แชร์

บทที่ 7

ผู้เขียน: ลูกพีชแสนสวย
เสียงของลั่วอี้ฝานดังขึ้นอย่างร่าเริงและเย้าแหย่ ฉันไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะหันกลับไป

ฉันไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับกู้จือโม่ และยิ่งไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลย

เขาเดินมาข้าง ๆ ฉัน กอดอกมองฉันอย่างไม่ปิดบัง ลูบคางแล้วพูดต่อ “เธอแตกต่างจากข่าวลือมากนะ ทุกคนบอกว่าเธอตามจีบกู้จือโม่ชนิดไม่ยอมปล่อย ทำไมเมื่อกี้ดูเหมือนรีบตีตัวออกห่างจากเขาล่ะ?”

พูดจบ ลั่วอี้ฝานก็เข้ามาใกล้ฉันทันที ลมหายใจของเขาพ่นลงบนแก้มฉัน “แผนใหม่เหรอ? ใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับรึยังไง?”

ฉันเกลียดการเข้าใกล้ของคนแปลกหน้า จึงพยายามจะหลบตามสัญชาตญาณ แต่ก่อนที่ฉันจะขยับได้ ไหล่ของฉันก็ถูกมือใหญ่อันอบอุ่นจับไว้

มีคนมาดึงฉันจากด้านหลัง ทำให้ฉันล้มเข้าไปในอ้อมกอดที่คุ้นเคย มีกลิ่นหอมของไม้สนซีดาร์

“อยู่ให้ห่างจากเธอซะ!” เสียงของกู้จือโม่เต็มไปด้วยความเย็นชา

ฉันเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว เห็นริมฝีปากบางของเขาที่เม้มเข้าหากัน และความหงุดหงิดแสดงออกผ่านทางดวงตาและคิ้วของเขา

ฉันไม่รู้ว่าเขาหงุดหงิดอะไร

แต่การที่เขาโอบกอดฉันไว้แนบชิดแบบนี้ ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว

“ปล่อยฉันนะ” ฉันดิ้นหลุดจากอ้อมกอดของเขา ถอยหลังไปสองก้าวเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างเรา

ดูเหมือนกู้จือโม่จะไม่คิดว่าฉันจะถอยหลัง เขาจ้องมองฉันสองสามวินาที กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เฉินเยวี่ยก็เดินเข้ามาดึงแขนเขาไว้ “อาโม่ ทำไมนายซื้อน้ำนานจัง”

หลังจากพูดจบ เฉินเยวี่ยก็ทำเหมือนเพิ่งเห็นฉัน “อ้าว ซิงลั่ว เธอก็อยู่นี่ด้วยเหรอ?”

ฉันมองเธอแล้วตอบ “อืม”

“เธอแอบตามอาโม่มาเหรอ?” เฉินเยวี่ยมองไปมาระหว่างฉันกับกู้จือโม่ แล้วเอื้อมมือไปดึงแขนกู้จือโม่ พูดด้วยเสียงสดใสและน่ารัก “อาโม่ ดึกแล้ว อย่าไปถือสาเรื่องที่ซิงลั่วตามนายมาเลย เธอเป็นผู้หญิงอยู่คนเดียวมันจะอันตรายนะ”

คำพูดของเฉินเยวี่ยดูเสแสร้ง ฉันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วลั่วอี้ฝานก็ทำหน้าเย็นชาพูดขึ้นว่า “คุณหนู คุณรู้ไหมว่าการใส่ร้ายคนอื่นต้องรับผิดชอบทางกฎหมายนะ?”

ปกติแล้ว ลั่วอี้ฝานดูเป็นคนอ่อนโยนและมีน้ำใจ แต่จริง ๆ แล้วเขาเย็นชาและไร้หัวใจ เมื่อเขาถอดหน้ากากที่แสร้งแกล้งทำเป็นคนดีออกไปแล้ว เขากลับดูน่ากลัวและโหดเหี้ยม

เหมือนเสือชีตาห์ในทุ่งหญ้า ที่เมื่อครู่นี้ยังนอนอาบแดดอย่างเกียจคร้าน แต่พริบตาเดียวก็อ้าปากงับคอเหยื่อได้แล้ว

เฉินเยวี่ยตกใจกลัว จึงซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของกู้จือโม่ พร้อมกับพูดทั้งน้ำตาว่า “อาโม่ ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร”

กู้จือโม่ไม่ได้ผลักเฉินเยวี่ยออก แต่กลับโอบกอดเธอไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขากำลังปกป้องเธอ

เขามองมาที่ฉัน ดวงตาของเขาเย็นชากว่าเมื่อครู่นี้เสียอีก “ขอโทษ”

แม้จะเห็นความลำเอียงของกู้จือโม่มาหลายครั้งแล้ว แต่เมื่อเห็นอีกครั้ง ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี

เขารู้อยู่เต็มอกว่าที่ฉันมาที่นี่เพราะงานเลี้ยงในคืนนี้

เขารู้ทุกอย่าง แต่ก็ยังปล่อยให้เฉินเยวี่ยพูดจาเหลวไหลไปเรื่อย

ฉันไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทะเลาะวิวาทที่ไร้เหตุผลนี้ และไม่อยากตกเป็นเหยื่อของการต่อสู้ของพวกเขา แต่บางครั้งฉันก็ไม่มีทางเลือก

“ทำไมต้องขอโทษ หรือใครควรจะขอโทษใครกัน?”

ฉันมองกู้จือโม่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่หลบสายตา จ้องมองเขาอย่างท้าทาย

สีหน้าของกู้จือโม่เคร่งขรึม บรรยากาศโดยรอบราวกับหยุดนิ่งในชั่วพริบตา

ฉันยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป

คนที่ลำเอียง ยังไงก็จะลำเอียงตลอดไป

ฉันเพิ่งเดินมาถึงริมถนน ข้อมือก็ถูกกู้จือโม่คว้าเอาไว้

กู้จือโม่มองมาที่ฉัน น้ำเสียงเย็นชา “เฉียวซิงลั่ว ฉันอนุญาตให้เธอไปแล้วหรือไง?”

