“บังเอิญว่าหม่อมฉันมีสร้อยโมราสีทัออยู่เส้นหนึ่ง ด้วยอายุของหม่อมฉันในตอนนี้คงไม่เหมาะที่สวมใส่มัน มิสู้มอบให้พระชายาจ้านเป็นของรางวัลดีหรือไม่ ฝ่าบาททรงคิดเช่นไรเพคะ”ฮองเฮายิ้มเล็กน้อย และเสนอความเห็นอย่างรวดเร็วฮองเต้พยักหน้า “ดีมาก แต่ฮองเฮากล่าวผิดไปคำหนึ่ง ในสายตาของข้าเจ้ายังคงอ่อนเยาว์ และเหมาะที่จะสวมเครื่องประดับสีชมพู”“ฝ่าบาททรงหยอกเล่นอีกแล้ว”ฮองเฮาหลุบตาต่ำลง ด้วยรูปลักษณ์ที่อ่อนโยนเช่นนี้ จึงดูไม่เหมือนสตรีที่ให้กำเนิดบุตรมาแล้วหลายคน เฉิงกุ้ยเฟยซึ่งนั่งอยู่อีกด้าน ดวงตาหม่นหมองเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าไม่มีความสุขเซี่ยเชียนฮวันสังเกตท่าทางของพวกเขา พลางคิดในใจว่า...วังหลังคือทุ่งสังหารจริงๆ!เมื่อนึกถึงเรือนหลังของเซียวเย่หลัน ที่มีเพียงซูอวี้เออร์ ซึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างความปวดหัวให้กับนาง จึงยากที่จะจินตนาการได้ว่า ในวังหลังนั้นจะต้องวุ่นวายมากเพียงใดหลังจากนั้นไม่นาน สาวใช้ในวังก็นำสร้อยโมราสีท้อของฮองเฮาเข้ามา แล้ววางไว้บนถาด“เข้ามารับรางวัลสิ” น้ำเสียงของฮองเต้ดูใจดี“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”เซี่ยเชียนฮวันยิ้มกว้างเต็มใบหน้า ก้าวไปข้างหน้าแล้วรับรางวัล
“แม้ว่านี่จะเป็นโรคเก่าของเสด็จอา แต่พระชายาจ้านของพวกเราเป็นหมอเทวดาที่เชี่ยวชาญรักษาโรคแปลกๆ โดยเฉพาะ ขอเพียงแค่เจ้าลงมือ เสด็จอาจะต้องหายดีอย่างแน่นอน ใช่ไหม?”องค์หญิงแปดยังเจ็บแค้นกับเรื่องเมื่อครู่จึงจงใจสนับสนุนเซี่ยเชียนฮวันเสียงดังนางเคยได้ยินซูอวี้เออร์บอกว่า เซี่ยเชียนฮวันเป็นเพียงถุงฟางไม่เอาถ่าน แม้แต่หนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าก็ไม่เคยอ่าน แล้วจะมีทักษะทางการแพทย์ได้อย่างไร?ก่อนหน้านี้ที่บอกว่ารักษาหลานฮ่องเต้ได้นั้น ก็แค่เรื่องบังเอิญ!ประจวบเหมาะที่ครั้งนี้ โรคเก่าของเซวียนชินอ๋องกำเริบ แน่นอนว่าจะต้องเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของนางได้!เซี่ยเชียนฮวันเพิกเฉยต่อองค์หญิงแปดนางลุกขึ้นยืนแม้ไม่มีการยั่วยุขององค์หญิงแปด แต่ในฐานะหมอ เมื่อเห็นคนป่วยอยู่ตรงหน้า นางย่อมเข้าไปช่วยอย่างแน่นอน“ข้าให้คำแนะนำเจ้าสักอย่าง ตอนที่รักษาเสด็จอาจะต้องระมัดระวังให้ดี ปกติร่างกายของเขาก็ไม่ดีอยู่แล้ว หากรักษาไม่ดี เจ้าจะต้องรับผิดชอบ” องค์หญิงแปดแสยะยิ้มอย่างเย็นชาเซี่ยเชียนฮวันยังคงไม่แยแสคุยกับสตรีประเภทนี้ มีแต่จะเสียเวลาแต่ในขณะที่นางกำลังจะออกจากที่นั่ง เซียวเย่
