“ช้าก่อน”ในขณะที่โอวหยางชิ่งพยายามแบกโอวหยางป๋อที่กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ขึ้นรถไป หลินเฟิงที่ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติก็จับประตูรถไว้โอวหยางชิ่งตกใจอย่างมาก นึกว่าหลินเฟิงนั้นจะเปลี่ยนใจแต่หลินเฟิงไม่ใช่คนที่ผิดคำพูด เขาเหลือบมองโอวหยางป๋อที่กําลังหายใจอยู่ และพูดเบา ๆ ว่า: “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”“เชิญคุณหลินพูด” ตอนนี้โอวหยางชิ่งว่าง่ายอย่างมาก“เมื่อครู่ผมได้ยินพ่อของคุณพูดว่าจะจัดการกับตระกูลไป๋ ตอนนี้บอกให้พวกเขาหยุดลงมือเดี๋ยวนี้ และอย่าไปรบกวนตระกูลไป๋อีก”เดิมทีคิดว่าหลินเฟิงจะเปลี่ยนใจแต่เมื่อได้ยินหลินเฟิงเสนอข้อเรียกร้องเพียงแค่นี้ โอวหยางชิ่งก็โล่งใจ แต่หลังจากนั้นก็ขมวดคิ้วและพูดว่า: “คุณหลิน เป็นเพราะตระกูลไป๋ที่ทำให้คุณติดกับดัก ต่อให้เป็นแบบนี้คุณก็ต้องการปล่อยพวกเขาไปเหรอ?”“ปล่อยไม่ปล่อยนั่นมันเรื่องของผม”สายตาที่เย็นชาของหลินเฟิงทําให้โอวหยางชิ่งตัวสั่น“รับทราบค่ะ” โอวหยางชิ่งรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าของพ่อตัวเอง และโทรออกหาจงเจว๋ที่อยู่ในตระกูลไป๋ในเวลานี้ สั่งให้เขาหยุดลงมือ และให้โถงลับถอนกำลังออกให้หมดจงเจว๋นั้นแปลกใจมาก แต่ก็ต้องจำใจดำเนินก
พอคนของโถงมืดกลับไป คนตระกูลไป๋ที่รอดชีวิตมาได้ต่างก็ร้องไห้ออกมาชีวิตที่รอดตายหลังประสบภัยพิบัติ ตระกูลไป๋โชคดีมากที่รอดมาได้แต่ใครที่ช่วยพวกเขาไว้?ไป๋เจิ้นหัวไม่สนใจไป๋ชิงเฉี่ยนที่กระโจนเข้าหาชายชราและร้องไห้ สายตาไร้ความรู้สึกมองไปทางเถาเซิ่งที่แอบถือโทรศัพท์เอาไว้และหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ตอนนี้เขาคิดไม่ออกแล้วว่าใครช่วยชีวิตพวกตระกูลไป๋ไว้ในหัวสมองเพียงแค่นึกถึงคำพูดข่มขู่ที่เถาเซิ่งพูดออกมาในตอนที่ถูกเขาไล่กลับไป“คุณลุง ตระกูลเถาของเราสามารถเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยในหนานโจวได้ แน่นอนว่าต้องมีพลังอยู่บ้าง ถึงแม้สำนักเสินฉือจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพันอย่างที่คุณคิด”“วันนี้ ท่าทางที่คุณมีต่อผม คุณต้องเสียใจภายหลัง”เพียงแต่มันก็เป็นแค่คำพูดที่เถาเซิ่งนั้นฝืนพูดออกมาเพื่อไม่ให้แพ้พลังอำนาจแต่กลับถูกไป๋เจิ้นหัวคิดจริงจังแล้ว ไป๋เจิ้นหัวคุกเข่าล้มลงที่ข้างเท้าของเถาเซิ่งทันที จากนั้นจับขาของเถาเซิ่งไว้และโขกหัวกับพื้นเขาโขกหัวไปพลางพูดเสียงดังไปพลางว่า: “ขอบคุณคุณชายเถา ขอบพระคุณคุณชายเถามากที่ไว้ชีวิตตระกูลไป๋ของผมเอาไว้ เมื่อครู่ต้องเป็นเพราะคุณติดต่อพ
