“วิชาการป้องกันตัวที่แข็งแกร่งมาก”หลินเฟิงกวาดตามองจีว่านหลัว ในใจก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยดูท่าถึงแม้สำนักเสวียนเทียนจะรวบรวมเคล็ดลับบู๊โบราณเอาไว้ แต่มีเคล็ดลับวิชาบู๊บางอย่างก็ถูกแพร่กระจายไปที่อื่น แถมยังมีลักษณะเฉพาะของตัวเองแต่โชคดีที่หลินเฟิงฝึกบำเพ็ญหยวนชี่ทั้งห้านี่เป็นวิชาบู๊ขั้นพื้นฐานที่ตอนนั้นผู้ดูแลสำนักเสวียนเทียน สอนให้เขาด้วยตัวเองมีหยวนชี่ทั้งห้า เพียงแค่ศิลปะการป้องกันตัวไม่เกินธาตุทั้งห้า หลินเฟิงก็สามารถใช้หยวนชี่ทั้งห้ามองทะลุ เลียนแบบ และถึงขั้นที่ดัดแปลงได้นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมก่อนหน้านี้หลินเฟิงสามารถใช้วิชาบู๊ของคนอื่นได้ตามใจชอบ“เต่าหางมังกรดำกลับสู่ตำแหน่ง!”หลินเฟิงตะโกนเสียงต่ำ ทำตามวิชาบู๊ที่จีว่านหลัวใช้ออกมา เขาก็ปล่อยออกมากระบวนท่าหนึ่งเช่นกันหลินเฟิงรวบรวมพลังชี่แท้สีเหลืองเข้มไว้ที่ใต้เท้า จากนั้นเตะก้อนหินที่โจมตีมาจนกระเด็นออกไป“ปึง!”“ผู้นำตระกูล ล่วงเกินแล้วครับ!”ผู้อาวุโสชุดขาวที่หนวดยาวเปื้อนเลือดพุ่งไปที่ด้านข้างจีว่านจ่าง จากนั้นกดไหล่ข้างซ้ายของเขาเอาไว้“เรื่องมาจนถึงตอนนี้แล้ว ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว”บริวารแดนแปรภาพวั
“ฮ่าฮ่าฮ่า...”จีอวิ๋นเทียนที่นอนหมอบอยู่บนพื้น ดวงตาข้างหนึ่งที่ยังถือว่าสมบูรณ์แบบมองไปข้างหน้า ในดวงตาเผยความตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมาก“สมควร...แกมันสมควรแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า...”จีอวิ๋นเทียีนใช้เสียงแหบแห้งของตัวเอง หัวเราะเสียงดังออกมาจนแสบแก้วหูแทบทุกคนเหมือนกับเห็นภาพเหตุการณ์ต่อไปนั่นก็คือศีรษะของหลินเฟิงระเบิดออกเหมือนกับแตงโมจีอวิ๋นเจี๋ยถึงขั้นจับประตูไว้แน่น และหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด“หือ”มองดูการโจมตีที่บ้าระห่ำของจีว่านจ่าง ในที่สุดหลินเฟิงก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตระกูลจีมีความสามารถที่อยากจะแทนที่ตระกูลหลิน และกลายเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลร่ำรวยของเมืองจิงแล้วคนผู้นี้ต่อให้ไม่มีสติ พลังที่ระเบิดออกมาก็ยังน่าหวาดกลัวถึงขนาดนี้ เกรงว่าความสามารถที่แท้จริงสามารถเทียบเทียมกับอาฝูที่อยู่ข้างกายพ่อของเขาได้แล้ว“แต่ว่า...”หลินเฟิงจะตายอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?“ปีศาจชั่วร้ายกลืนกินพลังสวรรค์”หลินเฟิงพูดออกมาเสียงเบา ทันใดนั้นพลังชี่แท้สีแดงก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของหลินเฟิง เหมือนกับลมที่โหมพัดอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกตะลึงกันหมดพลังชั่วร้ายที่ระ
