Share

บทที่ 50

Penulis: จิ้งซิง
หลังจากสวดไปได้เจ็ดแปดรอบเต็ม ๆ นางสวดจนใกล้จะคอแห้งผากแล้ว

เวินซื่อจึงจำต้องหยุดอีกครั้ง

ผลปรากฏว่าใครบางคนก็เหมือนกับแกล้งทำเป็นนอนหลับ ทันทีที่นางหยุดใครบางคนก็ตื่นขึ้นมา อีกทั้งยังถามด้วยความไม่พอใจว่า “เหตุใดถึงหยุดอีกแล้ว?”

เวินซื่ออดกลอกตาใส่เขาไม่ได้จริง ๆ ก่อนจะเอ่ยปากว่า “หากพูดต่อไป คอของข้าก็คงจะพิการแล้ว”

เป่ยเฉินหยวนถึงค่อยสังเกตเห็นว่าเสียงของนางแหบพร่าอยู่บ้างจริง ๆ จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ผ่านไปนานเพียงใดแล้ว?”

เวินซื่อกล่าวว่า “ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว”

เป่ยเฉินหบวนอดประหลาดใจไม่ได้ “นานขนาดนี้เชียว?”

เขายังนึกว่าผ่านไปแค่หนึ่งหรือสองเค่อเท่านั้น

มิน่าเล่าเวินซื่อถึงได้บอกว่าคอจะพิการแล้ว

เป่ยเฉินหยวนลุกขึ้นมา รู้สึกแค่ว่าเบาสบายไปทั่วทั้งร่าง โดยเฉพาะตรงจุดที่ก่อนหน้านี้เขาปวดศีรษะมากที่สุด วันนี้กลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่ง

เป็นไปตามที่คาดไว้เลย สุวรรณประภาสสูตรอะไรนี่ได้ผลกับอาการป่วยของเขาจริง ๆ ด้วย

ไม่อย่างนั้นกลับไปแล้วค่อยหาคนอื่นมาลองสวดดู ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมาที่อารามสุ่ยเยว่รบกวนนังหนูผู้อีก

เป่ยเฉินหยวนคิดเช่นนี้

“วันนี
Bab Terkunci
Lanjutkan Membaca di GoodNovel
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terkait

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 51

    “อะไรนะ? นางสาดน้ำใส่เจ้า? เมื่อวานก็ด้วยหรือ?”เวินจื่อเฉินตกใจระคนโกรธเกรี้ยวเวินเยวี่ยยิ้มด้วยความขมขื่น แสร้งทำเป็นเปลี่ยนเรื่องว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะพี่รอง นี่ไม่สำคัญเลย แค่โดนสาดน้ำนิดหน่อยเท่านั้น ข้าไม่เป็นไร เรื่องที่สำคัญคือพี่หญิงห้านางไม่ยอมกลับบ้านเจ้าค่ะ”“ไม่สำคัญตรงไหน!”เวินจื่อเฉินโกรธจนไฟโทสะลุกโชนขึ้นมาทันที “เวินซื่อนางช่างใช้ไม่ได้เกินไปแล้วจริง ๆ! บอกว่านางจิตใจต่ำช้า นางก็ยังไม่ยอมรับ! รังแกได้แม้กระทั่งน้องสาวของตนเอง นางไม่ต่ำช้าแล้วผู้ใดจะต่ำช้ากัน?!”“พี่รอง! ท่านอย่าว่าพี่หญิงห้าเลย ไม่ว่าก่อนหน้านี้พี่หญิงห้าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ท่านต้องช่วยข้าคิดหาวิธีรีบพาพี่หญิงห้ากลับมาให้ได้จริง ๆ ไม่เช่นนั้นจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!” เวินเยวี่ยจงใจทำเป็นไม่สนใจความน้อยอกน้อยใจของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะกระทืบเท้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรนและเกินความเป็นจริงเวินจื่อเฉินถูกคำว่า ‘เรื่องใหญ่’ จากปากของนางดึงดูดความสนใจตามที่คาดเอาไว้เลย“น้องหกพูดเช่นนี้หมายความว่าอะไร? เวินซื่อยังก่อเรื่องอื่นในอารามสุ่ยเยว่อีกหรือไร?”“พี่หญิงห้านาง...”“นางทำอันใด?” เวินเยวี่ย