“นี่ไม่เกี่ยวกับอวี้เออร์”เซียวเย่หลันไม่สนใจองค์หญิงแปดอีกต่อไปสตรีงี่เง่าไร้เหตุผลในสายตาเขาล้วนก็พอๆ กันหลังจากที่เซี่ยเชียนฮวันปลดเสื้อของเซวียนชินอ๋องออกท่ามกลางสายตาตกตะลึงของฝูงชน พบว่าเขาใกล้หยุดหายใจแล้ว นางทำการวินิจฉัยทันที มีความเป็นไปได้ที่เศษอาเจียนเพราะความตกใจของเขาเข้าไปติดในหลอดลม ทำให้หายใจไม่ออก!“ขอแรงหน่อย ช่วยข้าพยุงเขาขึ้นมา”นางรีบสั่งคนที่อยู่รอบๆหลังจากที่พยุงเซวียนซินออกให้ลุกขึ้นแล้ว เซี่ยเชียนฮวันอ้อมไปข้างหลังเขา งอขาไปด้านหลัง ให้ร่างกายเขาเกยอยู่บนต้นขาของตัวเองท่วงท่านี้สร้างความแตกตื่นในท้องพระโรงอีกครั้งบรรดาอ๋อง องค์หญิงและราชวงศ์ทุกพระองค์อดไม่ได้ที่จะชี้หน้าตำหนิเซี่ยเชียนฮวัน“นางทำสิ่งใดกันแน่ นึกไม่ถึงว่าจะทำกิริยาไม่เหมาะสมเช่นนี้”“คงเป็นบ้าไปแล้ว...”เวลานี้ เซียวเย่หลันสีหน้าเริ่มหม่นแสงสตรีคนนี้ เมื่อครู่เพิ่งบอกว่าตัวเองมีขอบเขตนี่คือขอบเขตของนาง?หากไม่เห็นแก่ฐานะพระชายาจ้านอ๋องของนาง อาศัยแค่ความกล้าของนางทำกริยาเช่นนี้ต่อหน้าฮ่องเต้ ก็เพียงพอจะถูกตัดหัวสิบแปดครั้งแล้วองค์หญิงแปดที่อยู่ข้างกายเซียวเย่หลันสีหน้
“ท่าทางเมื่อครู่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อมีคนสำลักอาหารจนหายใจไม่ออก โดยปกติแล้วจะลูบหลังเบาๆ เหตุใดพระชายาจ้านอ๋องจึงได้ทำตรงกันข้ามด้วยการใช้กำปั้นทุบไปที่หน้าท้อง?”พวกหมอหลวงมองหน้ากัน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะถาม เซี่ยเชียนฮวัน “การลูบหลังความจริงแล้วเป็นเรื่องผิด เมื่อครู่ข้าใช้วิธีหัตถการไฮม์ลิคช์ มีประสิทธิภาพมาก”หมอหลวง “ไฮม์...วิธีใด?”พวกเขามึนงงแล้วรู้สึกว่าโลกของพวกเขาได้รับความกระทบกระเทือนเซี่ยเชียนฮวันไม่มีวิธีอธิบายกับพวกเขาชัดเจน ทำได้เพียงพูดว่า “ชื่อเรียกว่าอะไรไม่สำคัญ พวกเจ้าจำท่าทางขั้นตอนของข้าเมื่อครู่เอาไว้ก็พอแล้ว ต่อไปจะได้สะดวกในการช่วยคน”พวกหมอหลวงพยักหน้าพวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นหมอหลวงประจำพระราชวังที่อ่านตำราแพทย์ ดำเนินอาชีพหมอมาหลายปี แต่เวลานี้อยู่ต่อหน้าเซี่ยเชียนฮวัน กลับกลายเป็นเด็กนักเรียนประถมเซียวเย่หลันเห็นดังนั้นก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย ใช้ระดับเสียงที่มีแค่คนด้านข้างเท่านั้นที่ได้ยิน พูดเรียบๆ “เห็นหรือไม่? นางไม่ได้บ้า คนที่บ้าก็คือคนโง่เขลาที่มีความสุขบนความทุกข์คนอื่นอย่างพวกเจ้า”องค์หญิงแปดที่นั่งอยู่ด้านข้างเมื่อได้ฟังก็โกรธจนเข็