“เอาล่ะ เลิกเหม่อได้แล้ว”สายตานิ่งเฉยของหลินเฟิงเรียกสติของคนตระกูลจีทั้งหมดที่สมองขาวโพลน“ผู้นำตระกูลจีถูกผมควบคุมเอาไว้แล้ว ถึงแม้แขนซ้ายของเขาจะหัก แต่เพียงแค่นอนรักษาอยู่บนเตียงไม่กี่วันก็เพียงพอแล้ว”หลินเฟิงเดินไปที่ด้านข้างจีอวิ๋นเจี๋ย และตบไหล่ของเขา“เอ่อ?”จีอวิ๋นเจี๋ยนิ่งอึ้งครู่หนึ่ง ยังไม่เข้าใจความหมายของหลินเฟิง“ไปสิ”หลินเฟิงขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าจะให้เขาออกมาเก็บกวาดสถานการณ์พังพินาศ และนี่ก็สามารถช่วงชิงบารมีภายในตระกูลจีมาให้เขาอยู่ได้บ้างในที่สุด จีอวิ๋นเจี๋ยก็เข้าใจความหมายของหลินเฟิงแล้วเขามองไปทางหลินเฟิงด้วยความซับซ้อน และพยักหน้าให้หลินเฟิงอย่างหนักแน่นจีอวิ๋นเจี๋ยเดินเข้าไป ออกคำสั่งคนรับใช้ของตระกูลจีที่ยืนตกใจอยู่ข้างๆ ให้หามพ่อของเขาไปพักที่บ้านหลังอื่นจากนั้น เขาก็เดินเข้าไปอีก และให้พวกบอดี้การ์ด คุมตัวจีอวิ๋นเทียนที่นั่งมองศพลูกชายของตัวเองด้วยความเหม่อลอย“จีอวิ๋นเทียน! คุณพ่อถูกนายวางยาพิษใช่ไหม?! พูดมา!”เมื่อเผชิญหน้ากับการเค้นถามของจีอวิ๋นเจี๋ยต่อหน้าบริวารของตระกูลจี และจีว่านหลัว จีอวิ๋นเทียนรู้แล้วว่าแนวโน้มของตัวเองหมดไปแล้ว
“......”จีว่านหลัวนิ่งอึ้งครู่หนึ่ง จากนั้นเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงยิ้มและส่ายหน้า“อวิ๋นเจี๋ยพูดได้ถูกต้อง”“งั้นก็จัดการแบบนี้ นำตัวสองคนนี้ไปคุมขัง รอให้พ่อหายดีแล้ว ค่อยรายงานเรื่องในวันนี้ให้คุณพ่อ ให้เขาตัดสินใจ”เมื่อเห็นว่าพวกบริวานก็ไม่ได้คัดค้านอะไร จีอวิ๋นเจี๋ยจึงออกคำสั่งในทันที“อ่อใช่แล้ว สหายหลินเฟิง เมื่อครู่ผมเหมือนได้ยินจีอวิ๋นเทียนพูดว่า...”จีอวิ๋นเจี๋ยเดินไปที่ข้างกายหลินเฟิง ยังไม่รอให้เขาพูดจบ จู่ๆ ที่ข้างหน้าก็มีเสียงผู้หญิงที่เย็นชาดังขึ้นมา“อุ๊ย? ตระกูลจีของพวกคุณนี่ครึกครื้นจริงๆ เลย ไม่รู้ว่าฉันมาทันหรือว่ามาไม่ทัน?จีว่านหลัวได้ยินเสียงนี้ ก็พากันหันมองไปพร้อมกับพวกบริวารตระกูลจีตอนมองไปไม่เท่าไหร่แต่เมื่อเห็นคนที่มาถึง ทุกคนก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที“หลงเซียว ใครใช้ให้คุณเข้ามา?”จีอวิ๋นเจี๋ยเดินออกมา ถามด้วยใบหน้าเย็นชาถูกต้องแล้วในตอนนี้คนที่ลงจากรถ และพาบอดี้การ์ดมาสิบกว่าคน ก็ต้องเป็นหลงเซียวของตระกูลหลงที่สวมเสื้อรัดตัว กระโปรงหนังคลุมบั้นท้ายหลงเซียวพาดเสื้อคลุมชุดทหารไว้บนบ่า บนศีรษะยังสวมหมวกทหารสีดำของประเทศมังกร เธอกวาดสายตามองจ
