โรคทางจิตเป็นกรรมพันธุ์จริงๆชายคนนี้เหมือนแม่ของเขาไม่มีผิด นึกจะบ้าก็บ้าขึ้นมา!ในขณะที่เซี่ยเชียนฮวันกำลังตื่นตระหนก ไม่รู้จะหนีออกจากสถานการณ์นี้เช่นไร จู่ๆ ก็มีเสียงกงกงดังมาจากด้านนอกห้องข้าง “มิทราบว่าด้านในคือจ้านอ๋องกับพระชายาหรือไม่? ขอเชิญทั้งสองพระองค์ไปยังห้องทรงพระอักษร”“ฝ่าบาททรงเรียกตัวท่าน...” เซี่ยเชียนฮวันหอบหายใจ พลางออกแรงผลักไหล่ชายคนนั้น “เขาคงรู้ว่าท่านได้รับบาดเจ็บ”ตอนที่นางประคองเซียวเย่หลันออกมา ก็มีขันทีหลายคนเห็น และวิ่งไปเรียกหมอหลวงสุดท้ายเซียวเย่หลันก็ปล่อยนางเขาสวมเสื้อผ้าแล้วเปิดประตูโดยไม่พูดสักคำ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเดินออกไปอย่างรวดเร็วเซี่ยเชียนฮวันรีบจัดองค์ทรงเครื่อง และเดินตามหลังเซียวเย่หลันกับขันทีไป จนมาถึงห้องทรงพระอักษรฮ่องเต้กำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือเมื่อได้ยินเสียงคารวะของเซียวเย่หลันกับเซี่ยเชียนฮวัน เขาก็กล่าวโดยไม่กระพริบตาว่า “ไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ของเจ้ามาหรือ?”“พ่ะย่ะค่ะ” เซียวเย่หลันหรี่ตาเล็กน้อยฮ่องเต้เงยหน้าขึ้น แต่ไม่ได้มองไปที่ทั้งสองคน และไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บของลูกชาย แต่กลับใช้ปลายพู่กันชี
“เจ้าไปรอข้าที่ประตูฉางอู่ก่อน เมื่อข้าสนทนากับเสด็จพ่อเสร็จ ข้าจะกลับจวนพร้อมเจ้า”เซียวเย่หลันแสดงสีหน้าปกติเซี่ยเชียนฮวันพยักหน้า “ตกลง”นางโค้งคำนับแล้วจากไปตอนนี้เอง ภายในห้องทรงพระอักษรก็เหลือเพียงสองคนพ่อลูก ฮ่องเต้กับเซียวเย่หลันฮ่องเต้ยกพู่กันขึ้น กล่าวเสียงเรียบ “เด็กคนนั้นเปลี่ยนไปมาก ดูฉลาดมีมารยาท เจ้าควรปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดี อย่ามัวคิดถึงนกกระจิบนกนางแอ่นตลอดทั้งวัน”“พ่ะย่ะค่ะ” เซียวเย่หลันหลุบตาลงได้ยินเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “คราวนี้กลับตอบตกลงอย่างรวดเร็ว ทำไม มีอะไรทำให้เจ้าเปลี่ยนใจ?”“ลูกกำลังเรียนรู้ที่จะยับยั้งชั่งใจ”“เจ้าเนี่ยนะ? คนหัวดื้ออย่างเจ้า ต่อให้ผ่านไปแปดชาติก็ไม่มีทางเรียนรู้ที่จะยับยั้งชั่งใจได้หรอก!” ฮ่องเต้สบประมาทเซียวเย่หลันไม่รู้จะพูดอะไร จึงยืนอย่างเงียบๆ“เจ้ากลับมาเมืองหลวงหลายวันแล้ว แต่ข้ายังไม่ได้เตรียมการสิ่งใดให้เจ้า ตอนนี้เจ้าลองเสนอความคิดของตัวเองออกมาสิ” ฮ่องเต้กล่าวเซียวเย่หลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “ลูกคิดว่าการฝึกทหารเป็นงานที่ดี”ฮ่องเต้โบกมือ “นั่นมันงานของเสี้ยวเว่ยขุนนางขั้น 6 ดีร้ายอย่าง
