เวินเยวี่ยได้แต่ไปที่อารามสุ่ยเยว่อีกหลายครั้งทุกวันนางต้องนั่งรถม้าจากเมืองหลวงไปที่ภูเขาหนาน และกลับจากภูเขาหนานมายังเมืองหลวง ภายใต้การสั่นโคลงเคลงอยู่หลายวัน เวินเยวี่ยไม่เพียงไม่ได้พบเวินซื่ออีกเลย ตรงกันข้ามนางไม่อาจเดินเข้าแม้กระทั่งประตูใหญ่ของอารามสุ่ยเยว่เลยด้วยซ้ำ เดิมทีนางยังเคยคิดว่าสามารถปะปนเข้าไปข้างในกับกลุ่มผู้มาสักการบูชาที่เข้ามากราบไหว้ แต่คิดไม่ถึงว่าผู้มาสักการบูชาผู้ศรัทธาของอารามสุ่ยเยว่จะมีน้อยมาก ประตูใหญ่ของอารามปิดอยู่หลายวัน ไม่เห็นว่ามีผู้มาสักการบูชาผู้ศรัทธามามากเท่าไรนักต่อให้มี หลังจากที่เห็นประตูใหญ่ของอารามปิดสนิท พวกเขาก็กลับไปอย่างเงียบเชียบราวกับเคยชินกับธรรมเนียมที่อารามสุ่ยเยว่บอกว่าจะปิดอารามก็ปิดตามใจชอบเช่นนี้มานานแล้ว ไม่มีใครคัดค้านเลยสักคนนั่งยองอยู่หลายวัน เวินเยวี่ยทนไม่ไหวแล้วจริง ๆนางจึงติดสินบนหญิงชาวบ้านคนหนึ่งที่อยู่ตีนเขา ให้หญิงชาวบ้านคนนั้นไปถามอารามสุ่ยเยว่ว่าจะปิดอารามไปอีกนานแค่ไหนกันแน่คำตอบที่ได้รับคือ... ธิดาศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่อารามเพื่อสวดภาวนาให้บ้านเมือง จึงทำการปิดชั่วคราวหนึ่งเดือน“หนึ่งเดือน?!” เว
เมื่อถูกเสียงท่องพระสูตรของเวินซื่อดึงดูดความสนใจ จิตใจที่ยุ่งเหยิงแต่เดิมของเป่ยเฉินหยวนก็ค่อย ๆ สงบลง เขาหลับตาฟังอย่างเงียบงันผลปรากฏว่าฟังได้ไม่นานก็พบว่าเสียงของใครบางคนหยุดไปแล้วเมื่อลืมตาขึ้นมามองก็พบว่าที่แท้อาจารย์น้อยหาบน้ำสักคนได้มาถึงจุดหมายแล้วเวินซื่อหยุดท่องชั่วคราว นางวางถังไม้ที่หาบอยู่บนบ่าลงแล้วก้าวขึ้นไปบนหินก้อนใหญ่ริมลำธาร จากนั้นก็ถือถังไม้ใบหนึ่งจากในนั้นแล้วนั่งยองลงไปตักน้ำร่างกายของนางในชาตินี้ไม่เคยทำงานอะไรมาก่อน เรี่ยวแรงจึงน้อยมาก ตักน้ำได้เพียงครึ่งถังเท่านั้น ก่อนจะยกขึ้นมาอย่างยากลำบาก เพียงแต่ว่าตอนที่ยกขึ้นมาเผลอแกว่งถังออกมาเล็กน้อยโดยไม่ระวังจนน้ำหกใส่ข้างเท้าของนางเวินซื่อที่ยังไม่สังเกตเห็นเรื่องร้ายแรงก็วางน้ำครึ่งถังนี้ลง แล้วหยิบถังไม้ว่างเปล่าอีกใบไปตักน้ำ ทว่าครั้งนี้ตอนที่นางกำลังจะยกขึ้นมา เท้าเหยียบไปบนคราบน้ำนั้นทำให้นางลื่นไถล...“ว้าย!” เสียงดังตุ๋ม เวินซื่อที่เสียหลักก็ตกลงไปในลำธารม่านตาของเป่ยเฉินหยวนหดลง วินาทีต่อมาเขาก็กระโดดลงจากสะพานเล็ก ๆ ราวกับเตรียมตัวจะเข้าไปช่วยคน แต่เมื่อเขากระโดดลงไปถึงได้พบว่าน้ำในลำธา
เป่ยเฉินหยวนเลิกคิ้วเล็กน้อยไม่เลวยังคงระมัดระวังตัวมาก“วางใจได้ ไม่ขายท่านไปหรอก”เขาคลายมือที่จับถังไม้ออกในที่สุด เวินซื่อรับถังไม้ แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรอยู่ดี เป่ยเฉินหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงต่ำอย่างนุ่มนวลออกมาทันที “เอาเถิด ข้าได้รวบรวมตำราแพทย์ไว้แล้ว วันพรุ่งนี้จะเอามาส่งให้ท่าน” “เช่นนั้นต้องขอบคุณ...”