ซูอินสวมชุดเดรสสีขาวที่เธอเป็นคนตัดสินใจเลือกเอง บนชุดนั้นประดับประดาไปด้วยเพชรระยิบระยับสะดุดตาท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตา เธอเป็นดั่งดวงดาวเจิดจรัสส่องแสงประกายอย่างไม่มีข้อกังขา เย่ซือเหยียนมองดูท่าทีของซูอินด้วยสายตาเหยียดหยาม ทันใดนั้น เธอก็เดินเข้ามาพร้อมกับแก้วไวน์ในมือแล้วพูดว่า“อินอิน ยินดีกับเธอด้วยนะ วันนี้เธอสวยมากจริง ๆ น่าเสียดายที่น้องสาวอินอินสวยขนาดนี้ แต่พี่ชายใหญ่กลับมองไม่เห็น”เย่ซือเหยียนตั้งใจพูดแทงใจดำซูอินกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่เห็นเย่ถิงเซินดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่เย่ถิงเซินออกจากวิลล่าตระกูลเย่เมื่อคืน เขาก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลยอันที่จริงซูอินไม่ได้สนใจเย่ถิงเซินมากนัก แต่เธอรู้ว่าเย่ซือเหยียนต้องการจะสื่ออะไร เย่ซือเหยียนกำลังบอกเธอว่า ในใจของเย่ถิงเซิน ซูหรานนั้นสำคัญกว่าเธอแต่ทว่าซูหราน... “พี่ชาย...เขาไปไหนล่ะ?” ซูอินแสร้งทำเป็นสงสัยเย่ซือเหยียนเม้มริมฝีปาก“ใครจะไปรู้ล่ะ ฉันโทรไปเขาก็ไม่รับสาย คงจะมีเรื่องสำคัญอะไรล่ะมั้ง อ้อ ใช่แล้ว เมื่อคืนหลังจากที่เขารับโทรศัพท์แล้วก็ออกไป ฉันได้ยินเขาพูดถึงซูหราน...”เย่ซือเหยียนพูดไปพลางถอนหายใ
ฟู่จิ้นหานกับเย่ถิงเซินพยายามวิ่งตามไป แต่ความเร็วของพวกเขาก็ไม่สามารถสู้ความเร็วของรถได้ เพียงพริบตา ก็มองไม่เห็นเงาของรถอีกต่อไป“มันสมควรตาย!” ฟู่จิ้นหานกัดฟันกรอดพร้อมกับสบถออกมาเซียวหยุนเจินจงใจให้เป็นแบบนี้แน่ ๆ ทันใดนั้น ก็มีเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น เซียวหยุนเจินขับรถวนกลับมาอีกครั้ง เร่งเครื่องอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ขับผ่านหน้าพวกเขาทั้งสองไปอย่างรวดเร็วฟู่จิ้นหานเห็นชัดเจนกับตาว่าเซียวหยุนเจินคลี่ยิ้มมุมปากออกมาอย่างภาคภูมิใจ แต่สิ่งที่เขาเห็นชัดไปยิ่งกว่านั้นก็คือใบหน้าของผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คนขับซูหราน คนคนนั้นคือซูหราน!ฟู่จิ้นหานและเย่ถิงเซินหันมองหน้ากัน ทั้งคู่เข้าใจกันในทันที พวกเขาแยกกันไปขับรถคนละคันเพื่อไล่ตามเซียวหยุนเจินในเวลานี้ เซียวหยุนเจินหลุดผิวปากออกมาด้วยความตื่นเต้นซูหรานมองเห็นรถทั้งสองคันที่กำลังขับไล่ตามมาผ่านกระจกมองหลัง พร้อมกับใจลอยถึงแม้ว่าเมื่อกี้นี้จะแค่ชั่วพริบตา แต่เธอก็สามารถเห็นใบหน้าของสองคนนั้นได้อย่างชัดเจน และรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกหลังจากนั้นสองชั่วโมง รถยนต์ก็หยุดวิ่งและจอดลงเซียวหยุนเจินพาซูหรานมาที่คลับส่วนต
