“เป็นคนแบบนั้นหรือไม่ เขานับประสาอะไรกัน ลูกสาวของฉันจะใช้ความบริสุทธิ์ของเธอมาใส่ความเขาเหรอ?!”“น้อง ๆ สองสามคน ฉันเชื่อว่าในนี้จะต้องมีเรื่องเข้าใจอะไรผิดกันแน่ ๆ ฟลินเฟิงเขาไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน”จ้าวเฉียวอวิ๋นล้มลุกคลุกคลานมาปกป้องลูกสาวของเธอเอาไว้ และยิ้มแย้มให้กับทุกคน:“ฉันจะโทรหาหลินเฟิงตอนนี้ เขาจะต้องสามารถอธิบายความเข้าใจผิดในนี้ได้อย่างชัดเจน”“ทางที่ดีเธอโทรให้ไวหน่อย ไม่อย่างนั้นฉันจะกรีดใบหน้าของนังแพศยาคนนี้ซะ!”โจวอวี้เฟิ่งกัดฟัน และล้วงมีดพกออกมาจากในกระเป๋าของตัวเอง จากนั้นก็แกว่งไปมาตรงหน้าสองแม่ลูกจ้าวเฉียวอวิ๋น“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา”จ้าวเฉียวอวิ๋นเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก และรีบเร่งหลินเสวี่ยฮุ่ยที่อยู่ในอ้อมกอด: “เสวี่ยฮุ่ย รีบโทรหาพี่ชายของลูกเร็ว ๆ หน่อย”“แม่ หนู...”“เร็วสิ หรือว่าไม่เชื่อมั่นพี่ชายของลูกเหรอ?”จ้าวเฉียวอวิ๋นมองดูสองสามคนที่ท่าทางดุดัน และมีสีหน้าแน่วแน่“ค่ะ”หลินเสวี่ยฮุ่ยจะไม่เชื่อหลินเฟิงได้อย่างไร เขาเพียงแค่ไม่อยากหาเรื่องรบกวนหลินเฟิง เห็นแม่ของเธอท่าทางแน่วแน่แบบนี้ เธอทำได้เพียงล้วงโทรศัพท์ออกมาและในตอนที่หลินเสวี่ยฮุ่
“ฉันพูดความจริง”หลินเสวี่ยฮุ่ยน้ำตาตกด้วยความน้อยใจ เธอหยิบโทรศัพท์ที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาและกัดฟันพูด: “ถ้าหากคุณไม่เชื่อ ไปถามพี่ฮุ่ยหรานเองได้”“พูดจาเหลวไหล!”จางกุ้ยหลานถึงแม้สีหน้าจะยังโมโหอยู่ แต่ในใจก็มีความประหม่าเล็กน้อย เพราะลูกสาวของเธอ เธอรู้ดียิ่งกว่าใครหลายวันก่อนหน้านี้ลูกสาวมักจะออกไปทำงานแต่เช้า ถึงขั้นที่มีสองสามวันที่ออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเดิมคิดว่าเธอกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องของบริษัท แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาทำอาหารเช้าให้หลินเฟิงไอ้คนชาติชั่วคนนี้ยิ่งคิดยิ่งโมโห จางกุ้ยหลานไม่กล้าจี้ถามเรื่องนี้อีก ทำได้เพียงข่มเอาไว้ในใจชั่วคราว เตรียมจะเค้นถามลูกสาวของเธอในครั้งหน้า“เร็ว ทำไมเธอยังโทรไม่ติดอีก?”“ฉันไม่รู้ พี่หลินเฟิงน่าจะมีธุระ...เขาไม่รับสายฉัน”หลินเสวี่ยฮุ่ยก็รู้สึกโมโหอยู่ในใจ สายตาของเธอกวาดมองไปยังผู้หญิงบ้าสองคนนี้ที่ล้อมรอบอยู่ จากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความดื้อรั้น“หึ ฉันดูแล้วมันกลัวความผิดจนหนีไปแล้ว!”จางซินหัวเราะเยาะ“ไอ้หลินเฟิงที่สมควรตาย! แกจะไม่ได้ตายดีแน่! ฉันไม่มีทางปล่อยแกไป! ต้องโทษพวกเธอตระกูลหลี่เมืองเจียงเป่ย!”“ถ้าหากไม่ใช
