“คุณหนูใหญ่เย่!”เซียวหยุนเจินลดสายตาลง แม้แต่เปลือกตายังขี้เกียจเกินกว่าจะยกขึ้น เขาไม่สนใจที่จะมองเย่ซือเหยียนอีกเสียด้วยซ้ำเย่ซือเหยียนรู้สึกอับอาย แต่เธอก็กลับไม่กล้าที่จะพูดมากไปกว่านี้เธอพยายามรักษาร้อยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่เพราะคำพูดถัดมาของเซียวหยุนเจิน กลับทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอพังทลายลงอย่างสมบูรณ์“อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะ ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ คุณมีความรู้สึกให้กับฟู่จิ้นหาน แต่ผมขอเตือนคุณนะ ว่าอย่าใช้ความรู้สึกส่วนตัวของคุณมาทำร้ายซูหราน”เซียวหยุนเจินเป็นผู้นำรุ่นปัจจุบันของหลิงอวิ๋นกรุ๊ปแม้ว่าลุงของเขาจะยังเป็นผู้นำของตระกูลอยู่ แต่ความสามารถของเขาก็ได้รับการยอมรับจากคนในตระกูลและลุงของเขาแล้วเช่นกันตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของหลิงอวิ๋นกรุ๊ปนั้นต่างจากตระกูลร่ำรวยอื่น ๆ ตระกูลอื่น ๆ การแย่งชิงอำนาจถือเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับตระกูลเซียว แต่ไหนแต่ไรก็เป็นตระกูลที่อยู่บนพื้นฐานของความสามัคคีจริงอยู่ที่ตระกูลเซียวไม่เคยมีการวางกลอุบายใส่คนในตระกูลด้วยกันเอง แต่ก็ใช่ว่าเซียวหยุนเจินจะมองกลอุบายเหล่านี้ไม่ออกตั้งแต่ที่เย่ซือเหยียนทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อซ
ผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบงั้นเหรอ?ซูอินกล้าพูดออกมาจริง ๆ!เย่ซือเหยียนหัวเราะเยาะในใจ สีหน้าของทุกคนเองก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปด้วยหากวันนี้ซูหรานไม่ได้มาที่บริษัท พวกเขาก็อาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อกี้ซูหรานเพิ่งจะมา แถมยังมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นอีก ชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้สถานการณ์เป็นมายังไงกันแน่ดังนั้น ทุกคนจึงหันไปมองเย่ซือเหยียนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายซูอินเองก็มองไปทางเย่ซือเหยียนด้วยเช่นกันรอการตอบรับของเธอซูอินยิ้ม เธอมีความมั่นใจอยู่แล้วเก้าสิบเปอร์เซ็น ในเมื่อเย่ซือเหยียนพูดเองว่าให้เธอเป็นคนเลือกเธอก็เลือกแล้วตามที่เย่ซือเหยียนบอกให้เลือก เธอจึงไม่มีทางที่จะปฏิเสธแน่นอน“แน่นอน ได้สิ”เป็นอย่างที่คิด เย่ซือเหยียนตอบรับคำขอจริง ๆ ซูอินรู้สึกมีความสุข แต่ความสุขของเธอกลับอยู่ได้ไม่นาน เสียงของเย่ซือเหยียนดังขึ้นอีกครั้งทันที:“แต่ว่า......”ซูอินขมวดคิ้ว “แต่ว่าอะไร?”เย่ซือเหยียนจับมือซูอิน ใบหน้าของเธอดูเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่ก็กลับยังคงมีรอยยิ้มอยู่ ท่าทีราวกับว่าเธอรู้สึกลำบากใจมากหลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเย่ซือเหยียนก็พ
