ในเวลานี้เอง…“แย่แล้ว! แย่แล้ว!คนรับใช้วิ่งออกมาอย่างรีบร้อนแล้วพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “คุณชายรอง คุณชายสาม ป้าย...ป้ายวิญญาณของฮูหยินหายไปแล้วเจ้าค่ะ!”เวินจื่อเฉินกับเวินจื่อเยวี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที“อะไรนะ?! พวกเจ้าแต่ละคนทำงานกันอย่างไร? ป้ายวิญญาณที่โถงบรรพชนหายไปพวกเจ้ายังไม่รู้อีก?!”“ใครจะเอาป้ายวิญญาณของท่านแม่ไปได้?”เวินจื่อเยวี่ยขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยแต่ทันใดนั้นเวินจื่อเฉินกลับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สองพี่น้องหันหน้าไปมองกัน กล่าวด้วยความตกใจและโมโห “หรือว่าจะเป็น...เวินซื่อ?!”“ไม่คิดเลยว่าแม้แต่ป้ายวิญญาณของท่านแม่ นางก็จะนำไปด้วย!”เวินจื่อเฉินเกรี้ยวกราด “นางเป็นหัวขโมยแท้ ๆ เลย! นางมีสิทธิ์อะไรนำป้ายวิญญาณของท่านแม่ไป!”สีหน้าของเวินจื่อเยวี่ยดูแย่มากเช่นเดียวกัน เขารู้สึกว่าน้องสาวคนนี้เป็นคนไม่มีเหตุผลเอามากขึ้น!นางออกบวชเป็นแม่ชีโดยไม่ได้รับการยินยอมจากท่านพ่อ ทำเรื่องให้สกุลเวินอับอายขายขี้หน้าก็ช่างเถอะ ไม่คิดเลยว่าตอนนี้ยังขโมยป้ายวิญญาณของท่านแม่ไปอีก!“สารเลว! ข้าก็ว่าแล้ว เมื่อวานนางเอาแต่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ทำอะไร ถ้ารู้แต่แรกข้าก็ควรจับต
“หม่ำ ๆๆ”“กินสิ พี่หญิง เหตุใดท่านถึงไม่กินเล่า?” ภายในห้องลับที่มืดสลัว เวินซื่อบาดเจ็บไปทั่วทั้งร่าง นอนคว่ำอยู่บนพื้นหายใจรวยริน โซ่เหล็กบนตัวนางส่งเสียงดังเคร้ง รัดคอและแขนขาของนางไว้ จนทำให้นางสลัดไม่หลุดเบื้องหน้าของนางมีดรุณีน้อยสวมชุดสีเหลืองอ่อนถืออาหารสุนัขไว้ในมือ หยอกล้อนางราวกับกำลังหยอกสุนัขก็มิปาน ส่วนดรุณีน้อยที่ยิ้มแย้มราวกับบุปผาผู้นี้คือน้องสาวของนาง...เวินเยวี่ยเวินเยวี่ยเอ่ยกับสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังอย่างไม่พอใจว่า “ดูสิ พี่หญิงของข้าช่างไร้ประโยชน์เสียจริง แม้แต่สุนัขก็ยังเป็นให้ดีไม่ได้ คุณหนูอย่างข้าป้อนให้นางกินด้วยตัวเอง นางยังกล้าไม่กินอีกหรือ?” สาวใช้ก้าวเข้ามาเตะคนที่อยู่บนพื้นทันทีเตะจนคนร้องคราง สาวใช้ถึงค่อยเอ่ยเอาใจเวินเยวี่ยว่า “คุณหนูอย่าไปโต้เถียงกับนางเลยเจ้าค่ะ เกรงว่าสุนัขตัวนี้ยังคงคิดว่าตนเองเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของจวนกั๋วกง”เวินเยวี่ยหัวเราะเยาะ “เวินซื่อนับว่าเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของประเภทไหน? แม้แต่ท่านพ่อกับพวกท่านพี่ก็ไม่ยอมรับนางแล้ว การได้เป็นสุนัขก็นับว่าเป็นเกียรติที่คุณหนูอย่างข้ามอบให้นาง”“น่าเสียดายที่ไม่รู้จักเจียมตัว”
