ที่ประตูจวนจ้านอ๋องซูอวี้เออร์ยืนรออยู่ที่ประตู เมื่อเห็นรถม้าของเซี่ยเชียนฮวันและเซียวเย่หลันขับเคลื่อนไกลออกไปแล้ว นางจึงสวมหมวกแล้วรีบออกจากจวนนางหลีกเลี่ยงไปในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านเดินเข้าซอยไปยังอาคารเล็กๆ ที่ไม่โดดเด่นในตลาดในอาคารนั้นมีถ้ำซ่อนอยู่ศาลาชายคาทรงแปดเหลี่ยมลักษณะเหมือนกระดานหมากรุกที่มีสีขาวดำสลับกันอยู่ ต้นไม้เขียวชอุ่ม แม้สง่างามแต่ก็ดูเคร่งขรึมซูอวี้เออร์สวมหมวกปิดบังใบหน้า เดินมาที่ศาลาแล้วทักทายกับชายที่นั่งอยู่อย่างผ่อนคลายอารมณ์โดยมีผ้าปิดบังใบหน้าไว้ "คารวะคุณชายโม่เฉิน"ผู้ที่ถูกเรียกว่าคุณชายโม่เฉิน ก็คือเจ้าของหอเทียนเซียงซึ่งทุกคนเคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนเขาเปิดพัดออกเบาๆ "เจ้าเดินทางมาหาข้าในวันนี้เพราะเรื่องของพระชายาจ้านอ๋องหรือ?"“อวี้เออร์เห็นว่าไม่ได้เจอคุณชายมาหลายวันแล้ว ข้าน้อยคิดถึง...""หยุดใช้กลอุบายอันน่ารำคาญของเจ้าเสีย ข้าไม่ใช่เซียวเย่หลันที่จะโง่เง่าใช้เงินซื้อความรัก”"...เจ้าค่ะ"ซูอวี้เออร์เม้มริมฝีปากโดยไม่พึงพอใจนักนางจึงได้เล่าเรื่องราวออกมาให้เขาฟัง ไม่สิแท้จริงแล้วควรจะกล่าวว่า นางเล่าเรื่องของเซี่ยเ
ภายในวังเฟิ่งหลิงหมอหลวงนั่งคุกเข่าเป็นสองแถวอยู่ข้างเตียงของไทเฮา ต่างพากันก้มหน้า เหงื่อเย็นไหลย้อยจวบจนกระทั่งพวกเขาเห็นร่างของเซี่ยเชียนฮวันปรากฏขึ้น จึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก"เจ้าเจ็ด มากันแล้วหรือ" ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ข้างเตียงเงยหน้ามององค์รัชทายาทเห็นเซี่ยเชียนฮวันเดินทางเข้ามา ก็ได้เข้าไปต้อนรับด้วยสีหน้าเป็นกังวล "หมอหลวงกล่าวว่าเสด็จแม่ถูกวางยาพิษพวกเขาไร้วิธีขจัดพิษได้ ในตอนนี้พวกเราคงต้องฝากความหวังไว้ที่เจ้า น้องสะใภ้!"“องค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันจะพยายามให้เต็มที่”จู่ๆ เซี่ยเชียนฮวันก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลการให้การรักษาเชื้อพระวงศ์แตกต่างกับรักษาชาวบ้านทั่วไป หากมีอะไรผิดพลาดล่ะก็ คำว่า “เราพยายามเต็มที่แล้ว" ก็ไม่สามารถจัดการปัญหาได้ จะมัวแต่พูดมากไม่ได้เซี่ยเชียนฮวันรีบเดินตรงเข้าไปที่เตียงนางพบว่ามีผู้คนมากมาย แม้อาจจะไม่ได้มองมายังนางทุกคน แต่หัวใจของพวกเขาจับจ้องมาที่นางนอกจากองค์รัชทายาท พระชายาและเซียวเย่หลันแล้ว ไม่มีเชื้อพระวงศ์คนอื่นอยู่ที่นั่นด้วย เหล่าหมอหลวงจึงค่อยๆ ทยอยออกไปเพราะอะไรกัน...“เมื่อคืนนี้ฮองเฮาดื่มสุราองุ่นไปสองแก้วแล
