Share

บทที่ 2

ตอนฉันอายุ 18 ปี ฉันคิดว่าการสารภาพแบบนี้คือความกล้าหาญและความสดใสของวัยเยาว์ แต่ตอนนี้ฉันอยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาด

ความกล้าหาญ ความสดใสอะไรกันเล่า สมองฉันคงจะผิดปกติไปแล้วแน่ ๆ!

โชคดีที่ตอนนี้ฉันยังไม่ได้สารภาพ ยังพอมีโอกาสแก้ไขสถานการณ์ได้

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ในเมื่อมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ ฉันจะไม่ไปยุ่งกับกู้จือโม่อีกแล้ว และจะไม่ซ้ำรอยโศกนาฏกรรมในชีวิตครั้งก่อนอีก

ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วยกไมโครโฟนขึ้นมาจ่อที่ปาก พูดด้วยท่าทีจริงใจราวกับจะสาบานต่อฟ้าดินว่า “เพื่อนนักเรียนกู้พูดถูก ฉันได้ทบทวนการกระทำของตัวเองอย่างลึกซึ้งแล้ว ฉันขอโทษสำหรับความไม่สะดวกที่ได้สร้างไว้ให้นาย ขอโทษจริง ๆ! นายวางใจได้ ฉันได้กลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่แล้ว ต่อจากนี้ไปในใจฉันจะไม่มีเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ อีก มีแต่การเรียนและความฝันเท่านั้น”

กู้จือโม่ตกตะลึง “...”

เด็กหนุ่มดูเหมือนจะมึนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ส่วนฉันหันหลังวิ่งหนีลงจากเวที เร็วกว่ากระต่ายเสียอีก

ทุกคนทำหน้างง

“เฉียวซิงลั่วจะยอมแพ้เรื่องกู้จือโม่แล้วเหรอ?”

“เธอยอมแพ้แล้วเหรอ? กู้จือโม่เย็นชาขนาดไหน ผู้หญิงตั้งเท่าไหร่ที่ถอยเพราะเขา มีแต่เฉียวซิงลั่วที่ไม่ยอมแพ้ โดนปฏิเสธไปตั้งหลายครั้งก็ยังไม่สิ้นความพยายาม เดือนที่แล้วยังพนันกับคนอื่นว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับกู้จือโม่อยู่เลย”

“สงสัยจะคุยโวไว้เยอะ กลัวเสียหน้าเลยยอมแพ้หรือเปล่า?”

“งั้นกู้จือโม่คงดีใจมาก ในที่สุดก็กำจัดคนน่ารำคาญคนนี้ได้แล้ว”

ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทา เด็กหนุ่มจ้องมองไปยังแผ่นหลังที่กำลังวิ่งหนีไปอย่างแน่วแน่ ดวงตาที่คมชัดยิ่งดูเย็นชาขึ้นอย่างไร้ร่องรอยของความสุข

ฉันวิ่งกลับไปที่ห้องเรียน หัวใจยังคงเต้นระรัวไม่หยุด ภาพใบหน้าของฉันสะท้อนอยู่ในกระจกเล็ก ๆ บนโต๊ะ

แม้ว่าฉันในวัยยี่สิบปีจะยังดูอ่อนเยาว์ แต่หลังจากผ่านการแต่งงานและเผชิญปัญหาครอบครัวมาสามปี ดวงตาของฉันก็หมองคล้ำ ใบหน้าซีดเซียวและหยาบกร้านจากการนอนไม่หลับเรื้อรัง ต้องใช้รองพื้นหนา ๆ เพื่อปกปิดรอยคล้ำใต้ตา

แต่ในกระจก ผิวของเด็กสาวขาวละเอียด ดวงตากลมโตริม ฝีปากแดงระเรื่อ ดูสุขภาพดีและสวยงาม เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของวัยเยาว์

นี่คือฉันตอนอายุสิบแปดจริง ๆ!

ในตอนนี้ ฉันรู้สึกได้ว่าตัวฉันเกิดใหม่แล้วจริง ๆ และหัวใจของฉันก็เต็มไปด้วยความสุข

“จะส่องอะไรนักหนา ถึงสวยยังไงกู้จือโม่ก็คงไม่ชายตามองเธอหรอก” เสียงเยาะเย้ยดังขึ้น “ใคร ๆ ก็รู้ว่ากู้จือโม่กับเฉินเยวี่ยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก แถมพวกเขายังชอบกันอีก!”