“มานี่สิ...” เซียวหยุนเจินสายตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เขาแทบจะรอไม่ไหวอยากจะจับมือของซูหราน แล้วไปแกว่งมือที่จับกันนั้นต่อหน้าฟู่จิ้นหานและเย่ถิงเซินตัวเขาทั้งหล่อและรวย ส่วนซูหรานก็สวยสง่าราวกับดอกไม้ พวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก ขณะที่เซียวหยุนเจินคิดว่ามือของเธอกำลังจะวางลงบนฝ่ามือของเขา ซูหรานก็ถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วเอื้อมมือไปจับที่ข้อมือของเวินฉิงแทนทันใดนั้น บรรยากาศก็เย็นยะเยือกทั้งสองคนมองดูรอยยิ้มแห้ง ๆ และสีหน้าของเซียวหยุนเจินที่แตกจนหมอไม่รับเย็บ พร้อมกับมือที่ยื่นออกมานั้นก็แข็งทื่อค้างไว้อย่างเก้อเขิน“ฮ่ะ...” สุดท้ายเวินฉิงก็อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมา “คุณหัวเราะอะไร?” เซียวหยุนเจินมองเวินฉิงตาค้อน และมองซูหรานด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังเวินฉิงจับมือของซูหรานอย่างอ่อนโยน พร้อมกับพูดติดตลก“ก็แค่คุณเท่านั้นแหละค่ะ ถ้าเป็นคนอื่นมาปฏิบัติต่อท่านประธานของเราแบบนี้ล่ะก็ คน ๆ นั้นถ้าไม่ตายก็คงจะถูกถลกหนังออกอย่างแน่นอน ยังดีนะคะที่เป็นคุณ เพราะเขาไม่มีวันโกรธคุณหรอกค่ะ”เมื่อเป็นแบบนี้ เดิมทีเซียวหยุนเจินที่ไม่มีท่าทีที่จะโกรธจริง
พ่อบ้านสังเกตเห็นว่าเธอดูไม่ค่อยพอใจ จึงรีบอธิบาย“คุณหนูอินอิน คุณอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ ช่วงนี้อาการป่วยของคุณท่านกำเริบบ่อย สมองของท่านนับวันก็ยิ่งจำสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ คุณท่านชอบลืมเรื่องที่คุณหนูหรานหรานได้ออกจากบ้านนี้ไปแล้ว”ซูอินเพิ่งรู้ตัวว่าเธอได้เผลอแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาแล้ว ทันใดนั้นเธอก็กลับมาแสร้งยิ้มทำเป็นไร้เดียงสาและไม่มีพิษมีภัยตามเดิม “ฉันรู้ค่ะ คุณปู่จะคิดถึงพี่หรานหรานบ้าง นั่นมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ฉันเองก็หวังให้พี่หรานหรานสามารถกลับมาหาคุณปู่ได้เหมือนกัน แต่ว่า...”ซูอินแสร้งถอนหายใจคนอื่นฟังแล้ว ก็คงรู้สึกว่าซูหรานนั้นช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลยพ่อบ้านเฒ่าก็ถอนหายใจออกมา และมองดูคุณปู่เย่อย่างเวทนาในเวลานี้คุณปู่เย่ยังคงคิดถึงแต่ซูหราน ทันใดนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงได้ถามพ่อบ้านออกไป “ถิงเซินล่ะ? ให้เขาโทรหาหรานหราน แล้วบอกเธอว่า ที่บ้านทำอาหารโปรดของเธอไว้เต็มเลย ให้หรานหรานกลับมากินข้าวที่บ้านด้วย ไม่สิ ให้ถิงเซินบอกหรานหรานไปตรง ๆ เลยว่า ฉันคิดถึงเธอแล้ว ให้เธอมาหาคนแก่คนนี้หน่อย”“คุณท่านครับ...”พ่อบ้านนึกถึงสิ่