การกลับมาครั้งนี้ หลินเฟิงมาเพื่อชำระแค้นกับตระกูลไป๋“หลี่ซืออวี่……”ไป๋เจิ้นหัวเมื่อกี้จะบอกว่าเป็นเพราะหลี่ซืออวี่บาดเจ็บหนัก เขาจึงเรียกรถพยาบาลมารับไปแล้วแต่ลองคิดย้อนดู ทำไมเขาต้องกลัวหลินเฟิงด้วย?ถึงขั้นที่คิดให้ลึกลงไปอีกบางทีหลินเฟิงอาจซื้อตัวโอวหยางป๋อด้วยเงินจํานวนมาก ทําให้โอวหยางป๋อหันมาผิดใจกับเขาและส่งจงเจว๋กองกำลังโถงมืดของสำนักเสินฉือมาเพื่อฆ่าปิดปากไม่อย่างนั้นหลินเฟิงจะกลับมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดได้อย่างไรและในโทรศัพท์ ประโยคที่ว่า "คุณรู้มากเกินไปแล้ว" ของโอวหยางป๋อ ก็เป็นการยืนยันการคาดเดาของเขาเมื่อสรุปดูแล้ว หลินเฟิงเป็นฆาตกรที่เกือบจะกวาดล้างตระกูลไป๋ของพวกเขา!ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ไป๋เจิ้นหัวอาจจะหวาดกลัว ต่อหลินเฟิง ตอนนี้ข้างกายมีคุณชายเถาเซิ่งแล้วมีตระกูลเถาที่สามารถทำให้กองกำลังโถงมืดของสำนักเสินฉือหวาดกลัว งั้นเขายังจะกลัวอะไรหลินเฟิงที่เป็นผู้ชายที่ตระกูลไป๋เลี้ยงไว้ทำไมอีกล่ะ?ไป๋เจิ้นหัวเปลี่ยนสีหน้าทันที และสะบัดมือของหลินเฟิงออกไป จากนั้นพูดด้วยความโกรธว่า: “ทําไมฉันต้องบอกแก? อย่าคิดว่าแกฉลาดนิดหน่อย ก็ซื้อสำนักเสินฉือได้แล้
เมื่อได้ยินลูกสาวเรียกชื่อนามสกุลของเขา ไป๋เจิ้นหัวก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“ชิงเฉี่ยน ฉันเป็นพ่อของแกน่ะ! แกพูดกับพ่อตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร ?”“หุบปาก”ดวงตาของไป๋ชิงเฉี่ยนเหมือนไฟฟ้า เธอพูดอย่างเย็นชาว่า:“พ่อของฉันตายไปแล้ว ในงานศพนี้ เป็นการไว้อาลัยต่อคุณปู่และยังมีพ่อที่ตายไปแล้ว ไป๋เจิ้นหัว ต่อจากนี้ถ้าคุณกล้าไม่เคารพฉันอีก ฉันจะจัดการคุณด้วยกฎตระกูล โดยใช้สิทธิ์ของผู้นำตระกูลไป๋ !”“แก……”ไป๋เจิ้นหัวเกือบจะโกรธลูกของตัวเองจะตายอยู่แล้ว แต่แล้วก็นึกถึงสิ่งที่ตัวเองเพิ่งทํากับลูกสาว เขากัดฟัน พูดออกมาจากปากทีละคำ“ชิงเฉี่ยน ไม่ว่ายังไงคุณลุงก็ทำเพื่อความอยู่รอดของตระกูลไป๋ คุณไม่สามารถ……” “ที่นี่มีสิทธิ์ให้คุณพูดด้วยเหรอ? หลิงอวี้ ส่งแขก!”ไป๋ชิงเฉี่ยนเชิดหน้าเดินเข้าไปในห้องโถงไว้ทุกข์“ส่ง…”ต่งหลิงอวี้ใจลอยอย่างเห็นได้ชัด เธอถามด้วยความมึนงง: “ส่งใคร” “ต้องให้ฉันบอกอีกเหรอ?”ไป๋ชิงเฉี่ยนหยุดเดิน เหลือบมองต่งหลิงอวี้ด้วยความเย็นชา จึงทําให้ภายในใจของหลิงอวี้รู้สึกหดหู่ต่งหลิงอวี้เดินมาถึงหน้าเถาเซิ่ง และทำท่าทางที่เป็นการ “เชื้อเชิญ”“คุณ
