หลังจากสวดไปได้เจ็ดแปดรอบเต็ม ๆ นางสวดจนใกล้จะคอแห้งผากแล้วเวินซื่อจึงจำต้องหยุดอีกครั้งผลปรากฏว่าใครบางคนก็เหมือนกับแกล้งทำเป็นนอนหลับ ทันทีที่นางหยุดใครบางคนก็ตื่นขึ้นมา อีกทั้งยังถามด้วยความไม่พอใจว่า “เหตุใดถึงหยุดอีกแล้ว?” เวินซื่ออดกลอกตาใส่เขาไม่ได้จริง ๆ ก่อนจะเอ่ยปากว่า “หากพูดต่อไป คอของข้าก็คงจะพิการแล้ว” เป่ยเฉินหยวนถึงค่อยสังเกตเห็นว่าเสียงของนางแหบพร่าอยู่บ้างจริง ๆ จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ผ่านไปนานเพียงใดแล้ว?” เวินซื่อกล่าวว่า “ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว” เป่ยเฉินหบวนอดประหลาดใจไม่ได้ “นานขนาดนี้เชียว?” เขายังนึกว่าผ่านไปแค่หนึ่งหรือสองเค่อเท่านั้น มิน่าเล่าเวินซื่อถึงได้บอกว่าคอจะพิการแล้ว เป่ยเฉินหยวนลุกขึ้นมา รู้สึกแค่ว่าเบาสบายไปทั่วทั้งร่าง โดยเฉพาะตรงจุดที่ก่อนหน้านี้เขาปวดศีรษะมากที่สุด วันนี้กลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่งเป็นไปตามที่คาดไว้เลย สุวรรณประภาสสูตรอะไรนี่ได้ผลกับอาการป่วยของเขาจริง ๆ ด้วยไม่อย่างนั้นกลับไปแล้วค่อยหาคนอื่นมาลองสวดดู ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมาที่อารามสุ่ยเยว่รบกวนนังหนูผู้อีกเป่ยเฉินหยวนคิดเช่นนี้ “วันนี
“อะไรนะ? นางสาดน้ำใส่เจ้า? เมื่อวานก็ด้วยหรือ?”เวินจื่อเฉินตกใจระคนโกรธเกรี้ยวเวินเยวี่ยยิ้มด้วยความขมขื่น แสร้งทำเป็นเปลี่ยนเรื่องว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะพี่รอง นี่ไม่สำคัญเลย แค่โดนสาดน้ำนิดหน่อยเท่านั้น ข้าไม่เป็นไร เรื่องที่สำคัญคือพี่หญิงห้านางไม่ยอมกลับบ้านเจ้าค่ะ”“ไม่สำคัญตรงไหน!”เวินจื่อเฉินโกรธจนไฟโทสะลุกโชนขึ้นมาทันที “เวินซื่อนางช่างใช้ไม่ได้เกินไปแล้วจริง ๆ! บอกว่านางจิตใจต่ำช้า นางก็ยังไม่ยอมรับ! รังแกได้แม้กระทั่งน้องสาวของตนเอง นางไม่ต่ำช้าแล้วผู้ใดจะต่ำช้ากัน?!”“พี่รอง! ท่านอย่าว่าพี่หญิงห้าเลย ไม่ว่าก่อนหน้านี้พี่หญิงห้าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ท่านต้องช่วยข้าคิดหาวิธีรีบพาพี่หญิงห้ากลับมาให้ได้จริง ๆ ไม่เช่นนั้นจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!” เวินเยวี่ยจงใจทำเป็นไม่สนใจความน้อยอกน้อยใจของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะกระทืบเท้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรนและเกินความเป็นจริงเวินจื่อเฉินถูกคำว่า ‘เรื่องใหญ่’ จากปากของนางดึงดูดความสนใจตามที่คาดเอาไว้เลย“น้องหกพูดเช่นนี้หมายความว่าอะไร? เวินซื่อยังก่อเรื่องอื่นในอารามสุ่ยเยว่อีกหรือไร?”“พี่หญิงห้านาง...”“นางทำอันใด?” เวินเยวี่ย
