“คุณปู่ นั่นมันคืออะไรกันแน่?”สาวน้อยมองไปที่ฟ่านอู๋จี๋ และถามด้วยความสงสัย“นั่นคือ……”ฟ่านอู๋จี๋กลืนน้ําลาย พูดด้วยความหวาดกลัวว่า: “นั่นคือความลับของสำนักเสวียนเทียน ฉันแค่เคยได้ยินจากพวกคนแก่หนังเหนียวของสำนักโม่ซวี”“ปีศาจชั่วร้ายกลืนกินพลังสวรรค์”“นำพลังชั่วร้ายรวบรวมในร่างกาย และใช้จุดตันเถียนเปลี่ยนแปลงพลังชั่วร้าย ไหลไปยังกระดูกแขนขา ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางกายและความเร็วให้กับตัวเองเพิ่มมากขึ้น ระดับเซียนเทียน สามารถที่จะรับพลังกายภาพเหมือนกับขอบเขตเทพในเวลาอันสั้นได้!”“ขอบเขตเทพ?!”สาวน้อยอุทาน: “นั่นไม่ใช่ความแข็งแกร่งในระดับเดียวกับผู้นำของสี่สำนักใหญ่ในหนานไห่เหรอ?”“ไม่ผิด”ชายชราทำหน้าเคร่งขรึม เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า: “นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันพูดว่า สำนักเสวียนเทียนนี่น่ากลัวเกินไป ถึงแม้ว่าสำนักนี้จะมีลูกศิษย์ค่อนข้างน้อย แต่พวกเขาล้วนเป็นสัตว์ประหลาดกันทั้งนั้น!”“แล้วทําไมพวกเขาถึงล่มสลายล่ะ?”“นี่”ชายชราไตร่ตรองเล็กน้อย และส่ายหัว“ฉันก็ไม่รู้ ดูท่ามีเพียงสหายน้อยหลินเฟิงเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเมื่อสามปีก่อนที่หนานไห่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”……โอวหยางป๋อมอ
มือแค่ข้างเดียวแต่ศักยภาพอย่างกับลูกระเบิด โอวหยางป๋อที่เพิ่งถูกตบเมื่อครู่มุนวนอยู่กลางอากาศ จากนั้นโดนหลินเฟิงใช้กรงเล็บบีบไหล่โดยไม่ทันตั้งตัวจากนั้นเสียงกระดูกหักที่ดังชัดเจน ไหล่ของโอวหยางป๋อถูกหลินเฟิงบีบจนแหลก“เอือกอ๊าก——!”มันไม่ได้เหมือนกับแผนการที่คิดอย่างละเอียดรอบคอบก่อนหน้านี้ เพียงแค่ถูกกระบวนท่าเดียวโอวหยางป๋อก็บาดเจ็บหนัก เขาส่งเสียงกรีดร้องอย่างทรมานออกมาแต่ในเมื่อโอวหยางป๋อเป็นถึงยอดฝีมืออันดับสี่สิบของลำดับสวรรค์เขาตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว และกัดฟันเพื่อโจมตีกลับ“ลูกเตะเสี้ยวพระจันทร์”โอวหยางป๋อเตะขาคู่ออกมามากกว่าสิบครั้ง ตามด้วยเสียงระเบิดที่แยกออกจากตัว พุ่งตรงไปยังใบหน้าของหลินเฟิง“ช้าเกินไปช้าเกินไปแล้ว! อันดับสี่สิบของลำดับสวรรค์ฝีมือแค่นี้เหรอ?!”หลินเฟิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว คาดไม่ถึงว่าจะใช้ท่วงท่าต่อสู้แบบเดียวกับโอวหยางป๋อ“ลูกเตะเสี้ยวพระจันทร์!”“ปังปังปังปังปังปัง!”โอวหยางป๋อสามารถเตะขาออกมามากกว่าสิบครั้ง แต่หลินเฟิงกลับสามารถเตะออกมาในช่วงเวลาสั้นมากกว่าห้าสิบครั้งพลังชั่วร้ายที่ติดอยู่บนเท้าเปรียบเสมือนหนามน้ำแข็งของเทือกเขาเทียนซาน