“คุณหลงเซียว ช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วยครับ...พวกเขาจะฆ่าผม!”จีอวิ๋นเทียนที่พุ่งเข้ามา ถูกบอดี้การ์ดตระกูลจีที่อยู่รอบๆ ล็อกเอาไว้ และลากไปที่คุกใต้ดินของตระกูลจีโดยไม่มีความเกรงใจแม้แต่นิด“จีอวิ๋นเจี๋ย ฉันสั่งให้นายปล่อยจีอวิ๋นเทียนตอนนี้”“เดี๋ยวนี้! ทันทีทันใด!”หลงเซียวออกคำสั่งด้วยท่าทางหยิ่งผยอง“ไม่”จีอวิ๋นเจี๋ยส่ายหน้าด้วยความนิ่งเฉย จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกลาง: “ผมไม่ปล่อย คุณจะทำอะไรผมได้?”“คุณจะลงมือกับผมที่ถิ่นของตระกูลจีงั้นเหรอ?”“ฉันเกลี้ยกล่อมให้นายครุ่นคิดให้ดีๆ นะ จีอวิ๋นเจี๋ย”หลงเซียวรู้สึกหงุดหงิดในใจเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้จีอวิ๋นเจี๋ยคนนี้เป็นแค่คนขี้ขลาดตาขาวที่ปล่อยให้คนอื่นกลั่นแกล้งได้ตามใจชอบ ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน ทำไมจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนไปแข็งกร้าวแบบนี้?แถมยังกล้าต่อต้านเธอขนาดนี้?“ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิด ตอนนี้ คุณหนูหลงเซียว ผมเชิญคุณออกจากตระกูลจีของผม ตอนนี้ตระกูลจีของผมไม่สะดวกรับแขก”“จีอวิ๋นเจี๋ย ถ้าหากฉันพูดว่าไม่ล่ะ?”หลงเซียวพูดด้วยความนิ่งเฉย“งั้นก็อย่าโทษที่ผมใช้ความรุนแรง!”จีอวิ๋นเจี๋ยตะโกนเสียงทุ้มต่ำ: “อารอง บริวา
หลงเซียวเพิ่งจะพูดประโยคนี้ออกมา เธอก็คิดได้ว่าไม่ถูกต้องเพราะว่าเมื่อเธอยอมรับแบบนี้ ก็กลายเป็นยอมรับว่าเธอเคยร่วมมือกับจีอวิ๋นเทียนของตระกูลจี วางแผนลอบทำร้ายผู้นำตระกูลจีคนปัจจุบันไม่ใช่เหรอ?นี่เป็นปัญการสมาคมของตระกูลที่รุนแรงเป็นอย่างมากถ้าหากถูกแพร่งพรายออกไป จะต้องถูกโลกภายนอกรังเกียจ ชื่อเสียงป่นปี้อีกอย่างถึงแม้ตระกูลหลงจะธุรกิจใหญ่โต ไม่ได้หวาดกลัวตระกูลจี แต่ถ้าหากทำให้ตระกูลจีโมโห ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถลอบกัดตระกูลหลงได้นี่เป็นความแค้นเคืองที่ไม่จำเป็นอย่างมากคิดได้ถึงตรงนี้ หลงเซียวก็รีบเปลี่ยนคำพูดในทันที:“ฉันหลงเซียวมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณชายจีอวิ๋นเทียนของตระกูลจี เห็นเขาได้รับการปฏิบัติแบบนี้ ในฐานะเพื่อนจึงทนดูไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”“สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลจีของพวกคุณ ฉันไม่ได้อยากจะยุ่งสักหน่อย”หลงเซียวพูดอย่างเย็นชา“งั้นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลจีในวันนี้ จึงเป็นเรื่องภายในของตระกูลจี ถ้าหากคุณหลงเซียวไม่ใช่คนที่สมรู้ร่วมคิดกับจีอวิ๋นเทียน งั้นก็เชิญเถอะครับ”ในคำพูดของจีอวิ๋นเจี๋ยมีความหมายแอบแฝง จึงทำให้หลงเซียวพูดไม่ออกถ้าหากเธอฝืนท