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 52

    ซือไท่ด้านในออกมาเพราะเสียงเอะอะ ตะโกนสั่งห้ามให้เวินจื่อเฉินหยุดโดยมีประตูกั้นกลาง “ข้าไม่สนใจว่าจะปิดหรือไม่ ตอนนี้จงเรียกเวินซื่อออกมาเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้นอย่าโทษที่ข้าเตะประตูผุพังนี้จนแตกละเอียด แล้วทำลายอารามสุ่ยเยว่ของพวกเจ้า!” เวินจื่อเฉินตัดบทของซือไท่ด้านในอย่างหมดความอดทน ข่มขู่อย่างเผด็จการวางอำนาจบาตรใหญ่ซือไท่ได้ยินคำพูดนี้ของเขาก็รู้ว่าผู้มาไม่หวังดี ไฉนเลยยังกล้าเปิดประตูให้เขา ผลคือคิดไม่ถึงว่าเวินจื่อเฉินร้องเรียกติดต่อกันสามครั้ง เห็นนางไม่เปิดประตูให้ก็ยกเท้าเตะประตูจริง ๆ“ปัง! ปัง! ปัง!”อารามสุ่ยเยว่นั้นเรียบง่ายมาก ประตูใหญ่นี้ก็เป็นเพียงประตูไม้สองบานที่ไม่ถือว่าหนาและหนักมากนักเวินจื่อเฉินเข้าไปเตะแรง ๆ ไม่กี่ที ซือไท่ผู้นั้นยังไม่ทันได้ห้ามไว้ก็เห็นประตูถูกเตะจนเปิดดัง “โครม”เวินจื่อเฉินก้าวยาว ๆ เดินเข้ามา มองซือไท่ด้วยความเย็นชาแวบหนึ่งแล้วก็ตรงเข้าไปข้างใน “ประสกหยุดนะ! นี่ท่านจะทำอะไร! บุรุษห้ามบุกรุกเข้าไปในอารามสุ่ยเยว่นะ!”“แม่ชีเฒ่าอย่างเจ้ากล้าขวางข้าอีก ข้าจะเตะเจ้าไปด้วย!” เวินจื่อเฉินผลักซือไท่ที่พยายามขวางหน้าเขา ก่อนจะฝ่าปร

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 53

    เวินจื่อเฉินเจ็บจนร้องโหยหวน สะบัดฝ่ามือตบไปที่ศีรษะของเวินซื่อตามจิตใต้สำนึก“เวินซื่อ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ยังไม่รีบคลายปากอีก!” เวินซื่อไม่ฟังเขาเลยคนที่บ้าไม่ใช่นางแต่เป็นเวินจื่อเฉิน!นางหนีออกมาจากสกุลเวินแล้ว เวินจื่อเฉินมีสิทธิ์อะไรมาทำลายชีวิตในตอนนี้ของนางอีก!ทุกคนที่อยากลากนางกลับไปยังนรกแห่งนั้นล้วนเป็นศัตรูของนางทั้งสิ้น! เวินซื่อกัดแขนของเวินจื่อเฉินแน่นยิ่งเวินจื่อเฉินตบนาง นางก็ยิ่งกัดแรงขึ้น กัดจนเลือดไหลออกมาแล้ว แต่นางก็ไม่คลายปากเวินจื่อเฉินเจ็บจนสบถด่าเสียงดัง “นังบ้า! นังบ้า ๆ!” “ดูสิว่าวันนี้ข้าจะไม่ตีเจ้าให้ตาย!”เวินจื่อเฉินเปลี่ยนจากตบมาเป็นทุบตีทันที ชกไปที่ร่างกายของเวินซื่อหมัดแล้วหมัดเล่า ร่างบางเล็กของเวินซื่อจะทนรับการทุบตีเช่นนี้ของเขาไหวที่ไหน เจ็บ เจ็บเหลือเกินน้ำตาของเวินซื่อไหลออกมาไม่หยุด กลิ่นสนิมพลันทะลักขึ้นมาในลำคอ ปะปนกับเลือดบนแขนของเวินจื่อเฉินที่อยู่ในปากนางแยกแยะไม่ได้แล้วว่าเป็นเลือดของใครกันแน่ บรรดาซือไท่และแม่ชีน้อยที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็ตกใจจะแย่แล้ว อยากจะแยกพวกเขาสองคนออกจากกัน แต่สองคนนี้ไม่มีใครยอมใคร

