เพียงเพราะเขาช่วยฉันลุกขึ้นตอนที่ฉันล้มตอนอายุสิบหกปี ให้ปลาสเตอร์ปิดแผลฉัน แล้วถามว่าฉันเจ็บไหมฉันกลืนความรู้สึกเจ็บปวดในลำคอลงไป ข่มความอ่อนแอทั้งหมดเอาไว้มันก็ดีนะ ตอนนี้ก็ดีแล้วฉันไม่คาดหวังอะไรจากพวกเขาอีกแล้ว เมื่อรู้ว่าพวกเขาไม่ได้รักฉัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องรักพวกเขา ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ฉันรู้สึกโล่งใจ……งานเลี้ยงฉลองการศึกษาต่อของฉันถูกกำหนดไว้ในอีกสามวันข้างหน้า ก่อนจะถึงวันนั้นเฉียวเจี้ยนกั๋วและหลี่เหม่ยอิงใช้เงินไปกับฉันเป็นจำนวนมากหลี่เหม่ยอิงนัดช่างดูแลผิวที่ดีที่สุดในเมืองอวิ๋นเฉิงมาให้ฉันทำทรีทเมนท์ผิวติดต่อกันสองวัน แล้วก็พาฉันไปทำผม ทำเล็บ และอื่น ๆ ตั้งใจจะทำให้ทุกส่วนในร่างกายของฉันดูสวยงามคืนก่อนงานเลี้ยง ชุดราตรีที่เฉียวเจี้ยนกั๋วสั่งตัดให้ฉันก็มาส่ง เป็นชุดกระโปรงทรงเจ้าหญิงสีแชมเปญ ตกแต่งชายกระโปรงด้วยเพชรเม็ดเล็ก ๆ ฉันลองใส่แล้ว สวยมากเลยทีเดียว ให้ความรู้สึกทั้งใสซื่อและเซ็กซี่ในเวลาเดียวกันฉันไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่ทุกคนบอกว่าฉันสวย แม้แต่เฉียวเจี้ยนกั๋วยังชมว่า “ลูกสาวฉันเหมือนนางฟ้าลงมาจากสวรรค์” ฉันเงยหน้ามองเขา เห็นว่าเฉียวซิงอวี่กำล
หลี่เหม่ยอิงถีบเฉียวซิงอวี่ด้วยความโกรธที่เธอไม่รู้จักโต “ยังกล้าพูดอีกเหรอ? จำไม่ได้แล้วเหรอว่าคืนนั้นแม่พูดกับลูกว่าอะไร?”“เฉียวซิงลั่วตอนนี้ยังมีประโยชน์ต่อตระกูลเฉียว ตระกูลเฉียวอยากสร้างสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจมากกว่านี้ เฉียวซิงลั่วก็คือกุญแจสำคัญที่จะไขประตูบานนั้น”“แล้วหนูล่ะ?” เฉียวซิงอวี่ร้องไห้อย่างหนัก “หนูก็เป็นลูกสาวตระกูลเฉียว ทำไมทุกเรื่องเราต้องพึ่งเฉียวซิงลั่วด้วย?”หลี่เหม่ยอิงไม่คิดว่าเฉียวซิงอวี่จะมีความคิดแบบนี้ เธอตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหาเฉียวซิงอวี่ จับมือเธอไว้ “ไม่ใช่ว่าเราต้องพึ่งเฉียวซิงลั่วทุกเรื่อง แต่แม่ไม่อยากให้ลูกต้องลำบาก”“ลูกคิดว่าการเกาะผู้มีอำนาจมันง่ายนักเหรอ? ตั้งแต่เด็กแม่ก็ทะนุถนอมลูกเหมือนแก้วตาดวงใจ”“แม่กลัวลูกจะเจ็บจะช้ำ กลัวลูกจะต้องทนเจ็บปวด สิ่งที่แม่ทำให้ลูก แม่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เท่านั้น” หลี่เหม่ยอิงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เฉียวซิงอวี่ แล้วจัดแต่งทรงผมให้เธอ “ตระกูลเฉียวไม่ได้ร่ำรวย ถ้าเฉียวซิงอวี่อยากแต่งงานกับคนรวย จะต้องถูกดูหมิ่นเหยียดหยามในบ้านสามีแน่”“ลูกเข้าใจที่แม่พูดไหม?”เฉียวซิงอวี่พยักหน้าอย่างงุนงง แต่เ