ฉันถูกเขาทำให้โกรธจนหัวเราะออกมา “ทำไมต้องรอให้นายอนุญาตด้วย? กู้จือโม่ นายคิดว่านายเป็นใคร?”

‘กู้จือโม่ ฉันจะไม่เชื่อฟังคำพูดของนายอีกต่อไปแล้ว และไม่คิดที่จะเชื่อฟังอีกต่อไปแล้วด้วย’

“เฉียวซิงลั่ว!” กู้จือโม่ออกแรงบีบมือฉันแน่นขึ้น แรงขนาดเหมือนจะบีบให้มือฉันหัก “เธอลองพูดประโยคเมื่อกี้อีกรอบสิ”

“กู้จือโม่ นายทำเธอเจ็บแล้ว”

ลั่วอี้ฝานวิ่งเข้ามาช่วยดึงมือฉันออกจากมือของกู้จือโม่ แล้วดึงฉันไปหลบหลังเขา ทั้งร่างของเขาบังฉันเอาไว้

“ไสหัวไป!” กู้จือโม่ตะโกนพร้อมกับกระชากคอเสื้อของลั่วอี้ฝาน

“นายมีสิทธิ์อะไรมาไล่ฉัน?” ลั่วอี้ฝานจับมือที่กู้จือโม่กระชากคอเสื้อเขาไว้แน่น ยิ้มเยาะหยัน “ไม่งั้นนายก็ลองถามซิงลั่วดูสิ ว่าเธออยากให้นายหรือฉันไสหัวไป”

สายตาของกู้จือโม่จ้องมองมาที่ฉันทันที ฉันเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับแววตาที่ดูราวกับพายุจะถล่มของเขา

ฉันขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว กำลังจะบอกพวกเขาว่าฉันจะไปเอง จู่ ๆ เฉินเยวี่ยก็พุ่งเข้ามาดึงมือลั่วอี้ฝานเอาไว้ “ปล่อยอาโม่เดี๋ยวนี้นะ ปล่อยเขา!”

พูดจบ ก็จ้องมาที่ฉันด้วยความโกรธอีกครั้ง “เฉียวซิงลั่ว เธอพูดสิ! เธออยากเห็นพวกเขาสองคนทะเลาะกันหรือไง?”

“มันเกี่ยวอะไรกับฉัน?” ฉันมองไปที่ข้อมือที่ถูกบีบจนแดง ความอดทนก็ถึงขีดสุด “คืนนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับใครเลย พวกนายมีเรื่องอะไรก็ไปจัดการกันเอง อย่ามาทำให้ฉันเสียเวลา”

พูดจบ ฉันก็ไม่สนใจพวกเขาอีก ยกมือเรียกรถแท็กซี่แล้วจากไป

……

หลังจากขึ้นรถ ฉันก็เอนตัวพิงหน้าต่างมองทิวทัศน์ข้างถนนที่ค่อย ๆ ถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ

ไม่รู้ทำไม ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าไปหมดทั้งตัว

เมื่อได้รับชีวิตใหม่อีกครั้ง ฉันก็ไม่มีความยึดติดมากมายเหมือนเมื่อก่อน สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือการตัดขาดจากคนที่ทำร้ายฉันในชาติที่แล้ว และใช้ชีวิตในแบบของตัวเองอย่างมีความสุข

แต่ความจริงกลับทำให้ฉันต้องเกี่ยวข้องกับกู้จือโม่ เฉินเยวี่ย รวมถึงลั่วอี้ฝานที่ในชาติที่แล้วฉันจะได้รู้จักในอีกสองปีให้หลัง

ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมา กลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถหลุดพ้นจากโชคชะตาของชาติที่แล้ว

ตอนที่เฉิงเฉิงมารับฉัน สภาพของฉันก็ดูแย่มากแล้ว

เฉิงเฉิงใส่ใจมาก พอเห็นว่าสีหน้าฉันไม่ค่อยดี เธอไม่ถามอะไรเลย บอกเพียงให้ฉันพักผ่อนให้เต็มที่

ฉันกล่าวขอบคุณเธอ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วบังคับตัวเองให้นอนหลับไป

ไม่ว่าโชคชะตาจะลิขิตอย่างไร ฉันก็จะเผชิญหน้ากับมัน ไม่ยอมให้ความกลัวทำให้ฉันพ่ายแพ้ก่อนที่มันจะมาถึง

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความรู้สึกหดหู่ในใจก็ลดลงไปมาก

อีกห้าวันก็จะถึงวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ตอนนี้ฉันต้องทุ่มเททุกอย่างให้กับการสอบ

ชีวิตที่แล้ว ฉันไม่ได้เรียนสาขาออกแบบเครื่องแต่งกายอย่างที่ตัวเองชอบ ไม่ได้เป็นดีไซเนอร์ ชาตินี้ฉันต้องทำให้ได้

วันรุ่งขึ้น

ขณะที่ฉันและเฉิงเฉิงกำลังจมอยู่กับกองข้อสอบ โทรศัพท์ของเฉิงเฉิงก็สั่นขึ้นมา

เฉิงเฉิงหยิบโทรศัพท์มือถือไปรับสาย ฉันได้ยินเธอตอบรับอืมอืมสองครั้ง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก หันกลับไปหาเฉลยโจทย์คณิตศาสตร์ในสมุดทบทวน

ฉันยังไม่ทันหาเจอ เฉิงเฉิงก็เดินถือโทรศัพท์มือถือมาหา

เธอนั่งลงเม้มริมฝีปาก ผ่านไปหลายนาทีก็ยังไม่เขียนอะไรลงไปแม้แต่ตัวเดียว

เธอมีเรื่องไม่สบายใจ

ฉันวางข้อสอบในมือลง ยกมือขึ้นรวบผมที่รุงรัง พร้อมกับถามเธอว่า “ใครโทรมา ทำไมรับสายเสร็จแล้วดูเหม่อลอย?”