พิธีปักปิ่นอันใด?พิธีปักปิ่นของยางผ่านไปนานแล้วไม่ใช่หรือ?ความอัปยศที่ได้รับในพิธีปักปิ่นเวลานั้น นางยังคงได้จำได้จนถึงทุกวันนี้เสียงหัวเราะเยาะของแขกทั้งหลาย การเยาะเย้ยถากถางของพี่ชาย การถอนหมั้นของคู่หมั้น รวมไปถึงการตำหนิของบิดามารดา...นางเคยผ่านสถานการณ์เช่นนั้นมาแล้วครั้งหนึ่งทว่าตอนนี้ เหตุใดถึงเป็นพิธีปักปิ่นอีกเล่า? หรือว่าเวินเยวี่ยจะเล่นปาหี่ใหม่อะไรอีก อยากให้นางอับอายขายหน้าอีกครั้งแล้วค่อยส่งนางไปตายหรือ?!เวินซื่อหายใจถี่กระชั้นขึ้นในพริบตาแต่ในตอนที่นางกำลังจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ สายตาของนางกลับหยุดชะงักไปทันทีเดี๋ยวก่อน! นางเบิกตาโต จ้องมองมือสองข้างที่สมบูรณ์ไร้บาดแผลของตัวเอง แล้วก้มหน้ามองขาเท้าสองข้างของตัวเองทันที ใบหน้าค่อย ๆ ฉายแววเหมือนไม่อยากจะเชื่อมือและเท้าของนางถูกทำลายจนพิการไปแล้วไม่ใช่หรือ?เหตุใดตอนนี้กลับหายดีหมดแล้ว?นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?ควรรู้เอาไว้ว่าเอ็นมือเอ็นเท้าของนางถูกตัดจนขาดหมดแล้ว ไม่มีทางฟื้นฟูกลับมาได้อีก!เวินซื่อที่ตระหนักได้ถึงความผิดปกติจึงค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองห้องนี้อีกครั้งเป็นการตกแต่งทั้งหมดที่ค่อย ๆ
เด็กสาวที่นั่งอยู่หน้ากระจกแต่งหน้า ไม่มีสาวใช้ปรนนิบัติ ทำได้เพียงหวีผมให้ตัวเอง นางมองเขาแวบหนึ่งแล้วข่มกลั้นความรู้สึกสะอิดสะเอียนไว้ ร้องเรียกอย่างเฉยชาว่า “พี่รอง”เวินจื่อเฉินที่บุกเข้ามาถลึงตาใส่เวินซื่อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ “ข้าขอถามเจ้า เจ้าทำลายชุดพิธีการของน้องหกใช่หรือไม่? เหตุใดจิตใจของเจ้าถึงชั่วร้ายเพียงนี้? รู้อยู่แก่ใจว่าวันนี้ก็เป็นพิธีปักปิ่นของน้องหก เจ้ายังจะทำลายชุดพิธีการของนางอีกหรือ!” ในขณะที่เวินจื่อเฉินซักถามเวินซื่อด้วยอารมณ์รุนแรง คนที่ทำให้เวินซื่อเกลียดชังเข้ากระดูกดำผู้นั้นก็โผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังเวินจื่อเฉินด้วยสีหน้าขอโทษ“พี่รอง อย่าพูดเลยเจ้าค่ะ ข้าอธิบายกับท่านแล้วไม่ใช่หรือ? พี่หญิงห้านางไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ แค่ไม่ระวังเท่านั้นเอง”เวินเยวี่ยมีรูปร่างเพรียวบาง หน้าตาน่ารัก มักจะแสดงสีหน้าอ่อนแออยู่เสมอบวกกับนัยน์ตาที่มีน้ำเอ่อคลอดูขลาดกลัวเหมือนลูกกวาง ใครเห็นจะไม่เกิดความรู้สึกรักเอ็นดูได้?นางเองก็รู้ข้อดีของตนเองจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรู้ว่าทุกคนในจวนเจิ้นกั๋วกงรู้สึกติดค้างนางเนื่องจากเวินเยวี่ยเพิ่งจะถูกคนของจวนเจิ้นกั๋วกงต
เวินซื่อที่โซเซจนไปชนกับมุมโต๊ะเครื่องแป้งก็เม้มริมฝีปากแน่น ชาติที่แล้วนางเสียรู้ในน้ำมือของเวินเยวี่ยไปมากมายถึงเพียงนั้น ตอนนี้แค่เห็นเวินเยวี่ยทำท่าทางเช่นนี้ เวินซื่อก็รู้ว่านางจะเล่นตุกติกอะไรอีกแล้วนางหยิบชุดพิธีการที่ร่วงลงพื้นขึ้นมา“ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าข้าทำอะไรถึงทำให้น้องหกมีปฏิกิริยายกใหญ่เช่นนี้ ไม่สู้รบกวนน้องหกอธิบายให้ข้าเถิด”“เจ้าทำอะไรไว้เจ้ารู้อยู่แก่ใจ!”