เมื่อครึ่งปีก่อน มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในโรงเรียนนี้ถูกเด็กผู้ชายกุเรื่องใส่ร้าย เพียงเพราะเธอปฏิเสธคำสารภาพรักของเขา ทุกคนในโรงเรียนต่างพากันนินทาเธอ จนสุดท้ายเธอถึงกับคิดสั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนขนาดนี้ยังไม่ทันจางหายไปจากความทรงจำ แต่หลายคนก็เลือกที่จะลืมมันไปแล้ว“มันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย?” เฉิงเฉิงจ้องเฉินเยวี่ย “อยากรู้ไปหมดทุกเรื่อง บ้านเธออยู่หน่วยข่าวกรองหรือยังไง?”เมื่อเฉินเยวี่ยถูกดุ ก็ทำหน้าเสียใจอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เธอดุฉันทำไม?”ฉันหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดที่ดูไม่สำนึกผิดของเฉินเยวี่ย“ก็เพราะเธอพูดโดยไม่รับผิดชอบไง” ฉันเหน็บผมที่ปรกหน้าไปไว้หลังหู แล้วมองเธอ “เธอรู้ไหมว่าการกุเรื่องขึ้นมาลอย ๆ ฉันสามารถฟ้องเธอในข้อหาหมิ่นประมาทได้นะ?”เฉินเยวี่ยจ้องมองฉัน มือที่ห้อยข้างลำตัวกำแน่นฉันไม่ได้มองเธอ จูงมือเฉิงเฉิงกลับไปที่นั่งของเราห่างจากที่นั่งของฉันไปสองแถว กู้จือโม่นั่งอยู่บนโต๊ะ มือล้วงกระเป๋า ขาข้างหนึ่งเหยียบโต๊ะข้าง ๆฉันเดินไปหาเขา เงยหน้ามองเขา อยากให้เขาหลีกทางให้ แต่บังเอิญสบตาเขาเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกผิดของฉันหรือ
งานประชุมชั้นเรียนครั้งสุดท้ายจบลงแล้ว ซึ่งก็เป็นสัญญาณว่าการทุ่มเทเรียนหนักมาสามปีก็จบลงเช่นกันตามธรรมเนียมของโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งแห่งอวิ๋นเฉิง คืนนี้จะมีงานเลี้ยงขอบคุณครูผู้สอนงานเลี้ยงระหว่างครูและนักเรียน จะต้องมีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ก่อนจบ ถึงจะเป็นการปิดฉากที่สมบูรณ์แบบหลังจากทานอาหารร่วมกัน ก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าแล้ว แต่ทุกคนยังไม่อยากแยกย้าย มีคนเสนอให้ไปคาราโอเกะกันเนื่องจากทุกคนบรรลุนิติภาวะแล้ว ครูประจำชั้นจึงไม่ได้ห้าม แต่หาข้ออ้างแยกตัวออกไปก่อน ปล่อยเวลาให้พวกเราหนุ่มสาวฉันไม่อยากอยู่ในพื้นที่เดียวกับกู้จือโม่ ไม่อยากต้องคอยระวังกับดักของเฉินเยวี่ย จึงอยากหาข้ออ้างปลีดตัวออกไป แต่เฉิงเฉิงกลับดึงฉันไว้ด้วยความตื่นเต้นไม่ยอมปล่อย“ลั่วลั่ว เราไปดื่มกันหน่อยดีไหม เอาเป็นโมฮีโต้เป็นไง? ฉันยังไม่เคยดื่มเลย อยากลองดูว่ามันจะอร่อยอย่างที่เขาว่ากันไหม” เฉิงเฉิงมองมาที่ฉัน ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มตื่นเต้นฉันรู้ว่าพ่อแม่ของเธอเข้มงวดมาก ตั้งแต่เด็กจนโตเธอไม่เคยแตะต้องแอลกอฮอล์เลยเมื่อคิดว่าเธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว บวกกับที่เธอใช้ดวงตากลมโตสีดำขลับมองมาที่ฉันด้วยควา
