด็กขนาดที่จะมีลูกเอง ผมคงไม่พร้อมที่จะทุ่มเทให้ลูกของผมเหมือนอย่างที่พ่อแม่เคยให้กับผม”น่าอิจฉาจัง...ความรู้สึกนี้โฉบเข้ามาในหัวของกุลนิภาชนกันต์มีพ่อแม่ที่รักเขามาก จนเขากลัวว่าตัวเองอาจไม่สามารถทุ่มเทและรักลูกได้เหมือนอย่างที่พ่อแม่ของเขาเคยเป็น...ในขณะที่เธอไม่กล้าคิดถึงแม่ของตัวเอง ถึงแม้เธอจะไม่เชื่อว่าแม่ไม่รักเธอ เธอยังคิดเสมอว่าแม่คงมีเหตุผลที่เธอไม่รู้และไม่เข้าใจ แต่นั่นแหละ การกระทำของแม่ส
“อือ...”เสียงห้าวทุ้มดังอยู่ข้างหู กุลนิภารู้ว่าเป็นเสียงของชนกันต์ เธอจำได้ดี แต่ตอนนี้เธออยากหลับ ไม่อยากตื่นขึ้นมารับสายของเขาแล้ว อยากบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน แต่เธอทำได้แค่บอกเสียงอือออในลำคอ...เขาคงเข้าใจ เพราะเธอได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากเขาหากเมื่อจะพาตัวเองเข้าสู่นิทรารมย์อีกหน กุลนิภากลับรู้สึกถึงรอยสัมผัสบริเวณแก้ม ริมฝีปาก แม้กระทั่งซอกคอ จนเธอต้องพลิกกายหนี“ผมจะไปอาบน้ำ เดี๋ยวกลับมา”“อืม...”ในความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น กุลนิภาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป นึกแปลกใจว่าเธอกำลังคุยโทรศัพท์กับชนกันต์ แต่ทำไมมันถึงคล้ายกับเขามาอยู่ใกล้เธอ หากนั่นแหละ เธอไม่คิดจะหาคำตอบ เธอปล่อยความสงสัยไว้ตรงนี้ เพราะตอนนี้เธอต้องการหลับกุลนิภารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นและสากระคายที่กำลังตวัดไล้อยู่ตรงยอดอก มือบางคว้าหมับเจ้าสิ่งนั้นไว้หวังจะให้มันหยุด เพราะเธอรู้สึกถึงความซ่านสยิวมที่โจมตีเข้ามาอย่างรุนแรง“ห