“แต่ว่า?”หลี่ฮุ่ยหรานงงงวยเล็กน้อย แต่เห็นสายตาของกู้เฉินกวาดมองนักเรียนที่มาเรียนกังฟูเช่นเดียวกัน จากนั้นก็ขยับปากมาใกล้ ๆ ข้างหูของหลี่ฮุ่ยหรานและพูดว่า:“แต่ว่าตระกูลกู้ของผมในฐานะที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่เมืองเจียงหนาน และผมก็เป็นประธานของสมาคมบู๊ไห่โจว ต้องมีความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้อยู่แล้ว”เห็นหลี่ฮุ่ยหรานยังคงไม่เข้าใจ กู้เฉินยิ้มอย่างลึกลับ:“ฮุ่ยหราน ถ้าหากคุณฝึกวิทยายุทธพร้อมกับนักเรียนคนอื่น ๆ ที่นี่ งั้นอย่างน้อยจะต้องเหวี่ยงหมัดเตะขาดอยู่หลายปีถึงจะมีการพัฒนา”“คุณรอนานขนาดนั้นได้ไหม?”หลี่ฮุ่ยหรานกวาดมองไปรอบ ๆ ตามสายตาของกู้เฉิน พบว่าที่นี่ลูกศิษย์จำนวนมากในนี้ต่างกำลังฝึกการแสดงพื้นฐานอยู่ เธอก็ไม่ได้เก่งไปกว่าพวกเขาสักเท่าไหร่“ในมือของคุณยังมีหลี่ซื่อกรุ๊ปให้ต้องจัดการ จะเหมือนกับนักเรียนทั่วไปเหล่านี้ได้อย่างไร เพียงแค่กระบวนท่าพื้นฐานทั่วไปก็ฝึกฝนหลายปี?”“ไป ผมพาคุณไปห้องลับ สอนเคล็ดลับของตระกูลกู้ของผมให้กับคุณชุดหนึ่ง”กู้เฉินวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผล แต่หลี่ฮุ่ยหรานไม่ใช่คนที่จะไม่รู้จักหนักเบา เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น:“กู้เฉ
“มาเถอะ เธอลงมือเองเถอะ!”“หลิน...หลินเฟิง...”หลี่ฮุ่ยหรานปีนป่ายไปทางกู้เฉิน เหมือนกับถูกตัณหาครอบงำ คุกเข่าทำท่ายั่วยวน และก็มีสีหน้าอ้อนวอนไปด้วย“ขอร้องล่ะ หลินเฟิง...เป็นฉัน...ฉันไม่ดีเอง...คุณ...คุณอย่าโกรธฉันเลยนะ...”“หลินเฟิง...”เมื่อได้ยินหลี่ฮุ่ยหรานยังเรียกชื่อของหลินเฟิงคนนั้นในเวลาแบบนี้ ก้นบึ้งหัวใจของเขามีความอิจฉาอยู่เล็กน้อยทันทีถนนใหญ่เจียงหลิงหลังจากเดินทางออกมาจากโรงพยาบาลหลินเฟิงที่ขับรถมายบัคกำลังจะย้อนกลับไปที่อ่าวเทียนสุ่ย กลับได้รับสายของจ้าวเทียนหวาด้วยความประหลาดใจ“คุณชายหลิน ก่อนหน้านี้คนที่คุณให้เฝ้าดูหลี่ฮุ่ยหรานได้รายงานว่า หลี่ฮุ่ยหรานกับกู้เฉินของตระกูลกู้เมืองเจียงหนานคนนั้นเข้าร่วมงานตัดริบบิ้นโรงฝึกบู๊เปิดใหม่”“กู้เฉินยังสอนหลี่ฮุ่ยหรานเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้”ได้ยินการรายงานของจ้าวเทียนหวา หลินเฟิงขมวดคิ้ว จากนั้นผ่อนคลายเล็กน้อย และพูดอย่างนิ่งเฉย:“แล้วยังไง? หลี่ฮุ่ยหรานอยากไปเอง ไม่เกี่ยวกับผม ต่อไปพวกคุณไม่ต้องเฝ้าดูเธอแล้ว”“เอ่อ...”จ้าวเทียนหวาที่อยู่อีกฝ่ายของโทรศัพท์เห็นได้ชัดว่าลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่อ:“แต่ว่าค