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 54

    สิ่งที่เวินจื่อเฉินไม่รู้เลยก็คือนั่นไม่ใช่ภาพหลอนของเขา เพราะเวินซื่ออยากสังหารเขาจริง ๆในตอนที่เวินจื่อเฉินพยายามบังคับพาตัวนางไป นางก็แอบนำยาพิษที่นางเพิ่งคิดค้นเมื่อคืนออกมาจากในมิติหยก หลังจากนั้นตอนที่กัดเวินจื่อเฉิน นางถึงขนาดอมยาพิษไว้ในปากเวินจื่อเฉินได้รับพิษแล้ว แน่นอนว่านางเองก็ได้รับเช่นกันยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่ทันได้คิดค้นยาถอนพิษของยาพิษนี้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น“ฮ่า ๆๆๆ...” เวินซื่อทรุดตัวนั่งลงกับพื้นทันที เลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากค่อย ๆ ดำขึ้นเหมือนกับบาดแผลบนแขนของเวินจื่อเฉินชั่วขณะหนึ่งนางอยากหัวเราะอยู่บ้าง แต่ก็อดอยากร้องไห้ไม่ได้จะจบลงแค่นี้หรือ?ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้มีชีวิตใหม่ แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะฆ่าได้แค่เวินจื่อเฉินคนเดียว นางก็ต้องตายอีกครั้งในใจของเวินซื่อรู้สึกไม่ยินยอมมากจริงๆแต่เวินจื่อเฉินบีบบังคับซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางจนปัญญาแล้วจริง ๆในขณะที่เวินซื่อใกล้จะหลับตาลงเตรียมตัวรอความตาย บรรดาซือไท่และศิษย์พี่หญิงที่ร้อนใจอยู่ทางด้านข้างพลันตะโกนด้วยความตื่นเต้นดีใจ“ศิษ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 55

    “เกิดอะไรขึ้น? ใครทำร้ายนาง?”แวบแรกที่เห็นเวินซื่อที่ได้รับบาดเจ็บ โทสะพลันพรั่งพรูขึ้นมาในหัวใจของเป่ยเฉินหยวนเขาสาวเท้ายาว ๆ เดินไปหาเวินซื่อ ระหว่างนั้นก็เห็นสภาพแวดล้อมรอบด้านอย่างรวดเร็ว และเห็นเวินจื่อเฉินที่นอนกองกับพื้นอีกทางด้านหนึ่ง กอปรกับปฏิกิริยาตอบสนองของผู้คนในอารามสุ่ยเยว่ เป่ยเฉินหยวนแทบจะคาดเดาได้เกือบทั้งหมดในพริบตา“เจ้าเด็กสกุลเวินผู้นี้บุกเข้ามาทำร้ายอู๋โยวหรือ?” อู๋โยวคือฉายาทางธรรมของเวินซื่อ นับตั้งแต่ที่เวินซื่อบอกกับเป่ยเฉินหยวนว่านางไม่ใช่คุณหนูห้าสกุลเวินอีกต่อไป เป่ยเฉินหยวนก็ไม่เคยเรียกนามนั้นของนางอีกเลย ม่อโฉวพยักหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา “หลายคนในอารามล้วนอยู่ในเหตุการณ์และเห็นกับตาว่าเวินจื่อเฉินฝืนบุกเข้ามาในอารามสุ่ยเยว่ พยายามจับตัวธิดาศักดิ์สิทธิ์ไป อีกทั้งยังลงมือทำร้ายนางอย่างหนักด้วย” ม่อโฉวซือไท่รู้สึกโกรธจัด แต่ยังคงเล่าเรื่องออกมาอย่างใจเย็น ท้ายที่สุดก็อุ้มเวินซื่อพลางลุกขึ้นมาก่อนจะพานางกลับไปที่ห้อง ม่อโฉวมองเวินจื่อเฉินที่อยู่บนพื้นด้วยความผิดหวังอย่างยิ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “เรื่องสร้างความเดือดร้อนใหญ่หลวงให้อาราม

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 56

    เป่ยเฉินหยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีพนักพิงข้างเตียง หลุบตาจ้องมองท่าทางงุนงงทำอะไรไม่ถูกของนางผ่านไปสองวินาทีเขาถึงค่อยอธิบายว่า “ที่นี่ไม่ใช่ห้องของท่าน” “เช่นนั้นที่นี่คือ?” “วังหลวง” เวินซื่อประหลาดใจ นางถูกส่งมาที่วังหลวงได้อย่างไร? เป่ยเฉินหยวนที่ราวกับดูออกว่านางกำลังคิดอะไรจึงอธิบายต่ออย่างเรียบนิ่งว่า “อาการบาดเจ็บบนตัวของท่านสาหัสไม่น้อยเลย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพิธีขอพรในภายภาคหน้า หลังจากที่ข้าหารือกับม่อโฉวซือไท่แล้ว ฝ่าบาทก็ทรงเห็นชอบ ย้ายท่านมาพักฟื้นในวังหลวงชั่วคราว” “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” เวินซื่อชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างลังเลใจว่า “แล้วดวงตาของข้า...” ตอนนี้นางอยากยืนยันให้แน่ใจมากว่า นางตาบอดแล้วจริง ๆ ใช่หรือไม่โชคดีที่เป่ยเฉินหยวนบอกนางว่า “วางใจเถิด ไม่ได้ตาบอดหรอก อาจารย์ม่อโฉวของท่านช่วยถอนพิษให้ท่านแล้ว ผ่านไปสักสองวันก็จะค่อย ๆ หายดีขึ้น” เวินซื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอกแรง ๆ ทันทีดีเหลือเกินนางไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่ ดวงตาก็ยังไม่บอดอีกด้วย! นี่เป็นข่าวดีที่สุดสำหรับเวินซื่อแล้ว แต่นางคิดไม่ถึงว่ายังมีข่าวที่ดีกว่านั้น“เมื

