ฉันรู้สึกโมโหมาก แต่กู้จือโม่กลับดูเหมือนจะอารมณ์ดีฉันสบถในใจ ‘อารมณ์แปรปรวนขนานหนัก เปลี่ยนสีหน้าเร็วกว่าถอดกางเกงเสียอีก’ฉันผลักเขาอย่างแรง “หมาดีไม่ขวางทางคน หลีกไป”ฉันจากไปด้วยความโกรธ แต่ไม่รู้ว่าการกระทำของฉันและกู้จือโม่ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเฉินเยวี่ยแล้วฉันกลับถึงบ้าน อาบน้ำ แล้วยืนที่หน้ากระจกคนที่อยู่ในกระจกมีริมฝีปากสวย ฟันขาว คิ้วและดวงตางดงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด ทุกส่วนล้วนมีเสน่ห์ที่พอเหมาะพอดีแต่ทว่าบนริมฝีปากกลับมีรอยแดงจาง ๆ แต้มอยู่เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ในตรอกมืดเมื่อครู่ ภาพของเด็กหนุ่มที่ดวงตาเย็นชาจูบฉันอย่างดุดัน ทำให้ฉันรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมดกู้จือโม่ไม่ชอบฉัน ชาติที่แล้วไม่ชอบ ชาตินี้ก็ไม่ชอบเช่นกันแต่ถ้าเขาไม่ชอบ ทำไมถึงยังมาทำให้ฉันหวั่นไหวอีกล่ะ?มือที่ยันอ่างล้างหน้ากำขอบแน่นขึ้นเรื่อย ๆสักพัก ฉันก็ตั้งสติได้ จึงกลับเข้าห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงฤทธิ์แอลกอฮอล์เริ่มทำงาน ถึงเวลาที่ควรจะหลับได้แล้ว แต่ฉันกลับนอนไม่หลับเสียทีฉันพลิกไปพลิกมาบนเตียงจนทนไม่ไหว ก็เลยลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมออกไปนั่งที่ระเบียงรอชมพระอาทิตย์ขึ้นแสงอรุณทะล
ฉันเบ้ปากใส่เขาอย่างไม่พูดอะไร แล้วก็หันหลังเดินออกไปลั่วอี้ฝานเดินตามหลังฉันมา “เธอมาปักกิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงมาดูบ้าน เธอคิดจะซื้อบ้านที่ปักกิ่งเหรอ?”อ๊บอ๊บอ๊บ!กบตัวใหญ่ร้อง!ฉันไม่คิดจะหันกลับไป ลั่วอี้ฝานก็ถามขึ้นมาทันที “เธอมาซื้อบ้านที่ปักกิ่ง ครอบครัวเธอรู้รึเปล่า?”ฉันชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับไปลั่วอี้ฝานยิ้มเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ “ในที่สุด เธอก็หยุดแล้วสินะ”ฉันกำหมัดแน่น ขมวดคิ้วมองเขา “นายหมายความว่ายังไง?”“ไม่มีความหมายอะไร” ลั่วอี้ฝานเดินเข้ามาใกล้ฉัน ยิ้มแล้วพูดว่า “แค่อยากทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีหน่อย ฉันเป็นคนปักกิ่ง ด้วยความสัมพันธ์ของเรา เธอมาที่นี่ ฉันต้องพาเธอไปกิน ไปเที่ยวเล่นหน่อยสิ”“ไม่จำเป็นหรอก”“งั้นตอนเธอซื้อบ้าน ฉันจะหาคนมาช่วยลดราคาให้ไหม? ไม่งั้น…” ลั่วอี้ฝานลูบคาง “ฉันจะบอก...”“หุบปากซะ” ฉันขัดจังหวะเขาก่อนที่เขาจะพูดจบเห็นท่าทางมั่นใจของลั่วอี้ฝานแล้ว ฉันอยากจะต่อยเขาจริง ๆหลายวันต่อมา ลั่วอี้ฝานก็พาฉันเที่ยวปักกิ่งไปต่อคิวซื้อชานมไข่มุกที่ร้านดัง ถ่ายรูปเช็กอินที่แลนด์มาร์คยอดฮิต กินอาหารที่อินฟลูเอนเซอร์แนะนำ ซึ่งไม่อร่อยแม้แต