“องค์หญิงไม่สู้เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะ เจ้าพกถุงหอมไว้นานเช่นนั้น กลิ่นหอมติดตัวนานแล้ว อย่าว่าแต่สุนัขตัวผู้เลย แม้แต่นกตัวผู้ที่บินบนฟ้ายังอดไม่ได้ที่จะอุจจาระรดใส่เจ้า”เซี่ยเชียนฮวันหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ เพียงพูดสองสามคำก็ทำให้องค์หญิงโกรธจนหน้าเขียว!ดูเหมือนว่าช่วงนี้นางคงตกใจจนไม่กล้าออกจากบ้านแล้วงานเลี้ยงดำเนินต่อไปหลังจากช่วยชีวิตเซวียนชินอ๋องไว้ เซี่ยเชียนฮวันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีคนใช้สายตามองนางมาเป็นครั้งคราว บ้างรู้สึกสนใจ มองสำรวจ บ้างกลับเป็นความสงสัยและหวัดหวั่นอาหารมื้อนี้ เมฆดำลอยคละคลุ้งหลังจากที่นางได้ตัดสินใจแล้ว ตำแหน่งนางในราชวงศ์นาง ดูเหมือนกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป......หลังจบงานเลี้ยงหลังจากฮ่องเต้เสด็จกลับไปก่อน ทุกคนทยอยแยกย้ายกลับบ้านตนกระทั่งคนส่วนมากจากไปแล้ว ในที่สุดเซี่ยเชียนฮวันก็ไม่มีรู้สึกถูกจับจ้องอีกต้องไป นางผ่อนคลายลงได้แล้วและค่อยๆ ดื่มน้ำแกงรังนกที่เหลือจนหมดอย่างเงียบๆไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เซียวเย่หลันที่ทำสิ่งใดไม่สนใจผู้อื่นมาตลอดกลับไม่ได้จากไป ทว่ากลับนั่งอยู่ข้างเซี่ยเชียนฮวันเงียบๆราวกับรอนางกินเสร็จโดยเฉพา
“เสด็จลุงเกิดจากเฉินไท่กุ้ยเฟย ตอนเด็กฉลาดมาก เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้องค์ก่อน”เซียวเย่หลันค่อยๆ เล่าในท้องพระโรงว่างเปล่า เหลือเพียงเขาและเซี่ยเชียนฮวันสองคนเท่านั้น แต่เขายังเจตนากระซิบ เดิมเส้นเสียงค่อนข้างทุ่มต่ำนั้นฟังชัดยิ่งน่าหลงใหล“กระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ตำหนักที่เสด็จอาประทับอยู่ก็มีงูพิษโผล่มาตัวหนึ่ง มันกัดคนในตำหนักมากมาย รวมถึงเสด็จอาด้วย แม้จะช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ทว่าพิษงูแล่นเข้าสมองแล้ว ตั้งแต่นั้นมาอาการชักก็กำเริบมาอย่างต่อเนื่อง และเขาก็ไม่ฉลาดหลักแหลมอีกต่อไป”น้ำเสียงเซียวเย่หลันราบเรียบ ราวกับกำลังกระซิบเรื่องปกติทั่วไปกับพระชายาอ๋องนั่นก็เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจของนางกำนัลและขันทีเหล่านั้นเซี่ยเชียนฮวันได้ฟังเรื่องราวกลับรู้สึกหนาวสันหลัง นางพูดกระซิบเช่นเดียวกันอย่างไม่รู้ตัว “งูพิษตัวนั้น มีคนตั้งใจปล่อยเข้าไป?”เซียวเย่หลันมองตานาง “เจ้าทายถูกแล้ว งูชนิดนั้นไม่มีอยู่ในเมืองหลวง มีคนพกงูนั่นมากจากแคว้นทางใต้เข้าสู่เมืองหลวง ค่อยไปปล่อยไว้ในตำหนักของเสด็จอา ฮ่องเต้ององค์ก่อนรู้ว่ามีคนจงใจลอบวางแผนทำร้าย ทว่ากลับไปมีการสืบสวน เจ้าทายสิว่าเพราะเหตุใด”
