การ “เป็นลม” นี้ของซูหรานเกิดขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ซึ่งทำให้ชายทั้งสองตื่นตระหนกทันทีที่ทั้งสองวางความขัดแย้งลง ฟู่จิ้นหานก็อุ้มซูหรานกลับไปที่เตียงผู้ป่วย จากนั้นเขาก็เรียกทั้งหมอและพยาบาลให้มาตรวจเช็ค และพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เขากลับยังคงไม่เชื่อ“เจอกับแรงกดดันที่มากเกินไป จนทำให้เป็นลม นั่นถือเป็นเรื่องปกติค่ะ”พยาบาลพูดเสียงเบา พยาบาลคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เอายามาให้เมื่อกี้ แต่เพราะเธอถูกบรรยากาศในห้องทำให้ตกใจ จึงต้องถอยกลับไปก่อนคนนั้นบรรยากาศแบบเมื่อกี้ ไม่ “เป็นลม” สิน่ะสิแปลกพยาบาลเหลือบมองผู้หญิงที่อยู่บนเตียง ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอแค่แกล้งเป็นลม แต่ดีที่หมอไม่ได้เปิดเผยความจริงของคุณซูคนนี้ออกไป แล้วก็ช่วยเธอไว้พอดีด้วยเช่นกันก่อนที่พยาบาลจะเดินออกไป เธอพยายามระงับความกลัวที่มีต่อชายสองคนนี้เอาไว้ตามสัญชาตญาณ แล้วพูดขึ้นว่า “ทางที่ดีก็อย่าให้มีคนอยู่ในห้องมากเกินไป เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อการพักผ่อนของคนไข้ได้ ออกไปกันก่อนเถอะค่ะ”เมื่อสิ้นคำพูด บรรยากาศก็เงียบจนได้ยินกระทั่งเสียงเข็มหมุดตกแม้แต่หมอที่เดินมาด้วยกันยังรู้สึกประหม่าขึ้นมานิดหน่อยกล้าดีนี่
แค่ต้องรอเวลาเท่านั้นทั้งสองสบตากัน โดยที่ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษแต่ในใจกลับยอมรับการร่วมมือกับอีกฝ่ายไปแล้วโดยปริยายซูหรานแค่โดนน้ำร้อนลวกมือ ฟู่จิ้นหานก็กลับทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต ไม่ยอมให้เธอออกจากโรงพยาบาลซูหรานประท้วง: “ก็แค่มือโดนลวกเอง ทำตามคำแนะนำของหมอ แล้วก็กลับมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ตามนัดหมาย ไม่จำเป็นต้องค้างที่โรงพยาบาลก็ได้......หรอกมั้ง?”เห็นได้ชัดว่ามันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ภายใต้การจ้องมองของฟู่จิ้นหาน ซูหรานกลับค่อย ๆ สูญเสียความมั่นใจลงเมื่อพูดมาถึงตอนท้ายท่าทีของฟู่จิ้นหานดูจริงจัง:“แค่โดนน้ำร้อนลวกที่ไหน? แผลพุพองบนหลังมือใหญ่ซะขนาดนั้น เกิดว่ามันทิ้งรอยแผลเป็นขึ้นมาจะทำยังไง?”“แล้วเกิดว่ามันมีอาการปวดตามมาล่ะ จะทำยังไง?”“เกิดว่ามันโดนน้ำ จนทำให้แผลมันแย่กว่าเดิม สุดท้ายติดเชื้อ......”“เกิดว่า......”“ได้ ๆ ๆ ฉันพักแล้ว ฉันพักที่โรงพยาบาลแล้ว โอเคไหม?” ซูหรานขัดจังหวะเขาอย่างช่วยไม่ได้หากปล่อยให้เขาพูดต่อ เธอคงต้องตัดแขนขา แล้วจบชีวิตน้อย ๆ ของเธอไปแล้วซูหรานอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบนฟู่จิ้นหานลูบหัวเธอไปมาด้วยความเอ็นดู: “เก่งมาก”ซูหราน “....