ลั่วอีวฝานมองใบหน้าเย็นชาของฉัน แต่ก็ไม่ได้เปิดโปงเฉียวเจี้ยนกั๋ว “อย่างนั้นเหรอ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับ”พูดจบ ลั่วอี้ฝานก็หยิบกล่องของขวัญออกมาจากด้านหลัง “นี่เป็นของขวัญแสดงความยินดีที่เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้”ฉันมองเขา สุดท้ายก็รับกล่องมา “ขอบคุณ”ทันทีที่ฉันพูดจบ ก็มีคนอีกสองคนเข้ามาทางประตูกู้จือโม่กับเฉินเยวี่ย และยังมีฟางฉิงหยางด้วยฉันมองเฉียวเจี้ยนกั๋วแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเขามีความสามารถมาก ที่สามารถเชิญบุคคลสำคัญเช่นนี้มาได้เฉียวเจี้ยนกั๋วสั่งให้ฉันพาลั่วอี้ฝานเข้าไปข้างใน แล้วก็รีบเดินไปหาหน้ากู้จือโม่คืนนี้ กู้จือโม่และเฉินเยวี่ยใส่ชุดคู่มาด้วยกัน ทั้งคู่สวมชุดราตรีสีดำ ดูเข้ากันอย่างมาก ฉันมองเพียงแวบเดียวก็เบือนหน้าหนีไปลั่วอี้ฝานยื่นแขนมาให้ ฉันหันไปมองเขาลั่วอี้ฝานยิ้มและพูดว่า “ฉันคิดว่าในงานเลี้ยงวันนี้ มีเพียงฉันเท่านั้นที่คู่ควรจะเป็นคู่ของเธอ เธอคิดว่าไง?”ฉันยิ้ม แต่ไม่ได้วางมือลงบนแขนของเขา “บางครั้งความมั่นใจมากเกินไปก็กลายเป็นความหลงตัวเองได้”พูดจบ ฉันก็รีบเดินเข้าไปในฝูงชนงานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ฉันถูกพาไป
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น กระชับกอดเสื้อคลุมที่เขาคลุมให้ฉันไว้แน่นขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้น ฉันเหลือบมองไปด้านข้าง เห็นเฉินเยวี่ยยืนอยู่ข้าง ๆ มองมาที่ฉันด้วยสีหน้าไม่พอใจสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังแสดงให้เห็นถึงความรังเกียจที่เธอมีต่อฉัน และยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นฉันกับกู้จือโม่จากไปด้วยกันใช่แล้ว เมื่อผู้หญิงเกิดความอิจฉาขึ้นมา เธอจะไล่ตามศัตรูในจินตนาการของเธออย่างไม่ลดละรู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและเกลียดชังของเฉินเยวี่ยที่มองมาจากด้านหลัง ฉันรู้สึกว่ามันช่างน่าขัน ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ ก้าวเท้าเร็วขึ้นไม่สนใจเสียงพูดคุยที่อยู่ด้านหลัง ฉันแค่อยากหนีไปจากที่นี่สำหรับเฉียวเจี้ยนกั๋วแล้ว โลกนี้มันก็แค่ที่แสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ ในสายตาเขา ฉันก็แค่เครื่องมือที่เขาจะใช้เพื่อเข้าหาคนมีอำนาจและไต่เต้าขึ้นไปสู่สังคมชั้นสูง โดยเฉพาะตอนที่เขาเห็นฉันถูกกู้จือโม่พาตัวไป เขายังมีสีหน้าพอใจซะอีกฉันเดินมาถึงประตู หายใจรับอากาศแห่งอิสรภาพ“ฉันจะพาเธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”น้ำเสียงเขาเย็นชา แต่ก็มีความไม่พอใจแฝงอยู่“ไม่ต้อง”ฉันรีบพูดขัดจังหวะขึ้นมา ใครจะไปรู้ว่าฉันอยา