ซือไท่ด้านในออกมาเพราะเสียงเอะอะ ตะโกนสั่งห้ามให้เวินจื่อเฉินหยุดโดยมีประตูกั้นกลาง “ข้าไม่สนใจว่าจะปิดหรือไม่ ตอนนี้จงเรียกเวินซื่อออกมาเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้นอย่าโทษที่ข้าเตะประตูผุพังนี้จนแตกละเอียด แล้วทำลายอารามสุ่ยเยว่ของพวกเจ้า!” เวินจื่อเฉินตัดบทของซือไท่ด้านในอย่างหมดความอดทน ข่มขู่อย่างเผด็จการวางอำนาจบาตรใหญ่ซือไท่ได้ยินคำพูดนี้ของเขาก็รู้ว่าผู้มาไม่หวังดี ไฉนเลยยังกล้าเปิดประตูให้เขา ผลคือคิดไม่ถึงว่าเวินจื่อเฉินร้องเรียกติดต่อกันสามครั้ง เห็นนางไม่เปิดประตูให้ก็ยกเท้าเตะประตูจริง ๆ“ปัง! ปัง! ปัง!”อารามสุ่ยเยว่นั้นเรียบง่ายมาก ประตูใหญ่นี้ก็เป็นเพียงประตูไม้สองบานที่ไม่ถือว่าหนาและหนักมากนักเวินจื่อเฉินเข้าไปเตะแรง ๆ ไม่กี่ที ซือไท่ผู้นั้นยังไม่ทันได้ห้ามไว้ก็เห็นประตูถูกเตะจนเปิดดัง “โครม”เวินจื่อเฉินก้าวยาว ๆ เดินเข้ามา มองซือไท่ด้วยความเย็นชาแวบหนึ่งแล้วก็ตรงเข้าไปข้างใน “ประสกหยุดนะ! นี่ท่านจะทำอะไร! บุรุษห้ามบุกรุกเข้าไปในอารามสุ่ยเยว่นะ!”“แม่ชีเฒ่าอย่างเจ้ากล้าขวางข้าอีก ข้าจะเตะเจ้าไปด้วย!” เวินจื่อเฉินผลักซือไท่ที่พยายามขวางหน้าเขา ก่อนจะฝ่าปร
เวินจื่อเฉินเจ็บจนร้องโหยหวน สะบัดฝ่ามือตบไปที่ศีรษะของเวินซื่อตามจิตใต้สำนึก“เวินซื่อ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ยังไม่รีบคลายปากอีก!” เวินซื่อไม่ฟังเขาเลยคนที่บ้าไม่ใช่นางแต่เป็นเวินจื่อเฉิน!นางหนีออกมาจากสกุลเวินแล้ว เวินจื่อเฉินมีสิทธิ์อะไรมาทำลายชีวิตในตอนนี้ของนางอีก!ทุกคนที่อยากลากนางกลับไปยังนรกแห่งนั้นล้วนเป็นศัตรูของนางทั้งสิ้น! เวินซื่อกัดแขนของเวินจื่อเฉินแน่นยิ่งเวินจื่อเฉินตบนาง นางก็ยิ่งกัดแรงขึ้น กัดจนเลือดไหลออกมาแล้ว แต่นางก็ไม่คลายปากเวินจื่อเฉินเจ็บจนสบถด่าเสียงดัง “นังบ้า! นังบ้า ๆ!” “ดูสิว่าวันนี้ข้าจะไม่ตีเจ้าให้ตาย!”เวินจื่อเฉินเปลี่ยนจากตบมาเป็นทุบตีทันที ชกไปที่ร่างกายของเวินซื่อหมัดแล้วหมัดเล่า ร่างบางเล็กของเวินซื่อจะทนรับการทุบตีเช่นนี้ของเขาไหวที่ไหน เจ็บ เจ็บเหลือเกินน้ำตาของเวินซื่อไหลออกมาไม่หยุด กลิ่นสนิมพลันทะลักขึ้นมาในลำคอ ปะปนกับเลือดบนแขนของเวินจื่อเฉินที่อยู่ในปากนางแยกแยะไม่ได้แล้วว่าเป็นเลือดของใครกันแน่ บรรดาซือไท่และแม่ชีน้อยที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็ตกใจจะแย่แล้ว อยากจะแยกพวกเขาสองคนออกจากกัน แต่สองคนนี้ไม่มีใครยอมใคร
สิ่งที่เวินจื่อเฉินไม่รู้เลยก็คือนั่นไม่ใช่ภาพหลอนของเขา เพราะเวินซื่ออยากสังหารเขาจริง ๆในตอนที่เวินจื่อเฉินพยายามบังคับพาตัวนางไป นางก็แอบนำยาพิษที่นางเพิ่งคิดค้นเมื่อคืนออกมาจากในมิติหยก หลังจากนั้นตอนที่กัดเวินจื่อเฉิน นางถึงขนาดอมยาพิษไว้ในปากเวินจื่อเฉินได้รับพิษแล้ว แน่นอนว่านางเองก็ได้รับเช่นกันยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่ทันได้คิดค้นยาถอนพิษของยาพิษนี้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น“ฮ่า ๆๆๆ...” เวินซื่อทรุดตัวนั่งลงกับพื้นทันที เลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากค่อย ๆ ดำขึ้นเหมือนกับบาดแผลบนแขนของเวินจื่อเฉินชั่วขณะหนึ่งนางอยากหัวเราะอยู่บ้าง แต่ก็อดอยากร้องไห้ไม่ได้จะจบลงแค่นี้หรือ?ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้มีชีวิตใหม่ แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะฆ่าได้แค่เวินจื่อเฉินคนเดียว นางก็ต้องตายอีกครั้งในใจของเวินซื่อรู้สึกไม่ยินยอมมากจริงๆแต่เวินจื่อเฉินบีบบังคับซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางจนปัญญาแล้วจริง ๆในขณะที่เวินซื่อใกล้จะหลับตาลงเตรียมตัวรอความตาย บรรดาซือไท่และศิษย์พี่หญิงที่ร้อนใจอยู่ทางด้านข้างพลันตะโกนด้วยความตื่นเต้นดีใจ“ศิษ
“เกิดอะไรขึ้น? ใครทำร้ายนาง?”แวบแรกที่เห็นเวินซื่อที่ได้รับบาดเจ็บ โทสะพลันพรั่งพรูขึ้นมาในหัวใจของเป่ยเฉินหยวนเขาสาวเท้ายาว ๆ เดินไปหาเวินซื่อ ระหว่างนั้นก็เห็นสภาพแวดล้อมรอบด้านอย่างรวดเร็ว และเห็นเวินจื่อเฉินที่นอนกองกับพื้นอีกทางด้านหนึ่ง กอปรกับปฏิกิริยาตอบสนองของผู้คนในอารามสุ่ยเยว่ เป่ยเฉินหยวนแทบจะคาดเดาได้เกือบทั้งหมดในพริบตา“เจ้าเด็กสกุลเวินผู้นี้บุกเข้ามาทำร้ายอู๋โยวหรือ?” อู๋โยวคือฉายาทางธรรมของเวินซื่อ นับตั้งแต่ที่เวินซื่อบอกกับเป่ยเฉินหยวนว่านางไม่ใช่คุณหนูห้าสกุลเวินอีกต่อไป เป่ยเฉินหยวนก็ไม่เคยเรียกนามนั้นของนางอีกเลย ม่อโฉวพยักหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา “หลายคนในอารามล้วนอยู่ในเหตุการณ์และเห็นกับตาว่าเวินจื่อเฉินฝืนบุกเข้ามาในอารามสุ่ยเยว่ พยายามจับตัวธิดาศักดิ์สิทธิ์ไป อีกทั้งยังลงมือทำร้ายนางอย่างหนักด้วย” ม่อโฉวซือไท่รู้สึกโกรธจัด แต่ยังคงเล่าเรื่องออกมาอย่างใจเย็น ท้ายที่สุดก็อุ้มเวินซื่อพลางลุกขึ้นมาก่อนจะพานางกลับไปที่ห้อง ม่อโฉวมองเวินจื่อเฉินที่อยู่บนพื้นด้วยความผิดหวังอย่างยิ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “เรื่องสร้างความเดือดร้อนใหญ่หลวงให้อาราม
เป่ยเฉินหยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีพนักพิงข้างเตียง หลุบตาจ้องมองท่าทางงุนงงทำอะไรไม่ถูกของนางผ่านไปสองวินาทีเขาถึงค่อยอธิบายว่า “ที่นี่ไม่ใช่ห้องของท่าน” “เช่นนั้นที่นี่คือ?” “วังหลวง” เวินซื่อประหลาดใจ นางถูกส่งมาที่วังหลวงได้อย่างไร? เป่ยเฉินหยวนที่ราวกับดูออกว่านางกำลังคิดอะไรจึงอธิบายต่ออย่างเรียบนิ่งว่า “อาการบาดเจ็บบนตัวของท่านสาหัสไม่น้อยเลย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพิธีขอพรในภายภาคหน้า หลังจากที่ข้าหารือกับม่อโฉวซือไท่แล้ว ฝ่าบาทก็ทรงเห็นชอบ ย้ายท่านมาพักฟื้นในวังหลวงชั่วคราว” “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” เวินซื่อชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างลังเลใจว่า “แล้วดวงตาของข้า...” ตอนนี้นางอยากยืนยันให้แน่ใจมากว่า นางตาบอดแล้วจริง ๆ ใช่หรือไม่โชคดีที่เป่ยเฉินหยวนบอกนางว่า “วางใจเถิด ไม่ได้ตาบอดหรอก อาจารย์ม่อโฉวของท่านช่วยถอนพิษให้ท่านแล้ว ผ่านไปสักสองวันก็จะค่อย ๆ หายดีขึ้น” เวินซื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอกแรง ๆ ทันทีดีเหลือเกินนางไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่ ดวงตาก็ยังไม่บอดอีกด้วย! นี่เป็นข่าวดีที่สุดสำหรับเวินซื่อแล้ว แต่นางคิดไม่ถึงว่ายังมีข่าวที่ดีกว่านั้น“เมื
เวินซื่อถูกคำพูดของเขากระตุ้นให้เกิดความสงสัยใคร่รู้อย่างมากตามที่คาดเอาไว้จริง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “อยาก!” เป่ยเฉินหยวนหัวเราะอย่างไร้เสียง และไม่เล่นตัวอะไร เลียนแบบบรรดาขุนนางเล่าให้นางฟัง...“พวกเขากล่าวว่า ท่านเจิ้นกั๋วกงผู้ยิ่งใหญ่เหิมเกริมปล่อยให้บุตรชายเย่อหยิ่งวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาถึงเพียงนี้ หากไม่ลงโทษอย่างหนัก เกรงว่าวันหน้าบุตรชายของเขาอาจจะกำเริบเสิบสานก่อเภทภัยไปทั่ว” ขุนนางเหล่านั้นเอ่ยคำพูดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การส่งสัญญาณของเป่ยเฉินหยวนราวกับว่าวันหน้าเวินจื่อเฉินจะกลายเป็นภัยร้ายแรงขึ้นมาจริง ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งถึงกับหาทางลงไม่ได้เลย อย่าว่าแต่กล่าวโทษเลย คนของฝ่ายขุนพลแทบจะฉีกดวงหน้าชราของเขาหมดแล้วชั่วขณะหนึ่ง ท่ามกลางเสียงประณามกล่าวโทษร่วมกันของเหล่าขุนนางครึ่งหนึ่ง ฮ่องเต้น้อยทำได้เพียงมีพระบัญชาให้ลงโทษอย่างหนักด้วย ‘ความจนปัญญา’ และรับเอา ‘คำแนะนำ’ ที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเสนอขึ้นในเวลาที่เหมาะสมมาใช้ให้คนสกุลเวินได้รับการให้อภัยจากเวินซื่อก่อน ถึงค่อยพิจารณาว่าจะปล่อยตัวเวินจื่อเฉินหรือไม่ เวินเฉวียนเซิ่งไม
“ท่านอ๋องอาจจะยังไม่ทราบ” เวินเฉวียนเซิ่งเอ่ยปากอย่างช้าๆ “วันเกิดปัจจุบันของเยวี่ยเอ๋อร์ไม่ใช่วันเกิดที่แท้จริงของนาง แต่เป็นวันครบรอบวันตายของมารดาของนาง”“โอ้?”เป่ยเฉินหยวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แสดงสีหน้าไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด “เป็นวันครบรอบวันตาย เช่นนั้นเหตุใดจึงนำมาปะปนกับวันเกิดเล่า?”“เพียงเพื่อมิให้ในภายภาคหน้าเยวี่ยเอ๋อร์ลืมวันที่มารดาของนางเสียชีวิตไป จึงได้เปลี่ยนวันเกิดของเยวี่ยเอ๋อร์มาเป็นสองเดือนก่อนหน้านั้น และถ้าคำนวณตามวันเกิดที่แท้จริงของเยวี่ยเอ๋อร์แล้ว นางก็อายุน้อยกว่าเวินซื่อเล็กน้อย หากถือว่าเป็นน้องสาวก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม”“แค่เพียงเท่านี้หรือ?”