ถึงตอนนั้นข่าวลือเรื่องการลอบฆ่าผู้นำตระกูลอื่นที่ร่ำรวยก็แพร่กระจายออกไป หากคนอื่นได้ยินเข้า ชื่อเสียงของตระกูลหลงจะต้องได้รับผลกระทบครั้งใหญ่อย่างแน่นอน มันเลวร้ายยิ่งกว่าการโจมตีที่หลงเซียวได้รับที่ในเมืองหนิงโจวตอนนี้หลงเซียวไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ด้วยซ้ำถ้าเธอแสดงพิรุธออกมาจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงจีว่านจ่าง ต่อให้เธอกลับไปที่ตระกูลหลง ผู้อาวุโสของตระกูลหลงก็ไม่สามารถปล่อยเธอไปได้เช่นกันในเมื่อเรื่องในคราวนี้ มีลักษณะเลวร้ายเกินไปถึงเวลาทุกคนในเมืองจิงก็จะตกอยู่ในอันตราย และเส้นทางของตระกูลหลงก็จะลำบากอย่างมาก“ไม่ไม่ไม่”หลงเซียวเอ่ยออกมาเสียงทุ้มต่ำ “ครั้งนี้ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อื่น เพียงแค่....ใช่แล้ว เพียงแค่ตระกูลหลงของฉันกำลังจะแต่งงานกับตระกูลถังในอีกไม่กี่วัน นี่ก็คือจดหมายเชิญ”“ถึงตอนนั้นเชิญตระกูลจีส่งตัวแทนไปเข้าร่วมงานแต่งของหลงยวนพี่ใหญ่ของฉันด้วยนะคะ”“เหอะ งานแต่งเกี่ยวดองอีกแล้วงั้นเหรอ....”จีว่านจ่างโบกมือเหมือนกับขับไล่ และพูดเยาะเย้ยว่า: “ผมรู้แล้ว คุณไปเถอะ”“ถ้าอย่างนั้น....ผู้นำตระกูลจี หลงเซียวขอตัวก่อน”หลังจากยกมือคำนับแล้ว ห
“อะไรนะ?”“ทำไม?”ได้ยินคำประกาศของผู้นำตระกูล บริวารที่อยู่โดยรอบกับบอดี้การ์ดของตระกูลจีต่างก็ไม่เข้าใจการตัดสินใจของผู้นำตระกูลแต่บริวารแดนแปรภาพหลายๆ คนที่มีพละกำลังแข็งแกร่ง ก็ขมวดคิ้วและครุ่นคิดถึงชื่อของหลินเฟิง ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างออกได้ทันที“หรือว่าหลินเฟิงคนนี้ก็คือคนของตระกูลหลินในเมืองจิง?!”“ทายาทของราชาหลินแห่งตอนใต้เมืองหนานโจว ?”แล้วคนทั้งหมดต่างก็พากันประหลาดใจและสับสน ทันใดนั้นจีว่านจ่างก็กระแอมออกมาสองครั้ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังและพูดว่า:“วางใจเถอะเพื่อนสหายน้อยหลิน ผมจีว่านจ่างใช้ชีวมาหลายปีขนาดนี้แล้ว สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือคนที่ไม่รู้จักตอบแทนคุณคน”“คุณมีเงื่อนไขอะไร ก็พูดออกมาได้เลย!”“ผมรู้ สำหรับคุณเงินไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าอะไรอีกต่อไปแล้ว คุณอยากได้อะไรก็แค่บอกผมมา!”“เพียงแค่ตระกูลจีของผมจัดการได้ ก็จะพยายามช่วยคุณอย่างเต็มที่อย่างแน่นอน!”“ใช่แล้วสหายหลิน คุณอย่าเกรงใจเด็ดขาด!”“สหายน้อยหลินเฟิง คุณบอกมาได้เลย!”เมื่อเห็นความกระตือรือร้นของทุกคนในตระกูลจี หลินเฟิงก็ไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่จดหมายเชิญในมือของจีอวิ๋นเจี๋ยและพูอย่
“อะไรนะ?!”ได้ยินแล้วยังดวงตาของเหล่านักศึกษาแทบจะถลนออกมาแล้วพวกเขาพากันมองไปทางเจียงปิน ส่วนเจียงปินก็หนังหน้ากระตุก ถึงแม้จะประหม่าอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังฝืนยี้มบางและปรบมือทำท่าทางเหมือนเขารับรู้มานานแล้วนี่จึงดึงดูดความชื่นชมและความเลื่อมใสจากนักศึกษากลุ่มหนึ่งและนี่ยังไม่จบ“ต่อมาขอเชิญ ฉินเซี่ยวเทียน นายกรัฐมนตรีเมืองเจียงโจว!”“อิ่นนั่วเจีย ซูเปอร์สตาร์ประเทศมังกร!”