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 57

    เวินซื่อถูกคำพูดของเขากระตุ้นให้เกิดความสงสัยใคร่รู้อย่างมากตามที่คาดเอาไว้จริง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “อยาก!” เป่ยเฉินหยวนหัวเราะอย่างไร้เสียง และไม่เล่นตัวอะไร เลียนแบบบรรดาขุนนางเล่าให้นางฟัง...“พวกเขากล่าวว่า ท่านเจิ้นกั๋วกงผู้ยิ่งใหญ่เหิมเกริมปล่อยให้บุตรชายเย่อหยิ่งวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาถึงเพียงนี้ หากไม่ลงโทษอย่างหนัก เกรงว่าวันหน้าบุตรชายของเขาอาจจะกำเริบเสิบสานก่อเภทภัยไปทั่ว” ขุนนางเหล่านั้นเอ่ยคำพูดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การส่งสัญญาณของเป่ยเฉินหยวนราวกับว่าวันหน้าเวินจื่อเฉินจะกลายเป็นภัยร้ายแรงขึ้นมาจริง ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งถึงกับหาทางลงไม่ได้เลย อย่าว่าแต่กล่าวโทษเลย คนของฝ่ายขุนพลแทบจะฉีกดวงหน้าชราของเขาหมดแล้วชั่วขณะหนึ่ง ท่ามกลางเสียงประณามกล่าวโทษร่วมกันของเหล่าขุนนางครึ่งหนึ่ง ฮ่องเต้น้อยทำได้เพียงมีพระบัญชาให้ลงโทษอย่างหนักด้วย ‘ความจนปัญญา’ และรับเอา ‘คำแนะนำ’ ที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเสนอขึ้นในเวลาที่เหมาะสมมาใช้ให้คนสกุลเวินได้รับการให้อภัยจากเวินซื่อก่อน ถึงค่อยพิจารณาว่าจะปล่อยตัวเวินจื่อเฉินหรือไม่ เวินเฉวียนเซิ่งไม

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 58

    แต่ตอนนี้พอฟื้นขึ้นมาก็เหลือเวลาแค่เก้าวันเท่านั้น! เวินซื่อโอดครวญในใจทันทีนางยังมีบทสวดขอพรอีกมากมายที่ต้องท่องจำ เวลาเก้าวันจะเพียงพอได้อย่างไร!“ไม่ได้การ ๆ ข้าต้องกลับไปแล้ว”ไม่กลับไปไม่ได้เมื่อนึกได้ว่ายังมีบทสวดกองเป็นภูเขาที่ต้องท่องจำ นางยังจะสนใจคนสกุลเวินอะไรนั่นที่ไหนกัน!“ท่านอ๋อง รบกวนท่านให้คนเตรียมรถม้าให้ข้าสักคัน ส่งข้ากลับไปที่อารามได้หรือไม่?”ครั้งนี้เวินซื่อที่มองอะไรไม่เห็นลุกขึ้นมานั่งด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะยื่นมือไปคลำรอบ ๆผลปรากฏว่าคลำโดนต้นแขนที่แข็งแรงข้างหนึ่งโดยไม่ระวังเวินซื่อไม่ได้โง่งม สัมผัสจากมือที่ได้ลูบคลำไปนั้นเป็นความอบอุ่นที่สัมผัสได้โดยมีเนื้อผ้ากั้นกลาง นอกจากร่างกายมนุษย์แล้วยังจะเป็นอะไรได้อีก?นอกจากนี้ภายในห้องไม่มีบุคคลที่สามเอ่ยวาจามาโดยตลอด นอกจากนางแล้วก็เหลือเพียงเป่ยเฉินหยวนเท่านั้น ดังนั้นหลังจากที่ตระหนักได้ว่านางสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย มือของนางก็เหมือนกับถูกลวกขึ้นมาทันที ตกใจจนอยากจะรีบหดมือกลับผลปรากฏว่าเพิ่งจะหดกลับไปได้ครึ่งทางก็ถูกมือใหญ่จับข้อมือไว้ “บอกแล้วว่าอย่าขยับส่งเดช”เสียงของเป่ยเฉินหยวนฟั

