เพียงเพราะเขาช่วยฉันลุกขึ้นตอนที่ฉันล้มตอนอายุสิบหกปี ให้ปลาสเตอร์ปิดแผลฉัน แล้วถามว่าฉันเจ็บไหมฉันกลืนความรู้สึกเจ็บปวดในลำคอลงไป ข่มความอ่อนแอทั้งหมดเอาไว้มันก็ดีนะ ตอนนี้ก็ดีแล้วฉันไม่คาดหวังอะไรจากพวกเขาอีกแล้ว เมื่อรู้ว่าพวกเขาไม่ได้รักฉัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องรักพวกเขา ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ฉันรู้สึกโล่งใจ……งานเลี้ยงฉลองการศึกษาต่อของฉันถูกกำหนดไว้ในอีกสามวันข้างหน้า ก่อนจะถึงวันนั้นเฉียวเจี้ยนกั๋วและหลี่เหม่ยอิงใช้เงินไปกับฉันเป็นจำนวนมากหลี่เหม่ยอิงนัดช่างดูแลผิวที่ดีที่สุดในเมืองอวิ๋นเฉิงมาให้ฉันทำทรีทเมนท์ผิวติดต่อกันสองวัน แล้วก็พาฉันไปทำผม ทำเล็บ และอื่น ๆ ตั้งใจจะทำให้ทุกส่วนในร่างกายของฉันดูสวยงามคืนก่อนงานเลี้ยง ชุดราตรีที่เฉียวเจี้ยนกั๋วสั่งตัดให้ฉันก็มาส่ง เป็นชุดกระโปรงทรงเจ้าหญิงสีแชมเปญ ตกแต่งชายกระโปรงด้วยเพชรเม็ดเล็ก ๆ ฉันลองใส่แล้ว สวยมากเลยทีเดียว ให้ความรู้สึกทั้งใสซื่อและเซ็กซี่ในเวลาเดียวกันฉันไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่ทุกคนบอกว่าฉันสวย แม้แต่เฉียวเจี้ยนกั๋วยังชมว่า “ลูกสาวฉันเหมือนนางฟ้าลงมาจากสวรรค์” ฉันเงยหน้ามองเขา เห็นว่าเฉียวซิงอวี่กำล
หลี่เหม่ยอิงถีบเฉียวซิงอวี่ด้วยความโกรธที่เธอไม่รู้จักโต “ยังกล้าพูดอีกเหรอ? จำไม่ได้แล้วเหรอว่าคืนนั้นแม่พูดกับลูกว่าอะไร?”“เฉียวซิงลั่วตอนนี้ยังมีประโยชน์ต่อตระกูลเฉียว ตระกูลเฉียวอยากสร้างสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจมากกว่านี้ เฉียวซิงลั่วก็คือกุญแจสำคัญที่จะไขประตูบานนั้น”“แล้วหนูล่ะ?” เฉียวซิงอวี่ร้องไห้อย่างหนัก “หนูก็เป็นลูกสาวตระกูลเฉียว ทำไมทุกเรื่องเราต้องพึ่งเฉียวซิงลั่วด้วย?”หลี่เหม่ยอิงไม่คิดว่าเฉียวซิงอวี่จะมีความคิดแบบนี้ เธอตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหาเฉียวซิงอวี่ จับมือเธอไว้ “ไม่ใช่ว่าเราต้องพึ่งเฉียวซิงลั่วทุกเรื่อง แต่แม่ไม่อยากให้ลูกต้องลำบาก”“ลูกคิดว่าการเกาะผู้มีอำนาจมันง่ายนักเหรอ? ตั้งแต่เด็กแม่ก็ทะนุถนอมลูกเหมือนแก้วตาดวงใจ”“แม่กลัวลูกจะเจ็บจะช้ำ กลัวลูกจะต้องทนเจ็บปวด สิ่งที่แม่ทำให้ลูก แม่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เท่านั้น” หลี่เหม่ยอิงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เฉียวซิงอวี่ แล้วจัดแต่งทรงผมให้เธอ “ตระกูลเฉียวไม่ได้ร่ำรวย ถ้าเฉียวซิงอวี่อยากแต่งงานกับคนรวย จะต้องถูกดูหมิ่นเหยียดหยามในบ้านสามีแน่”“ลูกเข้าใจที่แม่พูดไหม?”เฉียวซิงอวี่พยักหน้าอย่างงุนงง แต่เ
