เหลือแค่เราสองคนแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกันหลังจากที่ฉันกับกู้จือโม่ทะเลาะกันในวันนั้น หลังจากวันนั้นฉันคิดว่าเราสองคนคงจะไม่ได้เจอกันอีกนาน แต่เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งฉัน เราไม่เพียงแต่เจอกันเร็วเท่านั้น แต่ยังเจอกันในสถานการณ์แบบนี้อีกฉันมองกู้จือโม่ที่กำลังทำหน้าบึ้งตึง เขาเดินเข้ามาหาฉันทีละก้าว ทำให้ฉันอยากจะถอยหลังออกมาอย่างเงียบ ๆ แต่ก่อนที่ฉันจะทันได้ถอย เขาก็คว้าข้อมือฉันไว้แล้วเหวี่ยงฉันไปชนเข้ากับเคาน์เตอร์คิดเงินจากนั้น เขาก็ขวางหน้าฉัน มือข้างหนึ่งกดลงข้างแขนของฉัน โน้มตัวเล็กน้อยแล้วมองมาที่ฉัน “เธอจับคู่ฉันกับเฉินเยวี่ย แล้วเธอล่ะจับคู่ตัวเองกับใคร?”“ลั่วอี้ฝาน? หรือตระกูลเศรษฐีอื่นในเมืองอวิ๋นเฉิง?”ในปากของกู้จือโม่ ฉันเป็นราวกับสินค้าที่มีป้ายราคาติดอยู่แม้ว่าเขาจะเคยพูดมาแล้วครั้งหนึ่ง และฉันก็รู้ว่าในใจของเขา ฉันเป็นคนที่เจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่ฉันก็ยังรู้สึกโกรธที่ถูกดูแคลนแบบนี้ฉันจ้องมองเขา แล้วยิ้มออกมา จงใจยั่วโมโหเขา “นายคิดว่าฉันจะเลือกใครล่ะ?”“เฉียวซิงลั่ว!”กู้จือโม่แทบจะกัดฟันเรียกชื่อฉันฉันยกมือขึ้นแตะใบหน้าเขาอย่างช้า ๆ พอเกือบจะแต
ตอนที่ฉันเพิ่งคำนวณเงินเก็บของตัวเองกับของฟุ่มเฟือยบางอย่างที่ไม่ได้ใช้เสร็จ คนรับใช้ก็มาเรียกฉันให้ลงไปกินข้าวฉันตอบรับ วางของลง แล้วลุกออกไปฉันคิดว่าฉันอยู่ข้างบนนานขนาดนั้น ลั่วอี้ฝานคงจะกลับไปแล้ว แต่พอเดินไปถึงห้องอาหาร เขากลับนั่งหัวโต๊ะเหมือนเจ้าภาพและเฉียวเจี้ยนกั๋วนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาฉันแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ปกติเฉียวเจี้ยนกั๋วชอบทำตัวเคารพผู้ใหญ่มากเวลาอยู่ต่อหน้าฉันกับเฉียวซิงอวี่เฉียวเจี้ยนกั๋วลงมา รีบเรียกฉัน “ลั่วลั่วรีบมาร็ว ลูกมาคุยกับคุณชายลั่วหน่อย พ่อแก่แล้ว หนุ่มสาวอย่างพวกลูกคงไม่สนใจเรื่องที่พ่อพูดหรอก”ฉันจับราวบันไดไว้ มือถือโทรศัพท์ขึ้นมาส่ายไปมาตรงหน้าเฉียวเจี้ยนกั๋ว บอกตัวเลขเขาไปแบบไม่มีเสียงวินาทีต่อมาโทรศัพท์ของฉันก็มีเสียงแจ้งเตือนว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีแล้วฉันเดินไปหาพวกเขาอย่างช้า ๆ เปิดโทรศัพท์ดูจำนวนเงินสองแสนห้าหมื่นบาทฉันเบ้ปากเล็กน้อย กอดอก แล้วหยุดฝีเท้าลง “คุณเฉียว ค่าปิดปากที่คุณให้นี่มันน้อยไปหน่อยนะคะ”“หรือว่า…” ฉันพูดพลางมองไปที่ลั่วอี้ฝานอย่างมีเลศนัยลั่วอี้ฝานฉลาดมาก เขามองสบตากับฉันแวบหนึ่ง ดูเหมือนจะเข้าใจปริศนาที่ฉันกับ
