“เข้า...เข้า...เข้า…”บอดี้การ์ดหัวล้านคนนี้พูดติดอ่างเช่นกันแค่เมื่อเขาพูดคำว่า "เข้าไป" ใบอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ ก็เอาชนะความกลัวไปได้ ยกอาวุธขึ้นและรีบวิ่งไปข้างหน้า“เข้า...เข้า...เข้า…”บอดี้การ์ดหัวล้านมองดูเพื่อน ๆ ที่อยู่รอบตัวที่รีบวิ่งไปข้างหน้า นเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว“เข้า...เข้ากับผีสิ! รีบหนีสิวะ!”ในที่สุด บอดี้การ์ดหัวล้านก็ตะโกนออกมาเต็มคำ แต่ว่าสถานการณ์มันวุ่นวายเป็นอย่างมาก แทบจะไม่มีใครที่จะสามารถฟังเสียงผู้นำของตัวเองได้อย่างชัดเจนแล้ว"เอือก!"บอดี้การ์ดที่วิ่งไปข้างหน้าได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาเดิมทีหลินเฟิงต้องการที่จะตวาดจนบอดี้การ์ดพวกนี้ถอยไป แต่เห็นว่าพวกเขาเรียกร้องความตายถึงขนาดนี้ ก็ทำหน้าเย็นชาลง“ในเมื่ออยากที่จะตาย งั้นฉันก็จะตอบสนองพวกนายเอง”หลินเฟิงกระจายพลังออกไป จัดการกับพวกบอดี้การ์ดเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องแสดงถึงความแข็งแกร่งเท่าไหร่นักมีดยาวที่สว่างไสวฟันมาที่หลินเฟิงหลินเฟิงขยับร่างกายหลบไป เอามือบดขยี้ฝ่ามือของบอดี้การ์ดคนนั้น นี่เป็นเสียงต้นเหตุที่พวกหัวล้านได้ยินเสียงออกมาอย่างทุกข์ทรมานจากนั้นเขาก็ดึงมีดยาวออกมา ไม่สนว่าด้า
ต้องรู้ว่า สำนักจิ่วเซียวของเมืองหนานไห่ นั้นเป็นยักษ์ใหญ่ที่ทั้งเจียงโจวไม่สามารถยั่วยุได้สำนักเสินฉืออยู่ต่อหน้าเขาแล้วก็เป็นได้แค่มดภายในประตูไม่ได้มีเพียงผู้ที่มีฝีมือ มีความสมบูรณ์แบบที่ยิ่งใหญ่โดยกําเนิดอยู่ไม่น้อย จนกระทั่งได้ยินมาว่ายังมีพวกที่มีฝีมือขั้นยอดเยี่ยมเล่ากันว่า เมื่อสามปีก่อนผู้นำสำนักจิ่วเซียวนั้นยังไม่ก้าวข้ามผ่านสภาพเซียน!สิบอันดับแรกในรายการสวรรค์ ถูกควบคุมโดยสำนักใหญ่เหล่านี้ เจียงโจว ในสายตาของสำนักใหญ่เหล่านี้พวกเขาไม่นับว่าเป็นตดด้วยซ้ำแต่ตอนนี้หมอนี่หลินเฟิงที่อวดดีถึงขนาดที่ไม่เอาสำนักจิ่วเซียวอยู่ในสายตา?ภายในใจเหยาบินนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย จนกระทั่งมันบดบังความหวาดกลัวที่มีต่อหลินเฟิงไว้เมื่อสามปีก่อนหนานไห่นั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลินเฟิงจากสำนักเสวียนเทียนทำไมถึงมาอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ เจียงโจวได้?ไม่กล้าที่จะคิด ตอนนี้ชีวิตของเขายังคงตกอยู่ในอันตรายเหยาบินรีบร้อน หัวกระแทกพื้นเลือดอาบ“คุณหลิน เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นท่านก็ได้ยินแล้ว ผมไม่สามารถหนีการลงโทษของสำนักเสินฉือได้ เหตุการณ์ในวันนี้มันร้ายแรงเกินไป แม้ว่าผมจะมีชีวิตอยู่ แต่ผม