“แค่เพียงเท่านี้”เวินเฉวียนเซิ่งตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเวินเยวี่ยก็รีบพยักหน้า “ใช่แล้วๆ ท่านพ่อทำเช่นนี้ก็เพื่อเยวี่ยเอ๋อร์ ไม่คิดเลยว่าจะทำให้ท่านอ๋องเข้าใจผิด แต่วันเกิดที่แท้จริงของข้าก็ยังอีกสักพักจริงๆ ”เมื่อได้ยินเวินเยวี่ยยืนยันหนักแน่นเช่นนี้ เวินฉางอวิ้นและคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างต่างมองหน้ากันทันทีจนกระทั่งวันนี้พวกเขาถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้ววันเกิดของน้องหกมีเบื้องหลังเช่นนี้เองแน่นอนว่าเป็นเ
ในที่สุดนางก็จะเบ่งบานอย่างงดงามเวินซื่อจ้องมองกิ่งดอกเหมยนั้น ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ เอ่ยด้วยเสียงเบาๆ “ขอบคุณท่านอ๋องสำหรับคำอวยพร”“ไม่คิดเลยว่าท่านอ๋องจะรู้เรื่องดอกไม้ได้ดีขนาดนี้ ดอกเหมย ช่างเหมาะกับพี่หญิงห้าจริงๆ ”ทันใดนั้น น้ำเสียงสดใสอ่อนหวานก็ดังขึ้นทำลายบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนเวินเยวี่ยเดินมาหยุดอยู่ตรงเวินซื่อ ใบหน้าของนางดูไร้เดียงสาและอยากรู้อยากเห็น พร้อมกับแทรกตัวเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน “แต่ดอกเหมยที่บานก่อนกำหนดเช่นนี้หายากจริงๆ เยวี่ยเอ๋อร์ก็ชอบมากเหมือนกัน พี่หญิงห้าให้เยวี่ยเอ๋อร์ดูบ้างได้หรือไม่?”“ไม่ได้”สีหน้าของเวินซื่อเย็นชาทันที และปฏิเสธนางอย่างไม่ลังเล“ก็ได้ พี่หญิงห้าก็ยังคงเกลียดข้ามากอยู่ดี ช่างเถิด พี่หญิงห้าอย่าโกรธเลย หากท่านรังเกียจ เยวี่ยเอ๋อร์ไม่ดูแล้วก็ได้”เวินเยวี่ยแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาในทันที จากนั้นจึงหันไปมองเป่ยเฉินหยวนด้วยความคาดหวัง “ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่าท่านพอจะมีดอกเหมยอีกหรือไม่ เยวี่ยเอ๋อร์ไม่อยากแย่งพี่หญิงห้า เพียงแต่ชอบมากจริงๆ ถ้าท่านยินดีมอบให้เยวี่ยเอ๋อร์สักกิ่ง เยวี่ยเอ๋อร
ภายในกล่องบรรจุชุดเครื่องประดับศีรษะที่ประดับด้วยขนนกสีฟ้าอมเขียว ทองคำ และหยกอันหรูหราอลังการ ยิ่งกว่ากวานที่เวินฉางอวิ้นพวกเขาพี่น้องทั้งสี่เคยสั่งทำให้เวินซื่อเสียอีกดังนั้น ไม่ใช่แค่เวินซื่อ แม้แต่คนในสกุลเวินที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นชุดเครื่องประดับศีรษะนี้ ต่างตกตะลึงไปตามๆ กันเวินเยวี่ยยิ่งรู้สึกอิจฉาจนกัดฟันกรอดหากนางเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ เครื่องประดับศีรษะเช่นนี้ก็ควรจะเป็นของนาง!แต่ตอนนี้นางเด็กสารเลวนี่กลับได้ไป!นางจะคู่ควรได้อย่างไร?!ทว่าเวินเยวี่ยไม่คาดคิดเลยว่า สิ่งที่ทำให้นางอิจฉายิ่งกว่ากำลังจะตามมา“ลองเปิดชิ้นนี้ดูอีกสิ”เป่ยเฉินหยวนยื่นกล่องอีกใบในมือให้กับเวินซื่อหลังจากวางชุดเครื่องประดับศีรษะอันหรูหราลงอย่างระมัดระวังแล้ว เวินซื่อจึงเปิดชิ้นที่เป่ยเฉินหยวนถืออยู่ในมือเมื่อเปิดออก เสื้อคลุมยาวปักลายผีเสื้อที่ทำมาจากผ้าไหมเสฉวนอันงดงามวิจิตรตระการตาก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนสิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ บนเสื้อคลุมยาวปักลายผีเสื้อที่พับไว้อย่างเรียบร้อยนั้น ยังมีกิ่งดอกเหมยวางทับไว้อยู่ทั้งกวาน ทั้งเสื้อคลุมยาวหรูหรา สุดท้ายยังมีดอกไม้อีก...มาถึงตอนน
