จากนั้น พวกเขาก็เข้าไปในห้องพักของโรงแรมด้วยกัน ฉันยืนอยู่ที่เดิมมองดูจนกระทั่งประตูปิดลง ฉันจึงลงไปทานอาหารก่อนลงไปฉันยังหิวมาก อยากกินอะไรหลายอย่าง แต่ตอนนี้มองดูเมนู ฉันกลับไม่มีความอยากอาหารเหลืออยู่เลยพนักงานเสิร์ฟยืนรออยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ บนใบหน้าไม่มีแววเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อยฉันรู้สึกเกรงใจ จึงขอให้เธอแนะนำอาหารชุดของวันนี้ให้ แล้วนั่งนับเมล็ดข้าวไปเรื่อย ๆในหัวคิดถึงภาพที่เห็นพวกเขาเข้าห้องด้วยกันเมื่อครู่นี้ ฉันคิดว่าพวกเขาคงจะไปกันได้สวยมากแล้วแต่ว่า…ในหัวคิดถึงภาพคืนนั้นที่เขาจูบฉันขึ้นมา ทันใดนั้นฉันก็เริ่มคิดว่า ฉันเป็นอะไรกันแน่?ฉันเป็นลูกแมวที่เขาแกล้งเล่นตอนเบื่อ ๆ หรือเป็นแค่ของเล่นที่เขาอยากหยิบมาเล่นเมื่อไหร่ก็ได้?ฉันกำช้อนส้อมในมือแน่นจนเกือบจะหักฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วลุกเดินออกไปเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันไปที่สนามบินก่อนจะทันได้ขึ้นเครื่อง โทรศัพท์ก็ดังขึ้นฉันหยิบโทรศัพท์ออกมา พบว่าเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็รับสายเสียงของลั่วอี้ฝานดังมาจากปลายสาย “ลั่วลั่ว เธอทำแบบนี้ไม่ถูกนะ นัดกินข้าวยังเบี้ยวนัด ตอนนี้ยังเปลี่ยนโร
หลังจากพูดจบ ฉันก็ก้าวเดินอีกครั้ง เสียงโกรธเกรี้ยวของเฉียวเจี้ยนกั๋วก็ดังขึ้นมาว่า “หยุดอยู่ตรงนั้น!”“ดูสภาพตัวเองตอนนี้สิ! ออกไปข้างนอกก็ไม่บอกไม่กล่าว กลับมาก็ไม่รู้จักทักทายใคร”“แกยังเห็นพ่อคนนี้อยู่ในสายตาไหม! ยังเห็นป้าของแกอยู่ไหม?!”ฉันมองเฉียวเจี้ยนกั๋วที่ทำหน้าบึ้งอย่างใจเย็น มุมปากยกยิ้มจาง ๆ “หนูจะเห็นคุณพ่ออยู่ในสายตาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณพ่อเห็นหนู ลูกสาวคนนี้อยู่ในสายตาหรือเปล่า”“พ่อ” ฉันพึมพำสองคำนี้ออกมา รู้สึกว่าเฉียวเจี้ยนกั๋วไม่คู่ควรกับคำนี้เลย“หนูนั่งเครื่องบินมาห้าชั่วโมง เหนื่อยแล้ว คุณพ่อ…” ฉันจงใจเน้นเสียงสองคำนี้ “ขอถามว่าตอนนี้หนูขึ้นไปพักผ่อนได้หรือยัง?”คำพูดประชดประชันของฉันทำให้เฉียวเจี้ยนกั๋วโกรธมากยิ่งขึ้น เขาก้าวพรวดเดียวมาหาฉัน ยกมือขึ้นจะตีฉัน หลี่เหม่ยอิงรีบคว้ามือของเขาไว้ทันที “คุณเฉียว คุณกำลังทำอะไร ลูกเหนื่อยก็ให้เธอไปพักผ่อนสิ นี่จะทำอะไรน่ะ?”เธอพูดพลางหันกลับมาพูดกับฉันอย่างอ่อนโยน "ลั่วลั่ว อย่าถือสาพ่อของเธอเลย เธอออกไปข้างนอกตั้งหลายวันแล้ว ไม่โทรกลับบ้านเลย เขาเป็นห่วงเธอน่ะ ไม่มีอะไรแล้ว กลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน เดี๋ยวท