ลั่วอีวฝานมองใบหน้าเย็นชาของฉัน แต่ก็ไม่ได้เปิดโปงเฉียวเจี้ยนกั๋ว “อย่างนั้นเหรอ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับ”พูดจบ ลั่วอี้ฝานก็หยิบกล่องของขวัญออกมาจากด้านหลัง “นี่เป็นของขวัญแสดงความยินดีที่เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้”ฉันมองเขา สุดท้ายก็รับกล่องมา “ขอบคุณ”ทันทีที่ฉันพูดจบ ก็มีคนอีกสองคนเข้ามาทางประตูกู้จือโม่กับเฉินเยวี่ย และยังมีฟางฉิงหยางด้วยฉันมองเฉียวเจี้ยนกั๋วแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเขามีความสามารถมาก ที่สามารถเชิญบุคคลสำคัญเช่นนี้มาได้เฉียวเจี้ยนกั๋วสั่งให้ฉันพาลั่วอี้ฝานเข้าไปข้างใน แล้วก็รีบเดินไปหาหน้ากู้จือโม่คืนนี้ กู้จือโม่และเฉินเยวี่ยใส่ชุดคู่มาด้วยกัน ทั้งคู่สวมชุดราตรีสีดำ ดูเข้ากันอย่างมาก ฉันมองเพียงแวบเดียวก็เบือนหน้าหนีไปลั่วอี้ฝานยื่นแขนมาให้ ฉันหันไปมองเขาลั่วอี้ฝานยิ้มและพูดว่า “ฉันคิดว่าในงานเลี้ยงวันนี้ มีเพียงฉันเท่านั้นที่คู่ควรจะเป็นคู่ของเธอ เธอคิดว่าไง?”ฉันยิ้ม แต่ไม่ได้วางมือลงบนแขนของเขา “บางครั้งความมั่นใจมากเกินไปก็กลายเป็นความหลงตัวเองได้”พูดจบ ฉันก็รีบเดินเข้าไปในฝูงชนงานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ฉันถูกพาไป
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น กระชับกอดเสื้อคลุมที่เขาคลุมให้ฉันไว้แน่นขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้น ฉันเหลือบมองไปด้านข้าง เห็นเฉินเยวี่ยยืนอยู่ข้าง ๆ มองมาที่ฉันด้วยสีหน้าไม่พอใจสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังแสดงให้เห็นถึงความรังเกียจที่เธอมีต่อฉัน และยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นฉันกับกู้จือโม่จากไปด้วยกันใช่แล้ว เมื่อผู้หญิงเกิดความอิจฉาขึ้นมา เธอจะไล่ตามศัตรูในจินตนาการของเธออย่างไม่ลดละรู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและเกลียดชังของเฉินเยวี่ยที่มองมาจากด้านหลัง ฉันรู้สึกว่ามันช่างน่าขัน ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ ก้าวเท้าเร็วขึ้นไม่สนใจเสียงพูดคุยที่อยู่ด้านหลัง ฉันแค่อยากหนีไปจากที่นี่สำหรับเฉียวเจี้ยนกั๋วแล้ว โลกนี้มันก็แค่ที่แสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ ในสายตาเขา ฉันก็แค่เครื่องมือที่เขาจะใช้เพื่อเข้าหาคนมีอำนาจและไต่เต้าขึ้นไปสู่สังคมชั้นสูง โดยเฉพาะตอนที่เขาเห็นฉันถูกกู้จือโม่พาตัวไป เขายังมีสีหน้าพอใจซะอีกฉันเดินมาถึงประตู หายใจรับอากาศแห่งอิสรภาพ“ฉันจะพาเธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”น้ำเสียงเขาเย็นชา แต่ก็มีความไม่พอใจแฝงอยู่“ไม่ต้อง”ฉันรีบพูดขัดจังหวะขึ้นมา ใครจะไปรู้ว่าฉันอยา