หลังจากนั้น ลั่วอี้ฝานก็ไม่ได้มาหาฉันอีกเขาไม่มาหาฉันก็ดีแล้ว ฉันให้เฉิงเฉิงเอาเอกสารอะไรสักอย่างของเขาให้ฉันชุดหนึ่ง แล้วก็ไปหานายหน้าอสังหาริมทรัพย์เพื่อจองบ้านหลังนั้นวันนัดจ่ายเงินงวดสุดท้าย ลั่วอี้ฝานปรากฏตัวขึ้นเขายืนรอฉันอยู่ที่ชั้นล่างของโรงแรมฉันเดินเข้าไปหาเขา เขาก็ยังมีท่าทีเจ้าชู้เหมือนเดิม “นี่ กำลังจะไปจ่ายเงินแล้วเหรอ? หน้าตาของฉันใช้ประโยชน์ได้ดีเลยนะ”ลั่วอี้ฝานหน้าตาดี ผิวเขาขาวกว่าผู้หญิงหลายคนเสียอีกฉันมองใบหน้าเขาที่แดงเล็กน้อย แล้วก็นึกถึงผู้หญิงที่อยู่ในสถานพักฟื้นคนนั้นขึ้นมาทันที“ไม่ต้องให้นายช่วยหรอก ฉันจ่ายเองได้”“นี่” ลั่วอี้ฝานจับข้อมือฉันแล้วดันฉันเข้าไปในรถของเขา “มีของถูกไม่เอาก็ถือว่าโง่แล้ว”พูดจบ รถก็เคลื่อนออกไปแล้วฉันถูกบังคับให้นั่งบนรถของเขา รู้สึกพูดไม่ออก แต่ก็คิดว่า ส่วนลดที่เขาเสนอให้ ก็ควรจะรับไว้พอไปถึงสำนักงานขาย ฉันถึงรู้ว่าโครงการนี้เป็นของตระกูลเขาฉันมองเงินที่ประหยัดได้ซึ่งเป็นหนึ่งในสามพันของราคาบ้าน ก็รู้สึกดีใจจนแทบจะหยุดยิ้มไม่ได้ลั่วอี้ฝานนั่งพิงโซฟาบนขาข้างหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เหมือนคุณชาย “ดูเธอสิ ตกหลุมเงิน
ลั่วอี้ฝานหันมามองฉัน ดวงตาเหมือนดอกท้อของเขาดูเต็มไปด้วยความรักฉันขมวดคิ้ว แล้วก้าวไปข้างหน้า “ถ้านายอยากจะบ้า ก็อย่ามาลากฉันเข้าไปเกี่ยวด้วย”“นี่” ลั่วอี้ฝานตามฉันมา “แค่ล้อเล่นเอง ทำไมต้องโกรธด้วย”……ร้านอาหารที่ฉันพาลั่วอี้ฝานไปทาน เป็นร้านที่เฉิงเฉิงแนะนำให้ครอบครัวลุงของเฉิงเฉิงอยู่ในปักกิ่ง เธอใช้ชีวิตที่นี่จนถึงอายุสิบขวบ ถือว่าเป็นคนปักกิ่งครึ่งหนึ่งร้านอาหารนี้เป็นร้านที่เธอแนะนำให้ฉัน ฉันคิดว่าร้านที่เฉิงเฉิงแนะนำต้องดีกว่าร้านดังในอินเทอร์เน็ตที่ลั่วอี้ฝานพาฉันไปแน่นอนเมื่อถึงร้านอาหาร ลั่วอี้ฝานไปจอดรถ ส่วนฉันยืนรออยู่ที่หน้าประตูรออยู่พักใหญ่ ลั่วอี้ฝานก็ยังไม่กลับมาฉันกำลังจะไปดู ก็พบว่า กู้จือโม่และเฉินเยวี่ยก็มาด้วยก่อนที่พวกเขาจะเห็นฉัน ฉันก็รีบหลบไปอีกทางในขณะที่ฉันกำลังดีใจที่ตัวเองเคลื่อนไหวรวดเร็วและไม่หันกลับไปมองพวกเขา กู้จือโม่ก็ปรากฏตัวต่อหน้าฉันเหมือนกับผีฉันตกใจ ร้อง “อ๊ะ” ออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนสะดุดก้อนหินขณะถอยหลัง จนหงายหลังไปทั้งตัวฉันหลับตาลง ความเจ็บปวดที่คาดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น มีแขนมาโอบรอบเอวของฉันเอาไว้ชั่วพริบตา ฉันก็ถูกดึง