"หมิงเฟยเหมือนคนเสียสติอยู่ตลอดทั้งวัน ไม่ว่านางทำสิ่งใด ก่อนหน้านี้ข้าคงตามใจนางมากเกินไป”ฮ่องเต้ตรัสออกมาอย่างเย็นชาเซียวเย่หลันขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างเฉยเมย "แม้ว่าหมิงเฟยจะดูเสียสติ แต่นางไม่เข้าร่วมแก่งแย่งตำแหน่งในวังหลัง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเหตุผลจะทำร้ายฮองเฮา เสด็จพ่อทรงพระปรีชา จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร” ประโยคสนทนาระหว่างสองพ่อลูก ทำให้คนรอบข้างถึงกับเหงื่อตกจ้านอ๋องก็คือจ้านอ๋อง มีเพียงเขาเท่านั้นที่กล้ากล่าวกับฮ่องเต้ด้วยท่าทีอย่างอันแสนเฉยเมยและเฉียบแหลม"นางไม่มีเหตุใดจะทำร้ายฮองเฮาหรือ? เหอะๆ เสด็จแม่ของเจ้ารู้สึกโกรธเกลียดแค้นข้ามาเนิ่นนานแล้ว แต่นางทำอะไรข้าไม่ได้ จึงได้เลือกลงมือกับฮองเฮา!”ฮ่องเต้โมโหยิ่งนักทำเอาเสียผู้คนที่อยู่รอบข้างหวาดกลัวจนคุกเข่าลง ด้วยเกรงว่าโอรสสวรรค์จะพิโรธขึ้นมาแล้วมีผู้คนนับไม่ถ้วนต้องสิ้นสุดชีวิตลงในวันนี้ทางด้านของเซียวเย่หลันยังคงสงบนิ่ง "เสด็จพ่อโปรดสงบอารมณ์ก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ จากเรือนเจียวชวนมาถึงวังเฟิงหลิงค่อนข้างไกลทีเดียว ผู้ที่วางยาพิษใส่สุรา คาดว่าคงไม่ใช่เสด็จแม่เพียงลำพัง"“เจ้าควรอธิษฐานให้เรื่องนี้ไม่เกี่
สีหน้าของทุกคนมองไปยังฮ่องเต้ด้วยความหวาดกลัว พวกเขาแทบไม่กล้าแม้แต่จะหายใจหมิงเฟยยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้เหนือความคาดหมายของทุกคน"หมิงเฟย ตามปกติแล้วที่เจ้าสร้างปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ข้าก็ได้แต่หลับตาข้างหนึ่งมาโดยตลอด ปล่อยให้เจ้ากระทำไปตามอำเภอใจ ในวันนี้เจ้ากลับกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ วางยาพิษได้แม้แต่กับฮองเฮา ในอนาคตเจ้าของลงมือกับข้าสินะ?"ฮ่องเต้ไม่ได้โมโหอย่างที่ทุกคนคิด เขาตรัสถามหมิงเฟยด้วยท่าทีอันใจเย็นแต่ยิ่งเป็นเช่นนั้นทุกคนก็ยิ่งหวาดกลัวหมิงเฟยเงยหน้าขึ้น มองไปยังฮองเฮาซึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยความเฉยเมยเช่นกัน "อาจเป็นเพราะฮองเฮาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจนเกินไป เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็ทนไม่ได้ ทำเอาเสียทุกคนต้องเดือดร้อนตื่นตระหนกตกใจ""บังอาจ!” ฮ่องเต้ทรงตะโกนขึ้น "เจ้ากล้าเรียกสิ่งนี้ว่าเรื่องเล็กน้อย?""ข้าเพียงใช้องุ่นเน่าเล็กน้อยมาทำเป็นสุรา เมื่อดื่มเข้าไปอย่างมากก็ท้องเสียเพียงไม่กี่ครั้ง เหตุใดถึงกับต้องล้มหมอนนอนเสื่อ?"หมิงเฟยดูดื้อรั้น แววตาแห่งความสงสัยปรากฏขึ้นเมื่อเซี่ยเชียนฮวันเห็นท่าทีอันแข็งแกร่งของหมิงเฟย ชั่วพริบตานั้นนางรู้สึกว่าช่างคล้ายกับตน