ฟู่จิ้นหานพยายามใช้ความอดทน และอธิบายออกมาอย่างละเอียดเขาเตือนเธอซ้ำแล้วซ้ำอีก: “ไม่ว่าจะเป็นซูอินคนนั้น หรือว่าจะเป็นเย่ซือเหยียน ต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร ต่อไปถ้าเห็นพวกเธอ ก็ให้อยู่ห่าง ๆ พวกเธอเอาไว้ ถ้าไม่สามารถหลบได้จริง ๆ ก็ให้รีบโทรหาผมทันที! คุณเข้าใจไหม?”ท่าทีของฟู่จิ้นหานดูจริงจังมาก ต้องรอจนกว่าซูหรานจะพยักหน้า “เข้าใจแล้ว” เท่านั้น เขาถึงจะวางใจพอนึกถึงความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในบริษัทอัญมณีตระกูลเย่ที่เธอต้องทนแบกรับ ฟู่จิ้นหานก็กลับคิดว่า แค่คำว่า “เข้าใจแล้ว” ของเธอ ยังไม่เพียงพอที่จะให้เขาสบายใจได้อยู่ดีหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็ได้ทำการตัดสินใจ: “ดูเหมือนว่าต่อไปผมคนต้องจัดบอดี้การ์ดเอาไว้ให้คุณด้วยแล้วล่ะ”ซูหรานตกใจเล็กน้อย “......”นี่มันครอบครัวแบบไหนกันเนี่ย มีบอดี้การ์ดด้วยงั้นเหรอ?พอซูหรานนึกถึงเรื่องวันนี้ที่บริษัทอัญมณีตระกูลเย่ ทีมแพทย์ที่แห่กันมาเป็นขโยงเหล่านั้น จนถึงตอนนี้มันยังทำให้เธอรู้สึกตกใจอยู่เลยทีมแพทย์เหล่านั้นต่างก็มาจากโรงพยาบาลซินเหอแค่เขาโทรกริ๊งเดียว ก็สามารถทำให้เกิดฉากใหญ่ขนาดนั้นขึ้นได้ สามีคนนี้ของเธอ ตกลงแล้วเขาเป็นใครกันแน
การ “เป็นลม” นี้ของซูหรานเกิดขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ซึ่งทำให้ชายทั้งสองตื่นตระหนกทันทีที่ทั้งสองวางความขัดแย้งลง ฟู่จิ้นหานก็อุ้มซูหรานกลับไปที่เตียงผู้ป่วย จากนั้นเขาก็เรียกทั้งหมอและพยาบาลให้มาตรวจเช็ค และพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เขากลับยังคงไม่เชื่อ“เจอกับแรงกดดันที่มากเกินไป จนทำให้เป็นลม นั่นถือเป็นเรื่องปกติค่ะ”พยาบาลพูดเสียงเบา พยาบาลคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เอายามาให้เมื่อกี้ แต่เพราะเธอถูกบรรยากาศในห้องทำให้ตกใจ จึงต้องถอยกลับไปก่อนคนนั้นบรรยากาศแบบเมื่อกี้ ไม่ “เป็นลม” สิน่ะสิแปลกพยาบาลเหลือบมองผู้หญิงที่อยู่บนเตียง ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอแค่แกล้งเป็นลม แต่ดีที่หมอไม่ได้เปิดเผยความจริงของคุณซูคนนี้ออกไป แล้วก็ช่วยเธอไว้พอดีด้วยเช่นกันก่อนที่พยาบาลจะเดินออกไป เธอพยายามระงับความกลัวที่มีต่อชายสองคนนี้เอาไว้ตามสัญชาตญาณ แล้วพูดขึ้นว่า “ทางที่ดีก็อย่าให้มีคนอยู่ในห้องมากเกินไป เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อการพักผ่อนของคนไข้ได้ ออกไปกันก่อนเถอะค่ะ”เมื่อสิ้นคำพูด บรรยากาศก็เงียบจนได้ยินกระทั่งเสียงเข็มหมุดตกแม้แต่หมอที่เดินมาด้วยกันยังรู้สึกประหม่าขึ้นมานิดหน่อยกล้าดีนี่