เฉิงเฉิงวางปากกาลง หันกลับมามองฉันเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ลังเล

ฉันอดขำไม่ได้ เลยเอื้อมมือไปบีบแก้มยุ้ย ๆ ของเธอเบา ๆ แล้วพูดว่า “ว่ามาเลย อย่าทำหน้าเหมือนลูกหมาถูกทิ้งแบบนั้นสิ”

“เธอให้ฉันพูดจริง ๆ นะ?” เฉิงเฉิงมองสีหน้าฉันอย่างระมัดระวัง

ฉันพยักหน้า เธอสูดหายใจลึกเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า แล้วพูดว่า “กู้จือโม่โทรมาหาฉัน บอกว่าเขารออยู่หน้าบ้านเราน่ะ”

บทที่เกี่ยวข้อง

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 8

    กู้จือโม่มาหาฉัน? ยังหาบ้านของเฉิงเฉิงเจอด้วยเหรอ?ฉันรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง เขารังเกียจฉันขนาดนั้น จะมาหาฉันทำไม?เมื่อคืนฉันไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียว ไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน พ่อของฉันยังไม่คิดจะมาตามหาฉันเลยเขาคงมาหาฉันเพื่อให้ไปขอโทษเฉินเยวี่ยล่ะสิพอนึกถึงท่าทางที่เขาให้ฉันไปขอโทษเฉินเยวี่ยเมื่อคืน ฉันก็ยิ้มออกมา หยิบปากกาและข้อสอบขึ้นมาใหม่ “เขาอยากเจอฉัน ฉันก็ต้องให้เจอด้วยเหรอ? ถ้าเขาอยากรอ ก็ให้เขารอไปสิ”คะแนนสอบจำลองก่อนปิดเทอมยังต่ำกว่าที่ฉันคาดไว้ตั้งสองคะแนน สองคะแนนในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสามารถแซงคนไปได้ตั้งเท่าไหร่? ทำไมฉันต้องเสียเวลาไปกับคนที่ไม่สำคัญด้วย?ฉันตั้งใจทำข้อสอบ แต่กลับเป็นเฉิงเฉิงที่นั่งไม่ติดแทนเธอแอบมองฉันบ้าง ลุกขึ้นดื่มน้ำหรือไปเข้าห้องน้ำบ้าง โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นไม่หยุด เฉิงเฉิงปิดเสียงอีกครั้ง แต่ในที่สุดก็ทนไม่ไหว หยิบปากกาและกระดาษข้อสอบของฉันไป “ที่รัก เธอไม่ต้องเขียนแล้ว บอกฉันทีว่าเธอคิดยังไงกันแน่?”หลังจากจ้องมองกระดาษข้อสอบมาหลายชั่วโมง ดวงตาของฉันก็รู้สึกแสบและล้า เฉิงเฉิงหยิบปากกาและกระดาษข้อสอบไป ฉันจึงได้พักสายตา “คิดย

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 9

    ฉันจับจ้องสีหน้าของกู้จือโม่ มองดูความรังเกียจที่ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วบนใบหน้าของเขาหลังจากที่ฉันพูดจบ เหมือนกับทุกครั้งเห็นไหม นี่แหละผู้ชายจริง ๆ ก็ไม่แปลกหรอก คนที่รักนายมาเนิ่นนาน ตื๊อนายชนิดแทบจะไม่เหลือศักดิ์ศรี แล้วจู่ ๆ มาบอกว่าไม่ได้รักนายแล้ว ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงไม่เชื่อเหมือนกันเพราะแบบนี้ เขาถึงได้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของฉันไม่ได้ แล้วก็แสดงความรังเกียจออกมาตอนที่ฉันเพิ่งถามเขาว่า “นายเป็นใครสำหรับฉัน”ทั้งที่มันเป็นแค่การลองใจเล็กน้อยเท่านั้นฉันยิ้มออกมาเบา ๆ พลางถอยหลังไปสองก้าว “เห็นไหม นายตอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”“ที่ฉันบอกว่าฉันไม่ชอบนายแล้ว มันเป็นเรื่องจริง ทุกสิ่งที่ฉันทำช่วงนี้ไม่ใช่เพราะฉันเล่นตัว”“กู้จือโม่” ฉันเรียกชื่อเขาอย่างจริงจัง “เชื่อฉันเถอะ ฉันจะไม่ตามตื๊อนายอีกแล้ว”“อีกแค่ห้าวัน อีกแค่ห้าวันเราก็จะจบการศึกษาแล้ว หลังจากจบการศึกษา เราจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป”“เมืองนี้มันเล็กมาก เล็กจนถ้าเราตั้งใจหลีกเลี่ยงกัน เราก็จะไม่เจอกันอีกได้จริง ๆ”พูดจบ ฉันก็ไม่ได้มองเขาอีก และหันหลังกลับ“เธอไม่ชอบฉันแล้ว งั้นเธอชอบใครล่ะ?”ฉันเด