“ช้าก่อน”ในขณะที่โอวหยางชิ่งพยายามแบกโอวหยางป๋อที่กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ขึ้นรถไป หลินเฟิงที่ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติก็จับประตูรถไว้โอวหยางชิ่งตกใจอย่างมาก นึกว่าหลินเฟิงนั้นจะเปลี่ยนใจแต่หลินเฟิงไม่ใช่คนที่ผิดคำพูด เขาเหลือบมองโอวหยางป๋อที่กําลังหายใจอยู่ และพูดเบา ๆ ว่า: “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”“เชิญคุณหลินพูด” ตอนนี้โอวหยางชิ่งว่าง่ายอย่างมาก“เมื่อครู่ผมได้ยินพ่อของคุณพูดว่าจะจัดการกับตระกูลไป๋ ตอนนี้บอกให้พวกเขาหยุดลงมือเดี๋ยวนี้ และอย่าไปรบกวนตระกูลไป๋อีก”เดิมทีคิดว่าหลินเฟิงจะเปลี่ยนใจแต่เมื่อได้ยินหลินเฟิงเสนอข้อเรียกร้องเพียงแค่นี้ โอวหยางชิ่งก็โล่งใจ แต่หลังจากนั้นก็ขมวดคิ้วและพูดว่า: “คุณหลิน เป็นเพราะตระกูลไป๋ที่ทำให้คุณติดกับดัก ต่อให้เป็นแบบนี้คุณก็ต้องการปล่อยพวกเขาไปเหรอ?”“ปล่อยไม่ปล่อยนั่นมันเรื่องของผม”สายตาที่เย็นชาของหลินเฟิงทําให้โอวหยางชิ่งตัวสั่น“รับทราบค่ะ” โอวหยางชิ่งรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าของพ่อตัวเอง และโทรออกหาจงเจว๋ที่อยู่ในตระกูลไป๋ในเวลานี้ สั่งให้เขาหยุดลงมือ และให้โถงลับถอนกำลังออกให้หมดจงเจว๋นั้นแปลกใจมาก แต่ก็ต้องจำใจดำเนินก
พอคนของโถงมืดกลับไป คนตระกูลไป๋ที่รอดชีวิตมาได้ต่างก็ร้องไห้ออกมาชีวิตที่รอดตายหลังประสบภัยพิบัติ ตระกูลไป๋โชคดีมากที่รอดมาได้แต่ใครที่ช่วยพวกเขาไว้?ไป๋เจิ้นหัวไม่สนใจไป๋ชิงเฉี่ยนที่กระโจนเข้าหาชายชราและร้องไห้ สายตาไร้ความรู้สึกมองไปทางเถาเซิ่งที่แอบถือโทรศัพท์เอาไว้และหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ตอนนี้เขาคิดไม่ออกแล้วว่าใครช่วยชีวิตพวกตระกูลไป๋ไว้ในหัวสมองเพียงแค่นึกถึงคำพูดข่มขู่ที่เถาเซิ่งพูดออกมาในตอนที่ถูกเขาไล่กลับไป“คุณลุง ตระกูลเถาของเราสามารถเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยในหนานโจวได้ แน่นอนว่าต้องมีพลังอยู่บ้าง ถึงแม้สำนักเสินฉือจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพันอย่างที่คุณคิด”“วันนี้ ท่าทางที่คุณมีต่อผม คุณต้องเสียใจภายหลัง”เพียงแต่มันก็เป็นแค่คำพูดที่เถาเซิ่งนั้นฝืนพูดออกมาเพื่อไม่ให้แพ้พลังอำนาจแต่กลับถูกไป๋เจิ้นหัวคิดจริงจังแล้ว ไป๋เจิ้นหัวคุกเข่าล้มลงที่ข้างเท้าของเถาเซิ่งทันที จากนั้นจับขาของเถาเซิ่งไว้และโขกหัวกับพื้นเขาโขกหัวไปพลางพูดเสียงดังไปพลางว่า: “ขอบคุณคุณชายเถา ขอบพระคุณคุณชายเถามากที่ไว้ชีวิตตระกูลไป๋ของผมเอาไว้ เมื่อครู่ต้องเป็นเพราะคุณติดต่อพ