เป็นศิษย์นอกคอกอย่างเหยาบินนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียนศิลปะการต่อสู้แก่นแท้ของสำนัก แม้แต่ศิลปะการต่อสู้ส่วนใหญ่ของเขาก็ถูกรวบรวมและฝึกฝนด้วยตัวเองสำนักเสินฉือทําหน้าที่เป็นเบื้องหลังของเขาเท่านั้น นอกเหนือจากการสนับสนุนทางการเงิน ก็ไม่มีอะไรอื่นกลับกันกับหลินเฟิงตัวเองได้เข้าร่วมสำนักเสวียนเทียน หลินเฟิงก็ไม่ไล่ตามการดูหมิ่นเขาก่อนหน้านี้ แถมยินยอมที่จะให้เขาได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ของสำนักด้วยต้องรู้ว่า สำนักเสวียนเทียน แต่มันเปรียบได้กับสำนักที่ยิ่งใหญ่ของสำนักจิ่วเซียว!ศิลปะการต่อสู้ธรรมดาแบบไหนที่สำนักดังกล่าวสามารถคิดขึ้นมาได้?ดูจากหลินเฟิงก็พอจะทราบดีแล้ว!ขณะนี้ เหยาบินก็ตัดสินใจในใจแล้วแทนที่จะเป็นสุนัขภายใต้เงื้อมมือของสำนักเสินฉือนั้น ถูกประณามรับใช้ แล้วทำไมจะไม่เลือกที่จะเป็นลูกน้องช่วยเหลืองานของฝั่งคุณหลิน?เข้าร่วมสำนักจิ่วเซียว?ได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้สำนักเสวียนเทียน?เขาไม่สามารถจินตนาการถึงสิ่งดังกล่าวได้ และตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าเขา!“อย่าโทษฉัน ถ้าเกิดว่าสำนักเสินฉือดีกับผมแบบนี้ ไม่เอาผมเป็นหมา ฉันยังคิดถึงความรู้สึกเก่า ๆ”เหยาบินพึมพํากับตัวเอง
พอได้ยินสิ่งนี้ หลี่ฮุ่ยหรานอดไม่ได้ที่จะบ่นในใจว่าแม่ของเธอพูดมากเกินไป ทําไมถึงพูดให้คนภายนอกฟังแต่เธอไม่สามารถแสดงสีหน้าออกมาได้ ทำได้เพียงพูดออกมาอย่างเขินอาย:“กู้เฉิน นี่เป็นเรื่องตระกูลของฉัน”“ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ งั้นผมก็จะไม่ถามอะไรมากแล้ว”กู้เฉินคนนี้รู้วิธีก้าวหน้าและถอย ยิ้มเล็กน้อย ท่าทางของสุภาพบุรุษ:“วางใจได้เลยฮุ่ยหราน ผมได้ติดต่อหมอลับเทวดาจากไห่โจวแล้ว ตอนนี้เขาน่าจะรีบมาแล้ว ไม่นาน ก็จะสามารถรักษาอาการป่วยของคุณเยว่หรูได้”“จริงเหรอ?”หลี่ฮุ่ยหรานค่อนข้างประหลาดใจ รีบขอบคุณกู้เฉิน“ขอบคุณ กู้เฉิน”“เอ๊ะ ฮุ่ยหราน คุณทำไมถึงทำเหมือนผมเป็นคนนอกเลย เรื่องของคุณไม่ใช่เรื่องของผมใช่ไหม”“ถูกต้อง ดูนายน้อยจากตระกูลกู้ มีความสามารถ แถมยังเป็นประธานสมาคมศิลปะการต่อสู้ของไห่โจวอีก ฮุ่ยหราน คุณต้องอยู่กับคนอื่นให้ดี”“รีบลืมเรื่องขยะที่ไร้ประโยชน์ไปได้เลย”จางกุ้ยหลานไม่รู้ว่ามาจากไหน เสียงประจบสอพลอเสียงดัง“เชอะ แค่ลูกเขยขยะของตระกูลเจียงเป่ยหลี่ จะคู่ควรกับนายน้อยกู้เฉินงั้นเหรอ? นายน้อยกู้เฉินที่ดูแลเจียงโจว ไห่โจว หนานโจวนักรบโจวทั้งสาม ลูกเขยขยะของคุณ ไม่