ฉันได้สติ มองไปเห็นเฉินเยวี่ยที่ถูกล้อมรอบด้วยเพื่อนผู้หญิงราวกับดาวล้อมเดือน เธอก้มหน้าลงอย่างเขินอาย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

ฉันยิ้มให้ผู้หญิงที่พูด “ขอบคุณที่ชมว่าฉันสวย ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไปดูราวกับกินแมลงวันเข้าไปทันที

การพบกันของศัตรูหัวใจทำให้เกิดความอิจฉาอย่างรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น ในชาติก่อน การกระทำต่าง ๆ ของเฉินเยวี่ยหลังจากที่กู้จือโม่แต่งงานกับฉัน ทำให้ฉันรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เธอเป็นเหมือนหนามที่คอยทิ่มแทงอยู่ตรงกลางระหว่างฉันกับกู้จือโม่ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชีวิตแต่งงานของเราพังทลาย

ฉันไม่ชอบเธอ

แต่ตอนนี้ ฉันไม่อยากเป็นตัวละครหลักในรักสามเส้าอันไร้จุดจบนี้อีกต่อไปแล้ว

ฉันมองไปที่เฉินเยวี่ยแล้วพูดว่า “เหลือเวลาอีกแค่สามเดือนก็จะถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ฉันก็แค่อยากตั้งใจเรียน ขอให้เธอสมหวังในสิ่งที่ต้องการ และได้คนที่เธอชอบมาครองในเร็ววันแล้วกัน”

ฉันพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ แต่เฉินเยวี่ยกลับมองฉันด้วยความสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นบนใบหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยน “ซิงลั่ว ฉันรู้ว่าที่เธอพูดว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งพร้อมจือโม่เป็นแค่เรื่องล้อเล่น เธอไม่ต้องกดดันตัวเองมากขนาดนั้นหรอก”

มาอีกแล้ว

ฉันยิ้มมุมปาก

เฉินเยวี่ยมักจะเป็นแบบนี้ ภายนอกดูอ่อนโยนและเข้าใจคนอื่นเสมอ แต่จริง ๆ แล้วเธอมักจะมีแผนการบางอย่างอยู่ตลอด ค่อย ๆ ผลักคนอื่นไปสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างเงียบ ๆ

และแน่นอน คำพูดของเธอทำให้กลุ่มนักเรียนหญิงเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ฉัน

“เกลียดคนแบบนี้ที่สุดเลย ชอบเข้ามายุ่งกับความสัมพันธ์ของคนอื่น หน้าไม่อาย เพื่อจะเรียกร้องความสนใจจากกู้จือโม่ ถึงขนาดพูดเรื่องจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งขึ้นมาได้”

“แค่สอบเข้ามหาลัยธรรมดาได้ก็บุญแล้ว ยังหวังจะสอบเข้ามหาลัยปักกิ่งอีกเหรอ?”

“พรุ่งนี้ก็สอบจำลองรอบสองแล้ว ฉันจะรอดูเรื่องตลกแล้วกัน!”

ชาติที่แล้ว ฉันมักจะโกรธและเสียใจกับคำพูดพวกนี้ แต่ก็กลัวว่ากู้จือโม่จะคิดว่าฉันจงใจหาเรื่องเฉินเยวี่ย เลยได้แต่อดทน

แต่ตอนนี้ฟังแล้ว รู้สึกว่ามันช่างไร้เดียงสาและน่าขันเหลือเกิน

ฉันจ้องไปที่เฉินเยวี่ย แล้วพูดเย้ยหยัน “เฉินเยวี่ย ฉันจะสอบเข้ามหาลัยปักกิ่ง ส่วนกู้จือโม่ฉันจะไม่ตามตื๊อแล้ว เพราะงั้นเลิกเล่นลูกไม้กับฉันเถอะ บอกให้ลูกกระจ๊อกของเธออยู่ห่าง ๆ ฉันหน่อย ต่อไปเราต่างคนต่างอยู่”

ใบหน้าของเฉินเย่วี่ยแข็งค้างไปครู่หนึ่ง

หญิงสาวข้าง ๆ โกรธจัด “เฉียวซิงลั่ว เธอหมายความว่ายังไง?”

“ไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้น” ฉันยักไหล่ “แค่หวังดี อยากให้เฉินเยวี่ยกับกู้จือโม่สมหวังในความรักกันเร็ว ๆ เท่านั้นเอง”

ในเมื่อชาติที่แล้วทั้งสองคนยอมฝ่าฝืนศีลธรรมเพื่อกลับมารักกันใหม่ ในชาตินี้ฉันก็ขออวยพรให้พวกเขารักกันเหนียวแน่นกว่าเดิม และขอปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งในเกมของพวกเขาอีก

สิ้นเสียงเธอ กลุ่มคนก็กรูกันเข้ามาจากข้างนอก ซึ่งนำโดยกู้จือโม่

พวกเขามีสีหน้าประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าได้ยินสิ่งที่ฉันพูดเมื่อครู่

เฉินเยวี่ยหน้าแดงเล็กน้อย พูดอย่างเขินอายว่า “จือโม่ เฉียวซิงลั่วล้อเล่นน่ะ”

สายตาเย็นชาของกู้จือโม่กวาดมองมา

ฉันสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่พอใจ แต่แล้วไงล่ะ?