“ไป๋ชิงเฉี่ยน แห่งไป๋ซื่อกรุ๊ป”“ผู้จัดการถัง บริษัทเภสัชกรรมเชิงถัง...”หลังจากที่อาของโจวเสี่ยวหาง หัวหน้าโจวพูดชื่อออกมาทีละคน เมืองเจียงโจวไม่ว่าจะเป็นทิศเหนือทิศใต้ ทั้งหมดเป็นคนมีหน้ามีตา กองกำลังทั้งหมดที่สามารถนำออกมาได้ต่างก็มาถึงหมดแล้วพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเจียงโจว กลายเป็นการรวมตัวกันของบุคคลใหญ่โตทันที“แม่เจ้า นี่มันบ้าอะไรกัน?!”“เชี่ย เหตุการณ์แบบนี้...ชีวิตนี้ฉันยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!”เห็นบุคคลใหญ่โตยืนอยู่บนเวที คนเหล่านี้มาต่างบริษัทต่างๆ ในเมืองเจียงโจว ถึงขั้นมีบุคคลผู้มีอำนาจ ตระกูลและวงการในหลายสาขาใครคนไหนก็ได้ยืนออกมา เพียงแค่กระทืบเท้าก็สามารถทำให้เมืองเจียงโจว
ในพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ถือเป็นโอกาสที่เหมาะสมของจางเต๋อหลิน สมาชิกผู้อาวุโสในสายวิชาชีพแพทย์จะมาปรากฏตัวแล้วทำไมผู้ว่าเจียงโจวถึงมาด้วย?เมื่อเห็นผู้ว่าเจียงโจวเดินออกมาจากด้านหลังเวทีโดยมีรอยยิ้มบนใบหน้า พร้อมกับโบกมือให้กับเหล่านักศึกษา เหล่านักศึกษาที่อยู่ในที่นั้นต่างก็ตกตะลึง แต่ก็ยังปรบมือกับอย่างกระตือรือร้นด้วยรูปแบบของผู้จบการศึกษารุ่นนี้ มันเกินความจริงไปหรือเปล่า?“หรือว่านักศึกษาเจียงปินจะเชิญมา?”ไม่รู้ว่าเป็นใครที่จู่ ๆพูดขึ้นมาท่ามกลางเหล่านักศึกษาทันใดนั้น เหล่านักศึกษาที่เข้าร่วมพิธีจบการศึกษาก็เกิดความวุ่นวายขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะมองไปที่เจียงปินที่รู้สึกสับสนอยู่ไม่ต่างกัน“อ่ะ? อ่อ....อ่อ ใช่ นักศึกษาทุกคนไม่ต้องตื่นตระหนกไป ไม่ต้อง ไม่ต้อง หึหึ....”เจียงปินรีบยื่นมือออกไปปลอบใจนักศึกษาคนอื่น ๆเห็นได้ชัดว่าเขาได้ยอมรับแล้ว“ซี้ด...”นักศึกษาหลาย ๆคนต่างก็สูดอากาศเย็น ที่เจียงปินเชิญจางเต๋อหลินมาได้มันก็น่าเหลือเชื่อคราวนี้ผู้ว่าของเจียงโจวก็ยังได้รับเชิญมาอีกด้วย มันจะไม่ใช่เรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไปงั้นเหรอเบื้องหลังของเจียงปินจริ
“หึหึ พิธีรับปริญญาของปีนี้ต่างจากปีก่อน ๆเลยนะ”“เพราะว่ามีผู้เชี่ยวชาญพิเศษได้เดินทางมาโดยเฉพาะ ดังนั้นก็เลยเชิญแขกผู้มีเกียรติที่สำคัญมากมากมายมามอบใบประกาศนียบัตรให้แก่นักเรียนของพวกเราในรุ่นนี้”“ที่มา ก็มีเชิญ....”“ท่านผู้นำอุตสาหกรรมยาสมุนไพรเจียงโจว ผู้อาวุโสจางเต๋อหลิน!”ขณะที่หัวหน้าโจวยื่นมือออกไปเรียนเชิญ จางเต๋อหลินก็เดินเข้ามาจากประตูด้านหลังพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าและโบกมือทักทายเหล่านักเรียนที่อยู่โดยรอบอย่างต่อเนื่อง“เอ๊ะ?”เมื่อเห็นรอยยิ้มของจางเต๋อหลิน รอยยิ้มที่พึงพอใจของเจียงปินก็แข็งทื่อทันทีเพราะในความประทับใจของเขา ผู้อาวุโสจางเต๋อหลินมักจะมีใบหน้าที่เขร่งครึมและจริงจังอย่างมาก ทั้งยังระวังภาพลักษณ์อีกด้วยทำไมถึงยิ้มได้กว้างขนาดนั้นล่ะ?