เดิมทีหลี่ซืออวี่ถูกชี่แท้ที่แยกออกจากร่างของจงเจว๋โจมตี แต่ยังไม่ได้ตายในทันทีไหล่ของเธอแตกละเอียด และเสียเลือดมากจนเกินไป เหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย เมื่อครู่เพิ่งจะถูกรถฉุกเฉินพาตัวไป จนตอนนี้ยังไม่พ้นขีดอันตราย“เฮ้อ....”เมื่อได้ยินข่าวนี้ หลินเฟิงก็ถอนหายใจยาว ๆ“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็ดูชะตากรรมของเธอเถอะ ผมไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับเธอแม้แต่นิดเดียวแล้ว”“งั้น...”ไป๋ชิงเฉี่ยนหันหน้ามา น้ำตาในดวงตาทำให้หลินเฟิงนิ่งอึ้งเล็กน้อย“เรื่องเมื่อคืนที่คุณรับปาก ยังมีผลอยู่ไหม?”เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารแบบนี้ของคุณหนูตระกูลไป๋ หลินเฟิงก็รู้สึกใจอ่อนเล็กน้อยเขายื่นนามบัตรของตัวเองไปให้เธอ และพยักหน้าพูดว่า: “ถ้าหากวันไหนคุณมีเวลามาเจียงโจว ก็มานั่งเล่นที่บ้านของผมได้”“เพียงแต่ว่าบ้านของผมเกรงว่าจะไม่ได้สวยสง่างามเหมือนกับคฤหาสน์ตระกูลไป๋แบบนี้”“พร่วด”ฟังหลินเฟิงพูดแบบนี้ ไป๋ชิงเฉี่ยนเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นหัวเราะหลังจากบอกลาคุณหนูตระกูลไป๋หลินเฟิงเตรียมจะขับรถกลับเมืองเจียงโจว เพียงแต่ว่าเพิ่งจะไปถึงหน้าประตูพร้อมกับเหยาปิน หลินเฟิงก็เห็นฟ่านหลิงเยว่ถือจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้
“พี่หลินเฟิง พี่คงไม่ได้เป็นเพราะสำนักโม่ซวีหรอกนะ จึงไม่ยอมรับฉัน?”ฟ่านหลิงเยว่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจแล้วพูดขึ้น: “พี่อย่าใจร้อน ฉันจะตัดความสัมพันธ์กับสำนักโม่ซวีเดี๋ยวนี้เลย”ฟ่านหลิงเยว่ล้วงโทรศัพท์ออกมา และโทรออกไปยังเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่ง“ฮัลโหล? ผู้อาวุโสโม่เหรอ ฉันมีธุระคุยกับคุณหน่อยค่ะ ฉันจะออกจากสำนักแล้ว ใช่ ต่อไปนี้พวกคุณสำนักโม่ซวีไม่ต้องติดต่อฉันมาแล้ว ฉันกลัวพี่หลินเฟิงจะเข้าใจผิด”“ไม่มีอะไร ก็แค่ไม่รักแล้ว ลาก่อน ต่อไปพวกเราไม่ต้องติดต่อกันอีกแล้ว”“อืม ขอให้อนาคตรุ่งเรืองสดใส ขอให้พวกเราจากกันด้วยดี”รอให้ฟ่านหลิงเยว่วางสายไป หลินเฟิงกับเหยาปินทั้งสองคนมองหน้ากัน“มองอะไร? แปลกมากเหรอ?”ฟ่านหลิงเยว่แบมือ ด้วยใบหน้าไร้เดียงสา“คุณหนูจ้าว ผมขอถามหน่อยได้ไหมว่าคุณเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน?”“คำพูดเป็นชุดของผู้หญิงหลายใจทำไมถึงได้ช่ำชองแบบนี้”เหยาปิดพูดหยอกล้อ“พูดอะไรน่ะ ฉันยังเด็กอยู่ จะมีแฟนได้ยังไงกัน?”ฟ่านหลิงเยว่กลอกตาขาวหลินเฟิงกลับกุมหน้าผาก......ในที่สุดผ่านความวุ่นวายมาทั้งวัน ในตอนช่วงยามเย็นใกล้พระอาทิตย์ตกดิน หลินเฟิงขับรถมาถึงเมืองเจียงโจว แล