แค่ต้องรอเวลาเท่านั้นทั้งสองสบตากัน โดยที่ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษแต่ในใจกลับยอมรับการร่วมมือกับอีกฝ่ายไปแล้วโดยปริยายซูหรานแค่โดนน้ำร้อนลวกมือ ฟู่จิ้นหานก็กลับทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต ไม่ยอมให้เธอออกจากโรงพยาบาลซูหรานประท้วง: “ก็แค่มือโดนลวกเอง ทำตามคำแนะนำของหมอ แล้วก็กลับมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ตามนัดหมาย ไม่จำเป็นต้องค้างที่โรงพยาบาลก็ได้......หรอกมั้ง?”เห็นได้ชัดว่ามันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ภายใต้การจ้องมองของฟู่จิ้นหาน ซูหรานกลับค่อย ๆ สูญเสียความมั่นใจลงเมื่อพูดมาถึงตอนท้ายท่าทีของฟู่จิ้นหานดูจริงจัง:“แค่โดนน้ำร้อนลวกที่ไหน? แผลพุพองบนหลังมือใหญ่ซะขนาดนั้น เกิดว่ามันทิ้งรอยแผลเป็นขึ้นมาจะทำยังไง?”“แล้วเกิดว่ามันมีอาการปวดตามมาล่ะ จะทำยังไง?”“เกิดว่ามันโดนน้ำ จนทำให้แผลมันแย่กว่าเดิม สุดท้ายติดเชื้อ......”“เกิดว่า......”“ได้ ๆ ๆ ฉันพักแล้ว ฉันพักที่โรงพยาบาลแล้ว โอเคไหม?” ซูหรานขัดจังหวะเขาอย่างช่วยไม่ได้หากปล่อยให้เขาพูดต่อ เธอคงต้องตัดแขนขา แล้วจบชีวิตน้อย ๆ ของเธอไปแล้วซูหรานอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบนฟู่จิ้นหานลูบหัวเธอไปมาด้วยความเอ็นดู: “เก่งมาก”ซูหราน “....
ซื่อสัตย์ต่อกัน ได้รับการยอมรับทางกฎหมาย......ในตอนที่ฟู่จิ้นหานพูดประโยคเหล่านี้ออกมา ท่าทีของเขานั้น ดูเป็นความมุ่งมั่นที่มาพร้อมกับความมั่นใจเย่ถิงเซินไม่เคยเห็นท่าทีแบบนี้ของเขามาก่อน เขาค่อนข้างรู้จักตัวตนของฟู่จิ้นหานดี เขาเป็นคนที่เย่อหยิ่ง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยสนใจเรื่องที่ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าผู้อื่นต่อให้จะเป็นตอนที่เขาได้รับตำแหน่งผู้นำฟู่ซือกรุ๊ปก็ตาม เขาก็ไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้เลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ ท่าทีของเขากลับดูภูมิใจมากความภูมิใจของเขานั้นทำให้เย่ถิงเซินลืมนึกถึงความหมายในคำพูดของเขาก่อนหน้านี้ไปชั่วขณะหลังจากนั้นไม่นาน เย่ถิงเซินก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง แล้วจึงค่อย ๆ วิเคราะห์สิ่งที่เขาจะสื่อซื่อสัตย์ต่อกัน ได้รับการยอมรับจากกฎหมาย......เหมือนว่าเย่ถิงเซินจะนึกอะไรออก สีหน้าก็เปลี่ยนทันที แต่ปฏิกิริยาแรกของเขาคือเขาไม่เชื่อจะเป็นไปได้ยังไง?มันจะเป็นแบบที่เขาคิดไปได้ยังไง?ซื่อสัตย์ต่อกัน ความสัมพันธ์ที่ได้รับการยอมรับจากกฎหมาย สามีภรรยา!ฮึ......คิ้วของเย่ถิงเซินขมวดเป็นปม เขาจ้องมองฟู่จิ้นหาน และต้องการคำยืนยันของทุกคำพูด “นายหมายความว่า