ไม่รอให้เวินเยวี่ยเอ่ยวาจา เวินจื่อเฉินก็ตวาดใส่นางเสียงดุดันก่อน แววตาของเวินซื่อเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆเมื่อก่อนนางยังดูไม่ออก ตอนนี้นางรู้สึกว่าเวินจื่อเฉินช่างตาบอดจริง ๆอยู่ต่อหน้าต่อตาของเขา ใครทำอะไร ใครไม่ได้ทำอะไร เขามองไม่เห็นเองทั้งนั้นบางทีต่อให้เห็น เขาก็แค่เชื่อคำพูดของคนผู้เดียวเวินจื่อเฉินถลึงตามองเวินซื่ออย่างอำมหิตแวบหนึ่งแล้วตบไหล่เวินเยวี่ยเบา ๆ ปลอบโยนด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “น้องหกไม่ต้องกลัวนะ มีเรื่องอะไรก็บอกกับพี่รอง ไม่ว่าอย่างไร พี่รองก็จะตัดสินแทนเจ้าเอง”ทั้งสองคนมีท่าทางแทบจะใกล้ชิดสนิทสนมกันมากแต่เวินจื่อเฉินกลับเหมือนไม่สังเกตเห็นเลย เขาไม่เก็บงำเลยแม้แต่น้อย ดวงตาที่
“เวินซื่อ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”เวินเยวี่ยที่เดิมทียังนึกว่ามีโอกาสแย่งกลับมาก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยวอารมณ์หวั่นไหวรุนแรงราวกับว่าสิ่งที่เวินซื่อตัดคือชุดของนางเวินซื่อขยับมือไม่หยุด รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน “ตัดชุดอย่างไรเล่า พี่รองกับน้องหกเห็นแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้?”ดวงตาสองข้างของเวินจื่อเฉินพ่นไฟแล้ว “เจ้ายังกล้าถามข้าอีกหรือว่าเหตุใดถึงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้?! ชุดนี้เป็นชุดที่ข้ากับพวกพี่ใหญ่ตั้งใจสั่งทำขึ้นมาเพื่อพิธีปักปิ่นของเจ้า ตอนนี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เหตุใดเจ้าต้องตัดมันจนเละด้วย?!” “เพราะว่าไม่มีใครต้องการมันแล้ว”เวินซื่อตัดลงไปดัง “ฉับ” อีกครั้ง “ข้าไม่ต้องการ น้องหกก็ไม่ต้องการ ของที่ไม่มีใครต้องการย่อมต้องจัดการทิ้ง” สีหน้าของนางเย็นชาจนทำให้เวินจื่อเฉินแทบจะรู้สึกแปลกตาใครบอกว่าข้าไม่ต้องการ?!เวินเยวี่ยโกรธจนแทบอยากจะกรีดร้อง นางแค่จงใจบอกปัดเพื่อไม่ให้เวินจื่อเฉินสงสัยเท่านั้นใครจะคิดว่าเวินซื่อกลับเสียสติถึงเพียงนี้?!ทั้ง ๆ ที่นางคิดไว้นานแล้วว่าวันนี้จะต้องสวมชุดพิธีการนี้ให้ได้ แต่ตอ
ผู้ที่มามีรูปร่างสูงสง่าราวกับไผ่สน สวมอาภรณ์เสื้อคลุมสีกรมท่า รูปลักษณ์สง่างาม โฉมหน้าหล่อเหลาชื่อของเขาคือเวินฉางอวิ้น เป็นพี่ใหญ่ของนาง และก็เป็นคุณชายใหญ่ของจวนกั๋วกง“น้องห้า เจ้ารู้ความผิดหรือไม่?” เวินฉางอวิ้นมองเวินซื่อด้วยสายตาเย็นชา ความรู้สึกกดดันที่แผ่ลงมาจากด้านบนทำให้เวินซื่อแทบหายใจไม่ออกนิดหน่อย เมื่อก่อนนางโง่งม คิดเพียงว่าเวินฉางอวิ้นรูปร่างสูงใหญ่ ถึงมอบความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ให้นาง ทว่าต่อมาจนกระทั่งเมื่อนางเห็นกับตาว่าเวินฉางอวิ้นก้มตัว ก้มหน้าให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับเวินเยวี่ยเพียงเพื่อรับฟังความคับข้องใจจากปากของนาง เวินซื่อถึงได้เข้าใจว่าที่แท้ตนเองเป็นเพียงคนชั้นล่างที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของพี่ใหญ่ “ข้าไม่เข้าใจคำพูดของพี่ใหญ่ ไม่ทราบว่าข้ามีความผิดอันใด ขอพี่ใหญ่โปรดชี้แจงด้วย”ไม่ใช่ว่าเวินซื่อไม่เห็นชุดพิธีการที่เขาถืออยู่ในมือ ดังนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขามาเพราะเหตุใด แต่แล้วอย่างไรเล่า?