คืนนั้น ซูหรานกลับไปที่เจินหลินย่วนความรู้สึกปลอดภัยที่เกิดจากความคุ้นเคยของห้อง ทำให้เธอผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วแต่พอตกกลางดึก เธอกลับถูกความรู้สึกร้อนผ่าวปลุกให้ตื่นทันทีที่เธอได้สติ เธอก็สัมผัสได้ถึงแขนยาว ๆ ที่กำลังพันรอบเอวเธอเอาไว้อยู่ แทบจะในทันที ซูหรานลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจโดยไม่รู้ตัวเมื่อเปิดโคมไฟตรงหัวเตียง เธอก็เห็นว่ามีชายคนหนึ่งนอนอยู่ข้างเธอ อีกนิดเดียวซูหรานก็เกือบจะใช้เท้าถีบเขาออกจากเตียงแล้วแต่ทันทีที่เธอยกเท้าขึ้น ฟู่จิ้นหานก็ลืมตาขึ้นด้วยความสับสนพอเขาเห็นสีหน้าตกตะลึงของเธอ ฟู่จิ้นหานก็วางมือของเขาไว้บนเอวของเธอ แล้วตบท้องเธอเบา ๆ “ทำไมถึงตื่นแล้วล่ะ? ฝันร้ายเหรอ?”การคาดเดานี้ ทำให้ฟู่จิ้นหานมีสติขึ้นมาบ้างแล้วขณะที่เขากำลังจะปลอบโยนความสิ้นหวังและความกลัวของเธอหลังจากฝันร้าย เขาก็กลับได้ยินเธอพูดขึ้นว่า “ทำไมคุณถึงมานอนอยู่ที่นี่?”ฟู่จิ้นหานตื่นขึ้นมามีสติอย่างสมบูรณ์ และตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นคนแอบเข้ามา แววตาของเขาก็เริ่มแสดงความรู้สึกผิดแต่ระหว่างพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากันอยู่แล้วไม่ใช่รึไง?“เราสองคนเป็นสามีภรรยากัน คุณนอนที่ไหน ผมก็นอนที่
เย่ซือเหยียนเป็นคนฉลาด หากเธอเผยความฉลาดออกมา คนอย่างซูอินไม่มีทางตามเธอทันแน่นอนปฏิกิริยาที่ซูอินแสดงออกมา มันได้บอกทุกอย่างกับเย่ซือเหยียนหมดแล้ว อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้นสองครั้งนี้ เธอจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอนแต่เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังความจริงจากปากซูอิน หากเธอต้องการความจริง แค่สั่งให้คนไปตรวจสอบ เธอก็จะได้คำตอบที่เธอต้องการแล้วตอนนี้ทั้งสองถือว่ามีศัตรูคนเดียวกันคือซูหราน หากเธอต้องการที่จะจัดการกับซูหราน สายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลเย่อย่างซูอิน ก็ถือว่าเป็นมีดเล่มงามเลยทีเดียว ดังนั้นเพียงชั่วครู่ของการเผชิญหน้าในการทดสอบอีกฝ่าย เย่ซือเหยียนจึงรีบปรับท่าทีของตัวเองให้อ่อนลงทันที “ฉันเองก็ได้ยินมาอีกที หรานหรานประสบอุบัติเหตุ เราในฐานะพี่น้อง ก็ต้องเป็นห่วงกันบ้างเป็นธรรมดา จริงไหม?”“แน่นอนสิคะ ถูกต้องแล้วที่เราจะเป็นห่วง” ซูอินแอบมีรู้สึกผิดนิดหน่อย เธอกลัวว่าเย่ซือเหยียนจะตรวจสอบอุบัติเหตุครั้งนี้แม้ว่าเย่ซือเหยียนจะพบจุดเชื่อมโยงระหว่างเธอกับอุบัติเหตุ เธอก็ได้เตรียมเหตุผลแก้ต่างเอาไว้ก่อนแล้วแต่หากสามารถลดปัญหาลงได้ก็จะเป็นเรื่องดีกว่าแต่หลังจากนั้น เธ