แต่เหล่านักเรียนคนอื่น ๆไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วยแล้วพากันปรบมือกันอย่างกระตือรือร้น บางคนถึงขนาดปรบมือจนหน้าของตัวเองแดงต้องรู้ว่า นี่คือผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ของเจียงโจว!ผู้อาวุโสอย่างเขามามอบใบประกาศนียบัตรการสำเร็จการศึกษาด้วยตัวเอง ให้เกียรติกันเกินไปหน่อยหรือเปล่า?หากพูดออกไป เกรงว่าก็คงจะไม่มีใครเชื่อ
เพียงเพราะแค่ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเจียงโจวโด่งดังอย่างมากถึงได้ถ่อมตัวมาสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยเจียงโจวอีกทั้งหลินเสวี่ยฮุ่ยยังได้ยินมาว่า เจียงปินเหมือนจะแอบฝากตัวเป็นศิษย์ของจางเต๋อหลินด้วยได้ไหว้เจ้าสำนักของสำนักไป๋เกาเป็นอาจารย์ ไม่ธรรมดาเลยจากคำพูดของเขาเมื่อครู่สามารถดูออกได้ว่า เรื่องที่เขาไหว้จางเต๋อหลินเป็นอาจารย์ ไม่ใช่ข่าวลือที่ไม่มีมูลเลยดูท่าจะมีความเป็นไปได้สูงเจียงปินคนนี้ อนาคตก้าวไกลอย่างมากแต่สิ่งที่ทำให้หลินเสวี่ยฮุ่ยปวดหัวก็คือ เธอในฐานะดาวคณะของคณะแพทยศาสตร์ เจียงปินคนนี้เพิ่งกลับมาก็ตามตอแยเธอแน่นอนว่า หลินเสวี่ยฮุ่ยไม่ได้รู้สึกรังเกียจเจียงปินเจียงปินเป็นคนที่สุภาพกับคนอื่น เป็นคนที่กิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด ถึงขึ้นที่โจวเสี่ยวหางก็จับคู่พวกเขาสองคนอย่างเต็มที่ เห็นได้ชัดว่า โจวเสี่ยวหางคิดว่า เจียงปินคนนี้เหมาะสมกับหลินเสวี่ยฮุ่ยมากกว่าหลินเฟิงแต่ทุกครั้งเจียงปินอยู่ต่อหน้าเธอ หลินเสวี่ยฮุ่ยมักจะชอบเอาเขาไปเปรียบเทียบกับหลินเฟิงจะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร?ดังนั้นหลินเสวี่ยฮุ่ยจึงตัดสินใจไม่ได้ชั่วคราวจึงปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยใ
เจ้าของรถจำนวนไม่น้อยต่างพากันเบิกตากว้าง มองรอยยางรถที่อยู่บนพื้นด้วยความอิจฉาส่วนหลินเฟิงที่เหยียบคันเร่งจนเครื่องยนค์มายบัคคำรามลั่น หายไปจากสายตาของทุกคนในทันที......วันต่อมา มหาวิทยาลัยเจียงโจวหลินเสวี่ยฮุ่ยที่กำลังนั่งอยู่ในกลุ่มผู้ฟัง และไม่ได้ยินชื่อหลินเฟิงปรากฏในรายชื่อของศาตราจารย์ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนว่าตัวเธอเองยังไร้เดียงสาเกินไปแล้วก็ใช่ตอนนี้พี่หลินเฟิงคบค้าสมาคบกับบุคคลแบบไหน ส่วนเธอเองเป็นคนแบบไหน เธอจบการศีกษา ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นมันเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไปที่จะรบกวนหลินเฟิงหูหนวกตาบอดเกินไปแล้วจริง ๆเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเสวี่ยฮุ่ยก็จับชายกระโปรงไว้ แต่ภายในดวงตากลับมีความเสียใจที่ไม่อาจควบคุมได้ดูเหมือนว่าจะต้องขอโทษพี่หลินเฟิงในภายหลังซะแล้วหลินเสวี่ยฮุ่ยคิดได้อย่างนี้“เสวี่ยฮุ่ย อย่าเสียใจไปเลย”โจวเสี่ยวหาง เพื่อนสนิทของหลินเสวี่ยฮุ่ยตบที่มือของหลินเสวี่ยฮุ่ย พร้อมกับปลอบใจว่า :“ไม่มาก็ไม่มา หลังจากนี้ยังมีเวลาอีกมาก”“ทำท่าทางดี ๆหน่อย หลังจากนี้เธอยังต้องพูดสุนทรพจน์กับแสดงละครอีกไม่