การกลับมาครั้งนี้ หลินเฟิงมาเพื่อชำระแค้นกับตระกูลไป๋“หลี่ซืออวี่……”ไป๋เจิ้นหัวเมื่อกี้จะบอกว่าเป็นเพราะหลี่ซืออวี่บาดเจ็บหนัก เขาจึงเรียกรถพยาบาลมารับไปแล้วแต่ลองคิดย้อนดู ทำไมเขาต้องกลัวหลินเฟิงด้วย?ถึงขั้นที่คิดให้ลึกลงไปอีกบางทีหลินเฟิงอาจซื้อตัวโอวหยางป๋อด้วยเงินจํานวนมาก ทําให้โอวหยางป๋อหันมาผิดใจกับเขาและส่งจงเจว๋กองกำลังโถงมืดของสำนักเสินฉือมาเพื่อฆ่าปิดปากไม่อย่างนั้นหลินเฟิงจะกลับมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดได้อย่างไรและในโทรศัพท์ ประโยคที่ว่า "คุณรู้มากเกินไปแล้ว" ของโอวหยางป๋อ ก็เป็นการยืนยันการคาดเดาของเขาเมื่อสรุปดูแล้ว หลินเฟิงเป็นฆาตกรที่เกือบจะกวาดล้างตระกูลไป๋ของพวกเขา!ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ไป๋เจิ้นหัวอาจจะหวาดกลัว ต่อหลินเฟิง ตอนนี้ข้างกายมีคุณชายเถาเซิ่งแล้วมีตระกูลเถาที่สามารถทำให้กองกำลังโถงมืดของสำนักเสินฉือหวาดกลัว งั้นเขายังจะกลัวอะไรหลินเฟิงที่เป็นผู้ชายที่ตระกูลไป๋เลี้ยงไว้ทำไมอีกล่ะ?ไป๋เจิ้นหัวเปลี่ยนสีหน้าทันที และสะบัดมือของหลินเฟิงออกไป จากนั้นพูดด้วยความโกรธว่า: “ทําไมฉันต้องบอกแก? อย่าคิดว่าแกฉลาดนิดหน่อย ก็ซื้อสำนักเสินฉือได้แล้
เมื่อได้ยินลูกสาวเรียกชื่อนามสกุลของเขา ไป๋เจิ้นหัวก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“ชิงเฉี่ยน ฉันเป็นพ่อของแกน่ะ! แกพูดกับพ่อตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร ?”“หุบปาก”ดวงตาของไป๋ชิงเฉี่ยนเหมือนไฟฟ้า เธอพูดอย่างเย็นชาว่า:“พ่อของฉันตายไปแล้ว ในงานศพนี้ เป็นการไว้อาลัยต่อคุณปู่และยังมีพ่อที่ตายไปแล้ว ไป๋เจิ้นหัว ต่อจากนี้ถ้าคุณกล้าไม่เคารพฉันอีก ฉันจะจัดการคุณด้วยกฎตระกูล โดยใช้สิทธิ์ของผู้นำตระกูลไป๋ !”“แก……”ไป๋เจิ้นหัวเกือบจะโกรธลูกของตัวเองจะตายอยู่แล้ว แต่แล้วก็นึกถึงสิ่งที่ตัวเองเพิ่งทํากับลูกสาว เขากัดฟัน พูดออกมาจากปากทีละคำ“ชิงเฉี่ยน ไม่ว่ายังไงคุณลุงก็ทำเพื่อความอยู่รอดของตระกูลไป๋ คุณไม่สามารถ……” “ที่นี่มีสิทธิ์ให้คุณพูดด้วยเหรอ? หลิงอวี้ ส่งแขก!”ไป๋ชิงเฉี่ยนเชิดหน้าเดินเข้าไปในห้องโถงไว้ทุกข์“ส่ง…”ต่งหลิงอวี้ใจลอยอย่างเห็นได้ชัด เธอถามด้วยความมึนงง: “ส่งใคร” “ต้องให้ฉันบอกอีกเหรอ?”ไป๋ชิงเฉี่ยนหยุดเดิน เหลือบมองต่งหลิงอวี้ด้วยความเย็นชา จึงทําให้ภายในใจของหลิงอวี้รู้สึกหดหู่ต่งหลิงอวี้เดินมาถึงหน้าเถาเซิ่ง และทำท่าทางที่เป็นการ “เชื้อเชิญ”“คุณ