“ฮุ่ยหรานถูกหลินเฟิงไอ้สวะคนนั้นทำร้ายมากี่ครั้งแล้ว และเกือบจะทำให้เสียโฉมไปแล้วครั้งหนึ่งด้วย!“ถ้าคุณชายกู้สามารถสอนฮุ่ยหรานได้หนึ่งครั้ง ฮุ่ยหรานก็จะไม่ถูกรังแกง่าย ๆแบบนั้นอีก”“หึหึ นั้นก็จริงนะ”กู้เฉินยิ้มอย่างมั่นใจแล้วมองไปที่หลี่ฮุ่ยหรานก่อนจะถามว่า “เป็นยังไงบ้าง ฮุ่ยหราน วันนี้คุณมีเวลาไหม?”เดิมทีฮุ่ยหรานต้องการที่จะปฏิเสธเขา แต่ว่าเธอนึกได้ว่าตัวเองตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูอยู่หลายครั้ง ทั้งยังให้หลินเฟิงต้องเสียสละชีวิตเพื่อช่วยเหลืออีกด้วยคล้ายกับเธอมองเห็นใบหน้าที่ยิ้มอย่างลำพองใจของถังหว่านก่อนหน้านี้เธอก็เคยได้ยินว่าถังหว่านก็เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้สูญสียการเข้ากรรมฐานฝึกบำเพ็ญเนื่องจากอาการป่วยลองคิดดูในเวลานี้ถังหว่านก็ฟื้นตัวแล้ว อยากจะฟื้นฟูความแข็งแกร่งอีกครั้งก็เป็นเรื่องของเวลายิ่งเธอคิดมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งไม่สบายใจหลี่ฮุ่ยหรานไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เธอก็หันกลับไปมองกู้เฉินก่อนจะพยักหน้าอย่างจริงจังแล้วพูดว่า“คุณชายกู้ ฉันก็สนใจศิลปะการต่อสู้เหมือนกัน หวังว่าคุณชายกู้จะสามารถสอนเคล็ดล
“คุณปู่คุณอย่าพูดแบบนี้ คุณโทรหาผม คงจะต้องการให้ผมช่วยหลี่เยว่หรูใช่ไหม?”หลินเฟิงลองหยั่งเชิง ก็รู้สึกถึงความหนักใจในคำพูดของคุณปู่หลี่“เฟิงเอ่อร์ เดิมทีเรื่องนี้ฉันก็ไม่อยากมีส่วนร่วมด้วย แม่กับลูกสาวโจวอวี้เฟิ่งเป็นคนแบบไหน ฉันต่างก็รู้ดีกว่าคุณ แต่....”หลังจากหยุดไปเล็กน้อย คุณปู่หลี่ก็ถอนหายใจ“เฟิงเอ่อร์ คิดว่ามันเป็นครั้งสุดท้ายที่จะช่วยปู่ เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากวันนี้ปู่จะไม่บังคับคุณอีก....” “คุณปู่ คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร!”สีหน้าของหลินเฟิงเคร่งขรึม ฝ่ามือที่ถือโทรศัพท์อยู่สั่นเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆแล้วพูดว่า“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่ จะมีหลินเฟิงในวันนี้ได้อย่างไร?”“เกรงว่าหลินเฟิงก็คงตายไปนานแล้ว”“เฟิงเอ่อร์ ปู่...ปู่ไม่ได้ช่วยนาย....”เมื่อได้ยินเสียงสั่นและเสียงน้ำตาของทางนั้น ในใจของหลินเฟิงก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย“วางใจเถอะคุณปู่ หลี่เยว่หรู...ผมจะไปช่วยเธอเอง! คุณก็อย่าพูดอะไรครั้งสุดท้ายแบบนี้อีก ขอเพียงแค่ผมหลินเฟิงยังอยู่ จะไม่ยอมให้ตระกูลหลี่ต้องตกต่ำแน่นอน”หลังจากวางสาย หลินเฟิงก็นั่งอยู่คนเดียวเป็นเวลานานในห้องรับแขกหลินเสวี่ยฮุ่ยก