ฉันรู้จักนิสัยของเฉียวเจี้ยนกั๋วดี เมื่อวานไม่เพียงแต่เขาจะไม่สามารถสร้างสัมพันธ์กับคนในสังคมชั้นสูงได้ตามที่ต้องการ แต่ยังเสียหน้าและสูญเสียธุรกิจไปด้วย ตอนนี้เขาคงเกลียดฉันมาก เกลียดเข้ากระดูกดำเลยก็ว่าได้“เฉียวซิงลั่ว!”เขาคำรามเหมือนสัตว์ร้ายที่ถอดหนังมนุษย์ออกทันทีที่เฉียวเจี้ยนกั๋วลุกขึ้น ฉันก็เดินไปหาเขา“แกยังมีหน้ากลับมาอีกเหรอ แกไม่รู้จักความละอายบ้างเลยหรือไง รู้ไหมว่าแกสร้างความเสียหายให้กับบริษัทมากแค่ไหน?”เมื่อเห็นฉันยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างสงบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เงียบสงบเหมือนน้ำนิ่ง เขาโกรธมากยิ่งขึ้น“แกกล้าดียังไงถึงทำเรื่องน่าอับอายแบบนี้ ตอนนี้แกก่อเรื่องใหญ่แล้ว แกจะทำยังไง?”เฉียวเจี้ยนกั๋วจ้องมองฉันด้วยความโกรธราวกับว่าเขาต้องการให้ฉันรับผิดชอบต่อสัญญาที่ล้มเหลวเหล่านี้ฉันหัวเราะเยาะอย่างเย็นชาพร้อมกับแววตาที่แสดงความดูถูกเหยียดหยามบางทีหัวใจของฉันอาจจะเย็นชาเกินกว่าจะรู้สึกเจ็บปวดได้อีกแล้วฉันเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของเขา แต่เขากลับไม่สนใจสถานการณ์ของฉัน ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อฉันมากแค่ไหน เขากลับตำหนิฉันอย่างรุนแรงว่าฉันทำให้เขาสูญเส
ยามราตรีมืดมิดดุจหมึกท่ามกลางความเงียบสงัด ริมฝีปากร้อนผ่าวของกู้จือโม่ไล้ไปตามลำคอของฉัน ฉันโอบกอดเขาไว้แน่น หัวใจพองโตไปด้วยความสุข แต่ก็เจือไปด้วยความอ่อนแรงแอลกอฮอล์ทำให้เราทั้งคู่มึนเมา ลมหายใจของเราประสานกัน การกระทำของเขายิ่งเร่งร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่ออารมณ์รักพลุ่งพล่านขึ้น ฉันพึมพำชื่อของเขา “จือโม่…”ติ๊ง…เสียงเรียกเข้าที่ดังสนั่นทำลายบรรยากาศแห่งอารมณ์รักในห้องลงฉันและกู้จือโม่หันไปมองพร้อมกัน เห็นชื่อสองคำปรากฏขึ้นบนหน้าจอเยวี่ยเยวี่ยความรู้สึกหายใจไม่ออกและความตื่นตระหนกถาโถมเข้ามาในหัวใจฉันในความมืด ฉันมองไม่เห็นสีหน้าของกู้จือโม่ แต่รับรู้ได้ถึงความลังเลของเขาไม่รู้ว่าความกล้ามาจากไหน ฉันเงยหน้าขึ้นและจูบเขาอย่างไม่ลังเลแต่กู้จือโม่กลับหลบเลี่ยงทันที แล้วลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์เสียงหวานของหญิงสาวดังมาจากโทรศัพท์ “อาโม่”วินาทีต่อมา กู้จือโม่ไม่แม้แต่จะเปิดไฟ ก็เดินก้าวยาวไปที่หน้าต่างเพื่อตอบโทรศัพท์ใต้แสงจันทร์ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีให้ฉันความรักที่เคยเต็มเปี่ยมก็จางหายไปเหมือนกระแสน้ำ ใจฉันเย็นยะเยือก เหลือเพียงความคับข้องใ