เฉิงเฉิงลุกขึ้นยืนจะไปทะเลาะกับคนอื่น ฉันรีบดึงเธอไว้ทันทีฉันลุกขึ้นแล้วดึงเฉิงเฉิงเดินไป “เล่นสิ จะเล่นยังไงดีล่ะ?”บางทีฉันอาจจะตอบตกลงเร็วเกินไป ทุกคนเลยยังงง ๆ อยู่ฉันเดินไปถามกฎกติกาเกม ไม่มีใครพูดอะไรเลย ฟางฉิงหยางเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว ขยับไปด้านข้าง ให้นั่งข้าง ๆ เขาแล้วอธิบายกติกาให้ฉันฟังกฎกติกาง่ายมาก คือใช้ขวดเบียร์หมุนบนโต๊ะ ปากขวดชี้ไปที่ใคร คนนั้นก็จะถูกถามคำถาม โดยคนถามคำถามก็คือคนที่ถูกถามในรอบที่แล้ว ทุกคนมีอิสระในการเลือกรูปแบบการลงโทษได้ฟางฉิงหยางพูดจบแล้วถามฉันว่า “เข้าใจไหม?”ฉันพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”เกมเพิ่งเริ่ม ทุกคนยังเล่นแบบเกร็ง ๆ อยู่คำถามที่ถามก็จะเป็นประเภท “เธอคิดว่าใครสวยที่สุดในห้อง?” “เธอมีคนที่ชอบไหม?” “เคยแอบชอบใครตอนเด็กไหม?” “เรื่องน่าอายที่สุดที่เคยทำคืออะไร” อะไรทำนองนี้ทุกคนค่อย ๆ เริ่มถามคำถามที่ท้าทายมากขึ้น และบทลงโทษจากเกมก็เริ่มยากขึ้นเช่นกันฉันนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คน มองดูพวกเขาแต่ละคนถูกถามคำถามทีละคน ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินอีกรอบหนึ่ง ปากขวดชี้ไปที่กู้จือโม่เสียงปรบมือดังขึ้นจากฝูงชนอย่างไม่มีเหตุผล พวก
ฉันขมวดคิ้ว จ้องมองขวดที่ชี้มาทางฉันบังเอิญว่าในรอบที่แล้ว กู้จือโม่เป็นคนที่ถูกลงโทษ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเป็นคนถามคำถามฉันฉันไม่อยากคิดในแง่ร้าย แต่ดูจากที่เขาชอบหาเรื่องฉันบ่อย ๆ ในช่วงนี้ ฉันรู้สึกว่าเขาอาจจะทำให้ฉันลำบากใจตอนที่รักเขา แม้จะถูกทำให้ลำบากใจ ก็ยังรู้สึกว่าเป็นความสุข และเป็นการใส่ใจจากเขาแต่หลังจากที่ได้สติแล้ว ก็จะรู้สึกว่าสมองตัวเองคงเต็มไปด้วยขี้เลื่อยแต่ที่น่าแปลกใจคือ เขาถามคำถามธรรมดามาก ๆ เพียงข้อเดียว “คนที่เธอชอบแซ่อะไร?”ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คำถามนี้อาจจะตอบได้อย่างง่ายดายแต่ฉันตอบไม่ได้ แม้ว่าเหตุผลของฉันจะบอกให้ฉันอยู่ห่างจากกู้จือโม่ แต่ความชอบและความรักที่ยาวนานเช่นนั้นจะไม่หายไปในเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือนความเงียบของฉันทำให้กู้จือโม่ขมวดคิ้วเพื่อนร่วมชั้นบางคนพูดว่า “เธอไม่กล้าเล่นหรือไง คำถามแค่นี้ตอบยากขนาดนั้นเลยเหรอ?”“ความกล้าที่จะตามจีบคุณชายกู้หายไปไหนหมดแล้ว? ทำไมตอนนี้ถึงได้เขินอายแบบนี้ล่ะ?”คำพูดของเพื่อนร่วมชั้นทำให้เฉินเยวี่ยที่เดิมทียิ้มแย้มค่อย ๆ เม้มริมฝีปากสายตาของเธอจับจ้องมาที่ฉัน ดูเหมือนจะมีความไม่พอใจและอิจฉ