อาจเป็นเพราะการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจบลง ความตึงเครียดในสมองจึงหายไปคืนนั้น ฉันก็เป็นไข้สูงทันทีจนกระทั่งคืนก่อนวันรับใบแจ้งผลสอบ ฉันก็เกือบจะหายดีแล้วในคืนที่ผลสอบออก ฉันก็ตรวจคะแนนทางออนไลน์คะแนนเต็มเจ็ดร้อยห้าสิบ ฉันได้เจ็ดร้อยสิบสามจุดห้าสูงกว่าคะแนนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งกำหนดไปกว่าสามสิบคะแนนฉันพอใจกับผลลัพธ์นี้มากหลังถูกหลอกหลอนด้วยฝันร้ายมาหลายคืน ในที่สุดก็ถูกความฝันอันแสนหวานกลบทับเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นแต่เช้าเพื่อเก็บของไปโรงเรียนหลังจากเฉิงเฉิงสอบเสร็จ พ่อแม่ก็พาเธอไปเที่ยวต่างประเทศผ่านไปกว่าสิบวัน เราสองคนถึงได้เจอกันที่หน้าโรงเรียนผมยาวของเฉิงเฉิงถูกตัดสั้นและย้อมเป็นสีน้ำตาลแดง เพราะเรียนจบแล้ว เธอจึงสวมชุดนักเรียนมัธยมปลายที่ไม่เป็นทางการ ทำให้เธอดูเหมือนสาวน้อยในการ์ตูนญี่ปุ่นที่ก้าวเข้ามาในโลกแห่งความเป็นจริงเฉิงเฉิงดีใจมากที่เจอฉัน เธอวิ่งมาหาฉันแล้วกอดฉันทันที“ลั่วลั่ว ฉันคิดถึงเธอมากเลย ฉันซื้อของขวัญให้เธอเยอะแยะมากมายจากไมอามี เดี๋ยวไปเอาใบแจ้งผลสอบแล้วไปเอาที่บ้านฉันดีไหม”เมื่อฉันถูกเธอกอด ใบหน้าของฉันเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “ได้สิ”
เมื่อครึ่งปีก่อน มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในโรงเรียนนี้ถูกเด็กผู้ชายกุเรื่องใส่ร้าย เพียงเพราะเธอปฏิเสธคำสารภาพรักของเขา ทุกคนในโรงเรียนต่างพากันนินทาเธอ จนสุดท้ายเธอถึงกับคิดสั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนขนาดนี้ยังไม่ทันจางหายไปจากความทรงจำ แต่หลายคนก็เลือกที่จะลืมมันไปแล้ว“มันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย?” เฉิงเฉิงจ้องเฉินเยวี่ย “อยากรู้ไปหมดทุกเรื่อง บ้านเธออยู่หน่วยข่าวกรองหรือยังไง?”เมื่อเฉินเยวี่ยถูกดุ ก็ทำหน้าเสียใจอย่างรวดเร็ว “ฉันไม่ได้มีเจตนาไม่ดี เธอดุฉันทำไม?”ฉันหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดที่ดูไม่สำนึกผิดของเฉินเยวี่ย“ก็เพราะเธอพูดโดยไม่รับผิดชอบไง” ฉันเหน็บผมที่ปรกหน้าไปไว้หลังหู แล้วมองเธอ “เธอรู้ไหมว่าการกุเรื่องขึ้นมาลอย ๆ ฉันสามารถฟ้องเธอในข้อหาหมิ่นประมาทได้นะ?”เฉินเยวี่ยจ้องมองฉัน มือที่ห้อยข้างลำตัวกำแน่นฉันไม่ได้มองเธอ จูงมือเฉิงเฉิงกลับไปที่นั่งของเราห่างจากที่นั่งของฉันไปสองแถว กู้จือโม่นั่งอยู่บนโต๊ะ มือล้วงกระเป๋า ขาข้างหนึ่งเหยียบโต๊ะข้าง ๆฉันเดินไปหาเขา เงยหน้ามองเขา อยากให้เขาหลีกทางให้ แต่บังเอิญสบตาเขาเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกผิดของฉันหรือ
งานประชุมชั้นเรียนครั้งสุดท้ายจบลงแล้ว ซึ่งก็เป็นสัญญาณว่าการทุ่มเทเรียนหนักมาสามปีก็จบลงเช่นกันตามธรรมเนียมของโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งแห่งอวิ๋นเฉิง คืนนี้จะมีงานเลี้ยงขอบคุณครูผู้สอนงานเลี้ยงระหว่างครูและนักเรียน จะต้องมีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ก่อนจบ ถึงจะเป็นการปิดฉากที่สมบูรณ์แบบหลังจากทานอาหารร่วมกัน