ด้วยคำแนะนำของเซี่ยเชียนฮวัน คนขับรถม้าจึงชะลอความเร็วจนเกือบจะเท่าคนแก่เดิน ตอนที่มาถึงหน้าจวนอ๋อง ซูอวี้เออร์ก็ถูกตบจนตาเขปากเบี้ยวไปหมดแล้ว“หยุดมือ ช่างน่าอับอายยิ่งนัก!”เซียวเย่หลันยกม่านขึ้น แล้วตวาดเสียงดัง ทำเอาฝูงชนโดยรอบต่างตกใจจนแตกกระเจิงในที่สุดสตรีเหล่านั้นก็หยุดมือแต่ผมเผ้าและเครื่องประดับของพวกนางล้วนพันกันมั่วไปหมด หน้าผากชิดหน้าผาก ร่างชิดร่างจนแทบจะแยกกันไม่ออก สภาพทุลักทุเลเช่นนี้ช่างไม่น่าดูยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอะไรกัน”เซียวเย่หลันลงจากรถม้ามามองพวกนางพลางขมวดคิ้วแน่น“ท่านอ๋อง ข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น แต่ทันทีที่น้ากับลูกพี่ลูกน้องของพระชายาเห็นข้า ก็ปรี่เข้ามาทำร้ายข้าในทันที ข้าไม่อาจพูดกับพวกนางด้วยเหตุผลได้...”ซูอวี้เออร์ผมเผ้าหลุดลุ่ย ใบหน้ามีรอยขีดข่วน นางได้กล่าวร้องทุกข์อย่างคับข้องใจ พยายามวาดภาพตัวเองเป็นเหยื่อน้าเซี่ยได้ฟังก็พูดโพล่งขึ้นมา “นางเท้ากีบน้อย ปากของเจ้าไม่สะอาด ยังมาตำหนิพวกข้า!”“ข้าเพียงมาหาพี่หญิง แต่อนุภรรยาผู้นี้กลับกล้ามาขวางไม่ให้ข้าเข้าไป ทั้งยังกล่าวหาว่าบิดาข้าติดหนี้แม่นางหอเทียนเซียงหลายร้อยตำลึง แล
“ท่านอ๋อง ข้าไม่เคยมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับชายอื่น จะมีชายใดสามารถเข้าจวนจ้านอ๋องได้? นางกำลังพูดเรื่องไร้สาระเพื่อใส่ร้ายข้า ท่านอ๋องโปรดตรองดู!”ซูอวี้เออร์น้ำตาไหลอาบแก้ม ก่อนจะโผเข้ากอดเซียวเย่หลันหลิวหรูซวี่เห็นท่าทางมารยาสาไถของนาง ก็อดขึ้นเสียงในจมูกมิได้ ก่อนพูดเปรยออกมา “ตราบใดที่มีคนในจวนคอยช่วยเหลือ การจะลอบเข้ามาในจวนจ้านอ๋องก็ไม่ใช่เรื่องยาก”เมื่อได้ยินหลิวหรูซวี่พูดเช่นนี้ เซี่ยเชียนฮวันก็สีหน้าเปลี่ยนไปนางนึกถึงเฟิงเยว่ขึ้นมาในทันที!หลังจากเฟิงเยว่โดนไล่ออกจากจวนอันติ้งโหว เขาจึงร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยด้วยความสิ้นหวัง ใช้ชีวิตเยี่ยงคนเร่ร่อน แม้แต่ฝีมือก็ถดถอยลงไปมาก เห็นได้ชัดจากการที่ถูกองค์รักษ์ลับหลินซวี่จับกุมแต่ทำไมเขาถึงหลีกเลี่ยงการลาดตระเวน และมุ่งหน้ามาที่หอหลันเซียงตอนกลางดึกได้?เขาเอาความมั่นใจมาไหนว่าจะสามารถพาพระชายาหลบหนีไปได้?เว้นแต่ว่าจะมีคนในจวนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด!คนที่อยากให้เซี่ยเชียนฮวันหายตัวไปมากที่สุด นอกจากซูอวี้เออร์แล้ว ยังจะมีใครอีก...“หรูซวี่ เจ้าเห็นใบหน้าของชายคนนั้นหรือไม่?”เซี่ยเชียนฮวันจับข้อมือของหลิวหรูซวี่“แน่นอนว่