ฉันรู้จักนิสัยของเฉียวเจี้ยนกั๋วดี เมื่อวานไม่เพียงแต่เขาจะไม่สามารถสร้างสัมพันธ์กับคนในสังคมชั้นสูงได้ตามที่ต้องการ แต่ยังเสียหน้าและสูญเสียธุรกิจไปด้วย ตอนนี้เขาคงเกลียดฉันมาก เกลียดเข้ากระดูกดำเลยก็ว่าได้“เฉียวซิงลั่ว!”เขาคำรามเหมือนสัตว์ร้ายที่ถอดหนังมนุษย์ออกทันทีที่เฉียวเจี้ยนกั๋วลุกขึ้น ฉันก็เดินไปหาเขา“แกยังมีหน้ากลับมาอีกเหรอ แกไม่รู้จักความละอายบ้างเลยหรือไง รู้ไหมว่าแกสร้างความเสียหายให้กับบริษัทมากแค่ไหน?”เมื่อเห็นฉันยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างสงบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เงียบสงบเหมือนน้ำนิ่ง เขาโกรธมากยิ่งขึ้น“แกกล้าดียังไงถึงทำเรื่องน่าอับอายแบบนี้ ตอนนี้แกก่อเรื่องใหญ่แล้ว แกจะทำยังไง?”เฉียวเจี้ยนกั๋วจ้องมองฉันด้วยความโกรธราวกับว่าเขาต้องการให้ฉันรับผิดชอบต่อสัญญาที่ล้มเหลวเหล่านี้ฉันหัวเราะเยาะอย่างเย็นชาพร้อมกับแววตาที่แสดงความดูถูกเหยียดหยามบางทีหัวใจของฉันอาจจะเย็นชาเกินกว่าจะรู้สึกเจ็บปวดได้อีกแล้วฉันเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของเขา แต่เขากลับไม่สนใจสถานการณ์ของฉัน ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อฉันมากแค่ไหน เขากลับตำหนิฉันอย่างรุนแรงว่าฉันทำให้เขาสูญเส
ฉันรู้สึกราวกับได้ยินเรื่องตลกชวนหัวเราะ เขาทำให้ฉันโกรธจนต้องหลุดหัวเราะออกมาเฉียวเจี้ยนกั๋วนั่งอยู่บนโซฟา สูบบุหรี่พลางครุ่นคิด ตอนแรกเขาอาจจะกำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่จากนั้นเขาก็ทำการตัดสินใจเขาสูดบุหรี่ลึก ๆ เข้าไปครั้งหนึ่ง แล้วพ่นควันเป็นวงหนาออกมาสายตาแข็งกร้าวของเขาจ้องมองมาที่ฉัน ไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด ๆมองเห็นเพียงการชั่งน้ำหนักเรื่องผลประโยชน์"ยังไงซะในร่างกายของแกก็มีเลือดของฉันไหลเวียนอยู่ แกยังใช้แซ่เฉียว ก็ควรต้องทำอะไรให้ครอบครัวบ้างสิ มัวแต่ยืนงงอะไรอยู่? หรือว่าจะให้ฉันเป็นคนจัดการทุกอย่างให้แกด้วยตัวเอง?"เขาคิดว่าฉันเป็นสิ่งของที่สามารถซื้อขายได้ตามใจชอบจริง ๆ แบบนี้ฉันก็เป็นเพียงของเล่นที่สามารถถูกซื้อขายได้ในสายตาของเขางั้นเหรอ?ความโกรธที่ไม่อาจอธิบายได้อัดแน่นอยู่ในอก ฉันน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าตอนนี้ฉันไม่มีบ้านอีกต่อไปหลังจากที่พวกเขาทั้งสองหย่าร้างกัน ฉันก็สูญเสียทุกอย่างไปแล้วสถานที่ที่มีพ่อแท้ ๆ ของฉันอยู่ไม่สามารถเรียกว่าบ้านได้ เพราะเขามีลูกสาวและภรรยาของตัวเองสถานที่ที่มีแม่แท้ ๆ ของฉันอยู่ก็ไม่สามารถเรียกว่าบ้านได้เช่นกัน เพราะในชีวิตที่มีคว
ฉันจำเด็กผู้หญิงคนนั้นได้ดี เธอคือเฉินซือฉี น้องสาวของเฉินเยวี่ยฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็รีบกลับมาสงบตามเดิมครั้งหนึ่งฉันเคยจินตนาการถึงการมีครอบครัวกับเขา ในเช้าวันธรรมดา ๆ ที่มีแสงแดดส่องสว่าง เราจับมือกันส่งลูกไปโรงเรียนแต่ฉันไม่ควรจะมีความฝันเช่นนั้น และยิ่งไม่ควรคิดว่ากู้จือโม่คือคนที่ใช่สำหรับฉันทั้งสองคนค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น กู้จือโม่ก็เริ่มสังเกตเห็นฉันฉันหันหลังกลับแล้วจับมือเด็กอีกคน"มานี่สิ ครูจะช่วยเปลี่ยนรองเท้าเต้นให้"ฉันย่อตัวลง ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเด็กคนนั้นพยักหน้าอย่างว่าง่าย ฉันจึงช่วยเธอเปลี่ยนรองเท้าเต้นที่นุ่มเบาอย่างแผ่วเบาทั้งสองคนเดินมาหยุดอยู่ข้างฉัน กู้จือโม่จ้องมาที่ฉันไม่ละสายตาเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่ร้อนแรงของเขา ฉันยังคงนิ่งสงบเหมือนน้ำ“เธอทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่เหรอ?”เขาถามขึ้นทันที แต่ฉันไม่ได้ตอบอะไรท่าทีเย็นชาของฉันอาจทำให้เขารู้สึกอึดอัด สายตาของเขาจึงยิ่งลึกซึ้งขึ้นไปอีกหลังจากช่วงปิดเทอมนี้ เราต่างคนก็ต่างไปตามทางของตัวเอง โอกาสที่จะได้เจอกันก็จะน้อยลง ฉันจึงยิ่งอยากจะตัดขาดความสัมพันธ์ให้ชัดเจนเมื่อเห็นว่าฉันไม่ต
ใบหน้าของฉันเคร่งเครียด “เรื่องนี้ทำให้ฉันรู้สึกแย่เหมือนกันนะคะ แต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างให้คุณมาด่าฉันอย่างไม่มีเหตุผล ถ้าคุณมีหลักฐานก็แจ้งตำรวจได้เลย ไม่อย่างนั้นแล้วละก็คุณกำลังหมิ่นประมาทและทำร้ายร่างกายฉันอยู่ คุณคิดว่าคุณรับผิดชอบผลทางกฎหมายที่ตามมาได้หรือเปล่า?”เมื่อเห็นเธอทำท่าทางเป็นคนขี้โวยวาย ฉันก็ไม่คิดจะยอมง่าย ๆต่างคนก็ต่างเคยเกิดมาเป็นมนุษย์ครั้งแรก ฉันไม่มีเหตุผลที่จะต้องยอมเธอไปเสียทุกเรื่องใครจะรู้ว่าคำพูดของฉันกลับยิ่งทำให้แม่ของเฉินเยวี่ยโมโหยิ่งขึ้นใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวราวกับสัตว์ร้าย แล้วเธอก็พุ่งเข้าหาฉันยังไม่ทันที่ฉันจะตอบสนอง เธอก็เหวี่ยงมือมาที่แก้มของฉันฉันหลับตาแน่น แต่กลับไม่มีเสียงฝ่ามือกระทบอย่างที่คาดไว้ และใบหน้าของฉันก็ไม่รู้สึกเจ็บเลยมีร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งยืนขวางฉันไว้"ที่นี่คือโรงพยาบาล มีเรื่องอะไรอย่าทะเลาะกันที่นี่เลยครับ"เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ดังขึ้นจากเหนือศีรษะของฉัน ที่แท้ก็เสียงของกู้จือโม่ฉันประหลาดใจที่เขามาปกป้องฉัน ในขณะที่ยังตกใจ สายตาของฉันก็จับจ้องไปที่คนสามคนตรงหน้าเฉินเยวี่ยยืนอยู่ไม่ไกลนัก ดูน่าสงสาร เธอยืนน
บนใบหน้าของลั่วอี้ฝานมีแววประหลาดใจเล็กน้อย คล้ายกับได้เจอเพื่อนรู้ใจที่เข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ผู้อาวุโสหนานก็เอ่ยขึ้นก่อนว่า “สาวน้อย เธอเล่นหมากรุกเป็นไหม?” จู่ ๆ ก็ถูกเรียกชื่อ ฉันนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติกลับมาแล้วตอบว่า “เคยเล่นในมือถือไม่กี่ครั้งเองค่ะ ดูเหมือนว่าจะเล่นไม่เป็นค่ะ” ฉันพูดอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งดูเหมือนผู้อาวุโสหนานจะชอบความตรงไปตรงมาของฉันเช่นกัน ท่านโบกมือเรียกฉันพร้อมพูดว่า “มานี่สิ เดี๋ยวฉันสอนให้” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปหา นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของกระดานหมากรุก ผู้อาวุโสหนานอธิบายกฎของหมากล้อมให้ฉันฟัง ฉันตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ ไม่นานนักผู้ช่วยก็เอากระดานหมากรุกชุดใหม่มาให้ ผู้อาวุโสหนานส่งหมากสีดำให้ฉันพร้อมพูดว่า “ลองดูไหม?” ฉันรับมาก่อนจะพูดด้วยความลำบากใจปนลังเลว่า “แต่คุณปู่ต้องอย่าโกรธจนปาแผ่นกระดานนะคะ” “แล้วก็ห้ามไล่พวกเราออกไปด้วยนะคะ”ฉันกอดถ้วยหมากล้อมไว้ มือขวาหยิบหมากสองตัวขึ้นมา พร้อมกล่าวว่า “แม่น้ำแยงซีคลื่นลูกเก่าผลักดันคลื่นลูกใหม่ คุณต้องให้โอกาสพวกเราเติบโตบ้างนะคะ” ความจริงตอนที่พูดคำพวก
ออกจากบ้านเดิมตระกูลเฉียว ฉันกับลั่วอี้ฝานขึ้นรถแล้วจากไปทันทีที่ขึ้นรถเสียงหยอกล้อของลั่วอี้ฝานก็ดังขึ้นทันที "เฉียวซิงลั่ว เธอเตรียมตัวมาดีจริง ๆ ถึงขั้นพกเครื่องรูดบัตรมาเลยเหรอ? ในกระเป๋าเธอคงไม่ได้ใส่เครื่องนับเงินมาด้วยใช่ไหม? เอามาให้ฉันดูหน่อยสิ จะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง"มือข้างหนึ่งของเขายื่นมาตรงหน้าฉันฉันตบมือลงบนฝ่ามือของเขาเสียงดัง "เพียะ!" พร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงรำคาญ "ฉันจะพกเครื่องนับเงินไปทำไมกันล่ะ"แถมหลี่เหม่ยอิงก็คงไม่พกเงินสดหนึ่งร้อยล้านบาทมาให้ฉันหรอกโง่จริง ๆ"นี่" ฉันคลายมือออก เผยให้เห็นบัตรเอทีเอ็มที่อยู่ด้านล่างลั่วอี้ฝานตาเป็นประกายทันที เขาหยิบบัตรเอทีเอ็มขึ้นมา พร้อมกับอุทานอย่างตกใจว่า “นี่มันไม่ใช่หนึ่งร้อยล้านบาทที่หลี่เหม่ยอิงให้เธอหรอกเหรอ?!”"ใช่แล้ว เอาไว้เป็นเงินสำรองสำหรับบริษัท""ดีขนาดนี้เชียว?" ลั่วอี้ฝานเลิกคิ้วฉันตอบ "ใช่ บริษัทมีปัญหา ฉันก็ช่วยได้แค่เรื่องเงินนี่แหละ""ว่าแต่ พรุ่งนี้ไปเจอผู้อาวุโสหนาน นายเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ"ฉันมองไปที่ลั่วอี้ฝานเขาเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ส่วนฉันก็แค่ช่วยเปิดทางเล็กน้อยถ้าเขาไม่ไป โครง
เมื่อมองเฉียวซิงอวี่ ฉันเผลอคิดเพลินไปว่าที่จริงแล้วเธอก็โชคดีไม่น้อยไม่ว่าจะอย่างไร หลี่เหม่ยอิงก็ยังรักเธอและพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เธอได้สิ่งที่ดีที่สุดแม้ฉันจะเคยด่าว่าเธอทั้งโง่ทั้งไร้เดียงสา แต่บางทีความโง่และไร้เดียงสาแบบนี้อาจเป็นความสุขอย่างหนึ่ง“ฉันง่วงแล้ว จะไปนอนก่อน” ฉันลุกขึ้น ไม่สนใจลั่วอี้ฝาน “ถ้านายไม่กลับบ้านคืนนี้ ก็ไปนอนที่ห้องรับรองแล้วกัน”……เช้าวันรุ่งขึ้นฉันกับลั่วอี้ฝานพาบอดี้การ์ดคุมตัวเฉียวซิงอวี่กลับไปที่บ้านเก่าของตระกูลเฉียว ในตอนที่ไปถึงหลี่เหม่ยอิงก็รออยู่ที่นั่นด้วยสีหน้ากระวนกระวายเฉียวซิงอวี่อุทานออกมาด้วยความดีใจ “แม่คะ!”“ซิงอวี่!” หลี่เหม่ยอิงรีบวิ่งเข้ามาหาพวกเราโดยไม่ทันคิด“หยุดอยู่ตรงนั้น!”ลั่วอี้ฝานตะโกนห้าม น้ำเสียงเย็นชาเต็มไปด้วยการข่มขู่ “ถ้าคุณกล้าเข้ามาอีกก้าวเดียว เราจะไม่ออมมือกับเธอ”หลี่เหม่ยอิงหยุดการเคลื่อนไหวทันที ดวงตามองฉันอย่างเย็นชา ราวกับงูพิษที่กำลังแลบลิ้น "เฉียวซิงลั่ว การลักพาตัวมันผิดกฎหมายนะ!"“แล้วการเอาน้ำกรดมาสาดคนอื่นไม่ผิดกฎหมายหรือไง?” ฉันสวนกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความเย็นชาหลี่เ