ร่างกายไม่เคยลืม...ด้วยระยะห่างของทั้งคู่ที่อยู่ใกล้กันมากขนาดนี้ ซูหรานเลยอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่เด็กไม่ควรคิด ความร้อนในตัวของเธอพุ่งสูงขึ้น ซูหรานคิดจะเอาตัวเองออกห่างจากผู้ชายคนนี้โดยอัตโนมัติแต่ทว่ามือของเขาดันล็อกท้ายทอยของเธอเอาไว้ เธอจึงทำได้แค่เงยหน้าขึ้น จากนั้นไม่นานหน้าผากของเธอก็ไปแตะโดนที่ริมฝีปากของเขาทันใดนั้น ไม่เพียงแต่ซูหรานเท่านั้น ฟู่จิ้นหานเองก็ตะลึงงันไปพักหนึ่ง ซูหรานรู้สึกว่าใบหน้าของเธอนั้นร้อนขึ้นเธอค่อย ๆ ขยับหน้าผากของเธอลง แล้วโน้มตัวลงไปซบบนหน้าอกของเขาอีกครั้ง ในตอนนี้รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาทั้งสองคนต่างก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ ซูหรานพยายามคิดหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากเขา เพื่อให้หลุดจากสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงตอนนี้ ทันใดนั้น เธอก็คิดอะไรบางอย่างออก และถามขึ้นมาทันทีว่า “พวกเรา...รู้จักกันได้ยังไงเหรอคะ?”บุคลิกลักษณะของผู้ชายคนนี้ดูไม่ได้ด้อยไปกว่าเซียวหยุนเจินเลย ไม่แน่ว่าสถานะหรือตัวตนของเขาก็คงจะไม่ธรรมดาด้วยเช่นกันแต่จากความเข้าใจของเธอในตอนนี้ เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนน่าจะไม่ได้มีอะไรข้องเกี่ยวกันมากอยู่แล้ว
คืนนั้น ซูหรานกลับไปที่เจินหลินย่วนความรู้สึกปลอดภัยที่เกิดจากความคุ้นเคยของห้อง ทำให้เธอผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วแต่พอตกกลางดึก เธอกลับถูกความรู้สึกร้อนผ่าวปลุกให้ตื่นทันทีที่เธอได้สติ เธอก็สัมผัสได้ถึงแขนยาว ๆ ที่กำลังพันรอบเอวเธอเอาไว้อยู่ แทบจะในทันที ซูหรานลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจโดยไม่รู้ตัวเมื่อเปิดโคมไฟตรงหัวเตียง เธอก็เห็นว่ามีชายคนหนึ่งนอนอยู่ข้างเธอ อีกนิดเดียวซูหรานก็เกือบจะใช้เท้าถีบเขาออกจากเตียงแล้วแต่ทันทีที่เธอยกเท้าขึ้น ฟู่จิ้นหานก็ลืมตาขึ้นด้วยความสับสนพอเขาเห็นสีหน้าตกตะลึงของเธอ ฟู่จิ้นหานก็วางมือของเขาไว้บนเอวของเธอ แล้วตบท้องเธอเบา ๆ “ทำไมถึงตื่นแล้วล่ะ? ฝันร้ายเหรอ?”การคาดเดานี้ ทำให้ฟู่จิ้นหานมีสติขึ้นมาบ้างแล้วขณะที่เขากำลังจะปลอบโยนความสิ้นหวังและความกลัวของเธอหลังจากฝันร้าย เขาก็กลับได้ยินเธอพูดขึ้นว่า “ทำไมคุณถึงมานอนอยู่ที่นี่?”ฟู่จิ้นหานตื่นขึ้นมามีสติอย่างสมบูรณ์ และตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นคนแอบเข้ามา แววตาของเขาก็เริ่มแสดงความรู้สึกผิดแต่ระหว่างพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากันอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?“เราสองคนเป็นสามีภรรยากัน คุณนอนที่ไหน ผมก็นอนที่