“กองทหารชื่อเลี่ยน? ไม่ใช่ทหารของอู่อันโหวหรือ”หลี่จิ้งหย่าพยายามอดกลั้น ไม่ให้คลื่นในใจปรากฏออกมาทางสีหน้าองค์ชายรองปวดศีรษะเสียจนต้องยกมือขึ้นนวดขมับ “อู่อันโหวอายุมากแล้ว กองทหารชื่อเลี่ยนในมือเขาต้องส่งมอบให้ผู้อื่นดูแลสักวัน ครานี้ต้องจับตามองว่าจะส่งต่อให้ผู้ใด”ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดจะสานสัมพันธ์กับเซียวเย่หลันเท่าไร ประการแรกเพราะเจ้าหมอนี่นิสัยใจร้อนและตรงไปตรงมา สนทนากับเขาแต่ละทีช่างเหนื่อยใจ อีกประการหนึ่งเพราะกำลังทหารในมือของเซียวเย่หลันมีจำกัด ในราชสำนักยังมีผู้บัญชาการทหารที่มีอำนาจเท่าเขาคิดไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะมอบอำนาจทหารลงมาแบบนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้นสถานการณ์ของเซียวเย่หลันจึงเปลี่ยนไปเป็นตัวการที่สำคัญเหนือแผนที่วางไว้จริงๆ “กองทหารชื่อเลี่ยนเป็นทหารที่อู่อันโหวเลี้ยงไว้ เขาอาจไม่ยอมส่งมอบให้ผู้อื่นเปล่าๆ ” หลี่จิ้งหย่าวิเคราะห์ “พี่ฉงเพคะ ลงไปสืบข้อมูลจากจวนอู่อันโหวดูดีหรือไม่ บางทีอาจพบความเคลื่อนไหว”“อืม เจ้าพูดถูก”องค์ชายรองพยักหน้าเขาครุ่นคิดสักพักจึงกล่าวว่า “ทางด้านของเซี่ยเชียนฮวันก็ต้องคิดหาคนไปจัดการเช่นกัน ดูเหมือนเสด็จพ่อจะวางใจนางมาก หาก
“ทุกคนรู้เพียงว่าหมิงเฟยคือคนที่เสด็จพ่อพาเข้ามาจากนอกพระราชวัง ส่วนตัวตนที่แท้จริงของนางเป็นใคร ล้วนไม่มีผู้ใดรู้”พระชายาองค์รัชทายาทถอนหายใจออกมาเบาๆ เซี่ยเชียนฮวันคิดไม่ถึงว่าตัวตนของหมิงเฟยจะลึกลับเพียงนี้ นางพึมพำว่า “คงไม่ได้ไปแย่งภรรยาของผู้อื่นมาใช่หรือไม่”“เจ้าน่ะ ควรปิดปากแน่นให้เป็นนิสัยไว้คงจะดี”พระชายาองค์รัชทายาทจิ้มไปที่จมูกของเซี่ยเชียนฮวันนางอายุมากกว่าเซี่ยเชียนฮวันหลายปี ทุกครั้งที่เห็นเซี่ยเชียนฮวัน นางก็รู้สึกว่าเหมือนเห็นน้องสาวแสนซุกซนและชาญฉลาด แต่ทำอะไรนางไม่ได้จริงๆ เซี่ยเชียนฮวันเผยอมุมปากยิ้มขึ้น นางหัวเราะแหะๆ “ข้าล้อเล่นเท่านั้น เสด็จพ่อทั้งสูงส่งและเฉลียวฉลาด รูปร่างหล่อเหลา จำต้องไปแย่งมาด้วยหรือ? ยามเขาออกเยี่ยมเยียนประชาชนนอกเครื่องแบบโดยไม่ได้เปิดเผยตัวตน เพียงเดินไปบนถนนก็มีสตรีมากมายอยากแต่งงานกับเขา”“เจ้าเป็นสตรีนะ เหตุใดจึงเอ่ยคำเช่นนี้!” พระชายาองค์รัชทายาทยิ้มแล้วส่ายหน้าขณะนั้นเงาหนึ่งที่ซ่อนกายอยู่ในความมืดกำลังสับสนประโยคนี้ของเซี่ยเชียนฮวัน เขาจะจดไว้ไปทูลต่อฮ่องเต้ตามความจริง หรือข้ามผ่านไปดี?เอาละ ช่างเถิดรายงานไปตา