“ลูกสาวของคุณเพิ่งจะเป็นภาวะไตบกพร่อง และทั้งครอบครัวของคุณต่างก็มีภาวะไตบกพร่อง”“แก!”ชายชราในชุดคลุมยาวสีดำตกตะลึงไปชั่วครู่ด้วยความโกรธ ก่อนที่จะเดินจากไป เดินทางมาไกลเพื่อให้ตัวเองจากไห่โจวรีบมาถึงที่นี่ คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับสามัญชน ปอดของชายชราแทบจะเบิดออกด้วยความโกรธ“ ผู้อาวุโส ใจเย็น ๆ ใจเย็น ๆ”จางกุ้ยหลานเห็นเรื่องต่าง ๆที่เกิดขึ้น ก็รีบยืนขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านผู้เฒ่า น้องสะใภ้ของฉัน เป็นกังวลและสับสนมากเกินไป หวังว่าคุณจะเห็นแก่หน้าคุณชายกู้และช่วยรักษาเยว่หรูอย่างเต็มที่นะ”“เมื่องานเสร็จสิ้น ฉันตระกูลหลี่จะตอบแทนเงินจำนวนมากให้อย่างแน่นอน”เมื่อได้ยินคุณชายกู้จะตอบแทนให้เงินจำนวนมาก สุดท้ายชายชราผู้นี้ก็ยอมรับเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพยักหน้าแล้วพูดว่า“งั้นพวกคุณไปรวบรวมโสมมังกรหัวเถอะ เพียงแค่รวบรวมเครื่องปรุงยาจีนพวกนี้กลับมา ฉันถึงจะสามารถที่รักษามันได้”“ท่านผู้เฒ่า พวกเราไม่สามารถที่จะรวบรวมโสมมังกรหัวได้ในตอนนี้....”“เหอะ ต้องโทษหลินเฟิงไอ้คนสวะนั้นทั้งหมด เขาเอาโสมมังกรหัวไปใช้จนหมดแล้ว”จางซินยืนกัดด้วยความโกรธอยู่ด้านข้างเม
ตระกูลหลี่ถ้าหาความผิดเป็นอย่างที่คิดไว้ไม่นานหลังจากนั้น โจวอวี้เฟิ่งกับจางกุ้ยหลานที่ราวกับเป็นผู้หญิงปากร้ายก็มาหาที่วิลล่าชั้นบนสุดของอ่าวเทียวสุ่ยและตามมาด้วยอีกสองคน คือจางซินและซวีเฉียงแฟนใหม่ของจางซินตามหลักแล้ว คนพวกนี้ไม่สามารถที่จะเข้ามาในอ่าวเทียนสุ่ยได้เลย แต่เพราะว่าการเตรียมตัวของสวีเฉียง พวกเขาจึงสามารถมาถึงด้านนอกของวิลล่าได้หลังจากที่กดกริ่งแล้ว สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยก็คือ ไม่ใช่หลินเฟิงที่มาเปิดประตู แต่กลับเป็นหลินเสวี่ยฮุ่ยที่มีสีหน้าแปลก ๆหลินเสวี่ยฮุ่ยที่เพิ่งเสร็จจากการทำงานในร้านของแม่ตัวเองจ้าวเฉียวอวิ๋น และจ้าวเฉียวอวิ๋นที่กำลังทำอาหารอยู่ โดยมีเธอเป็นผู้ช่วยที่ยังสวมใส่ผ้ากันเปื้อนลายหมี“พวกคุณมาหาใคร?” หลินเสวี่ยฮุ่ยทำสีหน้าสงสัยออกมา และในความทรงจำของเธอก็จำคนพวกนี้ไม่ได้“หลินเฟิงคนนี้ คิดไม่ถึงเลยว่ายังจะปิดบังความจริงฮุ่ยหราน แอบเก็บไอ้สารเลวไว้ เป็นอย่างที่คิดไว้เลยเขาก็เป็นคนเลวคนหนึ่งเท่านั้นแหละ!”ไม่รอให้โจวอวี้เฟิ่งได้พูด จางกุ้ยหลานก็เท้าเอวด่าว่าทันที“คนสารเลว? กำลังด่าฉันเหรอ?”ดวงตาของหลินเสวี่ยฮุ่ยเบิกกว้างด้วยความรู้สึ