ไม่ถามสักคำ มาถึงก็อยากให้นางยอมรับความผิด?มีสิทธิอันใด?เวินฉางอวิ้นทำสายตาเย็นชา แต่สายตาของเวินซื่อกลับเย็นชายิ่งกว่าเขา เวินฉางอวิ้นขมวดค
ชุยเส้าเจ๋อก้าวเท้าเดินมาทางเวินซื่อ ท่าทางดูเกรี้ยวกราดหมายจะหาเรื่องเมื่อมองไปทางด้านหลังของเขาอีกก็เห็นเวินเยวี่ยอ้าปากพูดว่า “อย่าเลย” ด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่ได้ทำท่าจะฉุดรั้งชุยเส้าเจ๋อเลยสักนิดหลังจากที่สบสายตาของเวินซื่อ ดวงตาของนางถึงขนาดฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่องเห็นได้ชัดว่าการที่นางสามารถยุให้ชุยเส้าเจ๋อออกหน้าเพื่อนางได้ง่าย ๆ นั้นทำให้นางภาคภูมิใจเอามาก ๆแต่ว่าน่าเสียดายมาก ยังไม่ทันที่ชุยเส้าเจ๋อจะเดินเข้ามาใกล้เวินซื่อ เสียงทุ้มหนึ่งดังมาจากทางด้านปะรำพิธี...“เจ้าห้า เจ้าหก ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว ยังไม่รีบมาเตรียมตัวทำพิธีปักปิ่นอีก” เวินซื่อหันหน้าไปมองบนปะรำพิธี บุรุษวัยกลางคนสวมชุดเสื้อคลุมยาวสีเขียวดูสง่าผ่าเผยเปี่ยมไปด้วยความรู้กำลังนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน มองพวกนางสองคนด้วยสีหน้าเย็นชานี่คือบิดาของนาง เจิ้นกั๋วกงเวินเฉวียนเซิ่งเวลานี้ต่อให้ชุยเส้าเจ๋ออยากหาเรื่องนางอีกเพียงใด ก็ได้แต่ถอยหลังไปเท่านั้นเวินซื่อเดินขึ้นไปบนปะรำพิธีโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อเวินซื่อขึ้นมาบนปะรำพิธีก็ควงแขนนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับบุปผา จงใจทำตัวสนิทสนม“พี่หญิงห้
ในเวลานี้เอง…“แย่แล้ว! แย่แล้ว!คนรับใช้วิ่งออกมาอย่างรีบร้อนแล้วพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “คุณชายรอง คุณชายสาม ป้าย...ป้ายวิญญาณของฮูหยินหายไปแล้วเจ้าค่ะ!”เวินจื่อเฉินกับเวินจื่อเยวี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที“อะไรนะ?! พวกเจ้าแต่ละคนทำงานกันอย่างไร? ป้ายวิญญาณที่โถงบรรพชนหายไปพวกเจ้ายังไม่รู้อีก?!”“ใครจะเอาป้ายวิญญาณของท่านแม่ไปได้?”เวินจื่อเยวี่ยขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยแต่ทันใดนั้นเวินจื่อเฉินกลับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สองพี่น้องหันหน้าไปมองกัน กล่าวด้วยความตกใจและโมโห “หรือว่าจะเป็น...เวินซื่อ?!”“ไม่คิดเลยว่าแม้แต่ป้ายวิญญาณของท่านแม่ นางก็จะนำไปด้วย!”เวินจื่อเฉินเกรี้ยวกราด “นางเป็นหัวขโมยแท้ ๆ เลย! นางมีสิทธิ์อะไรนำป้ายวิญญาณของท่านแม่ไป!”สีหน้าของเวินจื่อเยวี่ยดูแย่มากเช่นเดียวกัน เขารู้สึกว่าน้องสาวคนนี้เป็นคนไม่มีเหตุผลเอามากขึ้น!นางออกบวชเป็นแม่ชีโดยไม่ได้รับการยินยอมจากท่านพ่อ ทำเรื่องให้สกุลเวินอับอายขายขี้หน้าก็ช่างเถอะ ไม่คิดเลยว่าตอนนี้ยังขโมยป้ายวิญญาณของท่านแม่ไปอีก!“สารเลว! ข้าก็ว่าแล้ว เมื่อวานนางเอาแต่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ทำอะไร ถ้ารู้แต่แรกข้าก็ควรจับต