เวินซื่อยังกล่าวไม่ทันจบ ก็เห็นเป่ยเฉินหยวนที่อยู่ตรงข้ามเลิกคิ้วขึ้นเอาเถิด “หากท่านอ๋องมีเรื่องอันใดต้องการความช่วยเหลือ หากข้าทำได้ย่อมพยายามทำอย่างเต็มที่”แม้นางไม่คิดว่าตอนนี้ตัวเองยังมีสิ่งใดสามารถช่วยเหลือท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่ครอบครองอำนาจอิทธิพลในทุกด้านพระองค์นี้เลยก็ตาม แต่หลังจากที่นางรับปาก สีหน้าของอีกฝ่ายก็ดูดีขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด “วันนี้ไม่มีอะไรแล้ว พรุ่งนี้ ข้าจะมาหาท่าน” เวินซื่อ “...ได้” หลังจากที่เวินซื่อกลับไปแล้ว เป่ยเฉินหยวนกลับไปที่วัดด้วยความอารมณ์ดีอย่างมากผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนที่เดิมทีตามหาเขาไปทั่วต่างก็ร้อนใจจนหัวหมุนแล้ว อีกทั้งยังลากหลวงจีนชรารูปหนึ่งมาตามหาด้วย ขณะที่กำลังตามหาจนเหงื่อท่วมหัวก
เมื่อครู่นี้เห็นท่านอ๋องกลับมาได้อย่างปลอดภัย พวกเกาเย่ายังนึกว่าไม่ได้คิดมากไปเองว่าไม่ได้อาการกำเริบผลปรากฏว่าเมื่อตอนนี้จ้องดูอย่างละเอียดถึงได้พบว่าดวงตาสองข้างของเป่ยเฉินหยวนยังคงมีสีแดงโลหิตนิดหน่อยอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าก็ดูซีดเผือดเล็กน้อยเป่ยเฉินหยวนพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วส่งเสียง “อืม” แม้ว่าเวลานี้จิตใจของเขาจะสงบลงแล้ว แต่ทุกครั้งที่อาการกำเริบแล้ว ร่างกายของเขามักจะปรากฏอาการของโรคเล็กน้อย การที่เกาเย่าสังเกตเห็นก็เป็นเรื่องปกติพวกเกาเย่าตกใจจนเบิกตาโตทันที “ไวขนาดนี้เชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ?!” “นี่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นานเท่าไร? ครั้งนี้ช่วงเวลาอาการกำเริบของท่านสั้นถึงเพียงนี้เชียว?”เสียงของเกาเย่าแฝงไปด้วยความยินดีปรีดาอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าพวกเขากระต่ายตื่นตูมไปเอง ทว่าก่อนหน้านี้ตั้งแต่ที่เป่ยเฉินหยวนอาการกำเริบจนกระทั่งสติกลับมาปลอดโปร่ง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาสามชั่วยามนานที่สุดก็ใช้เวลาถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ๆ แต่วันนี้เพิ่งผ่านไปนานเพียงใดกันเชียว? เกรงว่าคงไม่ถึงแม้กระทั่งหนึ่งชั่วยามกระมัง?ไม่รู้ว่าเกาเย่านึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงอดไม่ไ
“ใช่แล้ว”ประตูใหญ่ของอารามสุ่ยเยว่ถึงค่อยเปิดออกก่อนหน้านี้เป่ยเฉินหยวนได้รับพระบัญชาให้คุ้มกันเวินซื่อมาออกบวช บรรดาอาจารย์ใหญ่น้อยของอารามสุ่ยเยว่ล้วนทราบดีดังนั้นซือไท่ที่เปิดประตูท่านนี้ย่อมไม่สงสัยคำพูดของเป่ยเฉินหยวนทว่าต่อให้นางสงสัย เป่ยเฉินหยวนก็ไม่ได้โกหกจริง ๆ เนื่องจากเมื่อวานเขาได้เข้าวังเพื่อขอพระราชบัญชา เสนอตัวว่าจะดูแลรับผิดชอบพิธีขอพรในครั้งนี้ แม้ฮ่องเต้น้อยรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ยังคงเห็นด้วยกับคำขอที่มาปุบปับอย่างอธิบายไม่ได้ของเสด็จอาพระองค์นี้ของเขาดังนั้นตอนนี้เป่ยเฉินหยวนถือว่าเป็นงานที่ได้รับพระบัญชาจริง ๆ “เวลานี้ศิษย์น้องอู๋โยวยังทำวัตรเช้ากับอาจารย์ม่อโฉวในวิหารอยู่ ท่านอ๋องโปรดรออยู่ด้านนอกวิหารสักครู่”การรอครั้งนี้ได้รอไปครึ่งชั่วยามเต็ม ๆ อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่เป่ยเฉินหยวนรอคนนานถึงเพียงนี้จนกระทั่งเมื่อเวินซื่อตามหลังม่อโฉวซือไท่ออกมา สายตาก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังพิงเสาทำหน้าง่วงงุนเวินซื่อ “...”ไม่หรอกน่า มาเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?ม่อโฉวซือไท่เองก็เห็นเป่ยเฉินหยวนเช่นกัน จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เวินซื่อรีบอธิบายให้นางฟ
หากไม่ใช่เพราะเวินซื่อรู้ว่าเป่ยเฉินหยวนรังเกียจสตรีที่เข้ามาใกล้อย่างยิ่ง เกรงว่านางเกือบจะเข้าใจผิดกับคำพูดที่แปลกไปเล็กน้อยของเขาแล้วเวินซื่อกระแอมไอเบา ๆ “พอทำวัตรเช้าเสร็จแล้ว ช่วงเวลานี้ก่อนจะถึงการสวดภาวนาตอนเย็นก็ไม่มีงานอะไรแล้วจริง ๆ” “ก็ดี เช่นนั้นไปกันเถิด” เป่ยเฉินหยวนหันกายเดินไปข้างหน้าเวินซื่อรีบตามเขาไป “ท่านไปก่อนได้หรือไม่? ข้าอยากกลับไปวางตำราแพทย์กับคัมภีร์สวดมนต์ทำวัตรเช้าก่อน หลังจากนั้นค่อยไปหาท่าน” “ได้ แต่อย่าให้ข้ารอนานเกินไปอีกเล่า” เมื่อเอ่ยคำพูดนี้แล้ว เป่ยเฉินหยวนก็ตรงไปที่ภูเขาด้านหลัง เวินซื่อตอบรับก่อนจะวิ่งเหยาะ ๆ กลับไปวางตำราทันที ผ่านไปหนึ่งเค่อ นางหาบถังน้ำสองใบมา อยากจะถือโอกาสตักน้ำไปด้วยอย่างไรก็ตาม นางเพิ่งมาถึงจุดหมายกลับพบความผิดปกติเหตุใดจึงมีคนมากมายถึงเพียงนี้?เวลานี้คนที่ยืนอยู่ริมลำธารเล็ก ๆ ไม่ได้มีแค่เป่ยเฉินหยวนเท่านั้น ยังมีทหารกองทัพธงดำอีกสี่นาย รวมไปถึงดรุณีน้อยนางหนึ่งที่อยู่บนพื้น ดรุณีน้อยผู้นั้นหันหลังให้นางตลอด หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นอาจจะจำไม่ได้ แต่เวินซื่อที่คุ้นเคยกับคนผู้นี้อย่างยิ่งกลับจำได้ทันที
เป่ยเฉินหยวนยกมุมปากยิ้มบาง ๆ ไม่ออกความเห็นต่อคำพูดของเวินเยวี่ย เขาเพียงแต่มองเวินซื่อที่เวลานี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา แผ่ไอเย็นเยียบออกมาทั่วทั้งร่างไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองใช่หรือไม่ เขาคล้ายกับยังเห็นความระแวดระวังที่มีต่อเขาในดวงตาของเวินซื่ออีกด้วย?