ก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าแล้ว แต่ทุกคนยังไม่อยากแยกย้าย มีคนเสนอให้ไปคาราโอเกะกันเนื่องจากทุกคนบรรลุนิติภาวะแล้ว ครูประจำชั้นจึงไม่ได้ห้าม แต่หาข้ออ้างแยกตัวออกไปก่อน ปล่อยเวลาให้พวกเราหนุ่มสาวฉันไม่อยากอยู่ในพื้นที่เดียวกับกู้จือโม่ ไม่อยากต้องคอยระวังกับดักของเฉินเยวี่ย จึงอยากหาข้ออ้างปลีดตัวออกไป แต่เฉิงเฉิงกลับดึงฉันไว้ด้วยความตื่นเต้นไม่ยอมปล่อย“ลั่วลั่ว เราไปดื่มกันหน่อยดีไหม เอาเป็นโมฮีโต้เป็นไง? ฉันยังไม่เคยดื่มเลย อยากลองดูว่ามันจะอร่อยอย่างที่เขาว่ากันไหม” เฉิงเฉิงมองมาที่ฉัน ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มตื่นเต้นฉันรู้ว่าพ่อแม่ของเธอเข้มงวดมาก ตั้งแต่เด็กจนโตเธอไม่เคยแตะต้องแอลกอฮอล์เลยเมื่อคิดว่าเธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว บวกกับที่เธอใช้ดวงตากลมโตสีดำขลับมองมาที่ฉันด้วยควา
เฉิงเฉิงลุกขึ้นยืนจะไปทะเลาะกับคนอื่น ฉันรีบดึงเธอไว้ทันทีฉันลุกขึ้นแล้วดึงเฉิงเฉิงเดินไป “เล่นสิ จะเล่นยังไงดีล่ะ?”บางทีฉันอาจจะตอบตกลงเร็วเกินไป ทุกคนเลยยังงง ๆ อยู่ฉันเดินไปถามกฎกติกาเกม ไม่มีใครพูดอะไรเลย ฟางฉิงหยางเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว ขยับไปด้านข้าง ให้นั่งข้าง ๆ เขาแล้วอธิบายกติกาให้ฉันฟังกฎกติกาง่ายมาก คือใช้ขวดเบียร์หมุนบนโต๊ะ ปากขวดชี้ไปที่ใคร คนนั้นก็จะถูกถามคำถาม โดยคนถามคำถามก็คือคนที่ถูกถามในรอบที่แล้ว ทุกคนมีอิสระในการเลือกรูปแบบการลงโทษได้ฟางฉิงหยางพูดจบแล้วถามฉันว่า “เข้าใจไหม?”ฉันพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”เกมเพิ่งเริ่ม ทุกคนยังเล่นแบบเกร็ง ๆ อยู่คำถามที่ถามก็จะเป็นประเภท “เธอคิดว่าใครสวยที่สุดในห้อง?” “เธอมีคนที่ชอบไหม?” “เคยแอบชอบใครตอนเด็กไหม?” “เรื่องน่าอายที่สุดที่เคยทำคืออะไร” อะไรทำนองนี้ทุกคนค่อย ๆ เริ่มถามคำถามที่ท้าทายมากขึ้น และบทลงโทษจากเกมก็เริ่มยากขึ้นเช่นกันฉันนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คน มองดูพวกเขาแต่ละคนถูกถามคำถามทีละคน ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินอีกรอบหนึ่ง ปากขวดชี้ไปที่กู้จือโม่เสียงปรบมือดังขึ้นจากฝูงชนอย่างไม่มีเหตุผล พวก
ฉันขมวดคิ้ว จ้องมองขวดที่ชี้มาทางฉันบังเอิญว่าในรอบที่แล้ว กู้จือโม่เป็นคนที่ถูกลงโทษ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเป็นคนถามคำถามฉันฉันไม่อยากคิดในแง่ร้าย แต่ดูจากที่เขาชอบหาเรื่องฉันบ่อย ๆ ในช่วงนี้ ฉันรู้สึกว่าเขาอาจจะทำให้ฉันลำบากใจตอนที่รักเขา แม้จะถูกทำให้ลำบากใจ ก็ยังรู้สึกว่าเป็นความสุข และเป็นการใส่ใจจากเขาแต่หลังจากที่ได้สติแล้ว ก็จะรู้สึกว่าสมองตัวเองคงเต็มไปด้วยขี้เลื่อยแต่ที่น่าแปลกใจคือ เขาถามคำถามธรรมดามาก ๆ เพียงข้อเดียว “คนที่เธอชอบแซ่อะไร?”ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คำถามนี้อาจจะตอบได้อย่างง่ายดายแต่ฉันตอบไม่ได้ แม้ว่าเหตุผลของฉันจะบอกให้ฉันอยู่ห่างจากกู้จือโม่ แต่ความชอบและความรักที่ยาวนานเช่นนั้นจะไม่หายไปในเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือนความเงียบของฉันทำให้กู้จือโม่ขมวดคิ้วเพื่อนร่วมชั้นบางคนพูดว่า “เธอไม่กล้าเล่นหรือไง คำถามแค่นี้ตอบยากขนาดนั้นเลยเหรอ?”“ความกล้าที่จะตามจีบคุณชายกู้หายไปไหนหมดแล้ว? ทำไมตอนนี้ถึงได้เขินอายแบบนี้ล่ะ?”คำพูดของเพื่อนร่วมชั้นทำให้เฉินเยวี่ยที่เดิมทียิ้มแย้มค่อย ๆ เม้มริมฝีปากสายตาของเธอจับจ้องมาที่ฉัน ดูเหมือนจะมีความไม่พอใจและอิจฉ
การทำให้คนอื่นเปียก มีแต่จะถูกรังเกียจเท่านั้นอาเจียนอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเหล้าในกระเพาะอาหารออกมาจนเกือบหมดแล้ว ถึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แต่ร่างกายยังคงมึนงงอย่างหนักฉันไม่อยากกลับไปที่ห้องคาราโอเกะอีกแล้ว ก็เลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งข้อความถึงเฉิงเฉิง บอกให้เธอออกมา เราสองคนจะได้กลับบ้านหลังจากออกจากห้องน้ำ ฉันก็ค่อย ๆ เดินไปที่ทางออกของคาราโอเกะอย่างช้า ๆเมื่อใกล้จะถึงประตูหมุน ก็ชนกับใครบางคนโดยไม่ตั้งใจฉันขอโทษโดยไม่รู้ตัว “ขอโทษค่ะ คุณเจ็บหรือเปล่า?”คำตำหนิที่คาดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น ฉันเงยหน้าขึ้นมองเห็นลั่วอี้ฝานกำลังมองมาที่ฉันด้วยสายตาหยอกล้อ “ฉันควรจะเป็นคนถามเธอนะ ที่รักของฉัน เธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”“ก็แหม ซิกแพคของฉันไม่ได้ได้มาง่าย ๆ นะ”คำพูดของลั่วอี้ฝานค่อนข้างไร้สาระ แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างบอกไม่ถูกฉันไม่อยากสนใจเขา “ถ้าคุณชายลั่วไม่เป็นอะไร ฉันขอตัวก่อน”พูดจบฉันก็กำลังจะจากไป“เดี๋ยวก่อนสิ” ลั่วอี้ฝานตามฉันมา แล้วพูดต่อทันที “เธอลองพิจารณาข้อเสนอของฉันอีกทีสิ”ฉันมึนหัวไปหมด จำไม่ได้เลยว่าข้อเสนอที่เขาพูดถึงคืออะไร จึงถามออกไปว่า
จริงดังคาด พอเขากลับถึงบ้าน เพียงคิดถึงหน้าฉันในตอนกลางคืน ใบหน้าก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธจัด ส่วนเรื่องที่เขาพยายามจะหลอกเอาเงินจากฉัน ฉันก็ได้บอกกับลั่วอี้ฝานแล้วเหมือนกัน ตอนที่เขารู้เรื่องนี้ สีหน้าของเขาดูไม่สู้ดีนักและเต็มไปด้วยความสับสน “ทั้งที่เป็นครอบครัวกันแท้ ๆ ทำไมต้องมาถึงขั้นนี้ด้วย?” ลั่วอี้ฝานถามด้วยความไม่เข้าใจ ดวงตาเผยให้เห็นถึงความสับสนและไม่แน่ใจ ฉันตอบเขาอย่างตรงไปตรงมา “บนโลกใบนี้มีคนมากมายที่ทำทุกอย่างเพียงเพราะผลประโยชน์ และพวกเขาก็เหมือนกับปลิงฝูงหนึ่ง ที่นอกจากดูดเลือดก็ไม่รู้จะทำอะไรได้อีกแล้ว” ใบหน้าของลั่วอี้ฝานเผยความตกตะลึงออกมา คงไม่เคยคาดคิดว่าคำพูดจากปากของฉันจะไร้ความปรานีถึงเพียงนี้ “เราจำเป็นต้องทำลายตระกูลเฉียวจริง ๆ เหรอ?” ลั่วอี้ฝานจ้องหน้าฉัน พยายามจับความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของฉัน น่าเสียดาย ที่ฉันยังเหมือนเดิม เย็นชาเหมือนน้ำแข็งก้อนหนึ่ง และจะแสดงความเป็นมนุษย์ออกมาเพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาที่ไม่มีใครล่วงรู้เท่านั้น “ตระกูลเฉียวโลภไม่รู้จักพอ ฉันเคยถูกพวกเขาดูดจนหมดตัวมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้จะไม่ยอมอีกต่อไป” ฉันจะไม่คาดหวัง
โครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์เป็นพื้นที่ที่มีข้อได้เปรียบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมาก หากใช้แผนงานนี้ อาจทำให้ที่นี่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งใหม่ของอวิ๋นเฉิงก็เป็นได้ “ขอบคุณสำหรับความทุ่มเท” ฉันไม่ลังเลที่จะชื่นชมลั่วอี้ฝาน เพราะแผนงานนี้ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโครงการเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ได้อย่างเต็มที่ จนไม่ต้องกังวลเลยว่าจะไม่มีเงินไหลมาเทมา เงื่อนไขสำคัญคือพวกเธอต้องสามารถดำเนินแผนงานนี้ได้อย่างราบรื่น หลังจากพิจารณาแผนงานนี้อย่างละเอียดแล้ว ฉันกับลั่วอี้ฝานก็จัดประชุมเล็ก ๆ เพื่อปรับแก้ไขแผนงานนี้ เมื่อแก้ไขจนเกือบสมบูรณ์แล้ว ก็ถือว่าเสร็จสิ้นไปส่วนหนึ่ง เหลือเพียงแค่ดำเนินการตามแผนงานนี้ให้สำเร็จ ขณะที่ฉันกำลังยุ่งวุ่นวาย สายโทรศัพท์ที่เข้ามาก็ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “เรื่องของย่าแก ฉันมีเรื่องจะพูดกับแก” เสียงของเฉียวเจี้ยนกั๋วดังมาจากปลายสาย “มีอะไรก็พูดมาในโทรศัพท์นี่แหละ” ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่ ไม่มีเวลาเล่นเกมทายปริศนากับเขา “ถ้าอยากรู้ว่าย่าของแกทิ้งของสำคัญอะไรไว้ให้ก่อนตาย ก็มาเจอฉันที่สตาร์ไลท์ คาเฟ่” เฉียวเจี้ยนกั๋วพูดจบแล้ววางสายไปทันที
“ดี ดี ดี” วันหน้ายังอีกยาวไกลใช่ไหม? งั้นก็รอไป รอจนเธอกลับมา แล้วค่อยสะสางบัญชีของวันนี้ทีละเรื่องให้หมดจด! เฉินเยวี่ยเอ่ยคำว่า “ดี” สามครั้งติดกัน ก่อนจะกลั้นความโกรธไว้แล้วก้าวขึ้นเครื่องบินเที่ยวนี้ไป ฉันรู้ดีว่า การต่อสู้ระหว่างฉันกับเธอยังไม่จบสิ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอก “เฉินเยวี่ยโชคดีจริง ๆ” เฉิงเฉิงเบ้ปาก แสดงความไม่พอใจกับผลลัพธ์นี้ “ใช่แล้วล่ะ” ฉันหัวเราะเยาะในใจ แต่ภายนอกยังคงสงบนิ่ง เฉินเยวี่ยฆ่าคนแต่กลับไม่ต้องรับโทษ ก็เพราะมีกู้เซิ่งเหยียนคอยช่วยเหลือทุกทาง ส่งเธอหนีไปต่างประเทศเพื่อหลบเลี่ยงปัญหา แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาทำแบบนี้ ต่อให้มีเหตุผลแค่ไหน ก็ต้องติดคุกสิบกว่ายี่สิบปีอยู่ดี ต้องยอมรับว่าคำพูดของเฉิงเฉิงไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เฉินเยวี่ยโชคดีจริง ๆสายตาฉันแวบผ่านความเยือกเย็น ก่อนจะพูดกับเฉิงเฉิงว่า “พวกเรากลับกันเถอะ” ละครฉากนี้จบลงแล้ว ก็ควรไปทำเรื่องอื่นต่อได้แล้ว เฉิงเฉิงชะงักไปครู่หนึ่ง ยังไม่ทันได้ตั้งตัว เห็นฉันกำลังจะเดินลับไปไกล จึงรีบเร่งตามมาอย่างกระหืดกระหอบ หลังจากฉันกับเฉิงเฉิงออกจากสนามบิน ฉันก็สั่งให้คนไปตรวจสอบเรื่องต