“หลินเฟิง กลับบริษัท”หลี่ฮุ่ยหราน นั่งกอดเข่าของตัวเธอเองอยู่บนที่นั่งด้านข้างคนขับ โดยมีสีหน้าที่เศร้าเสียใจและสิ้นหวัง“ฮุ่ยหราน จริง ๆแล้ว.....”“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว หลินเฟิง ฉันรู้ทุกอย่าง”หลี่ฮุ่ยหรานมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ไม่อยากให้หลินเฟิงเห็นน้ำตาของเธอ แล้วเธอก็พึมพำว่า :“ฉันไม่เสียใจ ฉันไม่ได้เสียใจเลยแม้แต่น้อย”“......”หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง หลินเฟิงก็สตาร์ทรถในที่สุดฝนก็เริ่มตกปรอย ๆหลินเฟิงกำลังไปส่งหลี่ฮุ่ยหรานกลับไปที่หลี่ซื่อกรุ๊ป ทั้งสองคนต่างก็เงียบกันไปตลอดทาง หลินเฟิงรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก"หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัย ฉันจะให้คุณลาหยุดสองวัน”ที่หน้าทางเข้าบริษัท เสียงของหลี่ฮุ่ยหรานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอที่พยายามกลั้นน้ำตามาตลอดทางนั้น แต่ก็ยังคงแสร้งยิ้มออกมา“คุณก็เหนื่อยแย่แล้ว ไปพักผ่อนเถอะ”“อืม”เมื่อรู้ว่าหลี่ฮุ่ยหรานต้องการเวลา หลินเฟิงก็พยักหน้าแล้วออกไป“ใช่แล้ว ที่แม่ของฉันพูด คุณก็ไม่ต้องใส่ใจนะ”หลี่ฮุ่ยหรานยิ้มพร้อมกับพูดว่า :“แม้ว่าคุณจะเป็นสุนัข แต่ก็เป็นสุนัขที่ทรงพลังแล้วหล่อที่สุดในโลก”“หึ.....”หลินเฟิงถูกเธอทำใ
“แน่นอนว่าอยากจะให้บทเรียนกับไอ้หมอนั่น่สักหน่อย! ใครใช้ให้เขามักจะหยิ่งยโสต่อหน้าพวกเราล่ะ?”“เขาชอบโอ้อวดความเก่ง ก็ต้องมีจุดจบแบบนี้แหละ”จางซินพูดเต็มปากเต็มคำ“พอแล้ว”หลินเฟิงแย่งโทรศัพท์ไป เขากลัวว่าหลี่ฮุ่ยหรานจะโมโหจนทนไม่ไหวหลินเฟิงพูดอย่างเรียบเฉยว่า: “คุณน้าจาง วันนี้ผมถามพวกคุณเป็นครั้งสุดท้าย เพียงแค่เชื่อผม ที่ดินพวกนี้คุณได้ครอบครอง ก็สามารถทำเงินได้ไม่ใช่แค่สิบเท่า”“อีกทั้งถ้าหากไม่รับไป ถึงเวลาพวกคุณอย่ามาเอะอะโวยวาย ขอร้องให้ผมขายให้พวกคุณอีกนะ”ได้ยินคำพูดนี้ จางกุ้ยหลานพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“หลินเฟิง นายหมายความว่ายังไง? หรือว่าในสายตาของนาย ฉันก็คือผู้หญิงบ้าที่ชอบเอะอะโวยวายงั้นเหรอ?”“หึ แม่ไม่ใช่เหรอ?”คำพูดนี้ไม่ใช่หลินเฟิงเป็นคนพูด แต่เป็นหลี่ฮุ่ยหรานที่กอดอกพูดออกมาตอนนี้เธอถือว่าผิดหวังต่อแม่ของเธอเป็นที่สุดได้ยินคำพูดนี้ของลูกสาว จางกุ้ยหลานนิ่งอึ้งเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าถูกทำให้โมโหอย่างมาก“ได้เลยหลี่ฮุ่ยหราน แก...แกปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ ฉันทำเพื่อนแกมาโดยตลอด กลัวว่าแกจะแต่งงานกับคนชั่ว แกยิ่งอยู่ยิ่งไม่เห็นว่าฉันเป็นแม่แท้ๆ แล้ว”“แ
