ฉันจับจ้องสีหน้าของกู้จือโม่ มองดูความรังเกียจที่ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วบนใบหน้าของเขาหลังจากที่ฉันพูดจบ เหมือนกับทุกครั้งเห็นไหม นี่แหละผู้ชายจริง ๆ ก็ไม่แปลกหรอก คนที่รักนายมาเนิ่นนาน ตื๊อนายชนิดแทบจะไม่เหลือศักดิ์ศรี แล้วจู่ ๆ มาบอกว่าไม่ได้รักนายแล้ว ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงไม่เชื่อเหมือนกันเพราะแบบนี้ เขาถึงได้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของฉันไม่ได้ แล้วก็แสดงความรังเกียจออกมาตอนที่ฉันเพิ่งถามเขาว่า “นายเป็นใครสำหรับฉัน”ทั้งที่มันเป็นแค่การลองใจเล็กน้อยเท่านั้นฉันยิ้มออกมาเบา ๆ พลางถอยหลังไปสองก้าว “เห็นไหม นายตอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”“ที่ฉันบอกว่าฉันไม่ชอบนายแล้ว มันเป็นเรื่องจริง ทุกสิ่งที่ฉันทำช่วงนี้ไม่ใช่เพราะฉันเล่นตัว”“กู้จือโม่” ฉันเรียกชื่อเขาอย่างจริงจัง “เชื่อฉันเถอะ ฉันจะไม่ตามตื๊อนายอีกแล้ว”“อีกแค่ห้าวัน อีกแค่ห้าวันเราก็จะจบการศึกษาแล้ว หลังจากจบการศึกษา เราจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป”“เมืองนี้มันเล็กมาก เล็กจนถ้าเราตั้งใจหลีกเลี่ยงกัน เราก็จะไม่เจอกันอีกได้จริง ๆ”พูดจบ ฉันก็ไม่ได้มองเขาอีก และหันหลังกลับ“เธอไม่ชอบฉันแล้ว งั้นเธอชอบใครล่ะ?”ฉันเด
“ซวยจริง ๆ” เฉิงเฉิงแสดงความไม่พอใจเฉินเยวี่ยทันทีที่เห็นเธอ หันมาดึงฉันออกไปทันที “ลั่วลั่ว ที่นี่แมลงวันเยอะเกินไป เราไปร้านอื่นกันเถอะ”ฉันมองเฉินเยวี่ยแวบหนึ่ง ด้วยความที่ฉันรู้จักเธอดี เธอต้องหาเรื่องอะไรแน่ ๆส่วนฉันเองก็เฉย ๆ ไม่อยากเสียเวลาหรือแรงกายแรงใจไปกับพวกเธอฉันพยักหน้าให้เฉิงเฉิง “ได้ ไปกันเถอะ”ฉันกับเฉิงเฉิงเดินออกไป ลูกน้องของเฉินเยวี่ยมองเธอแวบหนึ่ง แล้วพูดจิกกัดขึ้นมา “เสแสร้งไปทำไมกัน ใคร ๆ ก็รู้ว่าใกล้จะล้มละลายแล้วยังทำท่าหยิ่งยโสอีก”เฉินเยวี่ยแกล้งห้ามลูกน้อง “อย่าพูดเลย”“เธอว่าใคร?” เฉิงเฉิงหันกลับอย่างรวดเร็ว เดินตรงไปยังลูกน้องคนนั้นด้วยท่าทีดุดัน เธอผลักเฉินเยวี่ยจนเซไปชนราวแขวนเสื้อ “โอ๊ย!” เฉินเยวี่ยกรีดร้องขึ้นมาลูกน้องอีกคนของเฉินเยวี่ยรีบเข้าไปประคองเธอ “เยวี่ยเยวี่ย เธอไม่เป็นไรใช่ไหม? เฉิงเฉิง ทำไมเธอถึงทำร้ายคนอื่นแบบนี้?”“แล้วทำไมฉันจะทำร้ายพวกเธอไม่ได้? ปากดีนัก ระวังจะโดนฉันซ้อมจนหน้าบวมเหมือนหัวหมู!” เฉิงเฉิงเคลื่อนไหวเร็วมาก ฉันยังไม่ทันตั้งตัว เธอก็พุ่งไปหาอีกฝ่ายแล้ว ยกมือขึ้นเตรียมจะตบไม่ต้องพูดถึงเรื่องจำนวนคน ฉันกับเฉิงเฉิงแ