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 10

    “ซวยจริง ๆ” เฉิงเฉิงแสดงความไม่พอใจเฉินเยวี่ยทันทีที่เห็นเธอ หันมาดึงฉันออกไปทันที “ลั่วลั่ว ที่นี่แมลงวันเยอะเกินไป เราไปร้านอื่นกันเถอะ”ฉันมองเฉินเยวี่ยแวบหนึ่ง ด้วยความที่ฉันรู้จักเธอดี เธอต้องหาเรื่องอะไรแน่ ๆส่วนฉันเองก็เฉย ๆ ไม่อยากเสียเวลาหรือแรงกายแรงใจไปกับพวกเธอฉันพยักหน้าให้เฉิงเฉิง “ได้ ไปกันเถอะ”ฉันกับเฉิงเฉิงเดินออกไป ลูกน้องของเฉินเยวี่ยมองเธอแวบหนึ่ง แล้วพูดจิกกัดขึ้นมา “เสแสร้งไปทำไมกัน ใคร ๆ ก็รู้ว่าใกล้จะล้มละลายแล้วยังทำท่าหยิ่งยโสอีก”เฉินเยวี่ยแกล้งห้ามลูกน้อง “อย่าพูดเลย”“เธอว่าใคร?” เฉิงเฉิงหันกลับอย่างรวดเร็ว เดินตรงไปยังลูกน้องคนนั้นด้วยท่าทีดุดัน เธอผลักเฉินเยวี่ยจนเซไปชนราวแขวนเสื้อ “โอ๊ย!” เฉินเยวี่ยกรีดร้องขึ้นมาลูกน้องอีกคนของเฉินเยวี่ยรีบเข้าไปประคองเธอ “เยวี่ยเยวี่ย เธอไม่เป็นไรใช่ไหม? เฉิงเฉิง ทำไมเธอถึงทำร้ายคนอื่นแบบนี้?”“แล้วทำไมฉันจะทำร้ายพวกเธอไม่ได้? ปากดีนัก ระวังจะโดนฉันซ้อมจนหน้าบวมเหมือนหัวหมู!” เฉิงเฉิงเคลื่อนไหวเร็วมาก ฉันยังไม่ทันตั้งตัว เธอก็พุ่งไปหาอีกฝ่ายแล้ว ยกมือขึ้นเตรียมจะตบไม่ต้องพูดถึงเรื่องจำนวนคน ฉันกับเฉิงเฉิงแ

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 11

    เหลือแค่เราสองคนแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกันหลังจากที่ฉันกับกู้จือโม่ทะเลาะกันในวันนั้น หลังจากวันนั้นฉันคิดว่าเราสองคนคงจะไม่ได้เจอกันอีกนาน แต่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งฉัน เราไม่เพียงแต่เจอกันเร็วเท่านั้น แต่ยังเจอกันในสถานการณ์แบบนี้อีกฉันมองกู้จือโม่ที่กำลังทำหน้าบึ้งตึง เขาเดินเข้ามาหาฉันทีละก้าว ทำให้ฉันอยากจะถอยหลังออกมาอย่างเงียบ ๆ แต่ก่อนที่ฉันจะทันได้ถอย เขาก็คว้าข้อมือฉันไว้แล้วเหวี่ยงฉันไปชนเข้ากับเคาน์เตอร์คิดเงินจากนั้น เขาก็ขวางหน้าฉัน มือข้างหนึ่งกดลงข้างแขนของฉัน โน้มตัวเล็กน้อยแล้วมองมาที่ฉัน “เธอจับคู่ฉันกับเฉินเยวี่ย แล้วเธอล่ะจับคู่ตัวเองกับใคร?”“ลั่วอี้ฝาน? หรือตระกูลเศรษฐีอื่นในเมืองอวิ๋นเฉิง?”ในปากของกู้จือโม่ ฉันเป็นราวกับสินค้าที่มีป้ายราคาติดอยู่แม้ว่าเขาจะเคยพูดมาแล้วครั้งหนึ่ง และฉันก็รู้ว่าในใจของเขา ฉันเป็นคนที่เจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่ฉันก็ยังรู้สึกโกรธที่ถูกดูแคลนแบบนี้ฉันจ้องมองเขา แล้วยิ้มออกมา จงใจยั่วโมโหเขา “นายคิดว่าฉันจะเลือกใครล่ะ?”“เฉียวซิงลั่ว!”กู้จือโม่แทบจะกัดฟันเรียกชื่อฉันฉันยกมือขึ้นแตะใบหน้าเขาอย่างช้า ๆ พอเกือบจะแต

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 12

    ตอนที่ฉันเพิ่งคำนวณเงินเก็บของตัวเองกับของฟุ่มเฟือยบางอย่างที่ไม่ได้ใช้เสร็จ คนรับใช้ก็มาเรียกฉันให้ลงไปกินข้าวฉันตอบรับ วางของลง แล้วลุกออกไปฉันคิดว่าฉันอยู่ข้างบนนานขนาดนั้น ลั่วอี้ฝานคงจะกลับไปแล้ว แต่พอเดินไปถึงห้องอาหาร เขากลับนั่งหัวโต๊ะเหมือนเจ้าภาพและเฉียวเจี้ยนกั๋วนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาฉันแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ปกติเฉียวเจี้ยนกั๋วชอบทำตัวเคารพผู้ใหญ่มากเวลาอยู่ต่อหน้าฉันกับเฉียวซิงอวี่เฉียวเจี้ยนกั๋วลงมา รีบเรียกฉัน “ลั่วลั่วรีบมาร็ว ลูกมาคุยกับคุณชายลั่วหน่อย พ่อแก่แล้ว หนุ่มสาวอย่างพวกลูกคงไม่สนใจเรื่องที่พ่อพูดหรอก”ฉันจับราวบันไดไว้ มือถือโทรศัพท์ขึ้นมาส่ายไปมาตรงหน้าเฉียวเจี้ยนกั๋ว บอกตัวเลขเขาไปแบบไม่มีเสียงวินาทีต่อมาโทรศัพท์ของฉันก็มีเสียงแจ้งเตือนว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีแล้วฉันเดินไปหาพวกเขาอย่างช้า ๆ เปิดโทรศัพท์ดูจำนวนเงินสองแสนห้าหมื่นบาทฉันเบ้ปากเล็กน้อย กอดอก แล้วหยุดฝีเท้าลง “คุณเฉียว ค่าปิดปากที่คุณให้นี่มันน้อยไปหน่อยนะคะ”“หรือว่า…” ฉันพูดพลางมองไปที่ลั่วอี้ฝานอย่างมีเลศนัยลั่วอี้ฝานฉลาดมาก เขามองสบตากับฉันแวบหนึ่ง ดูเหมือนจะเข้าใจปริศนาที่ฉันกับ