“เธอเพิ่งเข้าสู่สังคม คงไม่เข้าใจกฎระเบียบภายในโรงพยาบาลใช่ไหม?”“ลองถามพี่เขยผมดูสิ เขาได้ค่าคอมมิชชั่นจากเครื่องจักรแต่ละเครื่องหลายแสนถึงหลายล้าน เธอเป็นแค่แพทย์ จะได้เงินเท่าไหร่?”“มาอยู่กับผม ผมจะแนะนำเธอให้กับพี่เขยผม แค่ทำอะไรไปนิดหน่อยก็พอจะซื้อรถบีเอ็มดับเบิลยูได้แล้ว”คำพูดของตู้จิ่นเชาทำให้หลินเสวี่ยฮุ่ยเข้าใจ“มิน่าล่ะ จำนวนและราคาของเครื่องจักรที่ซื้อมาใหม่ของแผนกผู้ป่วยในไม่ตรงกัน...”หลินเสวี่ยฮุ่ยพึมพำถ้าผู้จัดการฉีอยู่ที่นี่ ได้ยินคำพูดของหลานชายเล่าเรื่องของเขาออกมาอย่างละเอียดเขาก็จะโกรธจนตบตู้จิ่นเชาอย่างแน่นอนน่าอนาถจริงๆ!“ขอบคุณสำหรับข้อมูล”หลินเสวี่ยฮุ่ยไม่ได้ก้มหัว แต่ชี้ไปที่ตู้จิ่นเชาแล้วพูดว่า“ฉันเตือนคุณครั้งที่สอง ปล่อยคนไข้ไป ไม่เช่นนั้นฉันจะเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาลแล้วนะ!”“หือ?”เมื่อเห็นว่าเด็กสาวคนนี้ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ ตู้จิ่นเชาก็เริ่มไม่พอใจ ขมวดคิ้วแล้วตะโกนว่า“สาวน้อย ผมคือคุณชายตู้ ไปถามคนอื่นดูสิ ผมเป็นคนสำคัญในเมืองเจิ้งเต๋อ เธอเป็นใครกัน?”“ให้เกียรติเธอ เธอคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญหรือไง?”“วันนี้ผม
“แต่การกระทำแบบนี้ของคุณ ก็คือการขอตาย”ตู้จิ่นเชาหัวเราะเยาะ หมุนข้อเท้าไปมา เสียงร้องของพ่อหวังลี่ลี่ก็ยิ่งเจ็บปวดหนักขึ้นแต่ชายชราคนนี้ก็เข้มแข็งมากถึงแม้จะเหงื่อท่วมหน้า ร้องโอดโอย ก็ไม่ขอความเมตตาแม้แต่คำเดียว“พอได้แล้ว!”เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ หลินเสวี่ยฮุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไปเธอผลักประตูเข้าไปในห้องผู้ป่วยพิเศษ ยืนนิ่งอยู่กับที่ หน้าซีดเผือด ตะโกนด้วยความโกรธ“พวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่?”“โรงพยาบาลเป็นที่ที่พวกคุณจะทำร้ายผู้คนหรือไง?”ตกใจกับเสียงประตูที่เปิดออกอย่างไม่คาดคิด เมื่อตู้จิ่นเชากลับมารู้สึกตัว เขาก็หันไปมอง แล้วก็ตาเป็นประกายหญิงสาวสวยหน้าเด็ก สวมเสื้อชั้นในสีดำ กางเกงขายาวแนบเนื้อ สวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาดอยู่ด้านหลังริมฝีปากสีแดงสด ดวงตาสดใส คิ้วขมวดเล็กน้อย ยิ่งเพิ่มความสว่างไสวและความยุติธรรม“โอ้?”เมื่อเห็นหลินเสวี่ยฮุ่ย ตู้จิ่นเชาแทบจะน้ำลายไหลถึงแม้หลินเสวี่ยฮุ่ยจะไม่สวยราวกับนางฟ้าอย่างหลี่ฮุ่ยหราน แต่เธอก็เป็นดาวมหาวิทยาลัยเจียงโจวเป็นคนที่เห็นแล้วจะลืมไม่ลงตู้จิ่นเชาที่หื่นมาก เมื่อเห็นหลินเสวี่ยฮุ่ย ก็ลืมหวังลี่ลี่ไปเลย“คุณมองฉันทำไม?