ซื่อสัตย์ต่อกัน ได้รับการยอมรับทางกฎหมาย......ในตอนที่ฟู่จิ้นหานพูดประโยคเหล่านี้ออกมา ท่าทีของเขานั้น ดูเป็นความมุ่งมั่นที่มาพร้อมกับความมั่นใจเย่ถิงเซินไม่เคยเห็นท่าทีแบบนี้ของเขามาก่อน เขาค่อนข้างรู้จักตัวตนของฟู่จิ้นหานดี เขาเป็นคนที่เย่อหยิ่ง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยสนใจเรื่องที่ต้องพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าผู้อื่นต่อให้จะเป็นตอนที่เขาได้รับตำแหน่งผู้นำฟู่ซือกรุ๊ปก็ตาม เขาก็ไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้เลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ ท่าทีของเขากลับดูภูมิใจมากความภูมิใจของเขานั้นทำให้เย่ถิงเซินลืมนึกถึงความหมายในคำพูดของเขาก่อนหน้านี้ไปชั่วขณะหลังจากนั้นไม่นาน เย่ถิงเซินก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง แล้วจึงค่อย ๆ วิเคราะห์สิ่งที่เขาจะสื่อซื่อสัตย์ต่อกัน ได้รับการยอมรับจากกฎหมาย......เหมือนว่าเย่ถิงเซินจะนึกอะไรออก สีหน้าก็เปลี่ยนทันที แต่ปฏิกิริยาแรกของเขาคือเขาไม่เชื่อจะเป็นไปได้ยังไง?มันจะเป็นแบบที่เขาคิดไปได้ยังไง?ซื่อสัตย์ต่อกัน ความสัมพันธ์ที่ได้รับการยอมรับจากกฎหมาย สามีภรรยา!ฮึ......คิ้วของเย่ถิงเซินขมวดเป็นปม เขาจ้องมองฟู่จิ้นหาน และต้องการคำยืนยันของทุกคำพูด “นายหมายความว่า
บางทีภาพที่ถ่ายออกมาส่งผ่านอารมณ์ออกมาได้ค่อนข้างชัด ชายคนนี้หล่อมากจริง ๆ ทั้งรูปร่าง หน้าตา ต่างก็ตรงกับรสนิยมด้านสุนทรียภาพของเธอมีหลายครั้ง ที่เวลาเธอเปิดผ่านรูปหนึ่งไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพลิกกลับมาชื่นชมรายละเอียดของแววตาให้ภาพนั้นอีกครั้งเลือกไปเลือกมา แม้แต่หัวใจเองก็เริ่มเต้นรัวขึ้นเรื่อย ๆไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในความอีนุงตุงนังนั้น ในที่สุดเธอก็เลือกออกมาได้หนึ่งใบ ขณะที่กำลังจะเอาให้เขาช่วยยืนยันตัวเลือก ทันทีที่หันกลับไป เธอก็สังเกตเห็นว่าเขายืนอยู่ข้างหลังเธอห่างไปไม่ไกลร่างสูงโปร่งเหยียดตรงยืนพิงกำแพง จดจ่อสมาธิและมุ่งความสนใจมาที่เธอทั้งหมดดวงตาประสานกัน ซูหรานหายใจถี่แต่เพียงชั่วครู่ เธอก็เบือนหน้าหนีเพื่อหลบสายตาด้วยความรู้สึกขาดความมั่นใจ “มองอะไรอยู่ได้? !”น้ำเสียงซูหรานค่อนข้างดุชายคนนี้ เห็น ๆ อยู่ว่าเมื่อกี้เพิ่งเดินหายไป ไม่เห็นแม้แต่เงา แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงโผล่มาได้?มาตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วยืนอยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหนแล้ว?จ้องเธออยู่แบบนี้ตลอดเลยงั้นเหรอ?เมื่อนึกถึงตอนที่เธอเลือกภาพถ่ายเมื่อกี้ ในใจซูหรานก็เริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมาเธอหันหลังให้