Bab terbaru

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 307

    “ท่านพ่ออีกคน ท่านก็เหมือนกัน ลูกรู้ว่าท่านลำเอียงเข้าข้างน้องหก แต่หัวใจของท่านก็อย่าเอนเอียงจนเกินไป!”เวินฉางอวิ้นจ้องเขม็งใส่บิดาท่านนี้ที่เขาเคยเคารพศรัทธามาโดยตลอดทั้ง ๆ ที่เคยเป็นแบบอย่างที่เขาอยากเดินตาม แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าอะไร ๆ ล้วนไม่จริง!ตัวตนของน้องหกก็ไม่จริงความรู้สึกของพ่อที่มีต่อแม่ก็ไม่จริงยังมีภาพลักษณ์พี่ชายที่ดีที่สุดในเมืองหลวงของเขา ก็ไม่จริงเช่นกัน!เขาไม่สมควรที่จะเรียกตัวเองแบบนั้น!เมื่อนึกขึ้นมาในตอนนี้ เขารู้สึกเสียใจมากจริง ๆทั้ง ๆ ที่เขาเป็นพี่ชายคนโตของครอบครัวนี้ แต่กลับไม่ห้ามน้องสาวออกบวช และไม่ได้เกลี้ยกล่อมน้องชายที่ออกจากบ้านให้กลับมาบัดนี้เมื่อเขาได้สติในที่สุด ก็ได้สูญเสียน้องห้าและน้องรองไปแล้วเวินฉางอวิ้นมองดูน้องชายสองคนที่เหลืออยู่ในบ้าน มองดูพวกเขาเหมือนกับตัวเองเมื่อก่อนทุกประการ ท่าทางไม่มีสติเลยแม้แต่นิดเดียวเขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “น้องสาม น้องสี่ ดูแลครอบครัวนี้ให้ดี หากพวกเจ้ายังไม่ได้สติอีกล่ะก็ ครอบครัวนี้ก็จะแตกแยกจริง ๆ แล้ว!น่าเสียดายที่เวินจื่อเยวี่ยไม่เข้าใจเวินอวี้จือก็ไม่เข้าใจเช่นกันพวกเขามองพี่ใหญ่ท

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 306

    การระเบิดคำถามอย่างกะทันหันของเวินฉางอวิ้น ทำให้ทั้งเวินจื่อเยวี่ยและเวินอวี้จือที่ตั้งใจจะคุยกับเวินจื่อเยวี่ยตกตะลึงไปเวินเฉวียนเซิ่งไม่ได้เอ่ยปาก เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเหลือบมองเวินฉางอวิ้นเวินจื่อเยวี่ยเปิดปาก อยากจะพูดบางอย่างเพื่อโต้แย้ง แต่สุดท้ายก็แค่บ่นด้วยความอึดอัดใจ “นั่นจะโทษตัวนางก็ไม่ได้ และไม่ใช่พวกเราที่บีบบังคับให้นางออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงให้ได้นี่”เวินฉางอวิ้นยิ้มเยาะ โยนมาให้เขาแล้ว พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ “น้องสาม ดวงตาของเจ้าบอดแล้ว ข้าก็เช่นกัน พวกเราทุกคนก็เช่นเดียวกัน”“มีเพียงน้องรองเท่านั้นที่ได้สติแล้ว เขาเข้าใจทุกอย่าง ดังนั้นจึงไปจากบ้านหลังนี้โดยไม่ยอมหวนกลับเหมือนน้องห้า”“ได้สติอะไร แค่ออกไปเป็นคนโง่เท่านั้นเอง”เวินจื่อเยวี่ยกล่าวอย่างไม่แยแส“พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้แอบไปดูหรือ? เขาออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงของเรา แม้แต่ที่อยู่อาศัยของตัวเองยังหาไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำได้เพียงออกไปสร้างกระท่อมฟางโทรม ๆ เหมือนขอทาน นี่น่ะหรือได้สติอย่างที่พี่ใหญ่ว่า? ข้าว่าเขาเป็นแค่เรื่องขำขันมากกว่า”แต่เวินฉางอวิ้นกลับเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเวทนา“เจ้าบอกว่าน้องรองเสียสติ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 305