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 13

    อาจเป็นเพราะการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจบลง ความตึงเครียดในสมองจึงหายไปคืนนั้น ฉันก็เป็นไข้สูงทันทีจนกระทั่งคืนก่อนวันรับใบแจ้งผลสอบ ฉันก็เกือบจะหายดีแล้วในคืนที่ผลสอบออก ฉันก็ตรวจคะแนนทางออนไลน์คะแนนเต็มเจ็ดร้อยห้าสิบ ฉันได้เจ็ดร้อยสิบสามจุดห้าสูงกว่าคะแนนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งกำหนดไปกว่าสามสิบคะแนนฉันพอใจกับผลลัพธ์นี้มากหลังถูกหลอกหลอนด้วยฝันร้ายมาหลายคืน ในที่สุดก็ถูกความฝันอันแสนหวานกลบทับเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นแต่เช้าเพื่อเก็บของไปโรงเรียนหลังจากเฉิงเฉิงสอบเสร็จ พ่อแม่ก็พาเธอไปเที่ยวต่างประเทศผ่านไปกว่าสิบวัน เราสองคนถึงได้เจอกันที่หน้าโรงเรียนผมยาวของเฉิงเฉิงถูกตัดสั้นและย้อมเป็นสีน้ำตาลแดง เพราะเรียนจบแล้ว เธอจึงสวมชุดนักเรียนมัธยมปลายที่ไม่เป็นทางการ ทำให้เธอดูเหมือนสาวน้อยในการ์ตูนญี่ปุ่นที่ก้าวเข้ามาในโลกแห่งความเป็นจริงเฉิงเฉิงดีใจมากที่เจอฉัน เธอวิ่งมาหาฉันแล้วกอดฉันทันที“ลั่วลั่ว ฉันคิดถึงเธอมากเลย ฉันซื้อของขวัญให้เธอเยอะแยะมากมายจากไมอามี เดี๋ยวไปเอาใบแจ้งผลสอบแล้วไปเอาที่บ้านฉันดีไหม”เมื่อฉันถูกเธอกอด ใบหน้าของฉันเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “ได้สิ”

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 14

    เมื่อครึ่งปีก่อน มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในโรงเรียนนี้ถูกเด็กผู้ชายกุเรื่องใส่ร้าย เพียงเพราะเธอปฏิเสธคำสารภาพรักของเขา ทุกคนในโรงเรียนต่างพากันนินทาเธอ จนสุดท้ายเธอถึงกับคิดสั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนขนาดนี้ยังไม่ทันจางหายไปจากความทรงจำ แต่หลายคนก็เลือกที่จะลืมมันไปแล้ว“มันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย?” เฉิงเฉิงจ้องเฉินเยวี่ย “อยากรู้ไปหมดทุกเรื่อง บ้านเธออยู่หน่วยข่าวกรองหรือยังไง?”เมื่อเฉินเยวี่ยถูกดุ ก็ทำหน้าเสียใจอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เธอดุฉันทำไม?”ฉันหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดที่ดูไม่สำนึกผิดของเฉินเยวี่ย“ก็เพราะเธอพูดโดยไม่รับผิดชอบไง” ฉันเหน็บผมที่ปรกหน้าไปไว้หลังหู แล้วมองเธอ “เธอรู้ไหมว่าการกุเรื่องขึ้นมาลอย ๆ ฉันสามารถฟ้องเธอในข้อหาหมิ่นประมาทได้นะ?”เฉินเยวี่ยจ้องมองฉัน มือที่ห้อยข้างลำตัวกำแน่นฉันไม่ได้มองเธอ จูงมือเฉิงเฉิงกลับไปที่นั่งของเราห่างจากที่นั่งของฉันไปสองแถว กู้จือโม่นั่งอยู่บนโต๊ะ มือล้วงกระเป๋า ขาข้างหนึ่งเหยียบโต๊ะข้าง ๆฉันเดินไปหาเขา เงยหน้ามองเขา อยากให้เขาหลีกทางให้ แต่บังเอิญสบตาเขาเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกผิดของฉันหรือ

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 15

    งานประชุมชั้นเรียนครั้งสุดท้ายจบลงแล้ว ซึ่งก็เป็นสัญญาณว่าการทุ่มเทเรียนหนักมาสามปีก็จบลงเช่นกันตามธรรมเนียมของโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งแห่งอวิ๋นเฉิง คืนนี้จะมีงานเลี้ยงขอบคุณครูผู้สอนงานเลี้ยงระหว่างครูและนักเรียน จะต้องมีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ก่อนจบ ถึงจะเป็นการปิดฉากที่สมบูรณ์แบบหลังจากทานอาหารร่วมกัน ก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าแล้ว แต่ทุกคนยังไม่อยากแยกย้าย มีคนเสนอให้ไปคาราโอเกะกันเนื่องจากทุกคนบรรลุนิติภาวะแล้ว ครูประจำชั้นจึงไม่ได้ห้าม แต่หาข้ออ้างแยกตัวออกไปก่อน ปล่อยเวลาให้พวกเราหนุ่มสาวฉันไม่อยากอยู่ในพื้นที่เดียวกับกู้จือโม่ ไม่อยากต้องคอยระวังกับดักของเฉินเยวี่ย จึงอยากหาข้ออ้างปลีดตัวออกไป แต่เฉิงเฉิงกลับดึงฉันไว้ด้วยความตื่นเต้นไม่ยอมปล่อย“ลั่วลั่ว เราไปดื่มกันหน่อยดีไหม เอาเป็นโมฮีโต้เป็นไง? ฉันยังไม่เคยดื่มเลย อยากลองดูว่ามันจะอร่อยอย่างที่เขาว่ากันไหม” เฉิงเฉิงมองมาที่ฉัน ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มตื่นเต้นฉันรู้ว่าพ่อแม่ของเธอเข้มงวดมาก ตั้งแต่เด็กจนโตเธอไม่เคยแตะต้องแอลกอฮอล์เลยเมื่อคิดว่าเธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว บวกกับที่เธอใช้ดวงตากลมโตสีดำขลับมองมาที่ฉันด้วยควา

