เฉิงเฉิงลุกขึ้นยืนจะไปทะเลาะกับคนอื่น ฉันรีบดึงเธอไว้ทันทีฉันลุกขึ้นแล้วดึงเฉิงเฉิงเดินไป “เล่นสิ จะเล่นยังไงดีล่ะ?”บางทีฉันอาจจะตอบตกลงเร็วเกินไป ทุกคนเลยยังงง ๆ อยู่ฉันเดินไปถามกฎกติกาเกม ไม่มีใครพูดอะไรเลย ฟางฉิงหยางเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว ขยับไปด้านข้าง ให้นั่งข้าง ๆ เขาแล้วอธิบายกติกาให้ฉันฟังกฎกติกาง่ายมาก คือใช้ขวดเบียร์หมุนบนโต๊ะ ปากขวดชี้ไปที่ใคร คนนั้นก็จะถูกถามคำถาม โดยคนถามคำถามก็คือคนที่ถูกถามในรอบที่แล้ว ทุกคนมีอิสระในการเลือกรูปแบบการลงโทษได้ฟางฉิงหยางพูดจบแล้วถามฉันว่า “เข้าใจไหม?”ฉันพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”เกมเพิ่งเริ่ม ทุกคนยังเล่นแบบเกร็ง ๆ อยู่คำถามที่ถามก็จะเป็นประเภท “เธอคิดว่าใครสวยที่สุดในห้อง?” “เธอมีคนที่ชอบไหม?” “เคยแอบชอบใครตอนเด็กไหม?” “เรื่องน่าอายที่สุดที่เคยทำคืออะไร” อะไรทำนองนี้ทุกคนค่อย ๆ เริ่มถามคำถามที่ท้าทายมากขึ้น และบทลงโทษจากเกมก็เริ่มยากขึ้นเช่นกันฉันนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คน มองดูพวกเขาแต่ละคนถูกถามคำถามทีละคน ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินอีกรอบหนึ่ง ปากขวดชี้ไปที่กู้จือโม่เสียงปรบมือดังขึ้นจากฝูงชนอย่างไม่มีเหตุผล พวก
ฉันขมวดคิ้ว จ้องมองขวดที่ชี้มาทางฉันบังเอิญว่าในรอบที่แล้ว กู้จือโม่เป็นคนที่ถูกลงโทษ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเป็นคนถามคำถามฉันฉันไม่อยากคิดในแง่ร้าย แต่ดูจากที่เขาชอบหาเรื่องฉันบ่อย ๆ ในช่วงนี้ ฉันรู้สึกว่าเขาอาจจะทำให้ฉันลำบากใจตอนที่รักเขา แม้จะถูกทำให้ลำบากใจ ก็ยังรู้สึกว่าเป็นความสุข และเป็นการใส่ใจจากเขาแต่หลังจากที่ได้สติแล้ว ก็จะรู้สึกว่าสมองตัวเองคงเต็มไปด้วยขี้เลื่อยแต่ที่น่าแปลกใจคือ เขาถามคำถามธรรมดามาก ๆ เพียงข้อเดียว “คนที่เธอชอบแซ่อะไร?”ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คำถามนี้อาจจะตอบได้อย่างง่ายดายแต่ฉันตอบไม่ได้ แม้ว่าเหตุผลของฉันจะบอกให้ฉันอยู่ห่างจากกู้จือโม่ แต่ความชอบและความรักที่ยาวนานเช่นนั้นจะไม่หายไปในเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือนความเงียบของฉันทำให้กู้จือโม่ขมวดคิ้วเพื่อนร่วมชั้นบางคนพูดว่า “เธอไม่กล้าเล่นหรือไง คำถามแค่นี้ตอบยากขนาดนั้นเลยเหรอ?”“ความกล้าที่จะตามจีบคุณชายกู้หายไปไหนหมดแล้ว? ทำไมตอนนี้ถึงได้เขินอายแบบนี้ล่ะ?”คำพูดของเพื่อนร่วมชั้นทำให้เฉินเยวี่ยที่เดิมทียิ้มแย้มค่อย ๆ เม้มริมฝีปากสายตาของเธอจับจ้องมาที่ฉัน ดูเหมือนจะมีความไม่พอใจและอิจฉ