ทันทีที่เวินเยวี่ยพูดออกไปก็ได้รับคำชมเชยจากเวินจื่อเฉินและคนอื่น ๆ ทันที“ท่านพ่อ น้องหกพูดถูก พวกเราทุกคนไม่สะดวกไปที่อารามสุ่ยเยว่จริง ๆ แต่ถ้าน้องหกไป ซือไท่ที่นั่นจะไม่มีเหตุผลขวางนาง”เวินเฉวียนเซิ่งพยักหน้า “เจ้าหกช่างรู้ใจเหลือเกิน ยกเรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน”เวินเยวี่ยตบแผ่นอกทันทีพร้อมกล่าว “ท่านพ่อวางใจ เยวี่ยเอ๋อร์จะพาตัวพี่หญิงห้ากลับมาให้ได้เจ้าค่ะ!”เวินจื่อเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “น้องหกลงสนามรบ จะต้องสำเร็จแน่นอน!”“ถูกต้อง ๆ น้องหกจิตใจดีทั้งยังน่ารักขนาดนี้ ไปที่อารามสุ่ยเยว่บรรดาซือไท่จะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน”“ถึงเวลานั้นค่อยช่วยน้องหกพูดโน้มน้าวน้องห้า ไม่แน่ว่าน้องห้าอาจจะกลับมาก็ได้!”ก้นบึ้งหัวใจของเวินเยวี่ยรู้สึกดูถูกนางไม่ต้องการได้รับความชื่นชอบจากพวกแม่ชีเฒ่าพวกนั้นอัปมงคลแต่ว่าบนใบหน้าของนางยังคงรักษารอยยิ้มที่ไร้เดียงสาไร้พิษภัยเอาไว้เช่นเดิม บางครั้งยังทำท่าทางเขินอายจนหน้าแดงเพราะถูกชม ท่าทางแบบนั้นทำให้คนอื่นมองความคิดที่แท้จริงภายในใจของนางไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียวในตอนที่เวินจื่อเฉินพวกเขาชื่นชมเวินเยวี่ยไม่หยุดปากเวินฉางอวิ้นท
เวินซื่อรู้สึกรังเกียจตนเองอยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่งบัดนี้นางเป็นคนที่ออกบวชแล้ว ไม่ควรจะมีความคิดที่เกินเลยใด ๆหลังจากคิดได้เช่นนี้ หัวใจของเวินซื่อก็สงบนิ่งราวกับสายน้ำไม่ไหวติงอย่างรวดเร็ว“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนท่านอ๋องอีกครั้งแล้ว”“ข้ายังมีสัมภาระที่ต้องจัดการอีก ไม่รบกวนเวลาของท่านอ๋องแล้ว ท่านอ๋องเดินทางปลอดภัย”หลังจากที่เวินซื่อยิ้มออกมาเล็กน้อย ก็หันหลังแล้วเดินกลับไปในอารามหลังจากที่ร่างกายอันผ่ายผอมของนางเดินหายเข้าไปในซุ้มประตูวงพระจันทร์ เป่ยเฉินหยวนถึงได้หันหลังกลับและออกจากอารามสุ่ยเยว่ตอนที่เขาออกไป เวินฉางอวิ้นยังคงเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกประตูใหญ่ทันทีที่เห็นเป่ยเฉินหยวนเดินออกมา เวินฉางอวิ้นก็รีบก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว กล่าวถามอย่างร้อนใจ “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน น้องห้าล่ะ? น้องห้านางไม่ได้ออกมากับท่านหรือพ่ะย่ะค่ะ?”กองทัพธงดำขวางเขาให้ห่างออกไปสามก้าวเป่ยเฉินหยวนกวาดสายตามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่ง “แน่นอนว่านางไม่ได้ออกมาด้วย เพราะตอนนี้นางได้เป็นแม่ชีน้อยอยู่ในอารามสุ่ยเยว่แล้ว”เมื่อเวินฉางอวิ้นได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “อะไรนะพ่ะย่