    จวนเจิ้นกั๋วกงห้องหนังสือ“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ข้าไม่นึกเลยว่าพวกท่านจะปฏิบัติกับน้องหกแบบนี้!”“พวกท่านรู้ดีว่าวังหลังนั่นคือสถานที่อะไร รู้ดีว่าพระองค์เกรงกลัวจวนเจิ้นกั๋วกงของเราแค่ไหน พวกท่านยังกล้าวางใจทิ้งน้องหกไว้ที่นั่นอีก!”“ถ้าน้องหกอยู่ในวังถูกข่มเหงรังแกจะทำอย่างไร? หากพวกเราไม่ได้อยู่ใกล้ตัวนาง ใครจะสามารถปกป้องนางได้?!”“ได้ ได้! ในเมื่อพวกท่านไม่ไปหานาง ถ้าอย่างนั้นข้าจะไป!”“หากรู้ตั้งแต่แรกว่าวันนั้นหลังจากน้องหกตามพวกท่านเข้าวังไปแล้ว จะถูกพวกท่านทิ้งไว้ที่นั่นล่ะก็ ต่อให้ขาข้างนี้ของข้าต้องพิการก็จะตามพวกท่านเข้าวังไปด้วย!”สกุลเวินในเวลานี้เกิดการโต้เถียงใหญ่โตมาสองวันแล้ว เพราะเรื่องที่เวินเยวี่ยเข้าวังพูดให้ถูกก็คือ ส่วนใหญ่เป็นการโวยวายเพียงฝ่ายเดียวของเวินจื่อเยวี่ยเป็นหลักแม้ว่าเวินอวี้จือจะไม่เอะอะโวยวายเหมือนกับเวินจื่อเยวี่ย แต่ทุกครั้งเมื่อเวินจื่อเยวี่ยเสียงดัง โดยพื้นฐานเขาก็ยืนอยู่ข้างเวินจื่อเยวี่ยเสมอส่วนพ่อลูกคู่นี้เวินเฉวียนเซิ่งและเวินฉางอวิ้น ทั้งสองนั้นมีนิสัยใจคอเหมือนกัน ในตอนแรก ๆ ยังสามารถอดทนไว้ได้ อธิบายให้พวกเข้าฟังอย่างใจเย็น ไม่

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 304

    เหลียงหมอมอคือคนเก่าคนแก่ที่อยู่ข้างกายองค์ไทเฮา และไทเฮาก็เจาะจงสั่งให้มาอบรมกฎเกณฑ์แก่เวินเยวี่ยดังนั้นนางจึงตอบปฏิเสธคำร้องขอของเวินเยวี่ยอย่างไม่ลังเล “ขออภัยด้วยคุณหนูหกสกุลเวิน เนื้อตัวของท่านมีกลิ่นอายชนบทมากเกินไป เพื่อให้ท่านได้เรียนรู้กฎเกณฑ์และกลายเป็นผู้สูงศักดิ์ในวังได้โดยเร็ว บ่าวจึงต้องเข้มงวดกับท่านเล็กน้อย”เมื่อได้ยินคำว่า “กลิ่นอายชนบทมากเกินไป” สีหน้าของเวินเยวี่ยก็บึ้งตึงขึ้นมาอย่างทนไม่ไหวทันทีนังแก่นี่กล้าดูหมิ่นนางได้อย่างไร?เวินเยวี่ยกัดฟันด้วยความโกรธ พลางข่มไฟโทสะไว้ “แต่ว่าพระองค์ตกหลุมรักข้าตั้งแต่แรกเห็น หากข้าไม่ทันระวังได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าในขณะที่เรียนรู้กฎเกณฑ์จากท่าน เกรงว่าหมอมอจะลำบากกระมัง?”ลูกไม้ตื้น ๆ แบบเวินเยวี่ยนี้ เหลียงหมอมอเคยเห็นมามากแล้วนางยิ้มเล็กน้อย “คุณหนูหกสกุลเวิน คำพูดของท่านนั้นไม่ถูกต้อง”เวินเยวี่ยไม่แยแส “ตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง?”“ไม่มีตรงไหนถูกต้องเลย พระองค์ทรงตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกเห็น ต้องการรับท่านเข้าวังในฐานะพระสนม ดังนั้นถึงให้ท่านเข้ามาเรียนรู้กฎเกณฑ์ในตำหนักของไทเฮา แต่ตอนนี้ท่านไม่เพียงแต่ไม่ตั้งใจเรียนรู