“เอิ๊ก”ฟ่านหลิงเยว่กินข้าวสองหม้อใหญ่เข้าไป เธอก็อิ่มจนตาเหลือกแม่ลูกจ้าวเฉียวอวิ๋นตกใจจนคิดว่าเธอเป็นอะไรไปหลินเฟิงกลับหาเหตุผลออกจากอ่าวเทียนสุ่ย และขับรถไปยังบริษัทเภสัชกรรมเชิงถังในห้องวิจัย หลินเฟิงใช้เตาที่ถังหว่านจัดแจงให้เขาเริ่มกลั่นไผ่กลืนทอง หลังจากผ่านความพยายามมาครึ่งค่อนคืน ในที่สุดหลินเฟิงก็นำไผ่กลืนทองกลั่นเป็นยาที่เปล่งประกายแสงสีทองได้สองเม็ดหลินเฟิงกลืนยาสองเม็ดเข้าไปทันทีโดยไม่มีความลังเลภายใต้การขับเคลื่อนของหยวนชี่ทั้งห้า ในดวงตาของหลินเฟิงมีแสงสีทองส่องออกมา อาการบาดเจ็บที่รุนแรงขึ้นจากการใช้ ปีศาจชั่วร้ายกลืนกินพลังสวรรค์ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง จุดตันเถียนที่เกือบจะแห้งเหือดก็มีกำลังภายในสีทองพุ่งออกมาไม่หยุดประสิทธิภาพของไผ่กลืนทอง ผลักดันร่างกายของเขากลับสู่จุดสูงสุดเมื่อสามปีที่แล้วอย่างต่อเนื่องผ่านไปเป็นเวลานาน หลินเฟิงตะโกนออกมาเสียงต่ำ สะเทือนทั่วทั้งตึกของบริษัทเภสัชกรรมเชิงถังรปภ. ที่อยู่นอกตึกถึงกับตกใจอย่างมาก คิดว่าเกิดแผ่นดินไหวแต่ไม่รู้เลยว่า นี่เป็นเพียงแค่ผลพวงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดจากการฟื้นตัวความแจ็งแกร่งของหลินเฟิงเม
“วางใจเถอะค่ะอาจารย์ พี่หลินเฟิงเก่งกาจมากจริง ๆ”หลินเสวี่ยฮุ่ยพูดเสริมอยู่ข้าง ๆ โจวเสี่ยวหางก็พยักหน้าพูด: “ฉันใช้ชื่อเสียงของสภานักเรียนของพวกเราเป็นเครื่องยืนยัน อาจารย์คะ คุณหลินท่านนี้ไม่มีทางทำให้คุณผิดหวังแน่นอน”“ก็ได้”หัวหน้าคณะพยักหน้า จากนั้นมองไปทางหลินเฟิงแล้วพูดขึ้น: “ไม่ทราบว่าวิชาเอกของคุณคือด้านไหน? เภสัชศาสตร์? การฝังเข็มรมยา? การเข้ากระดูก? หรือว่า...”“ผมพอเข้าใจทั้งหมด”หลินเสวี่ยฮุ่ยอยู่ตรงนี้ หลินเฟิงไม่มีทางทำให้เธอผิดหวังอยู่แล้ว จึงพยักหน้าพูดด้วยความมั่นใจ“พอเข้าใจทั้งหมด?”หัวหน้าคณะเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา ก็ยิ่งคิดว่าวัยรุ่นคนนี้ที่อยู่ตรงหน้ากำลังพูดจาซี้ซั้วแพทย์แผนจีนในฐานะวิชาแพทย์แผนโบราณของประเทศมังกร แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องมีความซับซ้อนและกว้างใหญ่ต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการลงมือจริงที่มากมาย วัยรุ่นคนนี้ที่อายุไม่ถึงสามสิบปี จะเข้าใจทั้งหมดได้อย่างไร?“หึ”เมื่อเห็นหัวหน้าคณะคนนี้ก้มหน้าครุ่นคิด หลินเฟิงก็รู้ว่าเขาไม่เชื่อตัวเองดังนั้นหลังจากที่ตรวจดูใบหน้าของหัวหน้าท่านนี้อย่างละเอียดหลินเฟิงก็พูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย: “ห
ผู้กำกับกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ส่วนผู้เขียนบทหัวล้านที่อยู่ข้างๆ ก็ยืนออกมา ยิ้มขอโทษและพูดว่า:“คุณชายสวี่ ฉากนี้ได้รับการปฏิเสธจากคุณอิ่นนั่วเจีย เธอคือหนึ่งในผู้ร่วมงานกับเราในครั้งนี้ พวกเราไม่สามารถบังคับเขาได้หรอกครับ”“จริงด้วยคุณชายสวี่ คุณใจเย็นๆ เตรียมการถ่ายทำในวันนี้เถอะครับ”ผู้กำกับก็เข้ามาเกลี้ยกล่อม“ไสหัวไป!”