การทำให้คนอื่นเปียก มีแต่จะถูกรังเกียจเท่านั้นอาเจียนอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเหล้าในกระเพาะอาหารออกมาจนเกือบหมดแล้ว ถึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แต่ร่างกายยังคงมึนงงอย่างหนักฉันไม่อยากกลับไปที่ห้องคาราโอเกะอีกแล้ว ก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความถึงเฉิงเฉิง บอกให้เธอออกมา เราสองคนจะได้กลับบ้านหลังจากออกจากห้องน้ำ ฉันก็ค่อย ๆ เดินไปที่ทางออกของคาราโอเกะอย่างช้า ๆเมื่อใกล้จะถึงประตูหมุน ก็ชนกับใครบางคนโดยไม่ตั้งใจฉันขอโทษโดยไม่รู้ตัว “ขอโทษค่ะ คุณเจ็บหรือเปล่า?”คำตำหนิที่คาดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น ฉันเงยหน้าขึ้นมองเห็นลั่วอี้ฝานกำลังมองมาที่ฉันด้วยสายตาหยอกล้อ “ฉันควรจะเป็นคนถามเธอนะ ที่รักของฉัน เธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”“ก็แหม ซิกแพคของฉันไม่ได้ได้มาง่าย ๆ นะ”คำพูดของลั่วอี้ฝานค่อนข้างไร้สาระ แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างบอกไม่ถูกฉันไม่อยากสนใจเขา “ถ้าคุณชายลั่วไม่เป็นอะไร ฉันขอตัวก่อน”พูดจบฉันก็กำลังจะจากไป“เดี๋ยวก่อนสิ” ลั่วอี้ฝานตามฉันมา แล้วพูดต่อทันที “เธอลองพิจารณาข้อเสนอของฉันอีกทีสิ”ฉันมึนหัวไปหมด จำไม่ได้เลยว่าข้อเสนอที่เขาพูดถึงคืออะไร จึงถามออกไปว่า
ฉันรู้สึกโมโหมาก แต่กู้จือโม่กลับดูเหมือนจะอารมณ์ดีฉันสบถในใจ ‘อารมณ์แปรปรวนขนานหนัก เปลี่ยนสีหน้าเร็วกว่าถอดกางเกงเสียอีก’ฉันผลักเขาอย่างแรง “หมาดีไม่ขวางทางคน หลีกไป”ฉันจากไปด้วยความโกรธ แต่ไม่รู้ว่าการกระทำของฉันและกู้จือโม่ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเฉินเยวี่ยแล้วฉันกลับถึงบ้าน อาบน้ำ แล้วยืนที่หน้ากระจกคนที่อยู่ในกระจกมีริมฝีปากสวย ฟันขาว คิ้วและดวงตางดงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด ทุกส่วนล้วนมีเสน่ห์ที่พอเหมาะพอดีแต่ทว่าบนริมฝีปากกลับมีรอยแดงจาง ๆ แต้มอยู่เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ในตรอกมืดเมื่อครู่ ภาพของเด็กหนุ่มที่ดวงตาเย็นชาจูบฉันอย่างดุดัน ทำให้ฉันรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมดกู้จือโม่ไม่ชอบฉัน ชาติที่แล้วไม่ชอบ ชาตินี้ก็ไม่ชอบเช่นกันแต่ถ้าเขาไม่ชอบ ทำไมถึงยังมาทำให้ฉันหวั่นไหวอีกล่ะ?มือที่ยันอ่างล้างหน้ากำขอบแน่นขึ้นเรื่อย ๆสักพัก ฉันก็ตั้งสติได้ จึงกลับเข้าห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงฤทธิ์แอลกอฮอล์เริ่มทำงาน ถึงเวลาที่ควรจะหลับได้แล้ว แต่ฉันกลับนอนไม่หลับเสียทีฉันพลิกไปพลิกมาบนเตียงจนทนไม่ไหว ก็เลยลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมออกไปนั่งที่ระเบียงรอชมพระอาทิตย์ขึ้นแสงอรุณทะล