เฉินเยวี่ยได้ยินดังนั้น ก็รีบควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าทันที“หนูจะโทรเดี๋ยวนี้ จะโทรเดี๋ยวนี้เลย” ด้วยความร้อนรน มือของเฉินเยวี่ยสั่นไปหมด ค้นกระเป๋าอยู่หลายครั้งก็ยังหยิบโทรศัพท์ออกมาไม่ได้ ตำรวจดึงตัวโจวอวิ๋นขึ้น พร้อมแสดงเอกสารที่เกี่ยวข้องให้เฉินเยวี่ยดู “เราจะพาตัวเธอไปที่สถานีก่อน หากมีปัญหาอะไร พวกคุณสามารถให้ทนายมาติดต่อที่สถานีได้” พูดจบก็เตรียมจะพาตัวโจวอวิ๋นไปทันที โจวอวิ๋นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร้องไห้โวยวายลั่นว่า “ฉันจะไม่ไปสถานีตำรวจ! ฉันจะไปต่างประเทศ! ฉันต้องไปต่างประเทศ!” “เยวี่ยเยวี่ย รีบโทรหาคุณปู่กู้เดี๋ยวนี้!” เฉินเยวี่ยร้องไห้ พลางพยายามหาโทรศัพท์จนเจอและกดโทรออก แต่ทางฝั่งกู้เซิ่งเหยียนไม่มีใครรับสาย โทรติดต่อไปอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครรับสายเลยสักครั้ง เสียงประกาศดังขึ้นแจ้งเตือนว่าเที่ยวบินของเฉินเยวี่ยกำลังผ่านจุดตรวจ เฉินเยวี่ยหันไปมองโจวอวิ๋นด้วยความลนลาน พูดอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรว่า “แม่ โทรหาคุณปู่กู้ไม่ได้ หนูติดต่อเขาไม่ได้เลย จะทำยังไงดี?” “แม่ แม่บอกหนูมาเถอะ แม่ทำเรื่องผิดกฎหมายจริง ๆ ใช่ไหม?” “ถ้าแม่กู้เงินนอกร
ฉันไม่อยากเจอกู้จือโม่ ฉันรังเกียจเขา เกลียดเขา สิ่งเดียวที่เขาจะทำได้ในตอนนี้ คือจับตัวคนที่ทำร้ายเธอทั้งหมดมาส่งตรงถึงฉัน กู้จือโม่ขึ้นมานั่งบนรถ มองผ่านกระจกหน้าต่างจ้องไปยังห้องวีไอพีที่ฉันอยู่ หลังจากผ่านไปนานแสนนาน กู้จือโม่ก็สตาร์ตรถแล้วขับมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล…… สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะโทรหาเฉิงเฉิงอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เฉิงจื่อเคยบอกไว้ว่า ถ้ามีเรื่องสนุกต้องชวนเธอไปดูให้ได้ ฉันรู้ว่าเธอกลัวว่าฉันจะทำอะไรโง่ ๆ เพื่อให้เธอสบายใจ โทรศัพท์สายนี้ฉันต้องโทรให้ได้ อีกอย่าง นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องสนุกที่น่าดูจริง ๆ สายโทรศัพท์ถูกเชื่อมต่อ ฉันพูดว่า “ไปกันเถอะ ถึงเวลาชมเรื่องสนุกแล้ว” “ได้เลย ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!” เฉิงเฉิงตอบอย่างตื่นเต้น ความดีใจของเธอส่งผ่านคลื่นสัญญาณตรงเข้าสู่หัวใจของฉัน ฉันยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนวางสายแล้วเดินออกจากบ้าน หลังจากเจอกับเฉิงเฉิงแล้ว เรามุ่งหน้าไปยังสนามบินนานาชาติอวิ๋นเฉิงทันที “ที่สนามบินมีอะไรน่าสนุกหรอ?” ทันทีที่ลงจากรถ เฉิงเฉิงก็เริ่มขมวดคิ้ว เธอหันมามองฉันแล้วพูดว่า “ลั่วเป่า เธอไม่ได้หลอกฉัน