เธอยืนอ้อยอิ่งอยู่หน้าอาคารเป็นเวลานาน ลังเลว่าจะขึ้นไปดีไหม“หรานหราน?”ทันใดนั้นก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น ซูหรานจึงหันมองไปตามเสียงทันที และสบกับดวงตาที่ดู “เป็นมิตร” คู่หนึ่งไม่ว่ายังไงเย่ซือเหยียนก็คิดไม่ออก ว่าทำไมซูหรานถึงยังมาที่นี่อยู่อีกตั้งแต่วันนั้นที่โรงพยาบาล หลังจากที่ซูหรานยื่นคำขาดว่าจะตัดขาดกับตระกูลเย่ เธอก็ไม่ได้มาเหยียบที่นี่อีกเลย แล้วทำไมวันนี้เธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?เย่ซือเหยียนเดินเข้าไปหาเธอด้วยความสงสัย “หรานหราน เธอมาที่นี่มีธุระอะไรรึเปล่า?”แม้ว่าซูหรานจะจำผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอจะเคยรู้จักกันมีความสัมพันธ์กันแบบไหน......ซูหรานเผยรอยยิ้มออกมา พร้อมกับพยักหน้าให้เธอเป็นการทักทาย แต่กลับไม่ได้ตอบคำถามของเย่ซือเหยียนเพราะแม้แต่ตัวของซูหรานเองก็ยังไม่รู้ ว่าตัวเองมาที่นี่ทำไมการตอบสนองแบบนี้ ถึงกับทำให้เย่ซือเหยียนต้องตกตะลึง“ดูฉันสิ เธอมาถึงที่นี่ได้ แน่นอนว่าต้องมีธุระอยู่แล้ว ไปเถอะ พวกเราขึ้นไปด้วยกัน” เย่ซือเหยียนจูงมือซูหรานด้วยท่าทีที่ดูสนิทสนม ราวกับเป็นพี่น้องที่แสนดีซูหรานที่เดิมทีลังเลว่าจะขึ้นไปดีไหม สุดท้ายเธอก
ซูหรานต้องการแก้ไขข้อเท็จจริง แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดจนจบ หลิวซวงซวงก็ขัดจังหวะเธอเสียก่อน“ฮึ คุณซูคะ คุณคงจะไม่กลับผิดเป็นถูก แล้วบอกว่าฉันเป็นคนทำน้ำร้อนลวกมือคุณหรอกใช่ไหมคะ?”ซูหรานอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะออกมา “หรือจะบอกว่าไม่ใช่?”“ไม่ใช่ แน่นอนว่าไม่ใช่ ทุกคนเองก็อยู่ด้วยพอดี พวกเรามาพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า”หลิวซวงซวงเต็มไปด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง ท่าทีเหมือนต้องการเค้นความจริงออกมาให้ได้ “ฉันเพิ่งเติมน้ำมาจากห้องน้ำชา พอฉันเห็นคุณซูหราน ฉันก็เลยอยากที่จะขอโทษ เรื่องที่ฉันเคยแอบนินทาเธอลับหลัง เป็นฉันเองที่ผิด แต่ต่อให้คุณจะไม่รับคำขอโทษ คุณก็ไม่ควรจนใจผลักฉันแบบนั้น เพราะคุณผลักฉัน น้ำถึงได้กระฉอกไปโดนมือของคุณ......” ที่เธอต้องการจะสื่อก็คือ ที่มือของซูหรานโดนลวก ก็เป็นเพราะตัวเธอเองทั้งนั้นความสามารถในการกลับดำเป็นขาวนี้ ทำให้ซูหรานประหลาดใจมากจริง ๆชั่วครู่หนึ่ง ทุกคนต่างก็มองซูหรานด้วยท่าทางแปลก ๆ ราวกับว่าพวกเขาเชื่อในสิ่งที่หลิวซวงซวงพูด และมองว่าเธอเป็นเหมือนตัวร้ายที่ต้องการแก้แค้นแต่น่าเสียดาย ทำเองก็ต้องได้รับผลกรรมเองจำเป็นต้องตอบโต้ด้วยงั้นเหร