ใครจะรู้ว่าคุณชายสวี่คนนี้ไม่ยินยอมด้วยซ้ำ ซัดบทละครที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามยื่นมาให้ไปที่ใบหน้าของผู้กำกับโดยตตรง“แม่ง ถ้าไม่ใช่ว่ามีอิ่นนั่วเจียร่วมแสดง ฉันจะรับบทนี้เหรอ? ผลปรากฏว่าวุ่นวายอยู่นาน พวกแกบอกว่าฉันกับอิ่นนั่วเจียไม่มีฉากเลิฟซีนแม้แต่นิด”“งั้นฉันมาทำอะไรวะ?!”ได้ยินคำพูดนี้ หลินเฟิงหางตากระตุกความคิดเห็นที่มีต่อคุณชายสวี่คนนี้ดำดิ่งลงไปถึงจุดต่ำสุดทันที“แกแม่งมองอะไรวะ?”ในตอนนี้คุณชายสวี่กำลังกลัดกลุ้มไม่มีคนให้ระบายอารมณ์สัญชาตญาณของเขาสัมผัสได้ว่าหลินเฟิงจ้องมองมาทางเขาอยู่ จึงชี้หน้าหลินเฟิงแล้วด่าทอเจ้าหน้าที่ภาคสนามกับพนักงานคนอื่นๆ ที่อยู่ในกองถ่ายตอนนี้ต่างยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง ก้มหน้าไม่กล้าหาเรื่องใส่ตัว มีเพียงหลินเฟิงคนเ
แต่ทว่าตั้งแต่แรก คุณชายสวี่ที่ถูกพวกเธอเลื่อมใสไม่ได้เหลือบมองพวกเธอแม้แต่นิดยิ่งไม่ต้องพูดว่าโบกมือยิ้มแย้มตอบโต้อะไรเลยถึงขั้นที่สีหน้าของเขาขึงตึงไปหมด อารมณ์ไม่ดีแต่ทว่าผู้หญิงเหล่านี้กลับยังคงกรีดร้องไม่หยุด“อ๊ะอ๊ะอ๊ะ คุณชายสวี่เมื่อครู่มองฉันด้วย เมื่อครู่เขามองฉันจริงๆ นะ!”“พูดไร้สาระ เขามองฉันต่างหาก!”“แน่จริงเธอพูดอีกครั้งสิ!”ทันใดนั้น เหตุการณ์เกิดความวุ่นวายขึ้น ถึงขั้นที่ผู้หญิงจำนวนมากตบตีกันเพราะเรื่องนี้แบบนี้จึงทำให้หลินเฟิงที่อยู่ไกลออกไปตกตะลึงอย่างมากถ้าหากวันหนึ่งอวี๋จื่อเสวียนกลายเป็นดาราดังแบบนี้ เมื่อคิดว่ามีผู้ชายกลุ่มหนึ่งมาตะโกนคำขวัญอยู่ตรงนี้...หลินเฟิงจิตใจหดหู่ไปกว่าครึ่งทันทีเรื่องแบบนี้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจะดีกว่าดังนั้นเขาหาจุดที่เงียบสงบ โทรศัพท์ไปหาอิ่นนั่วเจียโดยตรง“ฮัลโหล”อิ่นนั่วเจียน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย เหมือนกับเพิ่งตื่น“คุณอิ่นนั่วเจีย ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน?”“ฉันเหรอ?”อิ่นนั่วเจียยังงุนงงเล็กน้อย แต่ไม่นานนักเธอก็ตั้งสติได้ และหัวเราะร่าพูดขึ้นว่า:“ตอนนี้ฉันอยู่ที่เจียงโจวค่ะ”“เอ๊ะ? คุณไม่ได้ถ่ายละครอยู่ที่เมืองจ
ในเมื่อกองถ่ายขนาดใหญ่ของพวกเขากำลังถ่ายทำอยู่ที่นี่และเขาคนแปลกหน้าแบบนี้ สามารถบุกเข้าไปข้างในได้ตามใจชอบ ก็เป็นไปไม่ค่อยได้ดังนั้นหลังจากที่หลินเฟิงครุ่นคิด ก็เงยหน้ายิ้มพูดว่า: “ผมเป็นเพื่อนของอิ่นนั่วเจีย ครั้งนี้ผมมาเยี่ยมดูเธอ”“......”ได้ยินคำพูดของหลินเฟิง รปภ.สามคนที่ขวางหลินเฟิงเอาไว้ก็นิ่งอึ้งผ่านไปครู่หนึ่ง รปภ.