“น้องหก เรื่องนี้พี่สามของเจ้าพูดถูกจริงๆ”เวินฉางอวิ้นก็ไม่เห็นด้วยที่เวินเยวี่ยจะนำของขวัญวันเกิดของตนเองออกมามอบให้“แต่วันนี้เป็นวันเกิดของพี่หญิงห้า หากนางไม่ได้รับของขวัญแม้แต่ชิ้นเดียว นางจะต้องเสียใจมากแค่ไหนกัน?”เวินเยวี่ยมองชะโงกข้ามไหล่ของเวินฉางอวิ้น พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใย แต่สายตาที่มองเวินซื่อกลับเต็มไปด้วยความท้าทาย“ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว จะมีอะไรให้เสียใจอีก? ในพิธีปักปิ่นก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้รับดอกไม้สักดอกเลยมิใช่หรือ?”เวินจื่อเยวี่ยยิ้มเยาะแล้วพูดจาแทงใจดำออกมา“ดังนั้นเวินซื่อเจ้าควรจะทำตัวดีๆ หน่อย หากเจ้ายอมเชื่อฟังแต่โดยดี ท่านพ่อและพวกเราก็ใช่ว่าจะมอบของขวัญวันเกิดชิ้นนี้ให้เจ้าไม่ได้”เวินซื่อกล่าวด้วยความรำคาญ “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ต้องการ...”“แท้จริงแล้วธรรมเนียมการอวยพรวันเกิดให้ผู้อื่นของจวนเจิ้นกั๋วกงก็คือมามือเปล่า แล้วยังต้องข่มขู่ผู้อื่นก่อน ถึงจะมอบของขวัญให้อย่างนั้นหรือ?”เวลานี้ น้ำเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยก็ดังมาจากนอกเรือนอย่างกะทันหันเวินเฉวียนเซิ่งและคนอื่นๆ หันกลับไปมอง เห็นเพียงเป่ยเฉินหยวนท่านอ๋องผู้สำเร็
เวินอวี้จือกล่าวเตือนเขา “มีเรื่องอะไรก็ค่อยพูดกันวันหลัง อย่าลืมจุดประสงค์ที่พวกเรามาที่นี่ในวันนี้”เวินฉางอวิ้นที่เดิมทีแล้วตั้งใจจะถามบิดาให้ชัดเจนก็ชะงักไปจริงสิ ธุระสำคัญในวันนี้คือการฉลองวันเกิดให้กับน้องห้าอย่ามัวเสียเวลาในวันเกิดของน้องห้าเลย“เฮ้อ ไม่ต้องหรอก ข้าไม่รีบ”เวินซื่อยิ้มเล็กน้อย “ถ้าพวกท่านมีอะไรจะพูด ก็พูดให้ชัดเจนตอนนี้เลยก็ได้”นางกำลังมีความสุขที่ได้ดูละครฉากนี้เวินเยวี่ยไม่อยากให้นางได้ดูละครอยู่ตรงนี้จริงๆ หากไม่ขัดขวางเสียหน่อย เกรงว่าเวินฉางอวิ้นก็จะหลุดพ้นจากการควบคุมของนางแล้วเวินเยวี่ยรีบยิ้มออกมาทันทีพลางเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นคำพูดใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับวันเกิดของพี่หญิงห้าในวันนี้ ท่านว่าจริงหรือไม่ พี่ใหญ่?”เวินฉางอวิ้นพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว “ใช่ น้องหกพูดถูก”“ได้”เวินซื่อที่ไม่ได้ดูละครสนุกๆ ก็แบมือทั้งสองข้างออกไป แล้วกล่าวกับเวินเฉวียนเซิ่งและคนอื่นๆ “เช่นนั้นก็เอามาสิ”“อะไรนะ?”เวินฉางอวิ้นยังไม่ทันได้ตอบสนอง ยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้างุนงง“ของขวัญอย่างไรเล่า”เวินซื่อยิ้มอย่างคลุมเครือพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านไม่ได้ตั้งใจมาอวยพรวั
แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่รองกินยาอะไรผิดมาถึงได้ทำตัวแปลกๆ ไม่ลงมือก็ช่างเถอะ แต่นี่กลับไปช่วยเวินซื่อทำไร่ทำสวนเชียวหรือ?ช่างน่าอับอายจริงๆ!“เจ้าสาม อย่าได้ใจร้อน ท่านพ่อก็ยังอยู่ที่นี่นะ”เวินฉางอวิ้นมองเวินจื่อเยวี่ยด้วยสายตากล่าวเตือน จากนั้นจึงปล่อยมือเวินจื่อเยวี่ยหันกลับไปมองสีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งถึงแม้เวินเฉวียนเซิ่งจะไม่ได้พูดอะไร แต่เวินจื่อเยวี่ยก็ยังคงปิดปากเงียบอย่างว่าง่าย“เวินซื่อ เจ้าเสียใจบ้างหรือไม่?”เวลานี้ เวินเฉวียนเซิ่งเอ่ยปากขึ้นอย่างกะทันหันตั้งแต่ก้าวเข้ามาในเรือนแห่งนี้ เขาก็มองสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างในเรือนนี้ด้วยท่าทีสูงส่งมาโดยตลอดรวมถึงลูกสาวของเขาที่ยืนอยู่ในแปลงสมุนไพร ดูเหมือนว่าจะกลมกลืนไปกับสถานที่แห่งนี้อย่างสมบูรณ์เวินซื่อถามกลับ “เสียใจ? เหตุใดข้าจึงต้องเสียใจด้วย?”“เจ้าสามารถเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงผู้มีฐานะสูงส่ง เสวยสุขในความร่ำรวยและมีเกียรติไปตลอดชีวิตได้แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับตกต่ำถึงเพียงนี้ เจ้าไม่เสียใจบ้างเลยหรือ?”“หึ? บุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงผู้มีฐานะสูงส่งหรือ?”เวินซื่ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เส
นางพูดอยู่ตรงนั้นคนเดียว เวินซื่อกลับไม่สนใจนางเมื่อเห็นท่าทีไม่เห็นหัวใครของนาง เวินจื่อเยวี่ยที่ไม่สบอารมณ์อยู่แล้วทำหน้าเข้มทันที “ทำไม หลังจากออกบวชเป็นแม่ชี ตอนนี้เรียนรู้แกล้งทำเป็นใบ้แล้วหรือ?”“น้องสาม”เวินฉางอวิ้นตำหนิเวินจื่อเยวี่ยเพื่อให้เขาสำรวมอารมณ์เสียบ้างเวินจื่อเฉินมองดูเวินซื่อที่อยู่ใจกลางแปลงสมุนไพร เขาไม่ได้วู่วามเหมือนก่อน ตอนนี้กลับเป็นน้องสามที่ไม่ชอบพูดชอบจา ยิ่งเหมือนเขามากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเวินจื่อเฉินเงียบไปสักครู่ เขาก้าวเข้าไปหยิบถังน้ำอีกใบที่อยู่ในเรือน “ข้าช่วยเจ้า”“ไม่ต้อง”ในที่สุดเวินซื่อก็เอ่ยปาก แต่คำแรกที่พูดออกมาคือการปฏิเสธนางยืดตัวตรง จ้องมองพวกเวินจื่อเฉินอย่างเย็นชา “เรือนของข้าทั้งสกปรกทั้งเล็ก รองรับพวกคนใหญ่คนโตอย่างพวกท่านไม่ได้หรอก หากไม่มีธุระใดอย่าอยู่ในเรือนข้าอีกเลย”แต่เวินจื่อเฉินกลับทำเหมือนไม่ได้ยินคำปฏิเสธของนาง ดื้อดึงถือถังน้ำเข้าไป แล้วทำท่าเหมือนเวินซื่อช่วยนางรดน้ำแปลงสมุนไพรที่เหลือสีหน้าเวินซื่อเยือกเย็นทันที นางกำลังจะบอกให้เวินจื่อเฉินวางลง เวินฉางอวิ้นที่อยู่ข้างกันเอ่ยขึ้นกะทันหัน“น้องห้า เจ้าอย