การทำให้คนอื่นเปียก มีแต่จะถูกรังเกียจเท่านั้นอาเจียนอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเหล้าในกระเพาะอาหารออกมาจนเกือบหมดแล้ว ถึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แต่ร่างกายยังคงมึนงงอย่างหนักฉันไม่อยากกลับไปที่ห้องคาราโอเกะอีกแล้ว ก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความถึงเฉิงเฉิง บอกให้เธอออกมา เราสองคนจะได้กลับบ้านหลังจากออกจากห้องน้ำ ฉันก็ค่อย ๆ เดินไปที่ทางออกของคาราโอเกะอย่างช้า ๆเมื่อใกล้จะถึงประตูหมุน ก็ชนกับใครบางคนโดยไม่ตั้งใจฉันขอโทษโดยไม่รู้ตัว “ขอโทษค่ะ คุณเจ็บหรือเปล่า?”คำตำหนิที่คาดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น ฉันเงยหน้าขึ้นมองเห็นลั่วอี้ฝานกำลังมองมาที่ฉันด้วยสายตาหยอกล้อ “ฉันควรจะเป็นคนถามเธอนะ ที่รักของฉัน เธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”“ก็แหม ซิกแพคของฉันไม่ได้ได้มาง่าย ๆ นะ”คำพูดของลั่วอี้ฝานค่อนข้างไร้สาระ แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างบอกไม่ถูกฉันไม่อยากสนใจเขา “ถ้าคุณชายลั่วไม่เป็นอะไร ฉันขอตัวก่อน”พูดจบฉันก็กำลังจะจากไป“เดี๋ยวก่อนสิ” ลั่วอี้ฝานตามฉันมา แล้วพูดต่อทันที “เธอลองพิจารณาข้อเสนอของฉันอีกทีสิ”ฉันมึนหัวไปหมด จำไม่ได้เลยว่าข้อเสนอที่เขาพูดถึงคืออะไร จึงถามออกไปว่า
ฉันรู้สึกโมโหมาก แต่กู้จือโม่กลับดูเหมือนจะอารมณ์ดีฉันสบถในใจ ‘อารมณ์แปรปรวนขนานหนัก เปลี่ยนสีหน้าเร็วกว่าถอดกางเกงเสียอีก’ฉันผลักเขาอย่างแรง “หมาดีไม่ขวางทางคน หลีกไป”ฉันจากไปด้วยความโกรธ แต่ไม่รู้ว่าการกระทำของฉันและกู้จือโม่ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเฉินเยวี่ยแล้วฉันกลับถึงบ้าน อาบน้ำ แล้วยืนที่หน้ากระจกคนที่อยู่ในกระจกมีริมฝีปากสวย ฟันขาว คิ้วและดวงตางดงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด ทุกส่วนล้วนมีเสน่ห์ที่พอเหมาะพอดีแต่ทว่าบนริมฝีปากกลับมีรอยแดงจาง ๆ แต้มอยู่เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ในตรอกมืดเมื่อครู่ ภาพของเด็กหนุ่มที่ดวงตาเย็นชาจูบฉันอย่างดุดัน ทำให้ฉันรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมดกู้จือโม่ไม่ชอบฉัน ชาติที่แล้วไม่ชอบ ชาตินี้ก็ไม่ชอบเช่นกันแต่ถ้าเขาไม่ชอบ ทำไมถึงยังมาทำให้ฉันหวั่นไหวอีกล่ะ?มือที่ยันอ่างล้างหน้ากำขอบแน่นขึ้นเรื่อย ๆสักพัก ฉันก็ตั้งสติได้ จึงกลับเข้าห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงฤทธิ์แอลกอฮอล์เริ่มทำงาน ถึงเวลาที่ควรจะหลับได้แล้ว แต่ฉันกลับนอนไม่หลับเสียทีฉันพลิกไปพลิกมาบนเตียงจนทนไม่ไหว ก็เลยลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมออกไปนั่งที่ระเบียงรอชมพระอาทิตย์ขึ้นแสงอรุณทะล