สามคนนี้ก็ระเบิดหัวเราะออกมาทันทีท่ามกลางเสียงหัวเราะตรงนี้ คนที่ผ่านไปมาก็มองมาทางนี้ด้วยความสงสัย “นี่นี่นี่ พวกนายฟังสิ พวกนายฟังดู”หนึ่งในรปภ. ควงกระบองที่อยู่ในมือ จากนั้นชี้หน้าหลินเฟิงและหัวเราะเสียงดังพูดว่า:“ไอ้โง่นี้พูดว่าเขาเป็นเพื่อนของอิ่นนั่วเจีย อยากจะเข้าไปพบอิ่นนั่วเจียในกองถ่าย”“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้หนุ่ม นายรู้ไหมว่าอิ่นนั่วเจียโด่งดังมากแค่ไหน? นายนับประสาอะไรกัน ยังอยากจะมาเกาะกระแสของเธอ?”“ฉันคิดว่านายไม่สู้หาข้ออ้างอื่น อย่างเช่นพูดว่าตั้งใจมาสมัครเป็นนักแสดงตัวประกอบ”“แบบนี้อย่างน้อยยังพอดีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง”ได้ยินคำเยาะหยันของรปภ. คนที่เดินผ่านไปมาก็พากันหัวเราะเยาะอิ่นนั่วเจียเธอเป็นถึงซูเปอร์สตาร์ประเทศมังกร ไอ้หมอน
“ฆ่าใคร?”หลินเฟิงขมวดคิ้ว จากนั้นรักษาระยะห่างกับผู้หญิงคนนี้โดยสัญชาตญาณแต่เธอกลับตัวอ่อนเหมือนไร้กระดูดแนบชิดเข้ามติดๆ“คนที่ฉันพูดถึง เก่งมากๆ เลยนะ เกรงว่าคุณสามีจะทำไม่ได้น่ะสิ”ฉู่ฮวาจิ่นหรี่ตาลงท่าทางของเธอในตอนนี้เหมือนกับนังจิ้งจอกในตำนานชัดๆท่าทางออดอ้อนมีเสน่ห์ ใบหน้าแดงระเรื่อ สามารถทำให้ผู้ชายทั้งโลกคลุ้มคลั่งได้แต่ทว่าเสียงของหลินเฟิงกลับยังคงนิ่งเฉย“ฆ่าใคร?”เห็นหลินเฟิงไม่ติดกับ ฉู่ฮวาจิ่นสายตาหยุดชะงัก เธอคิดไม่ถึงว่าหลินเฟิงจะสติมั่นคงได้ขนาดนี้ดังนั้นเธอจึงขยับไปข้างหูของหลินเฟิง พ่นลมหายใจอุ่นชื้น ริมฝีปากแดงอ้าออกเล็กน้อย และยิ้มบางพูดว่า:“คนที่ฉันจะฆ่า ก็คือหยินหลิง ผู้นำกลุ่มพันธมิตร”“อะไรนะ?!”หลินเฟิงได้ยินชื่อนี้ ก็ชักสีหน้าทันทีเขามองไปทางฉู่ฮวาจิ่นด้วยความเย็นชา ถึงขั้นที่แรงสังหารรุนแรง เตรียมจะลงมือทันที และพูดเสียงทุ้มต่ำว่า:“คุณอยากตายเหรอ?”“อุ๊ย ฉันล้อคุณเล่นเองนะ”ได้ยินคำขู่ของหลินเฟิง ฉู่ฮวาจิ่นรู้ได้ทันทีว่าเธอล้อเล่นไปโดนจุดสำคัญของหลินเฟิง จึงรีบหัวเราะขึ้นมา“ตกลงว่าเป็นใครกันแน่?”หลินเฟิงในตอนนี้เริ่มหงุดหงิดเล็กน
อวี๋จื่อเสวียนวิ่งออกไปบนนถนน จากนั้นก็ยื่นมือออกไปกวักรถแท็กซี่คันหนึ่งก่อนที่จะขึ้นรถ เธอยังไม่ลืมที่จะหันมองไปทางหลินเฟิงและแลบลิ้น ทำหน้าทะเล้นผ่านกระจกรถ ถึงได้จากไปเมื่อเห็นภาพนี้ หลินเฟิงหางตากระตุก ฉู่ฮวาจิ่นกลับเอามือปิดปากและหัวเราะออกมา“เด็กคนนี้ น่าสนใจยิ่งกว่าที่ฉันคิดเอาไว้นะ”“เฮ้อ...”หลินเฟิงพูดไม่ออก ทำได้เพียงถอนหายใจออกมายาวๆหลังจากที่ถามฉู่ฮวาจิ่น หลินเฟิงก็เข้าใจแล้วเป้าหมายของหลงซิ่วและคนอื่นๆ มารื้อถอนชุมชนกลางเมืองที่ไหนกันล่ะ? เห็นได้ชัดว่าแอบอ้างการรื้อถอนชุมชนการเมือง เพื่อมาสืบข่าวเป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่อย่างอื่น แน่นอนว่าเป็นชีพจรมังกร!