เฉิงเฉิงได้รับการปกป้องจากพ่อแม่และครอบครัวของเธอเป็นอย่างดี แต่ช่วงนี้ เพราะเรื่องของฉัน เธอกลายเป็นเหมือน ‘วัวน้อยผู้กล้าหาญ’ ที่ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็พร้อมพุ่งชนทุกสิ่งที่ขวางหน้า เธอกำลังปกป้องฉัน และเป็นห่วงฉัน ฉันยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนยื่นมือไปกอดเธอไว้แน่น “เฉิงจื่อ เธอไม่ต้องห่วงนะ ถึงแม้คุณย่าจะจากไปแล้ว แต่ฉันยังมีพวกเธออยู่ ฉันจะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องเสี่ยงอันตรายง่าย ๆ ส่วนเหตุผลที่ฉันต้องสืบเรื่องของโจวอวิ๋นกับลูกสาว...” ฉันยกยิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า “อีกไม่กี่วัน เธอก็จะได้รู้เอง” นักสืบบอกว่า อีกสองวันโจวอวิ๋นกับลูกสาวจะเดินทางออกนอกประเทศ ฉันต้องรีบจัดการเรื่องนี้โดยด่วน หากชักช้าเกินไป ของขวัญชิ้นนี้ก็คงมอบให้ไม่ทันแล้ว หลังจากนั้น ฉันก็พูดคุยเล่นกับเฉิงเฉิงไปพลาง พร้อมกับจัดการสิ่งต่าง ๆ ไปด้วย พอจัดการทุกอย่างเสร็จ รถก็เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางพอดี เฉิงเฉิงบอกว่าจะจัดการต้อนรับฉันอย่างเต็มที่ พูดแล้วก็ต้องทำจริง เธอพาฉันตรงไปที่ร้านจวี้เต๋อลั่ว สั่งอาหารอร่อยเต็มโต๊ะไว้เรียบร้อย และกำลังรอพวกเราไปลิ้มลองอยู่ ขณะที่ก้าวเข้าไปในประตู ร่างหนึ่งก็แวบผ่านไปในหา
“อืม ฉันกลับมาแล้ว” ฉันกลับมาเพื่อแก้แค้น ฉันกอดกับเฉิงเฉิงอยู่สักพัก เธอก็ปล่อยฉัน แล้วรับกระเป๋าเดินทางจากฉันมาถือไว้ พร้อมกับจูงมือฉันพาเดินออกไปด้านนอกสนามบิน ระหว่างเดินเธอก็พูดไปด้วยว่า “เธอบอกว่าจะมาถึงวันนี้ ฉันรอคอยตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ” “แต่ก็น่าเสียดายนะ ฟางฉิงหยางติดธุระเลยมาไม่ได้ ช่วงนี้ลั่วอี้ฝานก็ยุ่งมากจนมาไม่ได้เหมือนกัน เขายังฝากบอกฉันด้วยว่า ให้ฉันจัดการต้อนรับเธอให้เต็มที่เลย” ฉันตอบรับเบา ๆ “อืม” แล้วเอียงหน้ามองเธอ “ช่วงนี้ลั่วอี้ฝานยุ่งมากเหรอ?” “ใช่สิ” เฉิงเฉิงพาฉันมาถึงข้างรถ เปิดฝากระโปรงหลังแล้วจัดการยกกระเป๋าเดินทางของฉันใส่เข้าไปให้เรียบร้อย จากนั้นก็ปิดฝากระโปรงแล้วพาฉันขึ้นรถ หลังจากแจ้งที่อยู่กับคนขับเสร็จ เธอก็พูดต่อ “ฉันได้ยินฟางฉิงหยางบอกว่า เขาเพิ่งได้งานอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ...โครงการพัฒนาอะไรสักอย่าง ตอนนี้เลยยุ่งมาก” ฉันนึกออกแล้ว เป็นโครงการพัฒนาที่ดินเซาท์เทิร์น ฮิลด์ เรสซิเดนซ์ นี่เป็นโครงการใหญ่ ลั่วอี้ฝานคงยุ่งน่าดูเลยเฉิงเฉิงเป็นคนร่าเริง ตลอดทางเธอพูดไม่หยุด เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่อวิ๋นเฉิงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา รวมถึงพ