หรือว่าเป็นเพราะเขาจับตัวน้องสาวของนางไว้ ไม่ถูกความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางพี่น้องแค่เห็นก็รู้ว่าไม่ดี ดังนั้นน่าจะไม่ใช่หรอกแต่ว่าเมื่อครู่นี้ความระแวดระวังในสายตาของเวินซื่อปรากฏขึ้นหลังจากที่เห็นเขากับสตรีนามว่าเวินเยวี่ยผู้นี้ในเวลาเดียวกันจริง ๆ ดังนั้นนางกำลังเตรียมการป้องกันอะไรกันแน่? คงไม่คิดว่าเขาจะจัดการนางเพราะคำพูดของเวินเยวี่ยผู้นี้หรอกกระมัง? เป่ยเฉินหยวนรู้สึกขบขันเล็กน้อยเขาป่วย แต่ไม่ถึงขั้นเลอะเลือนจนฟังสตรีผู้หนึ่งพูดแค่ไม่กี่ประโยคก็เริ่มเข้าข้างช่วยเหลือแล้วหันมาจัดการสตรีอีกคนหรอกนะแต่เป่ยเฉินหยวนไม่รู้ว่าเขาคาดเดาถูกต้องแล้วจริง ๆ ชาติที่แล้ว เวินซื่อก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเวินเฉวียนเซิ่งบิดาที่ยุติธรรมและมีเหตุผลของตนจะเชื่อเวินเยวี่ยเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคของเวินเยวี่ยทว่าต่อมา นางกลับต้
เวินซื่อ “?” เวินซื่อเดินเข้าไป สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “มีอันใดหรือ?” “เมื่อวานท่านสวดบทสวดอะไรหรือ?”เป่ยเฉินหยวนให้นางนั่งลงข้างกายเวินซื่อไม่ได้นั่งลงบนหินก้อนใหญ่ที่เขานั่งอยู่นั้น แต่เลือกที่จะนั่งลงบนหินก้อนเล็กที่อยู่ทางด้านข้างแทนเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาเหมาะให้นางนั่งคนเดียวพอดี“บทสวดที่ข้าสวดเมื่อวานหรือ? ท่านอ๋องหมายถึงสุวรรณประภาสสูตรที่ข้าท่องตอนตักน้ำหรือ?”“ใช่” เป่ยเฉินหยวนเห็นนางนั่งห่างออกไปถึงเพียงนั้น ในใจเกิดความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก แต่เมื่อเห็นดวงตาของเวินซื่อยังคงมีความระแวดระวังเล็กน้อยจากเมื่อสักครู่นี้อยู่เลือนราง เขาก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วเอ่ยเรื่องบทสวดกับนางต่อ “ท่านบอกว่าหากอยู่ในขอบเขตที่ไม่เกินกำลังของท่าน ขอเพียงข้าร้องขอ ท่านก็จะรับปากไม่ใช่หรือ?”เป่ยเฉินหยวนมองนางพลางยิ้มจนดวงตาโค้งเวินซื่อชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดเป่ยเฉินหยวนกลับดูเหมือนสังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่างได้อย่างเฉียบไว จึงกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ท่านคงไม่ได้อยากกลับคำหรอกใช่หรือไม่? ว่าอย่างไร ข้าช่วยเหลือท่านมากมายถึงเพียงนั้น ท่านไม่ยินดีตอบแทน
อย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจว่าพี่ใหญ่กับพี่รองคิดอะไรกันอยู่ยามนี้ทั้งสองคนเปลี่ยนเป็นเอาใจใส่เวินซื่อมากทั้งที่ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ไม่สนใจไม่ใส่ใจเวินซื่อแม้แต่น้อย พี่รองยิ่งลงไม้ลงมือกับเวินซื่อ ไม่มีใครดีกับนางสักคนตกลงพวกเขาเป็นอะไรไป?เพราะเวินซื่อให้พวกเขากินยาเสน่ห์ จนทำให้พวกเขาลืมไปว่าก่อนนี้เวินซื่อเป็นคนใจดำอำมหิตขนาดไหนงั้นหรือ?