"เจ้าได้รับจดหมายจากพี่ชายข้ามาฉบับหนึ่งไม่ใช่หรือ เอาออกมาให้ข้าดู" เซี่ยเชียนฮวันยื่นมือออกไปหลินซวี่ตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อชะงักลงชั่วครู่จึงได้นำจดหมายมอบไปให้เซี่ยเชียนฮวันเช้าวันนี้ เซี่ยเหยียนได้สั่งให้คนนำจดหมายลับมาให้ แต่เกือบถูกคนของซูอวี้เออร์รั้งเอาไว้ที่หน้าประตู โชคดีที่เขาปรากฏตัวขึ้นทันเวลา แล้วชี้แจงว่าตนเป็นองครักษ์ลับของพระชายาอ๋อง จึงสามารถนำจดหมายมาได้อย่างราบรื่นเดิมทีหลินซวี่ตั้งใจว่าจะนำจดหมายฉบับนี้ไปให้เซียวเย่หลันดูไม่รู้ว่าเซี่ยเชียนฮวันรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรแม้ว่าหลินซวี่จะมีความจงรักภักดีต่อเซียวเย่หลัน แต่เขาก็ไม่อาจขืนคำสั่งของเซี่ยเชียนฮวันได้ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงนำจดหมายฉบับนั้นออกมาให้เซี่ยเชียนฮวันนางเปิดออกดู เมื่อมองไปยังตัวอักษรพบว่าเป็นลายมือของเซี่ยเหยียนจริง"ยามสวี[footnoteRef:1]ของคืนนี้ ฉางหย่วนป๋อจะเชิญจ้านอ๋องมางานเลี้ยงในหอเทียนเซียงในนามของท่านพ่อ คนในครอบครัวของน้าเซี่ย ไม่เคยคิดดี เจ้าต้องระวังไว้ให้มาก" [1: ยามสวี ช่วงเวลา 1-3 ทุ่ม] เนื้อหาช่างเรียบง่ายเป็นจดหมายรายงานที่เซี่ยเหยียนส่งมาให้นาง"เหอะๆ แต่ละคนชอบ
ในห้องชั้นสามเซียวเย่หลันเพิ่งเดินตรงเข้ามาข้างใน เขาเงยหน้าขึ้นมองพบฉางหย่วนป๋อที่นั่งอยู่ข้างกายอันติ้งโหว เขาเผยอมุมปากยิ้มเล็กน้อยเป็นไปตามที่เขาคิดไว้จริงๆ "คารวะท่านอ๋อง" ทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วโค้งกายคำนับเซียวเย่หลันเดินตรงไปยังตำแหน่งที่นั่งหลัก "เชิญนั่งเถิด"มีชายสี่คนนั่งอยู่ก่อนหน้า นอกจากอันติ้งโหวและฉางหย่วนป๋อแล้ว ก็มีบุตรชายของพวกเขาอีกคนละคนไม่ทันให้อันติ้งโหวที่นั่งทำหน้าเคร่งขรึมเอ่ยปาก ฉางหย่วนป๋อก็ยิ้มขึ้นก่อนว่า "เดิมทีสุราในวันนี้ ข้าต้องการดื่มเพื่อเอ่ยขอโทษจ้านอ๋อง แต่เกรงว่า ท่านอ๋องจะไม่ยินยอมเดินทางมา ดังนั้นจึงได้ใช้ชื่อของสหายในการเชิญชวน ขอท่านอ๋องโปรดให้อภัยเถิด" เขารีบลุกขึ้นยืน แล้วรินสุราให้แก่เซียวเย่หลันสายตาอันเย็นชาของเซียวเย่หลันมองไปที่แก้วสุรานั้น "ข้ารู้ว่าอาหารมื้อนี้ไม่ได้เป็นความคิดริเริ่มมาจากท่านพ่อตา" "หืม?" ฉางหย่วนป๋อชะงักลงเซียวเย่หลันก้มหน้าลงเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา "ห้องที่ท่านเลือกนี้เคยเป็นห้องของอวี้เออร์มาก่อน ท่านพ่อตาคงไม่เชิญขามาดื่มสุราที่ห้องนี้แน่" แม้แต่สุรานี้ก็เคยเป็นสุราที่ซูอวี้เออร์กล