เหลือแค่เราสองคนแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกันหลังจากที่ฉันกับกู้จือโม่ทะเลาะกันในวันนั้น หลังจากวันนั้นฉันคิดว่าเราสองคนคงจะไม่ได้เจอกันอีกนาน แต่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งฉัน เราไม่เพียงแต่เจอกันเร็วเท่านั้น แต่ยังเจอกันในสถานการณ์แบบนี้อีกฉันมองกู้จือโม่ที่กำลังทำหน้าบึ้งตึง เขาเดินเข้ามาหาฉันทีละก้าว ทำให้ฉันอยากจะถอยหลังออกมาอย่างเงียบ ๆ แต่ก่อนที่ฉันจะทันได้ถอย เขาก็คว้าข้อมือฉันไว้แล้วเหวี่ยงฉันไปชนเข้ากับเคาน์เตอร์คิดเงินจากนั้น เขาก็ขวางหน้าฉัน มือข้างหนึ่งกดลงข้างแขนของฉัน โน้มตัวเล็กน้อยแล้วมองมาที่ฉัน “เธอจับคู่ฉันกับเฉินเยวี่ย แล้วเธอล่ะจับคู่ตัวเองกับใคร?”“ลั่วอี้ฝาน? หรือตระกูลเศรษฐีอื่นในเมืองอวิ๋นเฉิง?”ในปากของกู้จือโม่ ฉันเป็นราวกับสินค้าที่มีป้ายราคาติดอยู่แม้ว่าเขาจะเคยพูดมาแล้วครั้งหนึ่ง และฉันก็รู้ว่าในใจของเขา ฉันเป็นคนที่เจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่ฉันก็ยังรู้สึกโกรธที่ถูกดูแคลนแบบนี้ฉันจ้องมองเขา แล้วยิ้มออกมา จงใจยั่วโมโหเขา “นายคิดว่าฉันจะเลือกใครล่ะ?”“เฉียวซิงลั่ว!”กู้จือโม่แทบจะกัดฟันเรียกชื่อฉันฉันยกมือขึ้นแตะใบหน้าเขาอย่างช้า ๆ พอเกือบจะแต
ตอนที่ฉันเพิ่งคำนวณเงินเก็บของตัวเองกับของฟุ่มเฟือยบางอย่างที่ไม่ได้ใช้เสร็จ คนรับใช้ก็มาเรียกฉันให้ลงไปกินข้าวฉันตอบรับ วางของลง แล้วลุกออกไปฉันคิดว่าฉันอยู่ข้างบนนานขนาดนั้น ลั่วอี้ฝานคงจะกลับไปแล้ว แต่พอเดินไปถึงห้องอาหาร เขากลับนั่งหัวโต๊ะเหมือนเจ้าภาพและเฉียวเจี้ยนกั๋วนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาฉันแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ปกติเฉียวเจี้ยนกั๋วชอบทำตัวเคารพผู้ใหญ่มากเวลาอยู่ต่อหน้าฉันกับเฉียวซิงอวี่เฉียวเจี้ยนกั๋วลงมา รีบเรียกฉัน “ลั่วลั่วรีบมาร็ว ลูกมาคุยกับคุณชายลั่วหน่อย พ่อแก่แล้ว หนุ่มสาวอย่างพวกลูกคงไม่สนใจเรื่องที่พ่อพูดหรอก”ฉันจับราวบันไดไว้ มือถือโทรศัพท์ขึ้นมาส่ายไปมาตรงหน้าเฉียวเจี้ยนกั๋ว บอกตัวเลขเขาไปแบบไม่มีเสียงวินาทีต่อมาโทรศัพท์ของฉันก็มีเสียงแจ้งเตือนว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีแล้วฉันเดินไปหาพวกเขาอย่างช้า ๆ เปิดโทรศัพท์ดูจำนวนเงินสองแสนห้าหมื่นบาทฉันเบ้ปากเล็กน้อย กอดอก แล้วหยุดฝีเท้าลง “คุณเฉียว ค่าปิดปากที่คุณให้นี่มันน้อยไปหน่อยนะคะ”“หรือว่า…” ฉันพูดพลางมองไปที่ลั่วอี้ฝานอย่างมีเลศนัยลั่วอี้ฝานฉลาดมาก เขามองสบตากับฉันแวบหนึ่ง ดูเหมือนจะเข้าใจปริศนาที่ฉันกับ