วินาทีนั้น ในใจของนางราวกับมีเสียงของเชือกตึงขาดสะบั้นดังขึ้นราวกับว่าพันธนาการบนตัวหายไปหมดสิ้น ในที่สุดนางก็หลุดพ้นจากสถานที่ที่ทำให้นางต้องทุกข์ทรมานมาสองชาตินั่นเสียทีน้ำตาหยดหนึ่งค่อย ๆ ไหลออกมาจากบริเวณหางตาของนางเป่ยเฉินหยวนจ้องมองนางด้วยความตกตะลึงต่อให้เวลาจะผ่านไปหลายปี เขาก็จะไม่สามารถลืมฉากนี้ได้อย่างเด็ดขาดอยู่ในสนามรบเขาเคยแต่เห็นการเข่นฆ่าและความตายมากมายนับไม่ถ้วน ทุกครั้งล้วนมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน แต่เทียบไม่ได้กับอารมณ์ที่หวั่นไหวของเขาในขณะนี้นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยการเข่นฆ่านองเลือดคู่นั้น สะท้อนภาพของพระพุทธรูปทองคำและสาวน้อยภาพนั้นคือแสงแห่งพุทธะสาดส่อง ราวกับได้ไถ่บาปและเหมือนกับว่าสาวน้อยได้เกิดใหม่......ตอนที่เป่ยเฉินหยวนออกไป เวินซื่อได้มาส่งเขาที่บริเวณประตูใหญ่นางไม่ได้เข้าใกล้ประตูใหญ่ เพียงแค่ยืนพนมมือสองข้างอยู่บริเวณไม่ไกล พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ“วันนี้ต้องขอขอบคุณท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาก”ถ้าหากไม่ได้เป่ยเฉินหยวนช่วยเหลือ เกรงว่านางคงจะไม่ได้ออกจากสกุลเวินง่ายดายขนาดนี้ต่อให้ออกจากสกุลเวินแล้ว ก็มีความเป็นไปได้
หนทางตอนหลังขรุขระอย่างยิ่งดังคาดโดยเฉพาะรถม้าที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วเต็มพิกัด หลายครั้งที่เกือบจะทำให้เวินซื่อที่อยู่ในห้องโดยสารกระเด็นออกไปแต่นี่ก็คือความต้องการของนางอยู่แล้วดังนั้นแม้ว่าจะกระแทกจนเจ็บแผลที่แผ่นหลัง นางก็ต้องกัดฟันทน ไม่ส่งเสียงร้องสักแอะขบวนรถม้าที่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วเต็มพิกัดเร็วมากอย่างที่คิดไว้ ครั้งก่อนที่นั่งรถม้าของเต๋อกงกงใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงภูเขาหนาน แต่ครั้งนี้ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น รถม้าที่โคลงเคลงตลอดทางก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ด้านนอกมีเสียงเตือนของเป่ยเฉินหยวนดังลอยมา...“ถึงแล้ว”เวินซื่อถูกกระเทือนจนมึนงงเล็กน้อยหลังจากที่นางนั่งพักครู่หนึ่ง ถึงได้เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเดินลงไปแบบตุปัดตุเป๋เป่ยเฉินหยวนอยู่บนหลังม้า ก้มมองนางที่ลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง ในมือของเขาถือบังเหียน ไม่ได้พูดว่าจะเข้าไปช่วยประคองอะไรถึงอย่างไรก็กำลังมองเวินซื่อ ดูนางจัดแจงท่าทางให้เรียบร้อย หลังจากที่ทรงตัวบนพื้นอย่างมั่นคงแล้วจึงกล่าว “ตามพระบัญชาของฝ่าบาท ข้าจะเข้าไปกับเจ้า ดูเจ้าออกบวชเป็นแม่ชีอย่างเป็นทางการด้วยตาของตนเองจึงจะกลับ ดัง