เดิมซูหรานคิดว่าจะต้องมีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้นแน่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกำลังจะเข้าใกล้เธอ ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น:“หยุดนะ!”ซูหรานมองไปตามเสียง และจำผู้หญิงที่เพิ่งพาเธอขึ้นมาบนตึกได้คนก่อนหน้านี้ที่มาเรียกเธอไปนั้น เรียกแทนตัวของเธอว่า “คุณหนูใหญ่”เย่ซือเหยียนเดินตรงมา แล้วเหลือบมองผู้รักษาความปลอดภัยด้วยความไม่พอใจ จากนั้นพวกเขาก็ถอยไปด้วยความกลัวทันทีแต่เมื่อหลิวซวงซวงเห็นว่าแบล็คใหญ่ของเธอกำลังเดินมา เธอกลับยิ่งมั่นใจมากขึ้น “คุณหนูใหญ่คะ ซูหรานทำร้ายคนอื่น ฉัน......ฉันลุกขึ้นไม่ไหว ฉัน......”“ถ้าลุกไม่ได้ ก็นอนลงไปซะ”จู่ ๆ เย่ซือเหยียนก็ขัดจังหวะเธอหลิวซวงซวงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าเธอยังแสดงออกไม่ชัดเจนมากพอ จึงพูดต่อว่า “คุณหนูใหญ่คะ ซูหรานเธอตั้งใจจะสร้างเรื่องก่อกวน......”“หุบปาก!” เย่ซือเหยียนพูดขึ้นอีกครั้งคราวนี้ เธอมองหลิวซวงซวงอย่างเย็นชา และในที่สุดหลิวซวงซวงก็สงบลงแต่ในมุมมองของหลิวซวงซวง เย่ซือเหยียนจะต้องมาสร้างปัญหาให้ซูหรานอยู่แล้วแน่นอนเธอจึงตั้งตารอชมการแสดงดี ๆแต่ขณะที่เย่ซือเหยียนมองไปทางซูหราน
“เกิดอะไรขึ้น?”สีหน้าของฟู่จิ้นหานดูมืดมนขึ้นเรื่อย ๆ ทันทีที่เขาสัมผัสมือของซูหราน ก็ทำให้ซูหรานต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด“โอ้ย......”เจ็บ มันเจ็บปวดมาจริง ๆ เมื่อกี้เองก็เจ็บ แต่ความเจ็บปวดเมื่อกี้เธอพยายามอดทนเอาไว้ทันทีที่ชายคนนี้มาถึง เธอก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปแล้วซูหรานเงยหน้าขึ้นมองเขา เขาจ้องมองมือของเธอ เหมือนจะจรงจังกับการจดจ่อนี้มาก ซูหรานหัวใจเต้นแรง จังหวะการเต้อนของหัวใจเริ่มจะเละเทะมากขึ้นเรื่อย ๆฟู่จิ้นหานไม่รู้ว่าซูหรานกำลังคิดอะไรอยู่ ได้แต่มองดูเธอขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด สายตากวาดมองดูคนที่อยู่รอบ ๆ“นี่......นี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดค่ะ”เย่ซือเหยียนไม่กล้าเรียกเขาว่าคุณชายสามฟู่ไม่ว่ายังไงเธอก็คิดไม่ออก ว่าฟู่จิ้นหานจะมาที่นี่แต่ฟู่จิ้นหานกลับไม่ได้สนใจเย่ซือเหยียนเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขามืดมน เขาไม่ได้สร้างความลำบากใจให้ในทันที แต่เขากลับกดโทรศัพท์โทรออกแทน หลังจากคุยโทรศัพท์ได้เพียงแค่สองสามประโยค เขาก็วางสายไป สีหน้าของเขายังคงเฉียบคมบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่น่าสะพรึงกลัวทุกคนต่างก็พยายามคาดเดาถึงตัวตนของคนผู้นี้อยู่หล