ฉันเบ้ปากใส่เขาอย่างไม่พูดอะไร แล้วก็หันหลังเดินออกไปลั่วอี้ฝานเดินตามหลังฉันมา “เธอมาปักกิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงมาดูบ้าน เธอคิดจะซื้อบ้านที่ปักกิ่งเหรอ?”อ๊บอ๊บอ๊บ!กบตัวใหญ่ร้อง!ฉันไม่คิดจะหันกลับไป ลั่วอี้ฝานก็ถามขึ้นมาทันที “เธอมาซื้อบ้านที่ปักกิ่ง ครอบครัวเธอรู้รึเปล่า?”ฉันชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับไปลั่วอี้ฝานยิ้มเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ “ในที่สุด เธอก็หยุดแล้วสินะ”ฉันกำหมัดแน่น ขมวดคิ้วมองเขา “นายหมายความว่ายังไง?”“ไม่มีความหมายอะไร” ลั่วอี้ฝานเดินเข้ามาใกล้ฉัน ยิ้มแล้วพูดว่า “แค่อยากทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีหน่อย ฉันเป็นคนปักกิ่ง ด้วยความสัมพันธ์ของเรา เธอมาที่นี่ ฉันต้องพาเธอไปกิน ไปเที่ยวเล่นหน่อยสิ”“ไม่จำเป็นหรอก”“งั้นตอนเธอซื้อบ้าน ฉันจะหาคนมาช่วยลดราคาให้ไหม? ไม่งั้น…” ลั่วอี้ฝานลูบคาง “ฉันจะบอก...”“หุบปากซะ” ฉันขัดจังหวะเขาก่อนที่เขาจะพูดจบเห็นท่าทางมั่นใจของลั่วอี้ฝานแล้ว ฉันอยากจะต่อยเขาจริง ๆหลายวันต่อมา ลั่วอี้ฝานก็พาฉันเที่ยวปักกิ่งไปต่อคิวซื้อชานมไข่มุกที่ร้านดัง ถ่ายรูปเช็กอินที่แลนด์มาร์คยอดฮิต กินอาหารที่อินฟลูเอนเซอร์แนะนำ ซึ่งไม่อร่อยแม้แต
หลังจากนั้น ลั่วอี้ฝานก็ไม่ได้มาหาฉันอีกเขาไม่มาหาฉันก็ดีแล้ว ฉันให้เฉิงเฉิงเอาเอกสารอะไรสักอย่างของเขาให้ฉันชุดหนึ่ง แล้วก็ไปหานายหน้าอสังหาริมทรัพย์เพื่อจองบ้านหลังนั้นวันนัดจ่ายเงินงวดสุดท้าย ลั่วอี้ฝานปรากฏตัวขึ้นเขายืนรอฉันอยู่ที่ชั้นล่างของโรงแรมฉันเดินเข้าไปหาเขา เขาก็ยังมีท่าทีเจ้าชู้เหมือนเดิม “นี่ กำลังจะไปจ่ายเงินแล้วเหรอ? หน้าตาของฉันใช้ประโยชน์ได้ดีเลยนะ”ลั่วอี้ฝานหน้าตาดี ผิวเขาขาวกว่าผู้หญิงหลายคนเสียอีกฉันมองใบหน้าเขาที่แดงเล็กน้อย แล้วก็นึกถึงผู้หญิงที่อยู่ในสถานพักฟื้นคนนั้นขึ้นมาทันที“ไม่ต้องให้นายช่วยหรอก ฉันจ่ายเองได้”“นี่” ลั่วอี้ฝานจับข้อมือฉันแล้วดันฉันเข้าไปในรถของเขา “มีของถูกไม่เอาก็ถือว่าโง่แล้ว”พูดจบ รถก็เคลื่อนออกไปแล้วฉันถูกบังคับให้นั่งบนรถของเขา รู้สึกพูดไม่ออก แต่ก็คิดว่า ส่วนลดที่เขาเสนอให้ ก็ควรจะรับไว้พอไปถึงสำนักงานขาย ฉันถึงรู้ว่าโครงการนี้เป็นของตระกูลเขาฉันมองเงินที่ประหยัดได้ซึ่งเป็นหนึ่งในสามพันของราคาบ้าน ก็รู้สึกดีใจจนแทบจะหยุดยิ้มไม่ได้ลั่วอี้ฝานนั่งพิงโซฟาบนขาข้างหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เหมือนคุณชาย “ดูเธอสิ ตกหลุมเงิน