และต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือหลี่เหม่ยอิง และเฉียวเจี้ยนกั๋วตอนนั้นเองที่ฉันถึงได้รู้ว่า ภายใต้ใบหน้าที่อ่อนโยนและมีสติปัญญานั้น ซ่อนความชั่วร้ายไว้มากมายเพียงใดฉันส่ายหัว รอฟังคำพูดต่อไปของเธอ“ก็ดีแล้ว” หลี่เหม่ยอิงจับมือฉัน “พ่อลูกกัน จะมีเรื่องบาดหมางกันข้ามคืนได้ยังไง จริงไหม?”ฉันดึงมือออกจากมือของหลี่เหม่ยอิง “คุณมีอะไรก็พูดมาตรง ๆ เลยเถอะ ไม่ต้องอ้อมค้อมนานขนาดนี้หรอก”หลี่เหม่ยอิงรู้สึกเขินอายกับคำพูดของฉัน บีบมืออย่างไม่สบายใจก่อนจะพูดออกมา “คืออย่างนี้ เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อันดับที่สองของเมืองอวิ๋นเฉิง พ่อของเธอรู้สึกว่าเธอทำให้เขาภูมิใจ เขาเลยอยากจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้เธอ”ฉันหัวเราะเยาะ มันเป็นงานเลี้ยงฉลอง หรือเป็นการเอาฉันออกไปเปรียบเทียบเพื่อดูว่าฉันมีค่าแค่ไหนกันแน่?“ตกลงค่ะ” ฉันพยักหน้าตอบรับ “แต่หนูขอสองล้านห้าแสนบาทนะ ใกล้เปิดเทอมแล้ว หนูอยากซื้อเสื้อผ้ากับอุปกรณ์การเรียนนิดหน่อย ได้ไหม?” พวกเขาอยากจะรีดไถผลประโยชน์จากฉัน ฉันก็ต้องเอาบ้างเมื่อหลี่เหม่ยอิงได้ยินว่าฉันขอตั้งสองล้านห้าแสนบาท เธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็คลายออกอย่างรวดเร็ว “ก็สมควรแล
เพียงเพราะเขาช่วยฉันลุกขึ้นตอนที่ฉันล้มตอนอายุสิบหกปี ให้ปลาสเตอร์ปิดแผลฉัน แล้วถามว่าฉันเจ็บไหมฉันกลืนความรู้สึกเจ็บปวดในลำคอลงไป ข่มความอ่อนแอทั้งหมดเอาไว้มันก็ดีนะ ตอนนี้ก็ดีแล้วฉันไม่คาดหวังอะไรจากพวกเขาอีกแล้ว เมื่อรู้ว่าพวกเขาไม่ได้รักฉัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องรักพวกเขา ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ฉันรู้สึกโล่งใจ……งานเลี้ยงฉลองการศึกษาต่อของฉันถูกกำหนดไว้ในอีกสามวันข้างหน้า ก่อนจะถึงวันนั้นเฉียวเจี้ยนกั๋วและหลี่เหม่ยอิงใช้เงินไปกับฉันเป็นจำนวนมากหลี่เหม่ยอิงนัดช่างดูแลผิวที่ดีที่สุดในเมืองอวิ๋นเฉิงมาให้ฉันทำทรีทเมนท์ผิวติดต่อกันสองวัน แล้วก็พาฉันไปทำผม ทำเล็บ และอื่น ๆ ตั้งใจจะทำให้ทุกส่วนในร่างกายของฉันดูสวยงามคืนก่อนงานเลี้ยง ชุดราตรีที่เฉียวเจี้ยนกั๋วสั่งตัดให้ฉันก็มาส่ง เป็นชุดกระโปรงทรงเจ้าหญิงสีแชมเปญ ตกแต่งชายกระโปรงด้วยเพชรเม็ดเล็ก ๆ ฉันลองใส่แล้ว สวยมากเลยทีเดียว ให้ความรู้สึกทั้งใสซื่อและเซ็กซี่ในเวลาเดียวกันฉันไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่ทุกคนบอกว่าฉันสวย แม้แต่เฉียวเจี้ยนกั๋วยังชมว่า “ลูกสาวฉันเหมือนนางฟ้าลงมาจากสวรรค์” ฉันเงยหน้ามองเขา เห็นว่าเฉียวซิงอวี่กำล