เดิมทีหลี่ซืออวี่ถูกชี่แท้ที่แยกออกจากร่างของจงเจว๋โจมตี แต่ยังไม่ได้ตายในทันทีไหล่ของเธอแตกละเอียด และเสียเลือดมากจนเกินไป เหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย เมื่อครู่เพิ่งจะถูกรถฉุกเฉินพาตัวไป จนตอนนี้ยังไม่พ้นขีดอันตราย“เฮ้อ....”เมื่อได้ยินข่าวนี้ หลินเฟิงก็ถอนหายใจยาว ๆ“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ดูชะตากรรมของเธอเถอะ ผมไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับเธอแม้แต่นิดเดียวแล้ว”“งั้น...”ไป๋ชิงเฉี่ยนหันหน้ามา น้ำตาในดวงตาทำให้หลินเฟิงนิ่งอึ้งเล็กน้อย“เรื่องเมื่อคืนที่คุณรับปาก ยังมีผลอยู่ไหม?”เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารแบบนี้ของคุณหนูตระกูลไป๋ หลินเฟิงก็รู้สึกใจอ่อนเล็กน้อยเขายื่นนามบัตรของตัวเองไปให้เธอ และพยักหน้าพูดว่า: “ถ้าหากวันไหนคุณมีเวลามาเจียงโจว ก็มานั่งเล่นที่บ้านของผมได้”“เพียงแต่ว่าบ้านของผมเกรงว่าจะไม่ได้สวยสง่างามเหมือนกับคฤหาสน์ตระกูลไป๋แบบนี้”“พร่วด”ฟังหลินเฟิงพูดแบบนี้ ไป๋ชิงเฉี่ยนเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นหัวเราะหลังจากบอกลาคุณหนูตระกูลไป๋หลินเฟิงเตรียมจะขับรถกลับเมืองเจียงโจว เพียงแต่ว่าเพิ่งจะไปถึงหน้าประตูพร้อมกับเหยาปิน หลินเฟิงก็เห็นฟ่านหลิงเยว่ถือจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้
“พี่หลินเฟิง พี่คงไม่ได้เป็นเพราะสำนักโม่ซวีหรอกนะ จึงไม่ยอมรับฉัน?”ฟ่านหลิงเยว่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจแล้วพูดขึ้น: “พี่อย่าใจร้อน ฉันจะตัดความสัมพันธ์กับสำนักโม่ซวีเดี๋ยวนี้เลย”ฟ่านหลิงเยว่ล้วงโทรศัพท์ออกมา และโทรออกไปยังเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่ง“ฮัลโหล? ผู้อาวุโสโม่เหรอ ฉันมีธุระคุยกับคุณหน่อยค่ะ ฉันจะออกจากสำนักแล้ว ใช่ ต่อไปนี้พวกคุณสำนักโม่ซวีไม่ต้องติดต่อฉันมาแล้ว ฉันกลัวพี่หลินเฟิงจะเข้าใจผิด”“ไม่มีอะไร ก็แค่ไม่รักแล้ว ลาก่อน ต่อไปพวกเราไม่ต้องติดต่อกันอีกแล้ว”“อืม ขอให้อนาคตรุ่งเรืองสดใส ขอให้พวกเราจากกันด้วยดี”รอให้ฟ่านหลิงเยว่วางสายไป หลินเฟิงกับเหยาปินทั้งสองคนมองหน้ากัน“มองอะไร? แปลกมากเหรอ?”ฟ่านหลิงเยว่แบมือ ด้วยใบหน้าไร้เดียงสา“คุณหนูจ้าว ผมขอถามหน่อยได้ไหมว่าคุณเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน?”“คำพูดเป็นชุดของผู้หญิงหลายใจทำไมถึงได้ช่ำชองแบบนี้”เหยาปิดพูดหยอกล้อ“พูดอะไรน่ะ ฉันยังเด็กอยู่ จะมีแฟนได้ยังไงกัน?”ฟ่านหลิงเยว่กลอกตาขาวหลินเฟิงกลับกุมหน้าผาก......ในที่สุดผ่านความวุ่นวายมาทั้งวัน ในตอนช่วงยามเย็นใกล้พระอาทิตย์ตกดิน หลินเฟิงขับรถมาถึงเมืองเจียงโจว แล