ทันทีที่เฉิงเฉิงจากไป ลานบ้านก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เมื่อไม่มีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ จังหวะชีวิตของฉันก็ช้าลงเล็กน้อย ทุกวันฉันจัดระเบียบลานบ้าน และยังไปซื้อดอกไม้มามากมายเพื่อแต่งเติมลานบ้านให้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา วันเวลาค่อย ๆ ผ่านไปอย่างช้า ๆ ราวกับสายน้ำ ความรู้สึกของฉันก็สงบสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดที่ยุ่งเหยิง ในที่สุดก็ถูกจัดระเบียบได้เรียบร้อย ฉันจะล้างแค้น! ในเมื่อความยุติธรรมที่ฉันต้องการไม่มีใครมอบให้ได้ ฉันก็จะลงมือทำเอง มีตระกูลกู้อยู่ ฉันทำอะไรเฉินเยวี่ยไม่ได้ แต่โอกาสต้องมาถึงในสักวันแน่ ขณะที่ฉันอยู่ชนบทได้ครึ่งเดือน โทรศัพท์ของเฉียวเจี้ยนกั๋วก็โทรเข้ามา เดิมทีฉันไม่อยากรับสาย เพราะฉันไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ต้องพูดคุยกับเขาอีกแล้ว แต่ด้วยมือที่สั่น ฉันเผลอกดรับสายโดยไม่ตั้งใจยังไม่ทันที่ฉันจะวางสาย เสียงด่าด้วยความโกรธของเฉียวเจี้ยนกั๋วก็ดังขึ้นจากปลายสาย “เฉียวซิงลั่ว! แกไปก่อเรื่องอะไรอีก!” ฉันขมวดคิ้ว กำลังจะยกมือกดวางสาย แต่เสียงของเฉียวเจี้ยนกั๋วก็แทรกเข้ามาอีก “ฉันบอกแกไว้เลยนะ! หัดอยู่นิ่ง ๆ เวลาที่อยู่ข้างนอก ถ้ายังทำเรื่องที่ทำให้คนอื่นไม่
แต่ฉันไม่คาดคิดเลยว่า วันถัดมา จะมีกลุ่มคนที่ฉันไม่คาดฝันมาที่ลานบ้านเล็ก ๆ ของฉัน วันรุ่งขึ้น ขณะที่ฉันกำลังจัดเก็บของเก่าในลานบ้าน จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากหน้าประตูว่า “ลั่วเป่า” ฉันหันกลับไป ก็สบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่แดงก่ำ เฉิงเฉิงเดินเข้ามาหาฉันอย่างรวดเร็ว อ้าแขนทั้งสองข้างและกอดฉันแน่น เสียงของเขาสั่นเครือพร้อมกับสะอื้นเบา ๆ “ลั่วเป่า ทำไมเธอจากมาโดยไม่บอกพวกเราเลย เธอทำให้ฉันตกใจแทบตาย” ฟางฉิงหยางเดินตามหลังเฉิงเฉิงมา สายตาจับจ้องมาที่ฉัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “หลังจากที่เธอไป พวกเราก็พยายามตามหาเธอมาตลอด จนกระทั่งเมื่อวานนี้ ถึงได้ข่าวของเธอจากคนขับรถตู้คนหนึ่ง” “เฉิงจื่อทนอยู่เฉยไม่ได้ เดิมทีตั้งใจจะมาหาเธอตั้งแต่เมื่อคืน แต่ตอนนั้นดึกมากแล้ว ฉันเลยห้ามเธอไว้ และตัดสินใจมาหาเธอวันนี้แทน” เมื่อได้ยินคำพูดของฟางฉิงหยาง ความรู้สึกผิดก็แวบขึ้นมาในใจของฉันแต่ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากคำว่า “ขอโทษ” เฉิงเฉิงกอดฉันไว้ร้องไห้อยู่นาน พอเธอสงบลงได้ ก็เริ่มมองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบ ๆ และถามฉันด้วยความไม่พอใจว่าทำไมถึงไม่เปิดโทรศัพท์ ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อยจนต้อ