ฉันไม่สนอีกแล้ว

เราสบตากันครู่หนึ่ง แล้วฉันก็ก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างใจเย็น

สีหน้าของกู้จือโม่ยิ่งเย็นชาขึ้นไปอีก บรรยากาศกดดัน “ไม่ต้องเรียนกันแล้วหรือไง?”

ทุกคนเงียบกริบ แล้วรีบแยกย้ายกันไป

กู้จือโม่เดินมาอย่างช้า ๆ แขนเสื้อนักเรียนของเขาเฉียดผ่านโต๊ะของฉันไป แล้วเขาก็มานั่งลงข้างหลังฉัน

ถึงแม้จะเป็นเพียงเด็กหนุ่ม แต่เขาก็มีออร่าอันแข็งแกร่งและทรงพลัง

ฉันจับปากกาไว้ ความรู้สึกในใจปั่นป่วนเล็กน้อย

ตอนแรกที่ฉันแย่งที่นั่งหน้ากู้จือโม่ ก็เพื่อจะได้ใช้ข้ออ้างในการถามเรื่องเรียนกับเขาเพื่อที่จะได้อยู่กับเขาให้มากขึ้น ถึงแม้ว่ากู้จือโม่จะเย็นชา แต่เขาก็ไม่เคยปฏิเสธ

ฉันเคยคิดว่าเขาปฏิบัติกับฉันแตกต่างจากคนอื่น เลยยิ่งถลำลึกไปกว่าเดิม

ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว กู้จือโม่คงต้องคงฝืนทนต่อการตอแยของฉันด้วยความรำคาญและความน่ารังเกียจสินะ

ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ บังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ลงแล้วเริ่มทำโจทย์

โชคดีที่ตระกูลกู้มีลูกหลานเยอะ ตลอดสามปีที่เป็นแม่บ้านนั้น เพื่อเอาใจคนในตระกูลกู้ ฉันก็ช่วยติวหนังสือให้เด็ก ๆ พวกนั้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่อย่างนั้นถ้าได้ย้อนเวลากลับไปเจ็ดปีก่อน โจทย์พวกนี้ฉันคงลืมไปหมดแล้ว

ช่วงบ่ายผ่านไปแล้ว ฉันทำข้อสอบไปสามชุดเพื่อเรียกความรู้สึกช่วงก่อนสอบเข้ามหาลัยให้กลับมาอีกครั้ง แต่ก็ยังมีโจทย์บางข้อที่ยังคิดไม่ออก ฉันเผลอหยิบกระดาษข้อสอบหันไปข้างหลัง แล้วก็สบเข้ากับดวงตาดำขลับของกู้จือโม่

“...”

บรรยากาศเหมือนถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ

กู้จือโม่ขยับคิ้วเล็กน้อย ราวกับเข้าใจ เขามีสีหน้าเรียบเฉย ยื่นมือมาเตรียมจะรับกระดาษข้อสอบ

ฉันรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว และวางกระดาษข้อสอบลงบนโต๊ะของเจี่ยงหมิงอันเพื่อนที่นั่งข้างเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ “เทพเจี่ยง ช่วยดูข้อนี้ให้หน่อย”

ความกดอากาศรอบตัวลดลงอย่างกะทันหัน

เจี่ยงหมิงอันขยับแว่นอย่างงุนงง และพูดเป็นนัยว่า “เธอ...ถามผิดคนหรือเปล่า?”

ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ไม่ผิดหรอก”

เจี่ยงหมิงอันเหลือบมองกู้จือโม่หนึ่งครั้ง พูดไม่ออก

เด็กผู้ชายที่มาหากู้จือโม่กลับทำหน้าประหลาดใจแทนและพูดแทนเขาว่า “เฉียวซิงลั่ว เธอไม่ถามพี่โม่เหรอ?”

ฉันยิ้มอย่างสุภาพแล้วพูดว่า “เพื่อนนักเรียนกู้ช่วยฉันมาเยอะแล้ว ต่อไปจะไม่รบกวนเขาอีก”

เด็กผู้ชายคนนั้นอ้าปากค้าง

โอ้โห เริ่มเรียกเพื่อนนักเรียนกู้แล้วสินะ

บรรยากาศกดดันขึ้นมาทันที อุณหภูมิรอบ ๆ ดูเหมือนจะลดลงไปหลายองศา

ฉันเร่งเจี่ยงหมิงอัน “เร็ว ๆ สิ อธิบายจบจะเลี้ยงไอศกรีมนะ”

เจี่ยงหมิงอันหยิบกระดาษข้อสอบขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา

ปัง! กู้จือโม่เม้มริมฝีปากแน่น ขว้างปากกาลงบนโต๊ะ แล้วลุกออกจากห้องเรียนไปทันที

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status