“พี่สาม อย่าพูดเช่นนี้ เกิดพี่หญิงห้าได้มายินคำพูดเช่นนี้ของท่าน นางจะเสียใจนะเจ้าคะ”เวินเยวี่ยที่ออกมาพร้อมกัน แม้ปากจะบอกให้เวินจื่อเยวี่ยอย่าพูดเช่นนี้ ทว่าในใจกลับพอใจมากโชคดีที่เวินจื่อเยวี่ยยังอยู่ในการควบคุมของนาง เพราะชายหนุ่มที่ดูเคร่งขรึมคนนี้ เป็นคนที่ดื้อดึงที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งสี่คนเมื่อเขาปักใจว่าเวินซื่อคือคนที่ใจคอโหดเหี้ยม มันจะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะคำโน้มน้าวจากผู้อื่นเด็ดขาดดังนั้นหากเวินเยวี่ยอยากใช้เขาเล่นงานเวินซื่อ พูดได้ว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก“อย่าว่าแต่ตอนนี้นางไม่ได้ยิน ต่อให้นางยืนอยู่ตรงหน้าข้า ก็ไม่มีสิ่งใดที่ข้าเวินจื่อเยวี่ยไม่กล้าพูด”น้ำเสียงของเวินจื่อเยวี่ยใจร้ายมาก ทิ้งคำพูดนี้ไว้ก่อนสะบัดแขนเสื้อจา
เมื่อได้ยินคำพูดของเวินจื่อเฉิน บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดสีหน้าของเวินเยวี่ยแข็งข้างไปชั่วขณะมือที่อยู่ใต้โต๊ะกำแน่น ในใจรู้สึกรำคาญเวินจื่อเฉินที่พูดโพล่งออกมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอย่างที่สุดทั้งที่คราวก่อนเจ้าโง่นี่ถูกนังแพศยาทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทำไมตอนนี้จึงดูเหมือนสนใจนังแพศยานั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ล่ะ?หรือสมองของเวินจื่อเฉินมีปัญหา?คนอื่นยิ่งเกลียดเขา เขาก็ยิ่งอยากเสนอหน้าไปทำดีด้วยงั้นหรือ? !นอกจากเวินจื่อเฉิน เวินฉางอวิ้นที่อยู่ข้างกันตะลึงไปสักครู่จึงรู้สึกตัว“วันนี้เป็นวันที่หนึ่ง เป็นวันเกิดของน้องห้าจริง”ระหว่างที่พูดอย่างนั้น สีหน้าเวินฉางอวิ้นสับสน ในใจพลันเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างหากไม่ใช่น้องรองเอ่ยขึ้นกะทันหัน เขาเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วเวินจื่อเยวี่ยขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “จู่ ๆ พี่รองเอ่ยถึงนางทำไม? ตอนนี้นางไม่ใช่คนตระกูลเวินแล้ว จะเป็นวันเกิดของนางหรือไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”เวินอวี้จือยกถ้วยน้ำชาของตัวเอง แล้วจิบหนึ่งคำ โดยไม่ได้พูดอะไรเวินฉางอวิ้นนึกถึงท่าทางเย็นชาที่เวินซื่อแสดงออกก่อนหน้านี้ อดหันไปมองผู้ที่นั่งตรงตำแหน่งประธานไ
หลังจากเวินซื่อสะบัดเวินหย่าลี่ นางถูกสาวใช้ประคองเอาไว้ จากนั้นชี้นิ้วที่สั่นเทาไปหาเวินซื่อ “ดี ดี! เจ้าคอยดูเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่ยอมจบง่าย ๆ แน่!” มาอย่างดุดัน กลับไปอย่างทุลักทุเลหลังเวินซื่อละสายตา พลันหันหลังกลับเข้าอารามทันทีทิ้งไว้เพียงฝูงชนกลุ่มหนึ่งที่ยังข้องใจไม่หาย“เพราะฉะนั้นแล้ว ตกลงธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงได้ขโมยยาหยกหิมะของจงหย่งโหวฮูหยินหรือไม่?”