“ไทเฮาเชิญพระชายาอ๋องไปพบที่ตำหนักหย่งโซ่ว”ขันทีก้มโค้งคำนับให้กับเซี่ยเชียนฮวันเซี่ยเชียนฮวันถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่แท้ก็เป็นคนของเสด็จป้าเกือบนึกว่าฮ่องเต้เฒ่าย้อนกลับมา พบว่านางแสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ คิดจะหาเรื่องนาง“ข้าไปเดี๋ยวนี้” เซี่ยเชียนฮวันหันหน้ามา จงใจขยิบตาใส่เซียวเย่หลัย “ท่านพี่กลับบ้านไปก่อน รอข้านะ”“ไม่มีใครคิดจะรอเจ้า”เซี่ยเชียนฮวันทำให้เซียวเย่หลันรู้สึกรังเกียจได้สำเร็จแล้วเขาเดินออกจากท้องพระโรงโดยไม่หันหน้ากลับมา ยิ่งเดินยิ่งเร็วขึ้น ราวกับสตรีที่อยู่ด้านหลังเป็นเชื้อโรคระบาดเซี่ยเชียนฮวันเดินตามขันทีไปยังตำหนักหย่งโซ่วเพิ่งก้าวข้ามธรณีประตู นางได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่น ราวกับอยู่ท่ามกลางทะเลดอกไม้ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกๆไทเฮาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการปรุงเครื่องหอมแตกต่างจากผู้สูงอายุคนอื่นที่ชอบจุดธูปไหว้พระ งานอดิเรกของไทเฮาส่วนมากเป็นการปรุงเครื่องหอม ดังนั้นในตำหนักหย่งโซ่วมักจะอบอวนไปด้วยกลิ่นหอม ดึงดูดผีเสื้อมากกว่าตำหนักของนางสนมอื่นๆท่ามกลางกระถางสำริดหยกแต่ละใบ มีหญิงชราผมสีเงินใบหน้ามีเมตตาคนหนึ่งยืนอยู่
“ฮวันฮวัน มีเพียงรอให้หลังจากที่เจ้าเดินเข้าไปอยู่ในใจของบุรุษแล้ว เจ้าถึงจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แท้จริงของเขา เหมือนเช่นกับถุงหอม ‘กลิ่นอาวุธสงคราม’ เจ้าต้องดมเป็นรอบที่สอง ถึงจะสัมผัสได้ถึงความหอมสดชื่นที่ซ่อนอยู่ในกลิ่นคาวเลือด”ไทเฮายกพระหัตถ์ขึ้น แตะเบาๆ ไปที่จอนผมของเซี่ยเชียนฮวันเซี่ยเชียนฮวันเข้าใจความหมายของไทเฮาแล้วครั้งนี้ที่เรียกนางไปที่วังหย่งโซ่ว ก็เพื่อจะเกลี้ยกล่อมให้คืนดีกันนางผงกศีรษะ “เซียวเย่หลันเป็นกรณีพิเศษ บนตัวเขาไม่มีความอบอุ่นอย่างแน่นอน เขาเป็นคนบ้ากระหายเลือดคนหนึ่งชัดๆ”ใช้คำพูดที่เข้าใจง่ายๆ มาพูด ก็คือลักษณะนิสัยบกพร่อง เกิดมาก็มีนิสัยต่อต้านสังคมใครได้อยู่กับเขาคนผู้นั้นก็เป็นคนซวยมากไทเฮาหัวเราะ ตรัสว่า “เจ้ายังเด็กอยู่นัก ไม่รู้ว่าบุรุษยิ่งดูดุร้ายเพียงใด ยามที่เขาอ่อนโยนขึ้นมาราวกับจะคร่าชีวิตคนไปได้”“ใช่เพคะ ไทเฮาตรัสได้ถูกต้องยิ่งนัก เขาแทบจะคร่าชีวิตไปจริงๆ คร่าชีวิตหม่อมฉันไป ความหมายแปลตรงตามตัวอักษรเลยเพคะ”เซี่ยเชียนฮวันโกรธแล้ววันเวลาในจวนจ้านอ๋องช่วงที่ผ่านมา หากไม่ใช่เพราะนางดวงแข็ง กลัวว่านางอาจตายไปหลายหนแล้วก็ได้“เจ