บทล่าสุด

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 346

    ในช่วงหลายวันต่อมา ฉันและซูข่ายเหวินให้ความร่วมมือกับการสืบสวนของตำรวจอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งติดตามข่าวจากสื่ออย่างใกล้ชิดไม่นานนัก อาชญากรรมของศาสตราจารย์จางก็ถูกเปิดเผยออกมาทีละเรื่องแต่สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจก็คือ เรื่องนี้กลับถูกกลบด้วยเหตุการณ์อื่นอย่างรวดเร็วและเรื่องนี้ก็ถูกตำรวจจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ฉันไม่คาดคิดเลยว่าคำตอบสุดท้ายจะทำให้ฉันประหลาดใจมาก โดยเฉพาะตอนที่ตำรวจยืนอยู่ตรงหน้าฉันและอธิบายทุกอย่างให้ฟัง“จากการสืบสวนของเรา พบว่าผู้ก่อเหตุเพียงแค่ต้องการปล้นเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาถูกจ้างวานให้ฆ่าแต่อย่างใด”ฉันเบิกตากว้าง แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยินปล้นงั้นเหรอ?เป็นไปได้ยังไง?คนนั้นชัดเจนว่าเล็งเป้าหมายมาที่ฉันโดยตรง แถมยังทิ้งคำพูดที่เกี่ยวข้องกับศาสตราจารย์จางไว้หลังจากก่อเหตุ นี่มันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญได้จริง ๆ เหรอ?“แต่... มีดในมือของเขา วิธีที่เขาโจมตีฉัน รวมถึงคำพูดนั้น...”ฉันพยายามอธิบาย แต่เสียงของฉันกลับอ่อนลงเรื่อย ๆซูข่ายเหวินจับมือฉันไว้ เป็นสัญญาณให้ฉันสงบสติอารมณ์ลงเขาหันไปมองตำรวจ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยและความไม่เข้าใจตำรวจดู

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 345

    ฉันตกใจอย่างมาก คาดไม่ถึงเลยว่าคนคนนี้จะลงมือทำร้ายฉันจริง ๆฉันรีบปรับสภาพจิตใจของตัวเองอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีที่อาจตามมาคนขี่มอเตอร์ไซค์ดูเหมือนไม่คิดจะให้ฉันมีโอกาสได้พักหายใจเลย เขาเงื้อไม้เบสบอลขึ้นอีกครั้งแล้วฟาดมาทางฉันอย่างรุนแรง!ฉันหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว พลางมองหาจังหวะที่จะตอบโต้กลับไปหลังจากปะทะกันไปหลายครั้ง ฉันสังเกตได้ว่าคนคนนี้มีฝีมือพอตัว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอย่างเป็นทางการฉันรู้สึกยินดีอยู่ลึก ๆ ในใจ เพราะเห็นโอกาสเล็กน้อยที่จะเอาชนะเขาได้ฉันเริ่มเป็นฝ่ายโจมตีก่อน พยายามทำลายจังหวะของเขาเพื่อให้เขาเสียสมดุลและเปิดช่องโหว่หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดอยู่พักหนึ่ง ฉันก็พบช่องโหว่และซัดหมัดตรงเข้าที่ท้องของเขาเต็มแรง!เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้นฉันถือโอกาสพุ่งเข้าไป หวังจะควบคุมตัวเขาให้สิ้นฤทธิ์แต่ในขณะนั้นเอง เขากลับควักมีดออกมาจากกระเป๋าแล้วพุ่งแทงมาทางฉัน!ฉันตกใจสุดขีด รีบถอยหลังออกไปทันทีแต่ฉันก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ไม่มีแรงมากนัก จะรับมือกับชายที่ดุดันเช่นนี้ได้อย่างไร?มีดสั้นพุ่งตรงมาทางฉัน ก่

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 344

    “บางทีคุณอาจพูดถูก หากไม่มีการสนับสนุนจากคุณ ฉันอาจต้องเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายมากขึ้น แต่ฉันก็เชื่อว่า ตราบใดที่ฉันพยายามมากพอและยืนหยัดอย่างมั่นคง สักวันหนึ่งฉันจะทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริงได้ และฉันก็เชื่อว่า บนโลกนี้ยังมีอีกหลายคนที่มีความฝันและพรสวรรค์เหมือนฉัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคุณ แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จในวงการนี้ได้!”เขาชัดเจนว่าโกรธจัดเพราะคำพูดของฉัน ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธขณะที่จ้องมองฉันอย่างดุดัน“เธอคิดว่าพูดแบบนี้แล้วจะเปลี่ยนอะไรได้งั้นเหรอ? ฉันจะบอกให้รู้ไว้เลยนะว่าเธอคิดผิด! เธอจะต้องเสียใจในทุกสิ่งที่เธอทำในวันนี้แน่นอน!”ฉันยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน“บางทีฉันอาจจะเสียใจ แต่ฉันจะไม่มีวันเสียใจในสิ่งที่ฉันเลือก เพราะฉันรู้ดีว่า มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่ทำให้ฉันเป็นตัวของตัวเอง และทำให้ฉันสามารถเติมเต็มความฝันของตัวเองได้ และสำหรับคุณ ศาสตราจารย์จาง คุณจะต้องกลายเป็นฝันร้ายของตัวเอง”พูดจบ ฉันหันหลังแล้วเดินออกจากห้องไปตอนนั้นเอง ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาซูข่ายเหวิน“หลักฐานทั้งหมดเก็บรวบรวมเรียบร้อยหรือ