อาจเป็นเพราะการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจบลง ความตึงเครียดในสมองจึงหายไปคืนนั้น ฉันก็เป็นไข้สูงทันทีจนกระทั่งคืนก่อนวันรับใบแจ้งผลสอบ ฉันก็เกือบจะหายดีแล้วในคืนที่ผลสอบออก ฉันก็ตรวจคะแนนทางออนไลน์คะแนนเต็มเจ็ดร้อยห้าสิบ ฉันได้เจ็ดร้อยสิบสามจุดห้าสูงกว่าคะแนนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งกำหนดไปกว่าสามสิบคะแนนฉันพอใจกับผลลัพธ์นี้มากหลังถูกหลอกหลอนด้วยฝันร้ายมาหลายคืน ในที่สุดก็ถูกความฝันอันแสนหวานกลบทับเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นแต่เช้าเพื่อเก็บของไปโรงเรียนหลังจากเฉิงเฉิงสอบเสร็จ พ่อแม่ก็พาเธอไปเที่ยวต่างประเทศผ่านไปกว่าสิบวัน เราสองคนถึงได้เจอกันที่หน้าโรงเรียนผมยาวของเฉิงเฉิงถูกตัดสั้นและย้อมเป็นสีน้ำตาลแดง เพราะเรียนจบแล้ว เธอจึงสวมชุดนักเรียนมัธยมปลายที่ไม่เป็นทางการ ทำให้เธอดูเหมือนสาวน้อยในการ์ตูนญี่ปุ่นที่ก้าวเข้ามาในโลกแห่งความเป็นจริงเฉิงเฉิงดีใจมากที่เจอฉัน เธอวิ่งมาหาฉันแล้วกอดฉันทันที“ลั่วลั่ว ฉันคิดถึงเธอมากเลย ฉันซื้อของขวัญให้เธอเยอะแยะมากมายจากไมอามี เดี๋ยวไปเอาใบแจ้งผลสอบแล้วไปเอาที่บ้านฉันดีไหม”เมื่อฉันถูกเธอกอด ใบหน้าของฉันเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “ได้สิ”
เมื่อครึ่งปีก่อน มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในโรงเรียนนี้ถูกเด็กผู้ชายกุเรื่องใส่ร้าย เพียงเพราะเธอปฏิเสธคำสารภาพรักของเขา ทุกคนในโรงเรียนต่างพากันนินทาเธอ จนสุดท้ายเธอถึงกับคิดสั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนขนาดนี้ยังไม่ทันจางหายไปจากความทรงจำ แต่หลายคนก็เลือกที่จะลืมมันไปแล้ว“มันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย?” เฉิงเฉิงจ้องเฉินเยวี่ย “อยากรู้ไปหมดทุกเรื่อง บ้านเธออยู่หน่วยข่าวกรองหรือยังไง?”เมื่อเฉินเยวี่ยถูกดุ ก็ทำหน้าเสียใจอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เธอดุฉันทำไม?”ฉันหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดที่ดูไม่สำนึกผิดของเฉินเยวี่ย“ก็เพราะเธอพูดโดยไม่รับผิดชอบไง” ฉันเหน็บผมที่ปรกหน้าไปไว้หลังหู แล้วมองเธอ “เธอรู้ไหมว่าการกุเรื่องขึ้นมาลอย ๆ ฉันสามารถฟ้องเธอในข้อหาหมิ่นประมาทได้นะ?”เฉินเยวี่ยจ้องมองฉัน มือที่ห้อยข้างลำตัวกำแน่นฉันไม่ได้มองเธอ จูงมือเฉิงเฉิงกลับไปที่นั่งของเราห่างจากที่นั่งของฉันไปสองแถว กู้จือโม่นั่งอยู่บนโต๊ะ มือล้วงกระเป๋า ขาข้างหนึ่งเหยียบโต๊ะข้าง ๆฉันเดินไปหาเขา เงยหน้ามองเขา อยากให้เขาหลีกทางให้ แต่บังเอิญสบตาเขาเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกผิดของฉันหรือ
งานประชุมชั้นเรียนครั้งสุดท้ายจบลงแล้ว ซึ่งก็เป็นสัญญาณว่าการทุ่มเทเรียนหนักมาสามปีก็จบลงเช่นกันตามธรรมเนียมของโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งแห่งอวิ๋นเฉิง คืนนี้จะมีงานเลี้ยงขอบคุณครูผู้สอนงานเลี้ยงระหว่างครูและนักเรียน จะต้องมีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ก่อนจบ ถึงจะเป็นการปิดฉากที่สมบูรณ์แบบหลังจากทานอาหารร่วมกัน ก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าแล้ว แต่ทุกคนยังไม่อยากแยกย้าย มีคนเสนอให้ไปคาราโอเกะกันเนื่องจากทุกคนบรรลุนิติภาวะแล้ว ครูประจำชั้นจึงไม่ได้ห้าม แต่หาข้ออ้างแยกตัวออกไปก่อน ปล่อยเวลาให้พวกเราหนุ่มสาวฉันไม่อยากอยู่ในพื้นที่เดียวกับกู้จือโม่ ไม่อยากต้องคอยระวังกับดักของเฉินเยวี่ย จึงอยากหาข้ออ้างปลีดตัวออกไป แต่เฉิงเฉิงกลับดึงฉันไว้ด้วยความตื่นเต้นไม่ยอมปล่อย“ลั่วลั่ว เราไปดื่มกันหน่อยดีไหม เอาเป็นโมฮีโต้เป็นไง? ฉันยังไม่เคยดื่มเลย อยากลองดูว่ามันจะอร่อยอย่างที่เขาว่ากันไหม” เฉิงเฉิงมองมาที่ฉัน ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มตื่นเต้นฉันรู้ว่าพ่อแม่ของเธอเข้มงวดมาก ตั้งแต่เด็กจนโตเธอไม่เคยแตะต้องแอลกอฮอล์เลยเมื่อคิดว่าเธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว บวกกับที่เธอใช้ดวงตากลมโตสีดำขลับมองมาที่ฉันด้วยควา
เฉิงเฉิงลุกขึ้นยืนจะไปทะเลาะกับคนอื่น ฉันรีบดึงเธอไว้ทันทีฉันลุกขึ้นแล้วดึงเฉิงเฉิงเดินไป “เล่นสิ จะเล่นยังไงดีล่ะ?”บางทีฉันอาจจะตอบตกลงเร็วเกินไป ทุกคนเลยยังงง ๆ อยู่ฉันเดินไปถามกฎกติกาเกม ไม่มีใครพูดอะไรเลย ฟางฉิงหยางเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว ขยับไปด้านข้าง ให้นั่งข้าง ๆ เขาแล้วอธิบายกติกาให้ฉันฟังกฎกติกาง่ายมาก คือใช้ขวดเบียร์หมุนบนโต๊ะ ปากขวดชี้ไปที่ใคร คนนั้นก็จะถูกถามคำถาม โดยคนถามคำถามก็คือคนที่ถูกถามในรอบที่แล้ว ทุกคนมีอิสระในการเลือกรูปแบบการลงโทษได้ฟางฉิงหยางพูดจบแล้วถามฉันว่า “เข้าใจไหม?”ฉันพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”เกมเพิ่งเริ่ม ทุกคนยังเล่นแบบเกร็ง ๆ อยู่คำถามที่ถามก็จะเป็นประเภท “เธอคิดว่าใครสวยที่สุดในห้อง?” “เธอมีคนที่ชอบไหม?” “เคยแอบชอบใครตอนเด็กไหม?” “เรื่องน่าอายที่สุดที่เคยทำคืออะไร” อะไรทำนองนี้ทุกคนค่อย ๆ เริ่มถามคำถามที่ท้าทายมากขึ้น และบทลงโทษจากเกมก็เริ่มยากขึ้นเช่นกันฉันนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คน มองดูพวกเขาแต่ละคนถูกถามคำถามทีละคน ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินอีกรอบหนึ่ง ปากขวดชี้ไปที่กู้จือโม่เสียงปรบมือดังขึ้นจากฝูงชนอย่างไม่มีเหตุผล พวก