จากนั้น พวกเขาก็เข้าไปในห้องพักของโรงแรมด้วยกัน ฉันยืนอยู่ที่เดิมมองดูจนกระทั่งประตูปิดลง ฉันจึงลงไปทานอาหารก่อนลงไปฉันยังหิวมาก อยากกินอะไรหลายอย่าง แต่ตอนนี้มองดูเมนู ฉันกลับไม่มีความอยากอาหารเหลืออยู่เลยพนักงานเสิร์ฟยืนรออยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ บนใบหน้าไม่มีแววเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อยฉันรู้สึกเกรงใจ จึงขอให้เธอแนะนำอาหารชุดของวันนี้ให้ แล้วนั่งนับเมล็ดข้าวไปเรื่อย ๆในหัวคิดถึงภาพที่เห็นพวกเขาเข้าห้องด้วยกันเมื่อครู่นี้ ฉันคิดว่าพวกเขาคงจะไปกันได้สวยมากแล้วแต่ว่า…ในหัวคิดถึงภาพคืนนั้นที่เขาจูบฉันขึ้นมา ทันใดนั้นฉันก็เริ่มคิดว่า ฉันเป็นอะไรกันแน่?ฉันเป็นลูกแมวที่เขาแกล้งเล่นตอนเบื่อ ๆ หรือเป็นแค่ของเล่นที่เขาอยากหยิบมาเล่นเมื่อไหร่ก็ได้?ฉันกำช้อนส้อมในมือแน่นจนเกือบจะหักฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วลุกเดินออกไปเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันไปที่สนามบินก่อนจะทันได้ขึ้นเครื่อง โทรศัพท์ก็ดังขึ้นฉันหยิบโทรศัพท์ออกมา พบว่าเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จักลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็รับสายเสียงของลั่วอี้ฝานดังมาจากปลายสาย “ลั่วลั่ว เธอทำแบบนี้ไม่ถูกนะ นัดกินข้าวยังเบี้ยวนัด ตอนนี้ยังเปลี่ยนโร
หลังจากพูดจบ ฉันก็ก้าวเดินอีกครั้ง เสียงโกรธเกรี้ยวของเฉียวเจี้ยนกั๋วก็ดังขึ้นมาว่า “หยุดอยู่ตรงนั้น!”“ดูสภาพตัวเองตอนนี้สิ! ออกไปข้างนอกก็ไม่บอกไม่กล่าว กลับมาก็ไม่รู้จักทักทายใคร”“แกยังเห็นพ่อคนนี้อยู่ในสายตาไหม! ยังเห็นป้าของแกอยู่ไหม?!”ฉันมองเฉียวเจี้ยนกั๋วที่ทำหน้าบึ้งอย่างใจเย็น มุมปากยกยิ้มจาง ๆ “หนูจะเห็นคุณพ่ออยู่ในสายตาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณพ่อเห็นหนู ลูกสาวคนนี้อยู่ในสายตาหรือเปล่า”“พ่อ” ฉันพึมพำสองคำนี้ออกมา รู้สึกว่าเฉียวเจี้ยนกั๋วไม่คู่ควรกับคำนี้เลย“หนูนั่งเครื่องบินมาห้าชั่วโมง เหนื่อยแล้ว คุณพ่อ…” ฉันจงใจเน้นเสียงสองคำนี้ “ขอถามว่าตอนนี้หนูขึ้นไปพักผ่อนได้หรือยัง?”คำพูดประชดประชันของฉันทำให้เฉียวเจี้ยนกั๋วโกรธมากยิ่งขึ้น เขาก้าวพรวดเดียวมาหาฉัน ยกมือขึ้นจะตีฉัน หลี่เหม่ยอิงรีบคว้ามือของเขาไว้ทันที “คุณเฉียว คุณกำลังทำอะไร ลูกเหนื่อยก็ให้เธอไปพักผ่อนสิ นี่จะทำอะไรน่ะ?”เธอพูดพลางหันกลับมาพูดกับฉันอย่างอ่อนโยน "ลั่วลั่ว อย่าถือสาพ่อของเธอเลย เธอออกไปข้างนอกตั้งหลายวันแล้ว ไม่โทรกลับบ้านเลย เขาเป็นห่วงเธอน่ะ ไม่มีอะไรแล้ว กลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน เดี๋ยวท