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 303

    เวินฉางอวิ้นทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ“ไม่ใช่ขนมอบถั่วเขียวหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็เป็นขนมกุ้ยฮวา?”รอยยิ้มบนใบหน้าของเวินซื่อสดใสขึ้น แต่ก็เย็นชาลงเช่นกัน “ขนมกุ้ยฮวา พี่ใหญ่แน่ใจหรือ? คิดว่าเป็นขนมกุ้ยฮวาจริงหรือ? ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ลองเดาดูอีกครั้ง เพราะถึงอย่างไรทุกครั้งท่านก็เดาแม่นเช่นนี้เสมอ ทำไมไม่ลองดูหน่อยว่า น้องสาวที่น่ารำคาญอย่างข้าผู้นี้ มีของที่ไม่ชอบกินที่สุดมากน้อยแค่ไหนกันแน่?”ใบหน้าของเวินฉางอวิ้นซีดเผือดอีกครั้งในชั่วประเดี๋ยวเดียว“ช่างมันเถอะ ข้าชอบกินอะไรมันเกี่ยวอะไรกับพี่ใหญ่ด้วยเล่า เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ พี่ใหญ่จำไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ”น้ำเสียงของเวินซื่อเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน “เพราะถึงอย่างไรต่อให้ข้าไม่กิน แต่ก็ยังมีคนหนึ่งที่ชอบกินอย่างไรเล่า พี่ใหญ่รีบห่อกลับไปให้น้องสาวสุดที่รักผู้นั้นที่ท่านรักสุดหัวใจเถิด”“ไม่ใช่นะ...น้องห้าเจ้าฟังพี่ใหญ่อธิบายก่อน พี่ใหญ่ไม่ได้ตั้งใจซื้อขนมอบถั่วเขียวที่เจ้าเกลียดมาให้ เพียงแต่ตอนนั้นซื้อไปโดย...จิตใต้สำนึก”เวินฉางอวิ้นร้อนใจจนพูดจาไม่คล่อง พูดถึงตอนท้ายเขาเองยังรู้สึกอับอายยิ่งกว่าเดิมเมื่อคิดดูอย่างรอบคอบ ขนมอบถั

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 302

    “หากข้ากล้าทำเช่นนั้น ข้าก็ไม่ใช่คน ขอให้ฟ้าผ่าลงทัณฑ์ข้า!”เวินฉางอวิ้นยืนรับรองอยู่ข้างนอกอารามสุ่ยเยว่เป็นเวลาครึ่งชั่วยามแล้ว ลำคอแทบแห้งผาก ซือไท่เหล่านั้นถึงผ่อนคลายลง รับปากว่าจะช่วยเข้าไปพูดให้เขาแต่น่าเสียดายเหล่าซือไท่รับปากว่าจะบอกให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเวินซื่อจะตกลงออกไป“ไม่ไป”แค่สองคำที่มีกลับมาถึงเบื้องหน้าเวินฉางอวิ้นเวินฉางอวิ้นมีหรือจะยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนี้“เหล่าซือไท่ได้โปรดช่วยเกลี้ยกล่อมน้องสาวของข้าอีกครั้ง ข้าแค่อยากเห็นหน้านางเท่านั้น”“ไม่ได้ ธิดาศักดิ์สิทธิ์บอกไปแล้วว่าจะไม่พบท่านก็คือไม่พบท่าน ท่านอย่ามาเสียเวลาที่นี่เลยดีกว่า รีบกลับไปเสียเถอะ”เหล่าซือไท่ที่ไม่ถูกชะตากับจวนเจิ้นกั๋วกงอยู่แล้ว หลังจากส่งต่อคำพูดจบแล้วก็รีบขับไล่เขาทันที ไม่อยากให้เวินฉางอวิ้นอยู่หน้าอารามสุ่ยเยว่ของพวกนางนานไปกว่านี้แม้แต่นิดเดียวแต่พวกนางนึกไม่ถึงว่าวันนี้ขับไล่ไป แต่หลังจากนี้เวินฉางอวิ้นก็มาอีกทุกวันทันทีที่เสร็จงานในช่วงบ่าย ไม่ได้กลับไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงด้วยซ้ำก็ตรงมาที่อารามสุ่ยเยว่เลยมาเคาะประตูทุกวัน รบกวนจนเหล่าซือไท่หาความสงบสุขไม่ได้สุดท้ายก็ต้อ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 301

    “ท่าน วันนี้มาได้อย่างไร?”เวินซื่อมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยนางรู้ว่าวันเหมายันมาเยือนของทุกปีในราชสำนักจะมีงานเลี้ยงใหญ่ของเหล่าขุนนาง แต่ปีนี้นางไม่ได้ไปเพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่บุตรสาวภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงอีกแล้วฝ่าบาททรงส่งคนมาถามนาง แต่นางก็ยังปฏิเสธอย่างสุภาพเนื่องจากออกบวชเป็นชีแล้ว งานเลี้ยงสวดขอพรเหล่านั้นที่ไม่ต้องมีนางอยู่ด้วยก็ไม่จำเป็นต้องไปอยู่แล้วแม้ว่าฝ่าบาทจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็หลีกเลี่ยงคำนินทากาเลไม่ได้อยู่แล้วนางไม่อยากเพิ่มความยุ่งยากใจให้ฝ่าบาทเกินไป“งานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้ว เหลือเพียงความสนุกสนานหลังจากร่ำสุรา ช่างน่าเบื่อหน่ายจริง ๆ สู้มาหาท่านดื่มกันสักจอกดีกว่า”เวินซื่อเลิกคิ้วขึ้น “ข้าดื่มสุราไม่ได้”“ข้ารู้ ก็เลยนำชาอย่างดีมาให้ท่านจำนวนหนึ่ง”เป่ยเฉินหยวนชูถ้วยชาขึ้น พลางเชื้อเชิญนาง “ไม่ทราบว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์จะยินดีดื่มกับข้าสักถ้วยหรือไม่?”เวินซื่อไม่ได้เห็นเขามีท่าทีจริงจังขนาดนี้มานานแล้ว จึงอดหัวเราะไม่ได้ “เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”สองคนนั่งลงด้วยกันเป่ยเฉินหยวนยื่นน้ำชาที่เพิ่งชงเสร็จเมื่อครู่ หลังจากปล่อยให้เย็นลงเ