ตอนนี้หลินเฟิงหมดความอดทน และก็ไมได้มีสีหน้าที่ดีอะไรแล้ว จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังภายในโรงบู๊และก็เป็นเพราะเสียงตวาดด้วยความโมโหของเขา ดึงดูดสายตาของทุกคนในลาน นักเรียนที่เดินทางมาเรียนที่นี่ต่างก็มองมาทางด้านนี้ด้วยความประหลาดใจ“อุ๊ย นี่ก็คือการท้าดวลในตำนานสินะ?”“นี่กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เปิดกิจการวันแรกก็ท้าดาล”“นายดูได้เลย ฉันได้ยินมาว่าชายหัวล้านคนนั้นชื่อเจิ้นเฟิง เป็นปรมาจารย์บู๊ของเจียงหลิง บุคคลยิ่งใหญ่ที่อยู่บนอันดับโลก”“อันดับโลกคืออะไร?”“อันดับโลก...ฉันก็ไม่รู้ เอาเป็นว่านายรู้แค่ว่าเก่งกาจมากก็พอแล้ว”“งั้น...งั้นคนที่มาดวล ผอมแห้งอ่อนแรง ขาวสะอาด จำเป็นคู่ต่อสู้ของเจิ้นเฟิงได้อย่างไร?”“ฉันก็ไม่รู้ แต่หวังว่าเขาอย่าตายจนน่าอนาถเกินไป...”“เอ๊ะ? นั่นมันพี่หลินเฟิงไม่ใช่เหรอ?”ผู้หญิงที่เป็นหนึ่งในนักเรียนจำหลินเฟิงได้ เธอก็คือโจวเสี่ยวหางที่สนิทสนมกับหลินเสวี่ยฮุ่ยก่อนหน้านี้เมื่อก่อนสวมหมวกแก๊ปมาโดยตลอด ตอนนี้ผูกหางม้า ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ“พี่หลินเฟิงมาทำอะไรที่นี่? ท้าดวล?”โจวเสี่ยวหางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยผู้ชายที่สามชุดฝึกสองสามคนได้ยินการวิพ
“แกรนหาที่ตายเหรอ!”ชายร่างกำยำอีกสองคนในชุดฝึกซ้อมโผเข้าหาหลินเฟิงโดยตรง แต่หลินเฟิงก็ไม่ได้ปล่อยตามอำเภอใจ รับมือกับคนไม่สำคัญเหล่านี้ เขาถึงขั้นที่ไม่ต้องออกแรงสักเท่าไหร่ด้วยซ้ำ“เพี๊ยะ เพี๊ยะ!”เสียงตบหน้าดังขึ้นสองครั้ง โดยที่หลินเฟิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม และบีบมือของชายกำยำที่ส่งเสียงร้องอนาถอย่างแรงครูสอนศิลปะการต่อสู้สองคนที่โผเข้ามาหาเขา ในเวลานี้ต่างล้มลงกับพื้นเสียงดังลั่นซ้ายข้างหนึ่งขวาข้างหนึ่ง จนขนานกันเป็นคู่“ฮะ?”พวกนักเรียนส่งเสียงตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง“พรึ่บ”ดูท่าครูหัวโล้นคนนั้นก็ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากมายเมื่อเห็นเรื่องราวพัฒนามาถึงตรงนื้ ก็คุกเข่าลงข้างเดียวทันที เขาฝืนใจคารวะหลินเฟิงแล้วพูดว่า:“คุณชายท่านนี้ เมื่อสักครู่ผมล่วงเกินไปมาก ไม่รู้ว่าคุณใช่ปรมาจารย์อันดับสวรรค์หรือเปล่าครับ?”“สาม!”หลินเฟิงหรี่ตาลง แล้วตะโกนออกมาเป็นเลขตัวสุดท้าย“คุณ...คุณชายกู้อยู่ในห้องลับทางด้านนั้น ต้องการให้ผมไปเรียกเขาไหมครับ?” เมื่อเห็นว่าหลินเฟิงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ครูหัวโล้นคนนั้นก็รู้สึกโกรธในใจขึ้นมาทันทีโดยเฉพาะสายตาหลังจากที่หลินเฟิงคนนั