ดูท่า พวกเขาใช้วิธีการบางอย่างได้รับข่าวสารมาว่าชีพจรมังกรอยู่ที่นี่ แต่ทว่าพวกเขาอาจจะคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ชีพจรมังกรไม่ได้หมายถึงสิ่งของบางอย่าง“แต่เป็นคนตัวเป็นๆ!”อวี๋จื่อเสวียน ก็คือชีพจรมังกรที่พวกเขาต้องการตามหา!ครั้งนี้ ยาที่หลินเฟิงกลั่นออกมา ใช้เลือดของอวี๋จื่อเสวียนก็สามารถผลลัพธ์ที่ดีได้ขนาดนี้ ถึงขั้นที่สามารถกลั่นยาหยกโมราออกมาได้ทั้งหมดนี้ต่างอธิบายได้อวี๋จื่อเสวียนก็คือชีพจรมังกรที่ส
“อาจารย์หลิน ผู้หญิงที่คุณรู้จักแต่ละคนสวยๆ ทั้งนั้นเลย!”อวี๋จื่อเสวียนเอ่ยปากอย่างตกตะลึงด้วยใบหน้าเหลือเชื่อและพูดว่า:“เสน่ห์ของคุณเนี่ยจะสุดยอดเกินไปหน่อยไหม?”หลินเฟิงกลับลูบจมูก และพูดอย่างจนปัญญาว่า:“เธอพูดไร้สาระอีกประโยค ฉันจะจับเธอไปขายซะ”“อุ้บ”ได้ยินคำพูดนี้ อวี๋จื่อเสวียนก็ตกใจจนแลบลิ้นออกมาฉู่ฮวาจิ่นได้ยินคำชมของอวี๋จื่อเสวียน เธอยิ้มแย้มเหมือนดอกไม้ เข้ามาลูบหัวของอวี๋จื่อเสวียนและพูดว่า:“หึหึ จื่อเสวียน เธอก็น่ารักมาก เป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้อยู่ในกองถ่าย หานเข่อเอ่อร์ไม่ได้ทำให้เธอไม่พอใจใช่ไหม?”“จะไม่ได้ยังไงคะ? ผู้หญิงคนนั้น...”อวี๋จื่อเสวียนได้ยินคำพูดนี้ทันใดนั้นก็เหมือนกับเปิดประตูของการบ่นโอดครวญ แต่เธอเพิ่งอยากจะตำหนิ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ และถลึงตาโตจ้องมองฉู่ฮวาจิ่นแล้วพูดว่า:“เอ๊ะ คุณรู้จักฉันเหรอ? ยังรู้ว่าช่วงนี้ฉัน...”“เอาล่ะ พวกเราไม่ได้มาพูดคุยกับคุณ”หลินเฟิงชิงพูด และมองไปทางฉู่ฮวาจิ่นด้วยท่าทางจริงจังและพูดว่า:“ผมอยากถามคุณ ผู้ชายที่ชื่อหลงซิ่วคนนั้นของฝ่ายธุรการแนวหลังสำนักหลงผาน วันนี้เขาพาคนจะไปรื้อถอนชุมชน เรื่องนี้คุณรู้ไหม?”
“หึหึ นั่นเป็นเรือนหอของวัยรุ่นสองคนนั้น พวกเขาคิดจะรื้อถอนก็รื้อถอนได้งั้นเหรอ?”ได้ยินคำพูดที่ยิ่งอยู่ยิ่งเกินเหตุของคุณลุงคุณป้าที่ด้านหลังหลินเฟิงหางตากระตุก มองไปทางอวี๋จื่อเสวียนที่จับแขนของเขา หัวเราะคิกคัก และแนบชิดอยู่บนร่างของเขาเหมือนกับว่าเธอรู้สึกเพลิดเพลินกับความเข้าใจผิดแบบนี้เป็นอย่างมากในตอนนี้เอง รถสปอร์ตสีแดงคันหนึ่งจู่ๆ ก็ขับมาจากที่ไกลๆ“เอี๊ยดดดด!”รถเพิ่งจอดสนิท วัยรุ่นที่สวมแว่นตาสีแดง ท่าทางกระล่อนลงมาจากรถอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนจากนั้นก็ทำความเคารพหลงซิ่วด้วยความนับถือ“คุณหลงซิ่ว เรื่องราวได้เจรจาเรียบร้อยแล้ว การประชุมทางด้านนั้นยังต้องให้คุณควบคุมสถานการณ์โดยรวม...”หลินเฟิงฟังอย่างตั้งใจได้ยินแค่การประชุมอะไรสักอย่างที่วัยรุ่นคนนั้นเอ่ยขึ้นมาหลงซิ่วยื่นมือออกไปห้ามปรามวัยรุ่นคนนี้ไม่ให้พูดต่อไป เขาพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจแล้วจากนั้นเขาเหลือบมองหลินเฟิง และขึ้นรถด้วยความระมัดระวัง และขับรถสปอร์ตคันสีแดงแล่นออกไปหลังจากรายงานเรื่องตรงนี้ให้กับวัยรุ่นคนนั้นหลินเฟิงไม่ได้ขัดขวางที่หลงซิ่วจากไป เพราะเมื่อครู่เขาได้ยินอย่างชัดเจนมากว่า ห