หลี่เหม่ยอิงถีบเฉียวซิงอวี่ด้วยความโกรธที่เธอไม่รู้จักโต “ยังกล้าพูดอีกเหรอ? จำไม่ได้แล้วเหรอว่าคืนนั้นแม่พูดกับลูกว่าอะไร?”“เฉียวซิงลั่วตอนนี้ยังมีประโยชน์ต่อตระกูลเฉียว ตระกูลเฉียวอยากสร้างสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจมากกว่านี้ เฉียวซิงลั่วก็คือกุญแจสำคัญที่จะไขประตูบานนั้น”“แล้วหนูล่ะ?” เฉียวซิงอวี่ร้องไห้อย่างหนัก “หนูก็เป็นลูกสาวตระกูลเฉียว ทำไมทุกเรื่องเราต้องพึ่งเฉียวซิงลั่วด้วย?”หลี่เหม่ยอิงไม่คิดว่าเฉียวซิงอวี่จะมีความคิดแบบนี้ เธอตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหาเฉียวซิงอวี่ จับมือเธอไว้ “ไม่ใช่ว่าเราต้องพึ่งเฉียวซิงลั่วทุกเรื่อง แต่แม่ไม่อยากให้ลูกต้องลำบาก”“ลูกคิดว่าการเกาะผู้มีอำนาจมันง่ายนักเหรอ? ตั้งแต่เด็กแม่ก็ทะนุถนอมลูกเหมือนแก้วตาดวงใจ”“แม่กลัวลูกจะเจ็บจะช้ำ กลัวลูกจะต้องทนเจ็บปวด สิ่งที่แม่ทำให้ลูก แม่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เท่านั้น” หลี่เหม่ยอิงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เฉียวซิงอวี่ แล้วจัดแต่งทรงผมให้เธอ “ตระกูลเฉียวไม่ได้ร่ำรวย ถ้าเฉียวซิงอวี่อยากแต่งงานกับคนรวย จะต้องถูกดูหมิ่นเหยียดหยามในบ้านสามีแน่”“ลูกเข้าใจที่แม่พูดไหม?”เฉียวซิงอวี่พยักหน้าอย่างงุนงง แต่เ
ลั่วอีวฝานมองใบหน้าเย็นชาของฉัน แต่ก็ไม่ได้เปิดโปงเฉียวเจี้ยนกั๋ว “อย่างนั้นเหรอ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับ”พูดจบ ลั่วอี้ฝานก็หยิบกล่องของขวัญออกมาจากด้านหลัง “นี่เป็นของขวัญแสดงความยินดีที่เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้”ฉันมองเขา สุดท้ายก็รับกล่องมา “ขอบคุณ”ทันทีที่ฉันพูดจบ ก็มีคนอีกสองคนเข้ามาทางประตูกู้จือโม่กับเฉินเยวี่ย และยังมีฟางฉิงหยางด้วยฉันมองเฉียวเจี้ยนกั๋วแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเขามีความสามารถมาก ที่สามารถเชิญบุคคลสำคัญเช่นนี้มาได้เฉียวเจี้ยนกั๋วสั่งให้ฉันพาลั่วอี้ฝานเข้าไปข้างใน แล้วก็รีบเดินไปหาหน้ากู้จือโม่คืนนี้ กู้จือโม่และเฉินเยวี่ยใส่ชุดคู่มาด้วยกัน ทั้งคู่สวมชุดราตรีสีดำ ดูเข้ากันอย่างมาก ฉันมองเพียงแวบเดียวก็เบือนหน้าหนีไปลั่วอี้ฝานยื่นแขนมาให้ ฉันหันไปมองเขาลั่วอี้ฝานยิ้มและพูดว่า “ฉันคิดว่าในงานเลี้ยงวันนี้ มีเพียงฉันเท่านั้นที่คู่ควรจะเป็นคู่ของเธอ เธอคิดว่าไง?”ฉันยิ้ม แต่ไม่ได้วางมือลงบนแขนของเขา “บางครั้งความมั่นใจมากเกินไปก็กลายเป็นความหลงตัวเองได้”พูดจบ ฉันก็รีบเดินเข้าไปในฝูงชนงานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ฉันถูกพาไป