“ฉันเสียใจ......เสียใจแทบตายอยู่แล้ว......ฉันไม่ควรฟังที่แม่พูดเลย......หลินเฟิง......ขอร้องล่ะ ได้โปรดยกโทษให้ฉันเถอะนะ......”หมัดที่กำแน่นของหลินเฟิงก็ค่อย ๆ คลายออกหลี่ฮุ่ยหราน ประธานสาวผู้ที่มีจิตใจดั่งธารน้ำแข็ง ในที่สุดก็เปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของเธอออกมาแต่ทันใดนั้นหลินเฟิงก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ตรงหน้าเขายังมีกู้เฉินอยู่ด้วย“นี่คือสิ่งที่นายเรียกว่าความสุขของฮุ่ยหรานอย่างงั้นเหรอ? ”หลินเฟิงมองไปทางกู้เฉินด้วยสายตาที่เย็นชาจู่ ๆ ใบหน้าของกู้เฉินก็กระตุก พูดด่าว่าผู้หญิงสารเลวเสียงเบาวิธีการฝังเข็มที่ตัวเองเรียนรู้มาจากอาจารย์หมอหนานโจว สามารถกระตุ้นตัณหาที่รุนแรงที่สุดในใจของคนได้คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่หลี่ฮุ่ยหรานคนนี้โดนกระตุ้นไปแล้ว ปากของเธอจะยังตะโกนชื่อของหลินเฟิงออกมาอยู่นี่ทำให้เขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมากเห็นได้ชัดว่าคนในตระกูลของพวกเขาไม่ชอบผู้ชายคนนี้ถึงขนาดนี้ แต่ทำไมหลี่ฮุ่ยหรานถึงยังคิดถึงเขาอยู่อีก?“หึหึ”แม้ว่ากู้เฉินจะสาปแช่งอยู่ในใจ แต่ภายนอกเขายังคงเผยรอยยิ้มออกมาอยู่ ทั้งยังยื่นมือออกไปหาหลินเฟิงอีก แล้วพูดว่า:“หลินเฟิง ฉันขอแนะนำนายว
“หลินเฟิง!”ท่าทางของหลี่ฮุ่ยหรานดูเป็นทุกข์เอามาก ๆ “ทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้อยู่ตลอดเลย แค่คุณก้มหัวให้สักครั้งจะทำไมเหรอ? ”“ทำไมผมจะต้องก้มหัวให้ด้วย? ”หลินเฟิงเองก็ถูกกระตุ้นความโกรธขึ้นมาด้วยเช่นกัน จากนั้นก็พูดออกมาอย่างเย็นชา:“หลี่ฮุ่ยหราน ครั้งแล้วครั้งเล่า ในเมื่อคุณไม่คิดที่จะเชื่อผม งั้นพวกเราก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกันอีก คุณก็วิ่งไล่ตามความสุขของคุณต่อไปเถอะ! ”“ตั้งแต่นี้ต่อไปพวกเราขาดกัน! แล้วผมก็จะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของคุณอีก! คุณเองก็อย่ามายุ่งกับผมด้วยเช่นกัน! ”หลังจากพูดอย่างนั้น หลินเฟิงก็สะบัดมือของหลี่ฮุ่ยหรานออก และเดินตรงออกจากโรงฝึก“หลินเฟิง! ”หลี่ฮุ่ยหรานเดินโซเซและพยายามตามหลินเฟิงให้ทัน แต่หลินเฟิงก็จากไปแล้ว ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามองเลยด้วยซ้ำหลี่ฮุ่ยหรานยืนพิงเสาตรงประตูของโรงฝึก ในใจรู้สึกโศกเศร้า เธอเอามือปิดหน้า และค่อย ๆ คุกเข่าลงกับพื้น“ทำไม......ทำไมคุณถึงได้ดื้อแบบนี้อยู่ตลอดเลย...... ”หลี่ฮุ่ยหรานไม่เข้าใจเขาจริง ๆ“ฮุ่ยหราน อย่าเศร้าไปเลยนะครับ คนอย่างสามีเก่าของคุณ ไม่มีค่าพอให้นึกถึงหรอกครับ”กู้เฉินแอบด่าหลินเฟิงที่เพิ่งจ