“นี่ยังต้องถามอีกหรือ บทสรุปชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”“จงหย่งโหวฮูหยินสงสัยว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ขโมยยาหยกหิมะของนางไป แต่นางก็ไม่มีหลักฐาน ส่วนธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็เปิดเผยจริงใจ ดังนั้นข้าคิดว่านางไม่ได้ขโมย”“จะว่าอย่างนั้นคงไม่ได้ ข้าว่าจงหย่งโหวฮูหยินเองก็มีเหตุผลให้สงสัย ก่อนออกบวชชื่อเสียงของธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่สู้ดีนัก ข้าคิดว่าหากนางต้องการแก้แค้นจงหย่งโหวฮูหยิน ก็ใช่ว่าจะทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้”“เจ้าโง่หรือ? หากธิดาศักดิ์สิทธิ์ขโมยจริง นางยังกล้าบอกว่าจะไปกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์หรือ?”“ทว่าก็ยังไม่ได้ไปกราบทูลไม่ใช่หรือ ไม่แน่อาจแค่ข่มขู่เท่านั้นล่ะ? อย่างไรข้าก็ไม่เชื่อคนนิสัยอย่างเวินซื่อหรอก”หลังจากฝูงชนที่อยู
ทั้งที่เป็นอาหญิงแท้ ๆ ของนางแต่กลับเกลียดชังนางถึงเพียงนี้ในใจเวินซื่อผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกครั้งคนในตระกูลเวินจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะทำร้ายนางได้อย่างแสนสาหัส“เดิมเจ้าก็เป็นคนใจคอโหดเหี้ยม ริษยาจนเป็นนิสัย จิตใจคับแคบอยู่แล้ว!”เวินหย่าลี่ชี้หน้านางพร้อมกับด่าทออย่างดูแคลนที่สุดโดยไม่ลังเล “เจ้าไม่เคารพผู้ใหญ่ ไม่เคารพพี่ชาย อีกทั้งยังใช้วิธีโหดเหี้ยมไปทำร้ายเวินเยวี่ยน้องสาวของเจ้า นังเด็กที่มีแม่ให้กำเนิดแต่ไม่มีแม่สั่งสอนอย่างเจ้า หากเดินไปสู่ทางผิดข้าเองก็ไม่สงสัยแม้แต่น้อย”“พูดจบหรือยัง?!”เวินซื่อเงยหน้ามองเวินหย่าลี่ด้วยความโมโห“มีแม่ให้กำเนิด แต่ไม่มีสั่งสอนหรือ?”ดวงตานางแดงก่ำ ลุกโชนไปด้วยไฟโทสะ “ถูกต้อง ข้ามีแม่ให้กำเนิดไม่มีแม่สั่งสอน แล้วท่านที่พูดกับลูกหลานด้วยคำพูดที่ร้ายกาจทำร้ายจิตใจ ท่านที่เป็นถึงฮูหยินจงหย่งโหว เป็นถึงคุณหนูใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกงในอดีต ได้รับการสั่งสอนมาเช่นไรหรือ?”“หุบปาก! เจ้ายังกล้าต่อปากต่อคำกับข้าหรือ!”เวินหย่าลี่ลุกพรวดทันที ไฟโทสะที่ลุกโชนทำให้นางลืมสถานะระหว่างนางกับเวินซื่ออีกครั้ง จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปตามสัญชาตญาณ ยกมือหมาย
“เหอะ? พวกเราจวนจงหย่งโหวรังแกเจ้าหรือ?”เวินหย่าลี่ทำสีหน้าน่าขัน เอ่ยกับเวินซื่ออย่างไม่ยี่หระ “เวินซื่อ เจ้าอย่าเสแสร้งแกล้งทำอีกเลย ตกลงเจ้าขโมยสิ่งใดไปจากข้า เจ้ารู้อยู่แก่ใจดี ยังต้องให้ข้าเอ่ยปากเปิดโปงเจ้าด้วยตัวเองอีกหรือ?”“อย่ามาโยกโย้กับข้า”เวินซื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่เกรงใจกันแม้แต่น้อย “ในเมื่อท่านคิดว่าข้าขโมยของมาจากจวนจงหย่งโหว เช่นนั้นก็พูดให้ชัดเจนต่อหน้าธารกำนัลไปเลย!”