ฉันโทรหาหลี่เหม่ยอิงครั้งแรกเธอไม่รับ ฉันจึงโทรซ้ำอีกครั้งเสียงของหลี่เหม่ยอิงเต็มไปด้วยความโกรธเมื่อเธอรับสาย “เฉียวซิงลั่ว นางเด็กสารเลว พ่อเธอตายเพราะเธอแล้ว ยังจะโทรมาหาฉันอีกทำไม!”ฉันไม่ได้ตอบอะไร ทว่าใช้เล็บที่เพิ่งทำใหม่ขึ้นมาแตะใบหน้าที่แดงก่ำจากการถูกตบของเฉียวซิงอวี่เฉียวซิงอวี่ร้องไห้ออกมาทันที “แม่คะ ช่วยหนูด้วย!”หลี่เหม่ยอิงเงียบไปชั่วขณะก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทันที “ซิงอวี่เหรอ? เฉียวซิงลั่ว เธอทำอะไรลูกสาวฉัน!”“หึ” ฉันหัวเราะเยาะ เอาโทรศัพท์แนบหู “คุณป้าพูดผิดแล้วล่ะค่ะ ไม่ใช่ฉันที่ทำอะไรน้องสาวตัวเอง คุณป้าน่าจะถามลูกสาวที่แสนดีมากกว่าว่าเธอทำอะไรฉัน”“ให้เวลาครึ่งชั่วโมง... ไม่สิ” ฉันหยุดคิดและเผยรอยยิ้ม “พรุ่งนี้เช้าเก้าโมง เจอกันที่บ้านเดิมตระกูลเฉียว” พูดจบ ฉันก็ตัดสายทันที…… ที่อะพาร์ตเมนต์หลี่เสี่ยงลั่วอี้ฝานมัดมือและเท้าของเฉียวซิงอวี่ แล้วโยนเธอไว้ที่ระเบียงเฉียวซิงอวี่ยังคงร้องไห้เสียงดัง “เฉียวซิงลั่ว ปล่อยฉันนะ! เธอไม่มีสิทธิ์มาจับฉัน! ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ!”ฉันรำคาญเสียงร้องไห้ของเธอ จึงเดินไปที่ครัว เพื่อหยิบผ้าขี้ริ้วออกมา
เมื่อเห็นว่าฉันปลอดภัย ลั่วอี้ฝานจึงลากร่างของคนที่สาดน้ำกรดใส่ฉันขึ้นมาฉันเดินเข้าไปใกล้พวกเขา ยกมือขึ้นถอดหน้ากากของคนร้ายทันใดนั้นเองใบหน้าของเฉียวซิงอวี่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าฉัน"เฉียวซิงอวี่?"ฉันจ้องมองใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ดวงตาแดงก่ำ เธอตะโกนด้วยเสียงสะอื้น “ทำไมเธอไม่ไปตายซะ! เฉียวซิงลั่ว ทำไมเธอไม่ไปตายซะ!""แกทำลายพ่อฉัน ทำลายครอบครัวฉันจนพังพินาศ!""เฉียวซิงลั่ว นางสารเลว! ไปตายซะ!""ฉันไม่น่าจะใช้แค่น้ำกรดสาดแก ฉันควรจะเอามีดแทงแกให้ตายไปเลยด้วยซ้ำ!"ใบหน้าฉันเริ่มเย็นชาเมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวซิงอวี่ เมื่อเธอพูดจบฉันก็ยกมือขึ้นตบหน้าอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มีฉันใส่แรงทั้งหมดลงไปในฝ่ามือนั้นใบหน้าครึ่งหนึ่งของเฉียวซิงอวี่แดงก่ำและบวมขึ้นทันที หมวกที่เธอสวมหล่นลงพื้น เผยให้เห็นผมยาวสยายฉันมองเธอด้วยสายตาเย็นชา เธอคนที่มีสายเลือดครึ่งหนึ่งเหมือนกับฉันเมื่อครั้งที่อยู่บนเรือ ฉันเคยรู้สึกผิดที่ทำร้ายเธอ เพราะต้องการปกป้องตัวเองจากแผนการของเฉียวเจี้ยนกั๋ว แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกดีใจที่ครั้งนั้นฉันไม่ลังเลที่จะลงมือสำหรับคนในตระกูลเฉียว นอกจากคุณ