ตอนฉันอายุ 18 ปี ฉันคิดว่าการสารภาพแบบนี้คือความกล้าหาญและความสดใสของวัยเยาว์ แต่ตอนนี้ฉันอยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาดความกล้าหาญ ความสดใสอะไรกันเล่า สมองฉันคงจะผิดปกติไปแล้วแน่ ๆ!โชคดีที่ตอนนี้ฉันยังไม่ได้สารภาพ ยังพอมีโอกาสแก้ไขสถานการณ์ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ในเมื่อมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ ฉันจะไม่ไปยุ่งกับกู้จือโม่อีกแล้ว และจะไม่ซ้ำรอยโศกนาฏกรรมในชีวิตครั้งก่อนอีกฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วยกไมโครโฟนขึ้นมาจ่อที่ปาก พูดด้วยท่าทีจริงใจราวกับจะสาบานต่อฟ้าดินว่า “เพื่อนนักเรียนกู้พูดถูก ฉันได้ทบทวนการกระทำของตัวเองอย่างลึกซึ้งแล้ว ฉันขอโทษสำหรับความไม่สะดวกที่ได้สร้างไว้ให้นาย ขอโทษจริง ๆ! นายวางใจได้ ฉันได้กลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่แล้ว ต่อจากนี้ไปในใจฉันจะไม่มีเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ อีก มีแต่การเรียนและความฝันเท่านั้น”กู้จือโม่ตกตะลึง “...”เด็กหนุ่มดูเหมือนจะมึนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจส่วนฉันหันหลังวิ่งหนีลงจากเวที เร็วกว่ากระต่ายเสียอีกทุกคนทำหน้างง“เฉียวซิงลั่วจะยอมแพ้เรื่องกู้จือโม่แล้วเหรอ?”“เธอยอมแพ้แล้วเหรอ? กู้จือโม่เย็นชาขนาดไหน ผู้หญิงตั้งเท่าไหร่ที่ถอยเพราะ
หลังเรียนตอนเย็น กู้จือโม่ไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย เฉินเยวี่ยก็จากไปอย่างรวดเร็วเช่นกันกู้จือโม่ได้รับการตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำโดยตรงนานแล้ว และได้ยินมาว่าเขายังได้รับข้อเสนอจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศอีกด้วย เขาไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนเลยด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังมาโรงเรียนทุกวัน และสุดท้ายยังยอมสละโอกาสไปต่างประเทศ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาทำเพื่อเฉินเยวี่ยเมื่อมองไปยังที่นั่งว่างเปล่าของทั้งสองคน ฉันรู้สึกขมขื่นในใจอย่างอดไม่ได้จิตใจของฉันสับสนวุ่นวาย บวกกับการทำแบบฝึกหัดจนปวดหัว ตอนที่กลับบ้านในตอนเย็นอารมณ์ของฉันไม่ค่อยดีนัก เมื่อเห็นพ่อสารเลวและแม่เลี้ยงที่กำลังรอฉันอยู่ในห้องนั่งเล่น ฉันก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นฉันทำเป็นไม่สนใจ พยายามจะขึ้นไปชั้นบนทันทีเฉียวเจี้ยนกั๋วตามมาถามว่า “ซิงลั่ว เรื่องที่พ่อให้ลูกไปคุยกับคุณชายกู้เป็นไงบ้าง?”ฉันหัวเราะเยาะเบา ๆ “คุณชายกู้ติดหนี้หนูชาติที่แล้วหรือไง? ทำไมเขาต้องฟังหนูแค่คำพูดประโยคเดียวแล้วเซ็นสัญญามูลค่าร้อยล้านกับพ่อด้วย?”สีหน้าของเฉียวเจี้ยนกั๋วมืดลง เขาเกือบจะโกรธแล้ว แต่หลี่เหม่ยอิงข้าง ๆ ดึงแขนเขาไว้แล้วยิ้มอย่างใจดี “พ่อเธอไม่ได้ห