ตอนนี้อวี๋จื่อเสวียนไออย่างรุนแรงในที่สุดเธอก็ฟื้นสติกลับมาได้“อา…อาจารย์หลิน?”“ฉันเอง”หลินเฟิงลูบผมของเด็กสาวในอ้อมแขน ในสายตากลับเผยความตำหนิ จนปัญญา และความสงสารออกมา“ฮ่า…ฮ่าฮ่า ฉันว่าแล้วเชียว คนที่สามารถกระโดดลงมาจากเครื่องบินได้ เกรงว่ามีแค่อาจารย์หลินเท่านั้นที่สามารถทำได้…”จนถึงตอนนี้อวี๋จื่อเสวียน ยังมีอารมณ์ล้อเล่นหลินเฟิงได้ยินแบบนี้ก็ทำหน้าเคร่งขรึม“เธอเนี่ยนะ รู้ไหมว่าถ้าหากฉันมาช้าอีกหน่อย ชีวิตน้อยๆของเธอคงจะสูญเสียไปแล้ว!”ถึงแม้เป็นการตำหนิ แต่ในคำพูดกลับเต็มไปด้วยความห่วงใย“ฉันจะคิดเยอะแบบนั้นที่ไหนกัน…พวกเขาจะลงมือแล้ว แค่กแค่กแค่ก…ฉันคงจะมองดูพวกเขารื้อถอนบ้านของฉันเฉยๆ ไม่ได้หรอก นั่นเป็นบ้านเก่าของพ่อกับแม่…”เห็นความดื้อรั้นและความหนักแน่นในดวงตาของอวี๋จื่อเสวียน หลินเฟิงก็ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา“หลังจากนี้ฉันค่อยสอนวิชาการต่อสู้อย่างอื่นให้เธออีกหน่อย”หลินเฟิงวางอวี๋จื่อเสวียนลง และพูดประโยคที่เรียบง่ายแบบนี้“แค่กแค่กแค่ก อาจารย์หลิน ในที่สุดคุณก็มีจิตสำนึกแล้ว”“ผิด ฉันกลัวว่าเธอจะก่อเรื่อง ทุกครั้งยังจะต้องให้ฉันมาตามสะสางให้เธอ
“นังหนู เธอคิดว่าฉันคือคนที่อ่อนแอที่สุดคนนั้นสินะ?”“ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”ขณะพูด ฝ่ามือของหลงซิ่วก็เริ่มออกแรงช้าๆเขาออกแรงไปด้วย และแสยะยิ้มพูดว่า:“มาเถอะ ฉันอยากจะเห็นการดิ้นรนก่อนตายของเธอ ถึงแม้บีบคอเธอให้ตายไปแบบนี้จะน่าเสียดายมาก แต่ใครใช้ให้เธอกำเริบเสิบสานแบบนี้ล่ะ?”“อย่าโทษฉันนะ!”“นังหนูตระกูลอวี๋”“พวกเราย้ายออก พวกเราย้ายออก! ขอร้องคุณล่ะ ปล่อยเด็กคนนั้นไปเถอะ!”“เธอก็แค่วู่วามชั่วขณะ เธอไม่กล้าล่วงเกินตระกูลหลงหรอกนะ!”เมื่อเห็นว่าแรงที่อวี๋จื่อเสวียนดิ้นรนยิ่งอยู่ยิ่งน้อยลง เพื่อนบ้านที่อยู่ไกลออกไปก็ร้อนใจจนหัวปั่นถึงขั้นที่มีเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกับอาอวี๋ ร้องไห้ออกมาทันที“ฮัลโหล ฉันเองเหล่าอวี๋ ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนน่ะ?!”“โอ๊ย ลูกชายนายจะถูกคนบีบคอตายแล้ว!”“ฉันโกหกนายทำไม! นังหนูนั่น…เฮ้อ นังหนูนั่นออกหน้าเพื่อพวกเรา ปรากฏว่า…”“นายรีบมาเถอะ!”“อะไรนะ? นายอยู่ที่เมืองเจิ้งเต๋อ?”ท่ามกลางเสียงอึกทึก แสงสว่างในดวงตากลมโตของอวี๋จื่อเสวียนค่อยๆ ริบหรี่ และแทบจะหยุดการดิ้นรนลงถึงขั้นที่เพียงแค่หลงซิ่วออกแรงอีกเพียงนิดเดียว ก็สามารถทำให้อวี๋จื่อเสวียน