เมื่อพูดจบผู้อาวุโสหนานก็เดินจากไปสีหน้าของประธานหลี่ย่ำแย่จนเกินจะบรรยาย อีกไม่นานก็มีชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนผู้ช่วยเดินเข้ามาหาเขาและกระซิบอะไรบางอย่างข้างหู จากนั้นเขาก็สะบัดมือออกจากมือของคุณหนูคนนั้นอย่างแรงเพราะสวมรองเท้าส้นสูงอยู่ คุณหนูคนนั้นจึงถูกสะบัดจนเสียหลักล้มลงไปนั่งกับพื้นทันที แถมยังทำเครื่องดื่มบนโต๊ะข้าง ๆ หกใส่ตัวเองจนเปียกโชกไปทั้งชุดอีกเสื้อผ้าชุดใหม่ของเธอเปียกชุ่มจนดูน่าเวทนา ใบหน้าแสดงออกทั้งความอับอายและความโกรธ แต่ก็ต้องอดกลั้นไว้“นี่มันอะไรกัน! กล้าทำตัวแบบนี้ใส่คนอย่างผู้อาวุโสหนานอีก ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน เธอคงไม่ได้เฉียดเข้ามาในงานนี้หรอก!”ประธานหลี่กดเสียงต่ำ คำพูดที่ออกมาล้วนหยาบคายและน่ารังเกียจสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่พวกเขา ประธานหลี่รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นคนสุภาพนุ่มนวล ยื่นมือพยุงคุณหนูขึ้นพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ทำไมถึงไม่ระวังเลย เจ็บตรงไหนหรือเปล่า? เสื้อผ้าก็เลอะหมดแล้ว เดี๋ยวผมพาคุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะ”พูดจบเขาเรียกพนักงานเสิร์ฟมาถามหาห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะพาหญิงสาวออกจากงานไปลั่วอี้ฝานขมวดคิ้วพลางเอ่ยเบา ๆ “ผีเน่ากับโลงผุจริง
ฉันครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบา ๆไม่นานนักฉันกับลั่วอี้ฝานก็เดินมาถึงห้องจัดเลี้ยง เสียงดนตรีไพเราะบรรเลงไปทั่ว ผู้คนต่างจับกลุ่มกันพูดคุยหรือเดินถือแก้วแชมเปญไปมา ทั้งหมดต่างต้องการใช้โอกาสในงานเลี้ยงนี้เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับตัวเองซึ่งฉันกับลั่วอี้ฝานก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกันเพราะปกติฉันไม่ค่อยออกสังคม ลั่วอี้ฝานจึงพาฉันไปทำความรู้จักกับคนอื่น ๆเพิ่งแนะนำตัวกับบางคนเสร็จ ลั่วอี้ฝานก็เหลือบมองเป้าหมายอีกคนที่สะดุดตาเข้าอย่างจังเขาใช้ศอกสะกิดฉันเบา ๆ ฉันจึงมองตามสายตาของเขาแล้วพูดว่า "ประธานสวีก็มาเหมือนกัน ไปกันเถอะ เราไปทักทายเขาหน่อย"“ได้สิ”ลั่วอี้ฝานพาฉันเดินไปหาประธานสวี แต่พอเดินไปได้ครึ่งทาง จู่ ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเราฉันเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ และเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ฉันก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นนี่คงเป็นผลกระทบจากการช่วยเหลือครั้งนั้น“เธอคนนี้แหละ”หญิงสาวผู้ดีคล้องแขนชายคนหนึ่งไว้ แล้วชี้มาที่ฉันพร้อมกับทำเสียงออดอ้อนว่า “ประธานหลี่ต้องช่วยฉันเอาคืนเธอให้ได้นะคะ”“กล้านักนะ กล้ารังแกคนของหลี่ซู่คนนี้ได้ยังไง?” ประธานหลี่มอง