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น กระชับกอดเสื้อคลุมที่เขาคลุมให้ฉันไว้แน่นขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้น ฉันเหลือบมองไปด้านข้าง เห็นเฉินเยวี่ยยืนอยู่ข้าง ๆ มองมาที่ฉันด้วยสีหน้าไม่พอใจสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังแสดงให้เห็นถึงความรังเกียจที่เธอมีต่อฉัน และยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นฉันกับกู้จือโม่จากไปด้วยกันใช่แล้ว เมื่อผู้หญิงเกิดความอิจฉาขึ้นมา เธอจะไล่ตามศัตรูในจินตนาการของเธออย่างไม่ลดละรู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและเกลียดชังของเฉินเยวี่ยที่มองมาจากด้านหลัง ฉันรู้สึกว่ามันช่างน่าขัน ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ ก้าวเท้าเร็วขึ้นไม่สนใจเสียงพูดคุยที่อยู่ด้านหลัง ฉันแค่อยากหนีไปจากที่นี่สำหรับเฉียวเจี้ยนกั๋วแล้ว โลกนี้มันก็แค่ที่แสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ ในสายตาเขา ฉันก็แค่เครื่องมือที่เขาจะใช้เพื่อเข้าหาคนมีอำนาจและไต่เต้าขึ้นไปสู่สังคมชั้นสูง โดยเฉพาะตอนที่เขาเห็นฉันถูกกู้จือโม่พาตัวไป เขายังมีสีหน้าพอใจซะอีกฉันเดินมาถึงประตู หายใจรับอากาศแห่งอิสรภาพ“ฉันจะพาเธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”น้ำเสียงเขาเย็นชา แต่ก็มีความไม่พอใจแฝงอยู่“ไม่ต้อง”ฉันรีบพูดขัดจังหวะขึ้นมา ใครจะไปรู้ว่าฉันอยา
ฉันรู้จักนิสัยของเฉียวเจี้ยนกั๋วดี เมื่อวานไม่เพียงแต่เขาจะไม่สามารถสร้างสัมพันธ์กับคนในสังคมชั้นสูงได้ตามที่ต้องการ แต่ยังเสียหน้าและสูญเสียธุรกิจไปด้วย ตอนนี้เขาคงเกลียดฉันมาก เกลียดเข้ากระดูกดำเลยก็ว่าได้“เฉียวซิงลั่ว!”เขาคำรามเหมือนสัตว์ร้ายที่ถอดหนังมนุษย์ออกทันทีที่เฉียวเจี้ยนกั๋วลุกขึ้น ฉันก็เดินไปหาเขา“แกยังมีหน้ากลับมาอีกเหรอ แกไม่รู้จักความละอายบ้างเลยหรือไง รู้ไหมว่าแกสร้างความเสียหายให้กับบริษัทมากแค่ไหน?”เมื่อเห็นฉันยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างสงบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เงียบสงบเหมือนน้ำนิ่ง เขาโกรธมากยิ่งขึ้น“แกกล้าดียังไงถึงทำเรื่องน่าอับอายแบบนี้ ตอนนี้แกก่อเรื่องใหญ่แล้ว แกจะทำยังไง?”เฉียวเจี้ยนกั๋วจ้องมองฉันด้วยความโกรธราวกับว่าเขาต้องการให้ฉันรับผิดชอบต่อสัญญาที่ล้มเหลวเหล่านี้ฉันหัวเราะเยาะอย่างเย็นชาพร้อมกับแววตาที่แสดงความดูถูกเหยียดหยามบางทีหัวใจของฉันอาจจะเย็นชาเกินกว่าจะรู้สึกเจ็บปวดได้อีกแล้วฉันเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของเขา แต่เขากลับไม่สนใจสถานการณ์ของฉัน ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อฉันมากแค่ไหน เขากลับตำหนิฉันอย่างรุนแรงว่าฉันทำให้เขาสูญเส