ตอนที่ออกมาจากห้องทรงพระอักษร สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งและเวินฉางอวิ้นสองคนพ่อลูกอึดอัดใจเล็กน้อยเวินฉางอวิ้นถอนหายใจ “ท่านพ่อ นี่เป็นความผิดของข้าเอง เป็นเพราะข้าควบคุมน้องห้าไม่ดี”เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจเล็กน้อยคาดว่าที่เวินซื่อยืนกรานอยากจะออกบวชเป็นแม่ชีขนาดนั้น มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นเพราะวันนั้นเขาเฆี่ยนตีนางรุนแรงจนเกินไปจริง ๆการเฆี่ยนด้วยแส้ห้าสิบที หากในใจของน้องห้าจะมีความเคียดแค้นก็เป็นเรื่องปกติเพียงแต่น้องห้าช่างไม่ประสีประสาเอาเสียเลยในเมื่อนางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วเหตุใดจึงไม่ยอมพูดออกมาตรง ๆ?จะต้องก่อเรื่องให้วุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ให้ได้ถึงจะพอใจแม้เมื่อครู่นี้ฮ่องเต้น้อยได้กล่าวชี้นำบ้างแล้ว เหมือนกับว่าเวินฉางอวิ้นก็ยังไม่ได้ตระหนักถึงเหตุผลที่แท้จริงที่เวินซื่ออยากจะออกจากสกุลเวินแม้แต่เวินเฉวียนเซิ่งก็เช่นเดียวกันเขาโบกมืออย่างเฉยชา “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เป็นเพราะเมื่อก่อนพวกเราตามใจนางมากเกินไป ตามใจจนนางไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ถึงได้กล้าพูดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ออกมา”“แต่โชคดีที่สุดท้ายแล้วฝ่าบาทยังทรงเห็นแก่หน้าของท่านพ่อถึงได้ให้โอกา
ภาวนาให้ชาติหน้าท่านแม่ไม่ต้องมาพบเจอกับคนใดคนหนึ่งของสกุลเวินอีก!ในไม่ช้า เวินซื่อก็กลับมาที่ลานด้านหน้าของจวนเจิ้นกั๋วกงเมื่อเห็นเป่ยเฉินหยวนเหมือนกับว่ารอจนใกล้หมดความอดทนแล้ว นางรีบเดินไปข้างหน้าแล้วกล่าว “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน หม่อมฉันเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ”“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”เป่ยเฉินหยวนลุกขึ้นแล้วก็เดินไปเวินซื่อรีบเดินตามเวินจื่อเฉินและคนอื่น ๆ พยายามจะก้าวไปข้างหน้า แต่ดาบของกองทัพธงดำไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม!เมื่อเห็นว่าเวินซื่อกำลังจะออกไปกับเป่ยเฉินหยวนจริง ๆ เวินจื่อเฉินอดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดังขึ้นมา “เวินซื่อ! เจ้าไปแบบนี้ เจ้าไม่รู้สึกละอายใจต่อท่านพ่อกับพวกเราหรือ? เจ้าไม่กลัวว่าสักวันหนึ่งจะต้องเสียใจอย่างนั้นหรือ?!”เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ เวินซื่อหันหน้ากลับไปมองเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง “ข้าเวินซื่อไม่เคยผิดต่อพวกท่านคนใดมาก่อน วันข้างหน้าก็ไม่มีทางเสียใจเด็ดขาด”พูดจบ นางก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าเป่ยเฉินหยวนพลิกตัวขึ้นม้า นำทัพอยู่ด้านหน้าเขาตะโกนออกมา ‘ไป’ แล้วก็พากองทัพธงดำที่คุ้มกันขบวนรถม้าออกเดินทาง มุ่งหน้าไปย