ฉันเบ้ปากใส่เขาอย่างไม่พูดอะไร แล้วก็หันหลังเดินออกไปลั่วอี้ฝานเดินตามหลังฉันมา “เธอมาปักกิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงมาดูบ้าน เธอคิดจะซื้อบ้านที่ปักกิ่งเหรอ?”อ๊บอ๊บอ๊บ!กบตัวใหญ่ร้อง!ฉันไม่คิดจะหันกลับไป ลั่วอี้ฝานก็ถามขึ้นมาทันที “เธอมาซื้อบ้านที่ปักกิ่ง ครอบครัวเธอรู้รึเปล่า?”ฉันชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับไปลั่วอี้ฝานยิ้มเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ “ในที่สุด เธอก็หยุดแล้วสินะ”ฉันกำหมัดแน่น ขมวดคิ้วมองเขา “นายหมายความว่ายังไง?”“ไม่มีความหมายอะไร” ลั่วอี้ฝานเดินเข้ามาใกล้ฉัน ยิ้มแล้วพูดว่า “แค่อยากทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีหน่อย ฉันเป็นคนปักกิ่ง ด้วยความสัมพันธ์ของเรา เธอมาที่นี่ ฉันต้องพาเธอไปกิน ไปเที่ยวเล่นหน่อยสิ”“ไม่จำเป็นหรอก”“งั้นตอนเธอซื้อบ้าน ฉันจะหาคนมาช่วยลดราคาให้ไหม? ไม่งั้น…” ลั่วอี้ฝานลูบคาง “ฉันจะบอก...”“หุบปากซะ” ฉันขัดจังหวะเขาก่อนที่เขาจะพูดจบเห็นท่าทางมั่นใจของลั่วอี้ฝานแล้ว ฉันอยากจะต่อยเขาจริง ๆหลายวันต่อมา ลั่วอี้ฝานก็พาฉันเที่ยวปักกิ่งไปต่อคิวซื้อชานมไข่มุกที่ร้านดัง ถ่ายรูปเช็กอินที่แลนด์มาร์คยอดฮิต กินอาหารที่อินฟลูเอนเซอร์แนะนำ ซึ่งไม่อร่อยแม้แต
หลังจากนั้น ลั่วอี้ฝานก็ไม่ได้มาหาฉันอีกเขาไม่มาหาฉันก็ดีแล้ว ฉันให้เฉิงเฉิงเอาเอกสารอะไรสักอย่างของเขาให้ฉันชุดหนึ่ง แล้วก็ไปหานายหน้าอสังหาริมทรัพย์เพื่อจองบ้านหลังนั้นวันนัดจ่ายเงินงวดสุดท้าย ลั่วอี้ฝานปรากฏตัวขึ้นเขายืนรอฉันอยู่ที่ชั้นล่างของโรงแรมฉันเดินเข้าไปหาเขา เขาก็ยังมีท่าทีเจ้าชู้เหมือนเดิม “นี่ กำลังจะไปจ่ายเงินแล้วเหรอ? หน้าตาของฉันใช้ประโยชน์ได้ดีเลยนะ”ลั่วอี้ฝานหน้าตาดี ผิวเขาขาวกว่าผู้หญิงหลายคนเสียอีกฉันมองใบหน้าเขาที่แดงเล็กน้อย แล้วก็นึกถึงผู้หญิงที่อยู่ในสถานพักฟื้นคนนั้นขึ้นมาทันที“ไม่ต้องให้นายช่วยหรอก ฉันจ่ายเองได้”“นี่” ลั่วอี้ฝานจับข้อมือฉันแล้วดันฉันเข้าไปในรถของเขา “มีของถูกไม่เอาก็ถือว่าโง่แล้ว”พูดจบ รถก็เคลื่อนออกไปแล้วฉันถูกบังคับให้นั่งบนรถของเขา รู้สึกพูดไม่ออก แต่ก็คิดว่า ส่วนลดที่เขาเสนอให้ ก็ควรจะรับไว้พอไปถึงสำนักงานขาย ฉันถึงรู้ว่าโครงการนี้เป็นของตระกูลเขาฉันมองเงินที่ประหยัดได้ซึ่งเป็นหนึ่งในสามพันของราคาบ้าน ก็รู้สึกดีใจจนแทบจะหยุดยิ้มไม่ได้ลั่วอี้ฝานนั่งพิงโซฟาบนขาข้างหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เหมือนคุณชาย “ดูเธอสิ ตกหลุมเงิน