“ดี ดี เดิมทีข้ายังเห็นแก่พี่ใหญ่ไว้หน้าเจ้าบ้าง แต่ในเมื่อเจ้าไร้ยางอายขนาดนี้ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรต้องกลัวเหมือนกัน”เวินหย่าลี่สั่งให้หัวหน้าสาวใช้เดินออกไปหัวหน้าสาวใช้ก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว แล้วเอ่ยกับเวินซื่อและศิษย์พี่หญิงข้างกายนางอย่างเย่อหยิ่ง “หลายวันก่อนเจ้าอารามสุ่ยเยว่ม่อโฉวซือไท่ พร้อมด้วยธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงไปพบฮูหยินผู้เฒ่าที่จวนจงหย่งโหว แต่วันนั้นหลังจากพวกเจ้ากลับไป ยาหยกหิมะภายในห้องเก็บสมบัติของฮูหยินหายไปถึงสามขวด”เวินหย่าลี่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วเอ่ยขึ้น “หลายวันนั้นนอกจากพวกเจ้า ไม่เคยมีใครไปเยือนจวนจงหย่งโหวอีกเลย หากพวกเจ้าไม่ได้ขโมยแล้วใครขโมยไป?”“ยาหยกหิมะหรือ
ที่แท้เป็นเช่นนี้มิน่าก่อนหน้านี้ตอนตอบแทนบุญคุณเป่ยเฉินหยวน เขาแค่บอกให้นางสวดมนต์ให้เขาฟังหลาย ๆ ครั้งเท่านั้นหลังจากเข้าใจแล้วเวินซื่อรู้สึกโล่งอกอย่างสิ้นเชิง“ท่านอ๋องทำเพื่อบ้านเมืองเพื่อราษฎร มีผลงานมากมาย ยามนี้ต้องทุกข์ทรมาน พวกข้าสมควรช่วยท่านอ๋องแบ่งเบา”เวินซื่อยิ้มอย่างจริงใจ “หากเสียงสวดมนต์ของข้าทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ถือเป็นเกียรติของข้า”ราชวงศ์ต้าหมิงสามารถอยู่เย็นเป็นสุขเช่นนี้ได้ เรียกได้ว่าเป็นผลงานของท่านอ๋องเทพสงครามผู้นี้แน่นอนเมื่อขุนนางผู้มีคุณร้องขอ นางย่อมไม่อิดออดอีกทั้งเป็นเพียงคำขอร้องเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเห็นนางรับปาก รอยยิ้มบนใบหน้าของเป่ยเฉินหยวนเบิกบานยิ่งกว่าเดิม“ต่อไปหากท่านทรมาน มาหาข้าได้ตลอดเวลา ไม่ต้องนำสิ่งใดมาให้ข้าก็มาหาได้”คราวนี้เวินซื่อนึกว่า ก่อนหน้านี้ที่เป่ยเฉินหยวนนำของมากมายมาให้นางเพราะต้องการซื้อตัวนางตอนนี้ในเมื่อนางรู้ความจริง ต่อไปคงรับไว้ไม่ได้อีกแล้วเรื่องนี้เป่ยเฉินหยวนไม่ปฏิเสธ เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ต่อไปค่อยว่ากัน”วันเวลาหลังจากนี้เมื่อมีเหตุผลที่ถูกต้องเป่ยเฉินหยวนขยันไปอารามสุ่ยเยว่มากกว่าเดิม
พวกนางบำเพ็ญอยู่ที่อารามสุ่ยเยว่อย่างลำบากอาหารอย่างพวกขนมเหล่านี้ ในยามปกติหากินได้ยากมากหลังจากได้รับอนุญาตจากม่อโฉวซือไท่ เวินซื่อรีบนำขนมหลายห่อนั้นไปหาพวกศิษย์พี่หญิงทันทีตอนที่กลับมาอีกครั้ง ในมือเหลือเพียงครึ่งห่อเท่านั้นเวินซื่อวิ่งกลับมาอย่างดีใจ แต่เพิ่งเห็นเป่ยเฉินหยวนจู่ ๆ นึกถึงบางอย่าง “โอ๊ย...”ดูเหมือนลืมเก็บไว้ให้ท่านอ๋องแล้ว...เป่ยเฉินหยวนแค่มองก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไร เขากำลังจะบอกว่าตัวเองไม่กินของพวกนี้ ให้เวินซื่อเก็บไว้กินเองแต่เมื่อคำพูดมาจ่ออยู่ที่ปาก เขาก็เปลี่ยนคำพูดพร้อมเลิกคิ้ว “ทำอย่างไรดี เหลือแค่นี้เองหรือ ข้ายังไม่ได้กินสักชิ้นเลย”เมื่อได้ยินดังนั้น เวินซื่อยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นขนมที่ท่านอ๋องเป็นคนซื้อมา นางดีใจไปชั่วขณะก็เลยคิดแต่จะแบ่งให้พวกศิษย์พี่หญิง กลับลืมเก็บไว้ให้ท่านอ๋องเวินซื่อทำหน้ากระอักกระอ่วนแล้วยื่นขนมครึ่งห่อให้เขา “ยังมีอีกนิด ท่านอ๋องกินหรือไม่?”“กินแน่นอน”เป่ยเฉินหยวนจ้องมองใบหน้าแดงระเรื่อของนาง ยื่นมือไปหยิบขนมออกมาจากห่อกระดาษไขเพียงหนึ่งชิ้น“แต่ข้าไม่ได้ชอบกินมากนัก ที่เหลือท่านเก็บไว้กินเองเถอะ”เวินซื่อป