"ครุ่นคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตอบ”ในที่สุดเซียวเย่หลันก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเดินเข้าไปบีบข้อมือของเซี่ยเชียนฮวันไว้แน่นเซี่ยเชียนฮวันถูกเขาบีบเช่นนั้นจนรู้สึกเจ็บแต่นางยังคงเงยหน้าขึ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าบอกแล้วว่ามีพิษ""เจ้า เจ้าโกหก! สุรานี้ข้ากลั่นเองกับมือ จะมีพิษได้อย่างไร? เป็นเพราะเจ้าโกรธเกลียดแค้นข้าจึงต้องการใส่ร้ายข้าใช่หรือไม่!” หมิงเฟยขาดการควบคุมตนเองอีกครั้งนางไม่สนใจสิ่งใดแล้ววิ่งตรงเข้าไปทางเซี่ยเชียนฮวันด้วยใบหน้าอันดุร้าย"จับนาง "ฮ่องเต้ส่งสายตา องครักษ์รอบข้างตระหนักได้ทันทีจึงเข้าไปจับนางเอาไว้"ข้าไม่ได้วางยาพิษ ข้าไม่ได้เป็นคนทำ!" หมิงเฟยพยายามดิ้นรน"หมิงเฟยเหนียงเหนียง ได้โปรดนำถอนพิษให้พวกเราเถอะ ก่อนหน้านี้หากมีสิ่งใดที่เสด็จแม่ทำให้ท่านต้องขุ่นเคืองใจได้โปรดกล่าวออกมา ทูลต่อเสด็จพ่อก็ย่อมได้ เหตุใดจึงต้องเอาชีวิตนาง!"องค์รัชทายาทร้อนรนใจยิ่งนัก เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหมิงเฟยแต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้สตรีผู้เสียสติคนนี้มาก จึงเดินกลับมาที่เดิมแววตาของหมิงเฟยเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง "ข้าไม่มียาพิษ! หากฮองเฮาถูกวางยาพิษจริง ผู้ที่กระทำคือค
เหล่าทหารองค์รักษ์จับหมิงเฟยเอาไว้ และเตรียมจะพาตัวออกไปตามรับสั่งเสียงสถบด่าของหมิงเฟยยังคงดังก้องอยู่ในห้องโถงอย่างต่อเนื่อง“เจ้ามันดาวไม้กวาด นางกีบเท้าน้อย เพื่อที่จะแก้แค้นข้าเจ้าก็กล้ากุเรื่องโกหกขึ้นมา โกหกหน้าซื่อตาใส! ข้าจะสาปแช่งเจ้า ขอให้ปากยาวๆ ของเจ้าเป็นแผลพุพอง ขอให้ไม่ตายดี และอย่าได้ผุดได้เกิดไปชั่วชีวิต!”คำพูดอาฆาตแค้นที่หลุดออกมาจากปากของหมิงเฟยแต่ละคำ ล้วนทิ่มแทงใจคน ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างมุ่งเป้ามาที่เซี่ยเชียนฮวันหากไม่มีใครรั้งนางเอาไว้ เกรงว่านางคงจะพุ่งเข้าไปทำร้ายเซี่ยเชียนฮวันในทันทีเซี่ยเชียนฮวันไม่อยากได้ยินคำพูดเหล่านั้นแต่น่าเสียดาย ที่มนุษย์ไม่มีความสามารถปิดการรับรู้ของตาและหูได้นางจึงต้องทนฟังคำสาปแช่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดของหมิงเฟย“เชียนฮวัน เจ้าอย่าเก็บคำพูดของหมิงเฟยใส่ใจเลยนะ คำพูดเหล่านั้นล้วนไร้สาระ”หลังหมิงเฟิงออกไปแล้ว พระชายาองค์รัชทายาทซึ่งอยู่ข้างๆ เซี่ยเชียนฮวันก็ลดเสียงลงเพื่อปลอบใจนางเซี่ยเชียนฮวันมิกล่าวสิ่งใด เพียงเงยหน้าส่งยิ้มจางๆ ให้พระชายาองค์รัชทายาท“เจ้า...เฮ้อ”พระชายาองค์รัชทายาทนึกสงสารสถานการณ์ของเซี่ยเชียนฮวัน