“หวังลี่ลี่ ถ้าคุณไม่มาเจอผมที่โรงพยาบาลเมืองเจิ้งเต๋อภายในครึ่งชั่วโมง พ่อของคุณจะถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลเมืองเจิ้งเต๋อทันที”“คุณตัดสินใจเองเถอะ!”“ตู้ด...ตู้ด...ตู้ด...”ตู้จิ่นเชาตัดสายไป หวังลี่ลี่รู้สึกวิตกกังวลและหวาดกลัวถ้าเธอไม่ไปจริงๆตู้จิ่นเชาอาจจะทำแบบนั้นจริงๆ ก็ได้ขณะที่หวังลี่ลี่รีบไปโรงพยาบาล หลินเฟิงก็เดินออกมาจากห้องทำงานของผู้อำนวยการพอดีวันนี้เขาไปดูงานของหลินเสวี่ยฮุ่ยและอธิบายกรณีพิเศษและโรคที่ยากจะรักษาให้กับหลินเสวี่ยฮุ่ยและหมอเทวดาเลี่ยวที่เฝ้าดูอยู่ที่นี่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หมอเทวดาเลี่ยวได้เรียนรู้มากมายเขาประทับใจอย่างมากที่ได้อาจารย์ที่ดีแบบนี้ถึงแม้จะยังหนุ่ม แต่ทั้งประสบการณ์ ความรู้ และทักษะ ก็เหนือกว่าเขาในที่สุดเขาก็เริ่มอายที่จะถามหลินเฟิงว่า อายุมากขนาดนี้ยังสามารถฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ได้อีกหรือไม่เพราะว่าวิชาการแพทย์ชั้นสูงหลายอย่างจำเป็นต้องใช้ร่วมชี่แท้กับพลังภายในหลินเฟิงมองเขา แล้วส่ายหัวอายุมากขนาดนี้ แค่ชกหมัดเดียวก็อาจจะปวดเอวได้ ให้หมอเทวดาเลี่ยวฝึกศิลปะการต่อสู้ นั่นไม่ใช่การทำร้ายเขาหรือ?เมื่อเห็นท่าทางของ
“พ่อค่ะ”หวังลี่ลี่ชะงักไป แล้วก้มหน้าถอนหายใจพูดว่า:“หนูกับหลินเฟิงไม่ใช่คนโลกเดียวกันค่ะ หนูเป็นแค่พนักงานขายรถ แต่เขาเป็นผู้มีพระคุณของคุณเผิงกวงฉี่ และเป็นนักสู้ด้วย”“หนูไม่คู่ควรกับเขาหรอกค่ะ”“ฮ่าๆ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายชราก็หัวเราะ“พวกเธอบังเอิญเจอกันถึงสองครั้ง นี่ไม่ใช่สัญญาณของโชคชะตาหรือ?”“ถ้ามีโชคชะตา ก็จงพยายามดู”“ได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากัน”เมื่อได้ยินคำสั่งสอนของพ่อ หวังลี่ลี่จึงพยักหน้า“หนูรู้แล้วค่ะ”จากนั้น หวังลี่ลี่มองนาฬิกาข้อมือ แล้วพูดกับพ่อว่า:“พ่อค่ะ หนูต้องไปทำงานแล้วค่ะ บ่ายนี้หนูต้องไปที่บ้านคุณหลินเพื่อจัดการเรื่องซื้อรถให้เสร็จ”“ดีๆๆ ไปได้แล้ว”ชายชรายิ้มอย่างพอใจ แล้วพูดว่า“อย่าลืมคำสั่งสอนของพ่อเมื่อกี้นะ”“หนูรู้แล้วค่ะ”หวังลี่ลี่รู้สึกขำกลั้นไม่อยู่ เมื่อเดินออกจากห้องพัก เธอดูที่อยู่จากกระเป๋าเอกสาร ใบหน้าแสดงถึงความผิดหวังเธอเองก็อยากจะเข้าใกล้หลินเฟิงแต่ความเป็นจริงโหดร้ายเกินไป เธอไม่คู่ควรกับเขาหลังจากที่สืบหาข้อมูลมาหลายทางเธอรู้มาว่ารอบๆ ตัวหลินเฟิงมีทั้งประธานหลี่ซื่อกรุ๊ปและคุณหนูตระกูลถังเธอไม่มีโอกาสเลยสัก
ถ้าให้ฟ่านอู๋จี๋คนแก่คนนั้นเลี้ยงดูเธอด้วยการทำนาย ก็คงจะเป็นไปไม่ได้“ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”จ้าวเฉียวอวิ๋นเห็นเด็กสาวกินเยอะขนาดนี้ เธอกลับเป็นคนที่ดีใจที่สุด รีบลุกขึ้นไปทำกับข้าวใหม่อาอวี๋ก็ไปช่วยทุกคนต่างก็ตักข้าวของตัวเองให้ฟ่านหลิงเยว่ฟ่านหลิงเยว่ก็กินอย่างไม่ลังเล กินอย่างรวดเร็ว กินอย่างมีความสุขไม่รู้ว่าร่างกายเล็กๆของเธอสามารถบรรจุอาหารได้มากขนาดนี้ได้อย่างไร กระเพาะอาหารของเธอดูเหมือนหลุมดำ กินข้าวทั้งถังลงไป กลับไม่มีอาการอะไรเลย“เธอคือประมุขคนต่อไปของสำนักโม่ซวี...