ฟู่จิ้นหานไม่เคยเป็นฝ่ายที่เอ่ยถึงอาเหยียนก่อนเลยสักครั้งตั้งแต่ที่อาเหยียนหายตัวไปปีนั้น ใคร ๆ ก็บอกว่าอาเหยียนทำไปก็เพื่อเขา เธอถึงได้ตกอยู่ในอันตราย และหายตัวไปแบบนี้แต่มีบางเรื่อง เขาก็ไม่รังเกียจที่จะโต้เถียงเหมือนกันเขาเองก็เคยมีเรื่องที่เคยรับปากอาเหยียนเอาไว้ แต่หากเมื่อใดที่เขาอธิบายมันออกมา เขาก็จำเป็นที่จะต้องเปิดเผยเรื่องดำมืดที่เคยเก็บซ่อนเอาไว้ออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยเช่นกันเพราะแบบนั้น เรื่องที่เข้าใจผิดถึงไม่เคยได้รับการแก้ต่างสักทีเย่ซือเหยียนและอาเหยียนเติบโตมาด้วยกัน พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน แม้แต่เย่ซือเหยียนที่เติบโตมาพร้อมกับพวกเขาก็ยังดูเป็นเหมือนเป็นคนนอกเย่ถิงเซินเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับอาเหยียนมากเกินไปแม้แต่ตัวเขาเองก็เกรงว่าจะไม่เข้าใจ ว่าความรู้สึกแบบนั้น มันได้เกินเลยมากกว่าคำว่าพี่ชายน้องสาวไปแล้วในฐานะผู้ที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ อย่างฟู่จิ้นหาน กลับมองออกได้อย่างชัดเจนเพียงแต่เขาไม่เคยคิดที่จะเปิดเผยเรื่องนี้มาก่อน“ความรู้สึกของฉันที่มีต่ออาเหยียน คือความรู้สึกแบบพี่ชายกับน้องสาว!”แม้กระทั่งในตอนนี้เอง ก็ดูเหมือนว่าเย่ถิงเซิ
ซูอินรับสายโทรศัพท์จากฟู่ซือกรุ๊ป และแม้วางสายไปแล้วก็ยังนิ่งงันอยู่พักหนึ่ง"กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ? ดูเหมือนจะสติเพ้อไปแล้วนะ" เย่ซือเหยียนเดินออกมาจากห้องทำงาน เห็นซูอินยืนถือโทรศัพท์อยู่ในอาการน่าสงสัยในช่วงนี้แม้ว่าซูอินจะไม่มีตำแหน่งทางการ แต่เธอก็มาทำงานที่บริษัทอัญมณีตระกูลเย่ทุกวันไม่ใช่เพราะเธอมีความกระตือรือร้น แต่เพราะด้วยสถานะของเธอเป็นคุณหนูตระกูลเย่ ทำให้ทุกคนมองเธอด้วยสายตาเคารพความรู้สึกที่เหนือกว่าคนอื่น รสชาติที่หวานใจเธอไปหมดเสียงของเย่ซือเหยียนทำให้ซูอินสติกลับมา "ไม่มีอะไร พี่ซือเหยียน ฉันจะออกไปนะ"เธอก็ไม่อยากบอกเย่ซือเหยียนว่า เธอจะไปพบคุณชายสามฟู่เลยเธอนัดกันหลายวันแล้วแทบจะสิ้นหวังไปเสียแล้ว ในใจกำลังวางแผนจะหาวิธีอื่นเข้าใกล้เขา แต่ไม่คาดคิดว่าเขากลับเป็นฝ่ายเชิญเธอออกเดทซูอินรู้สึกตื่นเต้นในใจยิ่งนักออกเดทกับคุณชายสามฟู่ เธอต้องแต่งตัวให้ดีที่สุดแน่นอนตั้งแต่ที่ซูอินถูกคุณปู่เย่รับเข้ามาเป็นคุณหนูตระกูลเย่ เสื้อผ้าเครื่องประดับในตู้เสื้อผ้าเธอก็เต็มมากแต่เธอก็ยังไปห้างสรรพสินค้า และเข้าไปในร้านสินค้าหรูหราเลือกชุดเดรสแนบเนื้อสีแดงมาสวม