ในความเป็นจริง การตบสองครั้งที่ซูหรานตบเธอนั้นดูหนักหน่วงก็จริง แต่มันแค่ทำให้แก้มเธอมีรอยแดงเท่านั้น แทบไม่มีร่องรอยของอาการบาดเจ็บสาหัสเลยแม้แต่น้อยส่วนตอนที่เธอถูกทุ่มลงพื้น มันก็เป็นแค่ความรู้สึกเจ็บชั่วขณะเท่านั้น ไม่นานความเจ็บก็ค่อย ๆ คลายลง การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแทบไม่มีความเชื่อมโยงกับคำว่า “ได้รับบาดเจ็บ” เลยด้วยซ้ำ แต่ความเจ็บในตอนนั้นก็ถือว่าเธอเจ็บจริง ๆซูหรานลดสายตาลง พร้อมกับยกมุมปากขึ้นยิ้มความหวังใหม่ของหลิวซวงซวงก็สิ้นสุดลงอย่างกะทันหัน ความตื่นตระหนกแวบขึ้นมาในแววตาของเธอ จนทำให้เธอต้องมองไปทางเย่ซือเหยียนโดยไม่รู้ตัวแต่เธอก็ถูกเย่ซือเหยียนตัดหางไปนานแล้วกระทั่งกลัวว่าเธอจะลากตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วย เย่ซือเหยียนจึงได้ขู่ขึ้นว่า: “หลิวซวงซวง ทุกสิ่งที่เธอทำในวันนี้ เย่ซือกรุ๊ปหมดความอดทนกับเธอแล้วจริง ๆ เธอไปกับตำรวจและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เพื่อจัดการเรื่องนี้ซะเถอะ”เธอจงใจเอ่ยนามของเย่ซือกรุ๊ปขึ้นมา ก็เพื่อต้องการบอกกับหลิวซวงซวง ว่าหากหลิวซวงซวงปากโป้งบอกสิ่งที่เธอสั่งให้ทำกับคนอื่นได้รู้ เธอจะไม่มีวันปล่อยเธอไปแน่หลิวซวงซวงเหมือนตายท
“คุณหนูใหญ่เย่!”เซียวหยุนเจินลดสายตาลง แม้แต่เปลือกตายังขี้เกียจเกินกว่าจะยกขึ้น เขาไม่สนใจที่จะมองเย่ซือเหยียนอีกเสียด้วยซ้ำเย่ซือเหยียนรู้สึกอับอาย แต่เธอก็กลับไม่กล้าที่จะพูดมากไปกว่านี้เธอพยายามรักษาร้อยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่เพราะคำพูดถัดมาของเซียวหยุนเจิน กลับทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอพังทลายลงอย่างสมบูรณ์“อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะ ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ คุณมีความรู้สึกให้กับฟู่จิ้นหาน แต่ผมขอเตือนคุณนะ ว่าอย่าใช้ความรู้สึกส่วนตัวของคุณมาทำร้ายซูหราน”เซียวหยุนเจินเป็นผู้นำรุ่นปัจจุบันของหลิงอวิ๋นกรุ๊ปแม้ว่าลุงของเขาจะยังเป็นผู้นำของตระกูลอยู่ แต่ความสามารถของเขาก็ได้รับการยอมรับจากคนในตระกูลและลุงของเขาแล้วเช่นกันตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของหลิงอวิ๋นกรุ๊ปนั้นต่างจากตระกูลร่ำรวยอื่น ๆ ตระกูลอื่น ๆ การแย่งชิงอำนาจถือเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับตระกูลเซียว แต่ไหนแต่ไรก็เป็นตระกูลที่อยู่บนพื้นฐานของความสามัคคีจริงอยู่ที่ตระกูลเซียวไม่เคยมีการวางกลอุบายใส่คนในตระกูลด้วยกันเอง แต่ก็ใช่ว่าเซียวหยุนเจินจะมองกลอุบายเหล่านี้ไม่ออกตั้งแต่ที่เย่ซือเหยียนทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อซ