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 300

    “ทุกอย่าง?”เป่ยเฉินหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “รวมถึงชีวิตของเจ้าด้วยหรือ?”“แน่นอน ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เหมาะกับการตบตีฆ่าฟัน แต่หม่อมฉันแตกต่างออกไป หม่อมฉันสามารถเป็นดาบที่คมที่สุดในมือของท่านอ๋อง เพื่อท่าน...”“ฉัวะ!”อันหลันซินยังไม่ทันพูดจบ กระบี่เล่มหนึ่งก็แทงเข้ามาจากด้านข้างรถม้า เกือบจะเฉือนคอของอันหลันซินเหงื่อเย็นไหลลงมาบนหน้าผากของอันหลันซินทันทีข้างนอกรถ เป่ยเฉินหยวนดึงมือกลับ “กระบี่ในมือข้ามีมากมาย ไม่ได้ขาดเจ้า อีกอย่าง อย่าเอาเจ้าไปเปรียบเทียบกับอู๋โยว หากมีครั้งหน้า กระบี่นี้จะไม่แทงพลาดแล้ว”พูดจบ เป่ยเฉินหยวนก็หันหลังขึ้นม้า เหลือบมองรถม้าด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วสั่งเกาเย่า“เผาเสีย”“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง!”อันหลันซินที่แผนการยั่วยวนล้มเหลวตั้งแต่ครั้งแรก ในที่สุดก็ถูกเกาเย่าไล่ลงมาจากรถม้าและรถม้าคันนั้นก็ถูกเกาเย่าลากไปเผาทิ้งจริงๆ อันหลันซินที่รู้สึกได้ถึงความรังเกียจอย่างสิ้นเชิง ในใจของนางก็รู้สึกย่ำแย่มากแต่นางก็พอจะคาดการณ์ไว้บ้างแล้วเพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกรังเกียจอย่างสิ้นเชิงขนาดนี้แต่ถ้าเขาถูกนางยั่วยวนได้ง่ายเกินไป นา

  • หลังบวชชี บรรดาท่านพี่ก็อ้อนวอนให้ข้าสึก   บทที่ 299

    บนพระพักตร์ของฮ่องเต้น้อยเผยรอยยิ้มพอพระทัยออกมาทันที“ดีมาก”เขาพยักหน้า แต่คำพูดก็เปลี่ยนไปว่า “แต่ท่านพ่อของเจ้าบอกว่าเจ้าเกิดในชนบท ไม่รู้จักกฎระเบียบ หากอยากเป็นสนมของเรา ข้อนี้เกรงว่าจะลำบากเล็กน้อย...”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ขณะที่มือข้างหนึ่งเท้าคาง ขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับกำลังกลุ้มใจกับเรื่องนี้อยู่จริงๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้ เวินเยวี่ยก็รีบกล่าวว่า “ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเพคะ! ฝ่าบาทมิได้ตรัสว่าจะให้หม่อมฉันเรียนรู้กฎระเบียบกับไทเฮาหรือเพคะ? หม่อมฉันจะตั้งใจเรียนรู้ เพื่อที่จะได้เป็นสนมของฝ่าบาทโดยเร็ว!”ขณะที่นางเอ่ยขึ้น ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นเล็กน้อยในใจท่านพ่อก็จริงๆ เลย!ฝ่าบาททรงตรัสแล้วว่าตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกพบ เหตุใดจึงต้องทูลเรื่องไม่ดีของนางกับฝ่าบาทด้วย?หากฝ่าบาททรงเปลี่ยนใจเพราะเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร?เช่นนั้นนางจะไม่พลาดโอกาสนี้ไปหรอกหรือ?!เวลานี้ในใจของเวินเยวี่ยทั้งบ่นทั้งกังวล กลัวว่าฝ่าบาทจะถอนคำพูดเมื่อครู่นี้โชคดีที่ท่ามกลางสายตาที่คาดหวังของนาง ฝ่าบาททรงพยักพระพักตร์อย่างพอพระทัยอีกครั้ง “ดี เจ้าเป็นสตรีที่รู้ความจริงๆ เช่นนั้นตั้งแต่วั

Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status