เย่ซือเหยียนเป็นคนฉลาด หากเธอเผยความฉลาดออกมา คนอย่างซูอินไม่มีทางตามเธอทันแน่นอนปฏิกิริยาที่ซูอินแสดงออกมา มันได้บอกทุกอย่างกับเย่ซือเหยียนหมดแล้ว อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้นสองครั้งนี้ เธอจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอนแต่เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังความจริงจากปากซูอิน หากเธอต้องการความจริง แค่สั่งให้คนไปตรวจสอบ เธอก็จะได้คำตอบที่เธอต้องการแล้วตอนนี้ทั้งสองถือว่ามีศัตรูคนเดียวกันคือซูหราน หากเธอต้องการที่จะจัดการกับซูหราน สายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลเย่อย่างซูอิน ก็ถือว่าเป็นมีดเล่มงามเลยทีเดียว ดังนั้นเพียงชั่วครู่ของการเผชิญหน้าในการทดสอบอีกฝ่าย เย่ซือเหยียนจึงรีบปรับท่าทีของตัวเองให้อ่อนลงทันที “ฉันเองก็ได้ยินมาอีกที หรานหรานประสบอุบัติเหตุ เราในฐานะพี่น้อง ก็ต้องเป็นห่วงกันบ้างเป็นธรรมดา จริงไหม?”“แน่นอนสิคะ ถูกต้องแล้วที่เราจะเป็นห่วง” ซูอินแอบมีรู้สึกผิดนิดหน่อย เธอกลัวว่าเย่ซือเหยียนจะตรวจสอบอุบัติเหตุครั้งนี้แม้ว่าเย่ซือเหยียนจะพบจุดเชื่อมโยงระหว่างเธอกับอุบัติเหตุ เธอก็ได้เตรียมเหตุผลแก้ต่างเอาไว้ก่อนแล้วแต่หากสามารถลดปัญหาลงได้ก็จะเป็นเรื่องดีกว่าแต่หลังจากนั้น เธ
เธอยืนอ้อยอิ่งอยู่หน้าอาคารเป็นเวลานาน ลังเลว่าจะขึ้นไปดีไหม“หรานหราน?”ทันใดนั้นก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น ซูหรานจึงหันมองไปตามเสียงทันที และสบกับดวงตาที่ดู “เป็นมิตร” คู่หนึ่งไม่ว่ายังไงเย่ซือเหยียนก็คิดไม่ออก ว่าทำไมซูหรานถึงยังมาที่นี่อยู่อีกตั้งแต่วันนั้นที่โรงพยาบาล หลังจากที่ซูหรานยื่นคำขาดว่าจะตัดขาดกับตระกูลเย่ เธอก็ไม่ได้มาเหยียบที่นี่อีกเลย แล้วทำไมวันนี้เธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?เย่ซือเหยียนเดินเข้าไปหาเธอด้วยความสงสัย “หรานหราน เธอมาที่นี่มีธุระอะไรรึเปล่า?”แม้ว่าซูหรานจะจำผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอจะเคยรู้จักกันมีความสัมพันธ์กันแบบไหน......ซูหรานเผยรอยยิ้มออกมา พร้อมกับพยักหน้าให้เธอเป็นการทักทาย แต่กลับไม่ได้ตอบคำถามของเย่ซือเหยียนเพราะแม้แต่ตัวของซูหรานเองก็ยังไม่รู้ ว่าตัวเองมาที่นี่ทำไมการตอบสนองแบบนี้ ถึงกับทำให้เย่ซือเหยียนต้องตกตะลึง“ดูฉันสิ เธอมาถึงที่นี่ได้ แน่นอนว่าต้องมีธุระอยู่แล้ว ไปเถอะ พวกเราขึ้นไปด้วยกัน” เย่ซือเหยียนจูงมือซูหรานด้วยท่าทีที่ดูสนิทสนม ราวกับเป็นพี่น้องที่แสนดีซูหรานที่เดิมทีลังเลว่าจะขึ้นไปดีไหม สุดท้ายเธอก