เมื่อแขกที่ผ่านไปมาต่างหยุด ทว่าไม่มีใครออกหน้ามาช่วยพูดแทนชายชราเลยแม้กระทั่งคนที่เห็นชัดเจนว่าแท้จริงแล้วหญิงสาวคนดังกล่าวเดินไม่ระวังเองชายชราถูกต่อว่าจนหน้าแดง แต่ยังคงกล่าวขอโทษต่อไป “ขอโทษนะ คุณหนู ชุดของเธอราคาเท่าไหร่ ฉันจะชดใช้ให้...”“ผู้หญิงคนนี้นี่น่ารังเกียจจริง ๆ” ลั่วอี้ฝานขมวดคิ้ว มองดูความวุ่นวายตรงหน้าฉันหันไปมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนก้าวเท้าเดินเข้าไปยืนข้างชายชรา แล้วส่งยิ้มให้คุณหนูคนดังกล่าวพลางพูดว่า "เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณปู่นะคะ"จากนั้นฉันหันกลับไปเผชิญหน้าหญิงสาวที่แต่งหน้าอย่างประณีต พร้อมชี้ไปที่กล้องด้านบน “ที่นี่มีกล้องวงจรปิด อยากให้เราเรียกมาตรวจดูไหมว่าใครกันแน่ที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ?”หญิงสาวมองฉันด้วยความประหลาดใจ “เธอเป็นใคร?”“ฉันเป็นใครไม่สำคัญหรอก สำคัญคือต้องเรียกดูภาพจากกล้องวงจรปิด” ฉันหันไปส่งสัญญาณให้ลั่วอี้ฝานลั่วอี้ฝานเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่พอเห็นฉันส่งสายตามาให้ เขาก็เข้าใจทันที ก่อนเรียกพนักงานคนหนึ่งมา “ไปตามผู้จัดการของพวกคุณมา”สมแล้วที่เป็นหุ้นส่วนของฉัน เข้าขากันได้ดีไม่มีที่ติฉันขยิบตาให้ลั่วอี้ฝานด้วยความพอใจเขาย
ฉันง่วงมากจนไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน พอรู้ตัวอีกที เสียงของลั่วอี้ฝานก็ดังขึ้นปลุกฉัน“ซิงลั่ว ตื่นเถอะ”ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างงงงวย มองไปรอบ ๆ อย่างสับสนดูเหมือนว่าเราจะจอดอยู่หน้าร้านเช่าชุดราตรี ฉันเปิดประตูรถลงไปถามว่า “มาที่นี่ทำไม?”“ลืมแล้วเหรอ?”เสียงของลั่วอี้ฝานดังขึ้นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ลืมจริง ๆ เหรอ?”“อ๋อ” ฉันพึ่งจะนึกออก หลังจากที่เขาโทรมาบอกตอนกลางวันว่า ตอนเย็นจะพาฉันไปเจอใครบางคน ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเราคือไปร่วมงานเลี้ยงไม่นานนัก เราก็เลือกชุดราตรีจากร้านเสื้อผ้าได้หนึ่งชุด พร้อมทั้งจัดแต่งทรงผมและแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อยเมื่อออกมาจากร้านชุดราตรี รถเบนท์ลีย์สีดำสำหรับนักธุรกิจจอดรออยู่ตรงหน้าฉันลั่วอี้ฝานผายมือเชิญอย่างสุภาพ ฉันหันไปมองเขาพลางถาม “เปลี่ยนรถแล้วเหรอ?”“อืม” เขาดูเวลาที่นาฬิกา จากนั้นเปิดประตูรถ “เร็วเข้า เดี๋ยวจะไม่ทันเอา”บนรถ เขาเพิ่งเล่าให้ฉันฟังว่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เขาได้ขยายทีมงานเพิ่มขึ้น ทั้งจ้างคนขับรถและพนักงานใหม่ อีกทั้งยังเล่าถึงครั้งหนึ่งที่เขาไปเจรจาธุรกิจ แต่ถูกยกเลิกการนัดหมาย เพราะแต่งตัวไม่เป็นทางการและรถที่ใ