แต่เรื่องมาจนถึงตอนนี้แล้ว เสียบรรยากาศไปจนหมดแล้วหลินเฟิงทำได้เพียงขยับโทรศัพท์มาที่ข้างหูด้วยความจนใจและพูดขึ้นว่า:“น้า....จาง เมื่อครู่ผมได้ทำการตรวจสอบแล้ว ที่ดินแห่งนี้อันที่จริงมีมูลค่าอย่างมาก”“หือ? มีมูลค่ายังไง?”จางกุ้ยหลานที่อยู่อีกฝ่ายของโทรศัพท์มีความเยาะหยันเล็กน้อยถึงขั้นที่หลินเฟิงได้ยินเสียงหัวเราะของจางซินที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น อยู่ที่อีกฝ่ายของโทรศัพท์“คุณป้า ป้าว่าไอ้โง่นี่คิดว่าขาดทุนแล้วหรือเปล่า ถึงได้ขายที่ดินแห่งนี้ให้ป้าใหม่อีกครั้ง?”จางซินถึงขั้นที่พูดเยาะหยันออกมา“ผมได้รับข่าวสารที่เชื่อถือได้มา”หลินเฟิงไม่ได้ใส่ใจ แต่พูดปากเปียกปากแฉะว่า: “ที่ดินผืนนี้ต่อไปจะถูกนำไปรวมอยู่ในผังเมือง จะมีการเปิดถนนเลียบไปตามพื้นที่ที่พักอาศัยแห่งนี้”“ถึงเวลา มูลค่าของที่ดินแห่งนี้ก็จะเพิ่มขึ้นไม่เพียงแค่สิบเท่า!”ได้ยินคำพูดของหลินเฟิง จางซินไม่หัวเราะแล้ว จางกุ้ยหลานก็เงียบขรึมลงครู่หนึ่ง จางกุ้ยหลานถึงได้ถามลองเชิงว่า:“ดังนั้นล่ะหลินเฟิง ความหมายของนายคือ ให้ฉันซื้อที่ดินผืนนี้กลับไปมาจากมือของนาย?”“ผมคิดเอาไว้แบบนี้แหละครับ”หลินเฟิงพย
จางกุ้ยหลานถูกหลอกให้ซื้อที่ดินแห่งนี้เอาไว้ นั่นก็คือที่ดินที่ฉู่ฮวาจิ่นบอกหลินเฟิงก่อนหน้านี้ว่า มูลค่าจะเพิ่มขึ้นไม่ใช่แค่สิบเท่าอย่ามองว่าหลินเฟิงตอนนี้ใช้เงินสองพันห้าร้อยล้านบาทซื้อที่ดินเอาไว้ผ่านไปอีกสองเดือน เกรงว่ามูลค่าของที่ดินแห่งนี้จะพุ่งขึ้นสูงด้วยความเร็วจรวด ไม่ใช่แค่เพียงสองหมื่นห้าพันล้านบาท!จางกุ้ยหลานกับจางซินและคนอื่นๆ ยังหัวเราะเยาะหลินเฟิงว่าเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกให้ใช้จ่ายเงินเมื่อดูแบบนี้แล้ว อันที่จริงพวกเธอต่างหากที่เป็นคนโง่มากที่สุด ถ้าหากพวกเธอได้รับรู้ข่าวสารนี้ภายหลัง จะต้องโมโหจนโรคหัวใจกำเริบหลินเฟิงบอกเรื่องนี้กับหลี่ฮุ่ยหรานช้าๆหลี่ฮุ่ยหรานอ้าปากกว้างในทันที และมีใบหน้าตกตะลึง“นี่มันเรื่องจริงเหรอ?!”“น่าจะผิดพลาดไม่ได้”หลินเฟิงพยักหน้า เพื่อเป็นการยืนยัน แถมยังโทรศัพท์ไปหาจ้าวเว่ย ต่อหน้าหลี่ฮุ่ยหรานจ้าวเว่ยถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ผู้จัดการที่ควบคุมงานประมูล แต่ในฐานะพนักงานภายในหน่วยงานพัฒนาเมืองเจิ้งเต๋อ ก็ยังสามารถได้ยินข่าวคราวนโยบายอยู่บ้างเขาได้ยินการสอบถามของหลินเฟิง พูดขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย:“คุณหลิน เรื่องพื้นที่พักอาศัยผมไม่ท