เซียวเย่หลันกลับถึงจวนจ้านอ๋องด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่บึ้งตึงเขานั่งอยู่คนเดียวในห้องโถงโดยไม่มีแสงเทียน มีเพียงแสงจันทร์กระจ่างอันเย็นยะเยือกที่ส่องลงมาที่เขา ราวกับเทพอสูรที่นั่งอยู่ในความมืดมิดซูอวี้เออร์ที่ทราบข่าวจึงเดินเข้ามาหา“ท่านอ๋อง เหตุใดท่านถึงกลับมาเพียงลำพัง? พี่สาวล่ะ?” นางลองถามหยั่งเชิง“นางพักอยู่ในวัง”เซียวเย่หลันตอบอย่างเย็นชาความจริงซูอวี้เออร์ทราบข่าวว่า หมิงเฟยถูกคุมขังที่สำนักคุมประพฤติ ซึ่งเซี่ยเชียนฮวันหนุนคลื่นลมให้สูงขึ้น ด้วยการยืนอยู่ข้างฮองเฮา แล้วทำเรื่อง “ผดุงความยุติธรรม แม้นต้องสังหารญาติพี่น้อง”นางแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วถามต่อ “หรือว่าในวังมีเรื่องเกิดขึ้น? เนื่องจากทักษะทางการแพทย์ของพี่สาวนั้นดีมาก จึงเรียกนางเข้าวังโดยด่วน เดาว่าคงเป็นเจ้านายสูงศักดิ์ที่เจ็บป่วย”“ฮองเฮาทรงไม่สบาย”เซียวเย่หลันนวดหัวคิ้ว“เดิมทีเป็นฮองเฮาที่ทรงป่วย” ซูอวี้เออร์ทำเสียงตกใจ “ทรงพระอาการหนักมากเลยหรือ? พี่สาวถึงกลับบ้านไม่ได้”“เป็นเช่นนั้น”เซียวเย่หลันตอบส่งๆเขาไม่บอกซูอวี้เออร์ทุกอย่าง ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวคำสั่งห้ามของฝ่าบาทหรือสิ่งอื่นใด แต่เป็นเพรา
วันรุ่งขึ้นข่าวที่ฮองเฮาทรงประชวรหนักได้แพร่สะพัดไปทั่ว ราชสำนักถึงกับสั่นสะเทือน หลังจากว่าราชการเสร็จ เหล่าเชื้อพระวงศ์และพระญาติต่างก็มาที่วังเฟิงหลิงเพื่อเยี่ยมเยียนมีเพียงเซียวเย่หลันเท่านั้นที่ไม่อยู่เขาหยิบไวน์ขวดเล็กในวันนั้นจากมือหมอหลวงไปด้วย จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังที่พำนักของท่านหญิงหยวนหลี่จวนกานชินอ๋องยี่สิบห้าปีก่อน กานชินอ๋องล้มเหลวในการแย่งชิงราชบัลลังก์ นับแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ถูกคุมขังอยู่ในจวนอ๋อง และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาชั่วชีวิตเมื่อไม่นานมานี้ ฮ่องเต้ทรงเห็นว่ากานชินอ๋องไร้ทายาทน้อมส่งในวาระสุดท้าย จึงอนุญาตให้เขารับบุตรธิดาของประชาชนมาเป็นบุตรบุญธรรม เพื่อแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่มีเมตตาของโอรสสวรรค์ท่านหญิงหยวนหลี่เป็นแม่นางน้อยที่กานชินอ๋องเลือกให้เป็นบุตรบุญธรรมในตอนแรก คนนอกก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดกานชินอ๋องถึงเลือกบุตรสาวแทนที่จะเป็นบุตรชายแต่หลังจากที่เซียวเย่หลันตรวจสอบที่มาที่ไปของท่านหญิงหยวนหลี่อย่างละเอียด เขาก็เข้าใจว่าทำไมกานชินอ๋องถึงเลือกนางประตูจวนค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าช้าเซียวเย่หลันถือไวน์ขวดเล็กตรงเข้าไปหาท่านหญิงหยวนหลี่ โดยไม่ค