ทำนองเปียโนที่ไพเราะกังวานดังขึ้นในร้านอาหารบรรยากาศดีมาก ซูหรานรู้สึกคลายเครียดมากขึ้น และยังคงถามคำถามเยอะ ๆ กับเย่ถิงเซินเย่ถิงเซินแสดงออกถึงความสงบนุ่มนวลของเขาออกมาได้เป็นอย่างดีในมุมเงียบสงบนั้น ฟู่จิ้นหานที่สั่งสเต็กก็ตั้งอยู่ตรงหน้าเขา แต่คนที่เขาเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ กลับทำให้เขาหมดความอยากทันทีเหมือนที่ซูหรานบอกไว้จริง ๆ เขารู้สึกมีอาการแสนสะอิดสะเอียนพอนึกถึงซูหราน ใบหน้าฟู่จิ้นหานก็เปล่งรอยยิ้ม และสายตาก็อ่อนโยนขึ้นรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นตกอยู่ในสายตาของซูอิน กระตุ้นให้เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันทีเธอเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล"ฉัน...ฉันจะเรียกคุณว่า 'คุณชายสามฟู่' ได้หรือเปล่าคะ?"นี่เป็นครั้งแรกที่ซูอินนั่งตรงข้ามกับฟู่จิ้นหานแม้จะถามว่าจะเรียกได้ว่า "คุณชายสามฟู่" แต่ในใจก็ลับหวังว่าวันหนึ่งจะเรียกเขาด้วยชื่อ "จิ้นหาน" อย่างแนบแน่นแต่พอเธอถามคำถามนั้น ฟู่จิ้นหานไม่แม้แต่จะยกเปลือกตาขึ้นสายตาเพียงนิดเดียวก็ไม่มีให้เธอซูอินคิดถึงตอนที่เจอกันเมื่อครู่ ที่เธอถูกผู้ช่วยของฟู่จิ้นหานพามาที่นี่ ฟู่จิ้นหานก็นั่งลงแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ ฟู่จิ้นหานไม่เคยแม้แต่มองเธอสักครั้
ซูหรานมีอาการเมามายเล็กน้อยเสียงของเธอไม่เบา ทำให้หลายคนรอบข้างได้ยิน รวมถึงซูอินที่กำลังเล่นเปียโนอยู่แต่ซูอินไม่ได้ยินว่าเสียงนั้นเป็นของใครเพราะความเมาที่แฝงอยู่ในเสียงนั้น และเมื่อมองตามเสียงไปกลับถูกเสาใหญ่บังสายตาไว้เดิมทีซูอินรู้สึกว่าตัวเองเล่นได้ดี เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ว่ามีแขกบางคนแสดงท่าทีชื่นชมเสียงที่โผล่ขึ้นมาอย่างนั้นกลับวิจารณ์ฝีมือของเธอในทางที่ไม่ดี!ซูอินรู้สึกไม่พอใจ เมื่อก่อนที่เธอและแม่เธอยังไม่ถูกซูจี้ไห่นำตัวกลับมา เธอก็เรียนเปียโนมานานแล้ว ในกิจกรรมต่าง ๆ ที่โรงเรียนเธอก็มีแต่ได้รับคำชมจากการเล่นเปียโนเสมอเธอคิดถึงเสียงที่ดูถูกเธอนั้น ถ้าคุณชายสามฟู่ได้ยินเข้า คงจะคิดว่าฝีมือของเธอไม่ดีแน่ ๆยิ่งซูอินคิด เธอก็ยิ่งต้องการพิสูจน์ตัวเองซูอินตั้งใจเล่นเปียโนมากขึ้นกว่าเดิม แต่เพราะใส่ใจมากเกินไป กลับทำให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นหลายจุดเธอใช้หางตามองดูปฏิกิริยาของแขก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สังเกตเห็นซูอินถอนหายใจโล่งอก แต่แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง"โฮะ เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้เรื่อง เพลงง่าย ๆ แบบนี้ยังเล่นผิดได้ขนาดนี้…"ซูหรานดื่มไว