“อะไรนะ?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วทันที “พิธีปักปิ่นก่อนหน้านี้ไม่ใช่วันเกิดของอู๋โยวหรอกหรือ?”“เสด็จอาเองก็รู้สึกเหลือเชื่อสินะ?”ฮ่องเต้น้อยถอนหายใจอย่างสับสน “เราเองก็เพิ่งจะรู้ ที่แท้วันนี้ถึงจะเป็นวันเกิดของธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิง ส่วนเจิ้นกั๋วกงเองคงเพิ่งจะนึกได้ไม่นาน ดังนั้นตอนเที่ยงจึงได้มาขออนุญาตจากเรา”ตั้งแต่ท่านอาหลานจากไป จวนเจิ้นกั๋วกงยิ่งไร้ระเบียบเข้าไปทุกทีแม้จวนเจิ้นกั๋วกงจะประกาศต่อภายนอกว่าเวินเยวี่ยคือบุตรสาวของผู้มีคุณ ซึ่งรับไว้เป็นบุตรสาวบุญธรรม แต่สำหรับฮ่องเต้ การสืบค้นเรื่องพวกนี้ง่ายดายมากดังนั้นพวกฮ่องเต้น้อยรู้นานแล้วว่าเวินเยวี่ยคือบุตรสาวนอกสมรสของเวินเฉวียนเซิ่งเดิมทีนึกว่าเรื่องนี้เหลวไหลมากพอแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าผู้ที่เป็นถึงเจิ้นกั๋วกงจะทำเรื่องเหลวไหลเพื่อบุตรสาวนอกสมรสได้ขนาดนี้ผู้ที่เป็นบุตรสาวในภรรยาเอกจวนเจิ้นกั๋วกง นอกจากไม่อนุญาตให้จัดงานพิธีปักปิ่นในวันเกิดแล้ว ยังต้องถูกจัดให้เป็นตัวรองเพื่อให้บุตรสาวนอกสมรสโดดเด่นช่างเหลวไหลสิ้นดีเป่ยเฉินหยวนสอบถาม “เขาขออนุญาตเรื่องใดหรือ?”ฮ่องเต้น้อยกล่าว “แม้จะตัดขาดความสัมพันธ์กันแล้ว แต่
อย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจว่าพี่ใหญ่กับพี่รองคิดอะไรกันอยู่ยามนี้ทั้งสองคนเปลี่ยนเป็นเอาใจใส่เวินซื่อมากทั้งที่ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ไม่สนใจไม่ใส่ใจเวินซื่อแม้แต่น้อย พี่รองยิ่งลงไม้ลงมือกับเวินซื่อ ไม่มีใครดีกับนางสักคนตกลงพวกเขาเป็นอะไรไป?เพราะเวินซื่อให้พวกเขากินยาเสน่ห์ จนทำให้พวกเขาลืมไปว่าก่อนนี้เวินซื่อเป็นคนใจดำอำมหิตขนาดไหนงั้นหรือ?“พี่สาม อย่าพูดเช่นนี้ เกิดพี่หญิงห้าได้มายินคำพูดเช่นนี้ของท่าน นางจะเสียใจนะเจ้าคะ”เวินเยวี่ยที่ออกมาพร้อมกัน แม้ปากจะบอกให้เวินจื่อเยวี่ยอย่าพูดเช่นนี้ ทว่าในใจกลับพอใจมากโชคดีที่เวินจื่อเยวี่ยยังอยู่ในการควบคุมของนาง เพราะชายหนุ่มที่ดูเคร่งขรึมคนนี้ เป็นคนที่ดื้อดึงที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งสี่คนเมื่อเขาปักใจว่าเวินซื่อคือคนที่ใจคอโหดเหี้ยม มันจะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะคำโน้มน้าวจากผู้อื่นเด็ดขาดดังนั้นหากเวินเยวี่ยอยากใช้เขาเล่นงานเวินซื่อ พูดได้ว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก“อย่าว่าแต่ตอนนี้นางไม่ได้ยิน ต่อให้นางยืนอยู่ตรงหน้าข้า ก็ไม่มีสิ่งใดที่ข้าเวินจื่อเยวี่ยไม่กล้าพูด”น้ำเสียงของเวินจื่อเยวี่ยใจร้ายมาก ทิ้งคำพูดนี้ไว้ก่อนสะบัดแขนเสื้อจา