และต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือหลี่เหม่ยอิง และเฉียวเจี้ยนกั๋วตอนนั้นเองที่ฉันถึงได้รู้ว่า ภายใต้ใบหน้าที่อ่อนโยนและมีสติปัญญานั้น ซ่อนความชั่วร้ายไว้มากมายเพียงใดฉันส่ายหัว รอฟังคำพูดต่อไปของเธอ“ก็ดีแล้ว” หลี่เหม่ยอิงจับมือฉัน “พ่อลูกกัน จะมีเรื่องบาดหมางกันข้ามคืนได้ยังไง จริงไหม?”ฉันดึงมือออกจากมือของหลี่เหม่ยอิง “คุณมีอะไรก็พูดมาตรง ๆ เลยเถอะ ไม่ต้องอ้อมค้อมนานขนาดนี้หรอก”หลี่เหม่ยอิงรู้สึกเขินอายกับคำพูดของฉัน บีบมืออย่างไม่สบายใจก่อนจะพูดออกมา “คืออย่างนี้ เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อันดับที่สองของเมืองอวิ๋นเฉิง พ่อของเธอรู้สึกว่าเธอทำให้เขาภูมิใจ เขาเลยอยากจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้เธอ”ฉันหัวเราะเยาะ มันเป็นงานเลี้ยงฉลอง หรือเป็นการเอาฉันออกไปเปรียบเทียบเพื่อดูว่าฉันมีค่าแค่ไหนกันแน่?“ตกลงค่ะ” ฉันพยักหน้าตอบรับ “แต่หนูขอสองล้านห้าแสนบาทนะ ใกล้เปิดเทอมแล้ว หนูอยากซื้อเสื้อผ้ากับอุปกรณ์การเรียนนิดหน่อย ได้ไหม?” พวกเขาอยากจะรีดไถผลประโยชน์จากฉัน ฉันก็ต้องเอาบ้างเมื่อหลี่เหม่ยอิงได้ยินว่าฉันขอตั้งสองล้านห้าแสนบาท เธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็คลายออกอย่างรวดเร็ว “ก็สมควรแล
เพียงเพราะเขาช่วยฉันลุกขึ้นตอนที่ฉันล้มตอนอายุสิบหกปี ให้ปลาสเตอร์ปิดแผลฉัน แล้วถามว่าฉันเจ็บไหมฉันกลืนความรู้สึกเจ็บปวดในลำคอลงไป ข่มความอ่อนแอทั้งหมดเอาไว้มันก็ดีนะ ตอนนี้ก็ดีแล้วฉันไม่คาดหวังอะไรจากพวกเขาอีกแล้ว เมื่อรู้ว่าพวกเขาไม่ได้รักฉัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องรักพวกเขา ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ฉันรู้สึกโล่งใจ……งานเลี้ยงฉลองการศึกษาต่อของฉันถูกกำหนดไว้ในอีกสามวันข้างหน้า ก่อนจะถึงวันนั้นเฉียวเจี้ยนกั๋วและหลี่เหม่ยอิงใช้เงินไปกับฉันเป็นจำนวนมากหลี่เหม่ยอิงนัดช่างดูแลผิวที่ดีที่สุดในเมืองอวิ๋นเฉิงมาให้ฉันทำทรีทเมนท์ผิวติดต่อกันสองวัน แล้วก็พาฉันไปทำผม ทำเล็บ และอื่น ๆ ตั้งใจจะทำให้ทุกส่วนในร่างกายของฉันดูสวยงามคืนก่อนงานเลี้ยง ชุดราตรีที่เฉียวเจี้ยนกั๋วสั่งตัดให้ฉันก็มาส่ง เป็นชุดกระโปรงทรงเจ้าหญิงสีแชมเปญ ตกแต่งชายกระโปรงด้วยเพชรเม็ดเล็ก ๆ ฉันลองใส่แล้ว สวยมากเลยทีเดียว ให้ความรู้สึกทั้งใสซื่อและเซ็กซี่ในเวลาเดียวกันฉันไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่ทุกคนบอกว่าฉันสวย แม้แต่เฉียวเจี้ยนกั๋วยังชมว่า “ลูกสาวฉันเหมือนนางฟ้าลงมาจากสวรรค์” ฉันเงยหน้ามองเขา เห็นว่าเฉียวซิงอวี่กำล