บางทีภาพที่ถ่ายออกมาส่งผ่านอารมณ์ออกมาได้ค่อนข้างชัด ชายคนนี้หล่อมากจริง ๆ ทั้งรูปร่าง หน้าตา ต่างก็ตรงกับรสนิยมด้านสุนทรียภาพของเธอมีหลายครั้ง ที่เวลาเธอเปิดผ่านรูปหนึ่งไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพลิกกลับมาชื่นชมรายละเอียดของแววตาให้ภาพนั้นอีกครั้งเลือกไปเลือกมา แม้แต่หัวใจเองก็เริ่มเต้นรัวขึ้นเรื่อย ๆไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในความอีนุงตุงนังนั้น ในที่สุดเธอก็เลือกออกมาได้หนึ่งใบ ขณะที่กำลังจะเอาให้เขาช่วยยืนยันตัวเลือก ทันทีที่หันกลับไป เธอก็สังเกตเห็นว่าเขายืนอยู่ข้างหลังเธอห่างไปไม่ไกลร่างสูงโปร่งเหยียดตรงยืนพิงกำแพง จดจ่อสมาธิและมุ่งความสนใจมาที่เธอทั้งหมดดวงตาประสานกัน ซูหรานหายใจถี่แต่เพียงชั่วครู่ เธอก็เบือนหน้าหนีเพื่อหลบสายตาด้วยความรู้สึกขาดความมั่นใจ “มองอะไรอยู่ได้? !”น้ำเสียงซูหรานค่อนข้างดุชายคนนี้ เห็น ๆ อยู่ว่าเมื่อกี้เพิ่งเดินหายไป ไม่เห็นแม้แต่เงา แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงโผล่มาได้?มาตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วยืนอยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหนแล้ว?จ้องเธออยู่แบบนี้ตลอดเลยงั้นเหรอ?เมื่อนึกถึงตอนที่เธอเลือกภาพถ่ายเมื่อกี้ ในใจซูหรานก็เริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมาเธอหันหลังให้
ฟู่จิ้นหานไม่เคยเป็นฝ่ายที่เอ่ยถึงอาเหยียนก่อนเลยสักครั้งตั้งแต่ที่อาเหยียนหายตัวไปปีนั้น ใคร ๆ ก็บอกว่าอาเหยียนทำไปก็เพื่อเขา เธอถึงได้ตกอยู่ในอันตราย และหายตัวไปแบบนี้แต่มีบางเรื่อง เขาก็ไม่รังเกียจที่จะโต้เถียงเหมือนกันเขาเองก็เคยมีเรื่องที่เคยรับปากอาเหยียนเอาไว้ แต่หากเมื่อใดที่เขาอธิบายมันออกมา เขาก็จำเป็นที่จะต้องเปิดเผยเรื่องดำมืดที่เคยเก็บซ่อนเอาไว้ออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยเช่นกันเพราะแบบนั้น เรื่องที่เข้าใจผิดถึงไม่เคยได้รับการแก้ต่างสักทีเย่ซือเหยียนและอาเหยียนเติบโตมาด้วยกัน พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน แม้แต่เย่ซือเหยียนที่เติบโตมาพร้อมกับพวกเขาก็ยังดูเป็นเหมือนเป็นคนนอกเย่ถิงเซินเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับอาเหยียนมากเกินไปแม้แต่ตัวเขาเองก็เกรงว่าจะไม่เข้าใจ ว่าความรู้สึกแบบนั้น มันได้เกินเลยมากกว่าคำว่าพี่ชายน้องสาวไปแล้วในฐานะผู้ที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ อย่างฟู่จิ้นหาน กลับมองออกได้อย่างชัดเจนเพียงแต่เขาไม่เคยคิดที่จะเปิดเผยเรื่องนี้มาก่อน“ความรู้สึกของฉันที่มีต่ออาเหยียน คือความรู้สึกแบบพี่ชายกับน้องสาว!”แม้กระทั่งในตอนนี้เอง ก็ดูเหมือนว่าเย่ถิงเซิ