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 343

    คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกและเหยียดหยาม ราวกับว่าเขาได้จัดฉันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับเด็กสาวที่ยอมประนีประนอมเพื่อผลประโยชน์ไปแล้วอย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้อ่อนแอและถูกกดขี่ยังไงก็ได้อย่างที่เขาคิด ฉันมีหลักการและขอบเขตของตัวเองฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำให้จิตใจสงบลง จากนั้นก็มองเขาด้วยสายตาที่เยือกเย็น“ศาสตราจารย์จาง บางทีคุณอาจเข้าใจอะไรผิดไป ฉันมาที่นี่เพราะความหลงใหลในงานออกแบบและความกระหายในความรู้ ไม่ใช่เพราะเหตุผลอย่างที่คุณว่า ถ้าคุณคิดว่าการกระทำของคุณจะทำให้ฉันยอมจำนน ฉันคงต้องบอกว่าคุณคิดผิดแล้ว”เขาไม่คาดคิดว่าฉันจะกล้าตอบโต้เขาอย่างตรงไปตรงมา สีหน้าของเขาพลันมืดครึ้มลงทันที ดวงตาเผยให้เห็นแววโกรธเคืองแวบหนึ่งอย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้ถอยหนีเพราะเหตุนี้ ฉันยังคงอธิบายจุดยืนของตัวเองต่อไป“ฉันรู้ว่า ในวงการนี้มีบางคนที่ใช้ตำแหน่งและอำนาจของตัวเองทำเรื่องที่ไม่เหมาะสม แต่ฉันอยากบอกว่าฉันไม่ใช่คนแบบนั้น และฉันก็จะไม่มีวันเป็นแบบนั้น ฉันให้เกียรติตัวเอง ทั้งยังให้เกียรติผู้อื่น ฉันหวังว่าคุณจะเคารพการตัดสินใจของฉันด้วย”เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะเยาะออกมาเบา

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 342

    บางทีอาจเป็นเพราะฉันเคยพบเจอผู้คนมามากมาย จึงทำให้ฉันเข้าใจได้ว่าคนประเภทนี้มีความคิดที่รอบคอบเพียงใด และยังทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงเจตนาที่แท้จริงของพวกเขาด้วยนี่คิดจะใช้วิธีนี้เพื่อล่อให้ฉันตกหลุมพรางงั้นเหรอ? ดูเหมือนจะโง่ไปหน่อยนะ แต่ฉันจะไม่รีบร้อนหรอก ของดีมักจะมาในตอนท้าย และฉันมั่นใจว่าจะสามารถจับจุดอ่อนของเขาได้แน่นอนฉันแสร้งทำเป็นมีท่าทีคาดหวังอย่างตั้งใจ สีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นความหมายที่ยากจะคาดเดา จากนั้นสายตาของเขาก็เริ่มเปล่งประกายร้อนแรงขณะมองมาที่ฉัน แล้วก้าวเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น“ฉันได้พิจารณาแบบร่างของเธออย่างละเอียดแล้ว ก็ต้องบอกตรง ๆ ว่าค่อนข้างธรรมดานะ แต่ที่เธอสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ในครั้งนี้ คงเป็นเพราะโชคช่วยเสียมากกว่า เพราะอันดับของเธอไม่ได้อยู่ในระดับต้น ๆ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ครั้งนี้เธอได้รับโอกาสที่ดีมาก ก็หวังว่าเธอจะสามารถใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์และค้นพบศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่”เมื่อได้ยินคำวิจารณ์ของเขา ฉันแทบกลั้นขำไว้ไม่อยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้จักนิสัยที่แท้จริงของฉันเลย แต่การที่เขาพูดแบบนี้ออกมาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 341

    เมื่อมีความคิดเช่นนี้ ฉันก็รักษาสีหน้าที่อ่อนโยนไว้ทันที เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งรถจอดลงที่นี่ ฉันก็เดินตามผู้ชายคนนั้นขึ้นไปบนชั้นอย่างรวดเร็วขณะอยู่ในลิฟต์ เขาหันกลับมามองฉันแวบหนึ่ง จากนั้นสายตาของเขาก็แฝงไปด้วยอารมณ์ที่ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจและแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก“ศาสตราจารย์จางเป็นอาจารย์ที่ทุกคนยกย่องมาโดยตลอด การที่เธอได้รับโอกาสนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่หายาก แต่มีบางเรื่องที่ฉันต้องอธิบายให้เธอเข้าใจ”ฉันพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมแสร้งทำท่าทางเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้อีกฝ่ายเชื่อจริง ๆ ว่าฉันเป็นคนไร้เดียงสาและใสซื่อ“ต่อจากนี้ ศาสตราจารย์จางอาจจะให้คำแนะนำเธอเกี่ยวกับบางประเด็น และยังเสนอวิธีที่ดียิ่งขึ้นให้กับเธอ เพื่อที่เธอจะสามารถก้าวไปได้ไกลขึ้นบนเส้นทางที่เกี่ยวข้องนี้”ฉันย่อมรู้ดีว่า ‘วิธี’ ที่ว่าก็คือการเรียนการสอนตามเส้นทางที่เป็นทางการเท่านั้น แต่ในตอนนี้ ฉันกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเลย พร้อมกับถามเขาด้วยท่าทีไร้เดียงสา“แล้วทำไมถึงนัดที่นี่ล่ะคะ? นัดในห้องเรียนไม่ได้เหรอ?”ฉันแสร้งทำเป็นรู้