“ซือไท่หมายความว่าเช่นไร?”เป่ยเฉินหยวนแสร้งทำไม่เข้าใจ แล้วย้อนถามม่อโฉวซือไท่ กล่าว “อมิตตาพุทธ” แล้วหลุบตาเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องน่าจะเข้าใจความหมายของข้า อารามสุ่ยเยว่เป็นพื้นที่แห่งพระพุทธศาสนา เหล่าเด็กที่มาออกบวชที่นี่ล้วนต้องตัดขาดจากโลกีย์ ผัสสะทั้งหกหมดจด อู๋โยวเองย่อมต้องเป็นเช่นนั้น”เป่ยเฉินหยวนสีหน้าเรียบเฉย “ความหมายของซือไท่ เห็นว่าข้ารบกวนการบำเพ็ญของอู๋โยวหรือ?”ม่อโฉวซือไท่ไม่ปฏิเสธความเงียบสงัดแผ่ซ่านออกมาจากทั้งสองผ่านไปสักครู่ เป่ยเฉินหยวนจึงเอ่ยเชื่องช้า “ข้ามีความสงสัยมาโดยตลอด เรื่องนี้คิดว่าซือไท่น่าจะทราบดี พอดีวันนี้ซือไท่อยู่ที่นี่ด้วย ขอซือไท่โปรดคลายความสงสัยให้ข้าด้วย”ม่อโฉวซือไท่ไม่ปฏิเสธเขา “เชิญท่านอ๋องกล่าวมาได้เลย”“ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือกล่าวไว้ พระพุทธองค์โปรดผู้มีบุญสัมพันธ์ เช่นนั้นท่านคิดว่าคนอย่างข้าพระพุทธองค์จะโปรดหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนยกมือขวาที่ถือกระบี่มาตลอดขึ้นเขามองดูมือข้างนั้น กระดูกมือเรียวยาว แต่กลับเต็มไปด้วยรอยแผลเช่นเดียวกันกับบาดแผลบนตัวเขาเหล่านั้นที่ปกปิดอยู่ใต้ร่มผ้า บิดเบี้ยวและน่าเกลียดเขากำมือแน่นขึ้น บรรยาก
ในฐานะบุตรสาวแห่งภรรยาเอกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง เวินซื่อย่อมรู้จักของเหล่านี้อยู่แล้วและนางไม่เพียงแต่รู้จักเท่านั้น แต่เมื่อก่อนยังเคยใช้บ่อย ๆ อีกด้วยเพราะหลังจากที่มารดาล่วงลับไป จวนเจิ้นกั๋วกงก็มีนางเป็นบุตรสาวคนเดียว ดังนั้นในเวลานั้นเมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้รับสิ่งใดมาก็ตาม ก็จะมอบให้กับนางโดยตรงแต่ต่อมาเมื่อมีเวินเยวี่ยเข้ามาในสกุลเวินเวินเยวี่ยแค่เอ่ยคำเดียวว่าชอบ ปริมาณยาหยกหิมะที่ส่งมาที่ห้องนางก็ลดลงจากสามขวด สองขวด หนึ่งขวด จนสุดท้ายก็ไม่เคยได้รับมันอีกเลยในเวลานั้นเวินซื่อที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็วิ่งไปหาเวินเฉวียนเซิ่งโดยตรงเพื่อถามบิดาของตนว่า ทำไมถึงมอบยาหยกหิมะแก่เวินเยวี่ย แต่นางกลับไม่มีสักขวดเลย?เวลานั้น ‘บิดาแสนดี’ พูดว่าอย่างไรนะ?เวินซื่อลองนึกดูสักครู่ใช่แล้ว ตอนนั้นเขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เพราะนางเป็นน้องสาวของเจ้า นางต้องลำบากลำบนมากมายตั้งแต่เด็ก เจ้าเป็นพี่สาวจะยอมเอื้อเฟื้อหน่อยไม่ได้หรือ?”ด้วยคำว่า ‘พี่สาว’ นำหน้า เวินซื่อจึงต้องยอมแม้ว่าในใจจะรู้สึกคับข้องเพียงใดก็ตามนางในเวลานั้นยังมีความคิดอย่างไร้เดียงสา...ช่างมันเถอะ