เวทมนตร์ที่ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา...”หลินเฟิงขมวดคิ้วคิดบางทีเขาอาจจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฟ่านหลิงเยว่ถึงกินเก่งขนาดนี้.........สองวันผ่านไปโรงพยาบาลเมืองเจิ้งเต๋อในห้องผู้ป่วยหนัก ชายชราผมหงอกกำลังมองลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความกังวล“พ่อ อย่าเพิ่งกังวลเรื่องเงินเลยค่ะ”ลูกสาวคนนั้นก็คือหวังลี่ลี่เธอพยายามปลอบใจพ่อ จับมือพ่อ ยิ้มทั้งน้ำตาพูดว่า“หนูได้พบกับผู้มีพระคุณค่ะ”“เขาช่วยให้หนูได้เป็นผู้จัดการโชว์รูมรถยนต์ ตอนนี้หนูมีรายได้มากพอที่จะรักษาพ่อได้แล้วค่ะ ต่อไปนี้พ่ออย่ากังวลเรื่
“ได้ครับ”หลินเฟิงพยักหน้าประมาณห้านาทีต่อมา หวังลี่ลี่ก็วิ่งมาด้วยท่าทางนอบน้อมพร้อมกุญแจรถ“คุณหลินคะ ตอนนี้คุณสามารถขับรถคันนี้ไปได้เลยค่ะ ส่วนเรื่องอื่นๆ เราจะไปจัดการที่บ้านคุณค่ะ”ท่าทางของหวังลี่ลี่นอบน้อมอย่างมากเธอเพียงแค่โทรศัพท์ไปหาผู้อำนวยการของเผิงกวงกรุ๊ปในเมืองเจิ้งเต๋อ ผู้อำนวยการก็รีบร้อนไปขออนุญาตจากเผิงกวงฉี่ราวกับไฟไหม้ก้นคำตอบที่ผู้อำนวยการได้รับจากเผิงกวงฉี่มีเพียงประโยคเดียว“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ให้ตอบสนองอย่างเต็มที่”ผู้อำนวยการที่ได้รับคำสั่งจากเผิงกวงฉี่จึงไม่กล้าประมาท รีบเร่งทำให้ขั้นตอนต่างๆ ง่ายที่สุดโดยให้หวังลี่ลี่ส่งกุญแจรถให้หลินเฟิงโดยตรงความเร็วและท่าทีเช่นนี้ทำให้หวังลี่ลี่รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ขอบคุณครับ”หลินเฟิงเปิดประตูรถ ขึ้นรถ แล้วสตาร์ทรถบูกัตติ เวียร์รอนคันเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดาคันนี้เมื่อเครื่องยนต์ 16 สูบถูกสตาร์ท บรรยากาศในล็อบบี้ทั้งหมดก็ถูกกดทับลงทันทีรถยนต์ต่างๆ ที่ถูกจัดแสดงและจำหน่ายในบริเวณที่รอเมื่อเทียบกับบูกัตติ เวียร์รอนสีดำแดงคันนี้แล้ว ก็ดูด้อยกว่าไปในทันทีราวกับมังกรสีดำแดงตัวใหญ่
ถึงขั้นที่สามารถตัดสินใจอนาคตของบุคคลผู้นี้ในเผิงกวงกรุ๊ปได้ อำนาจของเขายิ่งใหญ่อย่างมาก“ที่...ที่แท้...ที่แท้คือ...คุณหลิน”หลินเฟิงคือเจ้าของบัตรทองใบนี้เท่านั้นทั้งเผิงกวงกรุ๊ป บัตรทองนี้เพิ่งปรากฏเป็นครั้งแรก ตอนที่เผิงกวงฉี่ได้มอบให้แก่ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้เรื่องนี้ภายในเผิงกวงกรุ๊ปต่างก็รับรู้กันดีแต่ผู้จัดการเสิ่นยังไม่ทันได้สืบหาข้อมูลของหลินเฟิง จึงไม่รู้จักหลินเฟิงด้วยซ้ำแต่เมื่อได้เห็นบัตรใบนี้ในวันนี้ เขาก็ได้รู้ว่า แท้จริงแล้วชายตรงหน้าที่เขาเคยมองว่าเป็น “เป็นคนที่ตามจีบหวังลี่ลี่แบบไร้ศักดิ์ศรี” นั้นกลับเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเผิงกวงฉี่ไว้หลินเฟิง ผู้ถือบัตรทองเพียงหนึ่งเดียวของเผิงกวงกรุ๊ป !ผู้จัดการเสิ่นตกใจจนขาอ่อน ล้มลงกับพื้นทันทีแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะนิ่งเฉยจึงพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ใช้ความพยายามอย่างมากมาย จึงดึงบัตรทองออกจากผนังได้ และส่งคืนให้หลินเฟิงด้วยมือที่สั่นเทา“คุณหลินครับ ผม...ผมหลงเชื่อคำนินทา จึงดูถูกคน ผมมัน...ผมสมควรตาย”ผู้จัดการเสิ่นคุกเข่าลงที่หน้าหลินเฟิง ตัวสั่นเทาด้วยความกลัวส่วนหลิวหย่าที่อยู่ข้างๆ ก