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 340

    หลังจากวางสาย ฉันรีบแจ้งเรื่องนี้ให้ซูข่ายเหวินรู้เป็นอันดับแรก แต่เขากลับไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจอย่างที่ฉันคาดไว้เลย ตรงกันข้าม เขากลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า“ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ฉันคาดไว้ ถ้าอย่างนั้น ต่อจากนี้คงต้องลำบากเธอหน่อย การต้องอยู่กับคนเลวแบบนี้คงเป็นเรื่องที่เหนื่อยแน่ ๆ เธอต้องทำให้เขาตายใจและลดความระมัดระวังลงให้ได้”ฉันพยักหน้าตอบรับ แน่นอนว่าฉันรู้ดีว่าสิ่งนี้อันตรายแค่ไหน และก็รู้เช่นกันว่าต้องจัดการเรื่องนี้อย่างรอบคอบให้ดีที่สุด“อุปกรณ์ที่ฉันให้เธอ อย่าลืมใช้ล่ะ เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดแน่ ๆ แต่มั่นใจได้เลยว่าอุปกรณ์ที่ฉันให้ จะสามารถบันทึกหลักฐานความผิดของเขาได้ทั้งหมด”ฉันพยักหน้า เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ซูข่ายเหวินให้ฉันนั้นต้องมีประโยชน์อย่างมาก ดังนั้นฉันจะไม่ยอมให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นอย่างแน่นอนด้วยแผนการที่รอบคอบของเราทั้งสองคน เชื่อว่าเรื่องนี้จะต้องถูกเปิดโปงอย่างแน่นอน และเมื่อนั้นก็จะไม่มีใครสามารถคุกคามสาว ๆ ที่ไร้เดียงสาเหล่านี้ได้อีกต่อไปเมื่อลมเย็นพัดผ่านตัวฉันในค่ำคืนนี้ ฉันก็รู้ได้ทันทีว่าเวลานัดห

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 339

    ดังนั้นข่าวลือทั้งหมดต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ และความจริงก็เป็นไปตามที่คนกลุ่มนั้นคาดการณ์ไว้ประมาณสามวันต่อมา ฉันได้รับอีเมลฉบับหนึ่ง แต่ฉันไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ไม่นานหลังจากนั้นฉันก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง โดยอ้างว่าเป็นอาจารย์จางซึ่งเป็นกรรมการของการคัดเลือกครั้งนี้ และมีรายละเอียดสำคัญเพิ่มเติมที่ต้องการพูดคุยกับฉัน สิ่งนี้ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากก็แค่การแข่งขัน ทำไมถึงจะมีรายละเอียดอะไรที่ต้องการพูดคุยกับฉันได้ล่ะ? เว้นเสียแต่ว่าเขาต้องการพบฉันจริง ๆแต่ฉันยังคงไม่มั่นใจนัก จึงอยากลองทดสอบความจริงของเรื่องนี้ดู เลยถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง“ช่วงนี้ฉันยุ่งกับการเรียนมาก ไม่ทราบว่ารายละเอียดเหล่านี้สามารถพูดคุยทางโทรศัพท์ได้หรือไม่? หรือจะนัดเวลาที่สะดวก แล้วฉันโทรวิดีโอหาอาจารย์จาง แบบนี้พอได้ไหมคะ?” ฉันแกล้งทำเป็นยุ่งมากเพื่อพยายามทำให้ฝ่ายตรงข้ามสับสน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจมากนัก แล้วก็ตอบฉันอย่างมั่นใจทันที“ผู้เข้าแข่งขันท่านนี้ หวังว่าเธอจะสามารถยืนยันสถานะของตัวเองได้ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีให้ทุกคน อาจารย์จางต้องการพูดคุยรายละเอียดกับเธอเป็นการส่วนตัว

  • หวนรักหนีลิขิต   บทที่ 338

    “ฉันอายุเท่ากับเธอจริง ๆ นั่นแหละ แต่สิ่งที่ฉันเคยผ่านมานั้น อาจเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน และเหตุผลที่ฉันเลือกทำตัวให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหน่อย ก็เพราะฉันชอบวิธีการใช้ชีวิตแบบนี้”ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะถามอะไร เขาก็ตอบได้เสมอ ความรู้สึกที่เขามอบให้ฉันคือความเป็นธรรมชาติและสบายใจ ราวกับว่าเขาใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ในตัวของเขา ฉันเห็นเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครเสน่ห์ที่เขามีนั้นเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อน นั่นจึงทำให้เขาสามารถดึงดูดฉันได้อย่างลึกซึ้งภายในระยะเวลาอันสั้น และทำให้ฉันไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้เลย ฉันทำได้เพียงเฝ้ามองใบหน้าของเขาอย่างเงียบ ๆ แล้วใช้ช่วงเวลานี้ค่อย ๆ ปลดปล่อยความกังวลที่อยู่ในใจออกไปทีละนิด“วันนี้การแข่งขันเป็นไปได้ด้วยดีไหม? ฉันคิดว่า ด้วยความสามารถของเธอ น่าจะผ่านเข้ารอบได้ไม่ยาก แต่ถ้าต้องการคว้าอันดับที่ดีกว่านี้ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย”ดูเหมือนเขาไม่ได้มองว่าฉันเก่งขนาดนั้น และฉันเองก็ยอมรับว่าตัวเองยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก แต่คำพูดต่อไปของเขากลับทำให้ฉันรู้สึกตกใจไม่น้อย“การแข่งขันหลายรา

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status