“เจิ้นกั๋วกงไม่ต้องเป็นห่วง”กองทัพธงดำยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้เป่ยเฉินหยวน เขานั่งลงที่เดิม กล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ “คนใต้บังคับบัญชาของข้าล้วนเป็นยอดฝีมือที่เคยสังหารข้าศึกศัตรูในสนามรบมานับไม่ถ้วน เรื่องการชักดาบนี้พวกเขารู้จักพอเหมาะพอควรที่สุด ขอเพียงท่านกับลูกชายของท่านไม่ทำให้พวกเราเสียเวลาทำงาน พวกเขาย่อมไม่มีทางทำร้ายใครจริง ๆ”ความหมายแฝงก็คือ หากวันนี้พวกเจ้ากล้าขัดขวาง ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาว่าคนของเขาลงมือเวินเฉวียนเซิ่งรู้ว่าเป่ยเฉินหยวนชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่มาแต่ไหนแต่ไรแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้ามาใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่จวนเจิ้นกั๋วกง!เวินเฉวียนเซิ่งสีหน้าเย็นยะเยือก “เวินซื่อเป็นบุตรสาวของข้า นางไม่ได้รับความเห็นชอบของข้าด้วยความวู่วามจึงไปทูลขอฝ่าบาทออกบวชเป็นแม่ชี บัดนี้ข้าจะให้นางไปทูลขอให้ฝ่าบาทยกเลิกราชโองการ ทูลฝ่าบาทว่านางไม่ไปแล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาคุ้มกันนางไปยังอารามสุ่ยเยว่อีก”เป่ยเฉินหยวนหันไปมองเวินซื่อที่หยุดชะงักฝีเท้า ถามนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นี่คือความต้องการของเจ้าหรือ?”“ไม่ใช่เพคะ”เวินซื่อปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต
ผ่านไปไม่นานนัก เวินซื่อก็ถูกพวกเขาไล่ตามทันจนได้“น้องห้า เลิกเอาแต่ใจตัวเองได้แล้ว”“ถ้าไม่อยากยั่วให้ท่านพ่อโมโหอีก ทางที่ดีเจ้าจงกลับไปอย่างว่าง่าย”เวินจื่อเฉินกับเวินจื่อเยวี่ยขวางนางเอาไว้หน้าคนหลังคนเวินเฉวียนเซิ่งออกคำสั่งเสียงเย็นชา “พาตัวไปแล้วขังเอาไว้ให้ดี ไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ห้ามปล่อยนางออกมา!”ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำและเกียจคร้านเสียงหนึ่งแว่วมาจากทางประตูใหญ่ “วันนี้จวนเจิ้นกั๋วกงช่างครึกครื้นยิ่งนัก”เมื่อทุกคนได้ยินเสียงก็หันหน้าไปมอง เห็นผู้ชายผมสีเงินหน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรคนหนึ่งพากองทัพธงดำหลายนายก้าวเท้าเข้ามาในจวนกั๋วกง หรี่ดวงตาหงส์ กวาดสายตามองเวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ ด้วยสายที่เต็มไปด้วยอำนาจเป่ยเฉินหยวนถาม “กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?”เวินฉางอวิ้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พากันดึงเวินซื่อกับเวินเยวี่ยให้คุกเข่าทำความเคารพ“คารวะท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน”เวินเยวี่ยจ้องเป่ยเฉินหยวนตรง ๆ ดวงตาเปล่งประกายแวววาวเวินเฉวียนเซิ่งไม่ได้ทำความเคารพ เพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยปากพูด “ที่แท้ก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาเยือน แต่ว่าวั