“ที่แท้....ที่แท้ก็เป็นคุณนั่นเอง!”“ฉัน...ฉันจำได้แล้ว ฉัน...ฉันดูถูกคนอื่น โปรดยกโทษให้ฉัน โปรดยกโทษให้ฉันด้วย!”ในขณะนี้เอง ที่สุดท้าแล้วยคุณชายตู้ก็เข้าใจถึงตัวตนของหลินเฟิงเขาควรที่จะไปล่วงเกินคนที่สามารถประลองกับคุณชายเฝิงอวี้อู่ได้งั้นเหรอ?ทันใดนั้น เขาก็คุกเข่าลงเสียงดัง ตุบ ต่อหน้าคนทั้งหมด และก้มหน้าให้หลินเฟิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกับขอร้องและร้องไห้เสียงดังลั่นเขากลัวจริงๆนะ!เมื่อเทียบกับผู้จัดการเสิ่น ชายลึกลับผู้นี้ที่ว่ากันว่าสามารถฆ่านักบู๊ของตระกูลเฝิงได้มากกว่าสามสิบคนคนในลมหายใจเดียว!และเมื่อพิจารณาจากความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่และสบายดี ครอบครัวเฝิงก็ไม่มีทางที่จะจัดการกับเขาได้เช่นกันน่ากลัวยิ่งกว่าตระกูลเฟิงอีกคุณชายตู้นึกถึงหลายๆ อย่างได้ในทันที ยิ่งเขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้มากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเบื้องหลังของหลินเฟิงนั้นไม่ธรรมดาก่อนจะตกใจอย่างมาก แล้วรีบคุกเข่าลงขอความเมตตาเมื่อเห็นคุณชายตู้คุกเข่าลงและร้องขอความเมตตา ผู้จัดการเสิ่นที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย"แกมัน......"ผู้จัดการเสิ่นมองดูร่างของลูกน้องที่นอนอยู่บนพื
“ครับ!”ลูกน้องพวกนี้รีบวิ่งไปหาฟ่านหลิงเยว่ด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ในที่สุดฟ่านหลิงเยว่ก็กลืนขนมในปาก ก่อนจะหัวเราะเยาะและพูดขึ้นว่า : “พวกแกรนหาที่ตายแล้ว!”หลังจากที่พูดจบ เธอก็ยกขาขึ้นสูงแล้วเตะศีรษะของอันธพาลที่กำลังวิ่งพุ่งเข้ามาข้างหน้าจนศีรษะบุบลงไปจากนั้น เธอก็เผชิญหน้ากับมือที่ยื่นเข้ามาจากด้านข้าง แล้วเธอก็ปล่อยหมัดกลับไป ทันใดนั้นก็ทำให้หัวหน้าแก๊งที่แสยะยิ้มคนนี้ เบิกตากว้างทันที แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นความหวาดกลัว“นัก....”ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยคำว่า "บู๊" ออกมา เขาก็โถมตัวไปด้านหลังพร้อมกับรอยหมัดที่กลางหน้าอก แล้วกระแทกกับกระจกร้าน 4S ที่สูงจากพื้นถึงเพดาน“เชี่ยเอ้ย!”เมื่อเห็นฉากนี้ พวกอันธพาลที่อยู่โดยรอบก็พากันตกตะลึงใครจะคิดว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะมีความแข็งแกร่งได้ขนาดนี้?“เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่ว่าต้องสนุกกันเหรอ?”ฟ่านหลิงเยว่หัวเราะเยาะแล้วพุ่งเข้าใส่พวกลูกน้องที่กำลังลังเลกลุ่มนี้"ในเมื่อพวกคุณไม่เข้ามา งั้นก็อย่าโทษฉันแล้วกัน!"“ปัง!”ฟ่านหลิงเยว่สอยหมัดขึ้นไป จนทำให้อันธพาลส่งเสียงกรีดร้องจนศีรษะไปกระแทกกับพื้นชั้นสองจากนั้นเธอก็คว้าหัวหน้า