ลั่วอี้ฝานหันมามองฉัน ดวงตาเหมือนดอกท้อของเขาดูเต็มไปด้วยความรักฉันขมวดคิ้ว แล้วก้าวไปข้างหน้า “ถ้านายอยากจะบ้า ก็อย่ามาลากฉันเข้าไปเกี่ยวด้วย”“นี่” ลั่วอี้ฝานตามฉันมา “แค่ล้อเล่นเอง ทำไมต้องโกรธด้วย”……ร้านอาหารที่ฉันพาลั่วอี้ฝานไปทาน เป็นร้านที่เฉิงเฉิงแนะนำให้ครอบครัวลุงของเฉิงเฉิงอยู่ในปักกิ่ง เธอใช้ชีวิตที่นี่จนถึงอายุสิบขวบ ถือว่าเป็นคนปักกิ่งครึ่งหนึ่งร้านอาหารนี้เป็นร้านที่เธอแนะนำให้ฉัน ฉันคิดว่าร้านที่เฉิงเฉิงแนะนำต้องดีกว่าร้านดังในอินเทอร์เน็ตที่ลั่วอี้ฝานพาฉันไปแน่นอนเมื่อถึงร้านอาหาร ลั่วอี้ฝานไปจอดรถ ส่วนฉันยืนรออยู่ที่หน้าประตูรออยู่พักใหญ่ ลั่วอี้ฝานก็ยังไม่กลับมาฉันกำลังจะไปดู ก็พบว่า กู้จือโม่และเฉินเยวี่ยก็มาด้วยก่อนที่พวกเขาจะเห็นฉัน ฉันก็รีบหลบไปอีกทางในขณะที่ฉันกำลังดีใจที่ตัวเองเคลื่อนไหวรวดเร็วและไม่หันกลับไปมองพวกเขา กู้จือโม่ก็ปรากฏตัวต่อหน้าฉันเหมือนกับผีฉันตกใจ ร้อง “อ๊ะ” ออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนสะดุดก้อนหินขณะถอยหลัง จนหงายหลังไปทั้งตัวฉันหลับตาลง ความเจ็บปวดที่คาดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น มีแขนมาโอบรอบเอวของฉันเอาไว้ชั่วพริบตา ฉันก็ถูกดึง
จากนั้น พวกเขาก็เข้าไปในห้องพักของโรงแรมด้วยกัน ฉันยืนอยู่ที่เดิมมองดูจนกระทั่งประตูปิดลง ฉันจึงลงไปทานอาหารก่อนลงไปฉันยังหิวมาก อยากกินอะไรหลายอย่าง แต่ตอนนี้มองดูเมนู ฉันกลับไม่มีความอยากอาหารเหลืออยู่เลยพนักงานเสิร์ฟยืนรออยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ บนใบหน้าไม่มีแววเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อยฉันรู้สึกเกรงใจ จึงขอให้เธอแนะนำอาหารชุดของวันนี้ให้ แล้วนั่งนับเมล็ดข้าวไปเรื่อย ๆในหัวคิดถึงภาพที่เห็นพวกเขาเข้าห้องด้วยกันเมื่อครู่นี้ ฉันคิดว่าพวกเขาคงจะไปกันได้สวยมากแล้วแต่ว่า…ในหัวคิดถึงภาพคืนนั้นที่เขาจูบฉันขึ้นมา ทันใดนั้นฉันก็เริ่มคิดว่า ฉันเป็นอะไรกันแน่?ฉันเป็นลูกแมวที่เขาแกล้งเล่นตอนเบื่อ ๆ หรือเป็นแค่ของเล่นที่เขาอยากหยิบมาเล่นเมื่อไหร่ก็ได้?ฉันกำช้อนส้อมในมือแน่นจนเกือบจะหักฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วลุกเดินออกไปเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันไปที่สนามบินก่อนจะทันได้ขึ้นเครื่อง โทรศัพท์ก็ดังขึ้นฉันหยิบโทรศัพท์ออกมา พบว่าเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็รับสายเสียงของลั่วอี้ฝานดังมาจากปลายสาย “ลั่วลั่ว เธอทำแบบนี้ไม่ถูกนะ นัดกินข้าวยังเบี้ยวนัด ตอนนี้ยังเปลี่ยนโร