ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ออกไป เวินซื่อก็นิ่งเงียบไปนางจ้องไปที่ฉางเสี่ยวหานที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อนใครก็ไม่คาดคิดว่า นางจะเป็นน้องสาวของฉางอู๋เต้าผู้นั้นจริง ๆใช่แล้ว ในเหตุการณ์ที่อำเภอหนิงอัน ฉางเสี่ยวหานถูกปล้น พ่อแม่ของนางถูกฆ่าปิดปาก พี่ชายของนางก็ถ่วงตัวเองในบ่อน้ำฆ่าตัวตายหลังจากการแก้แค้น ทุกคนนึกเอาเองโดยจิตใต้สำนึกว่าฉางเสี่ยวหานก็น่าจะตายแล้วเช่นกันแต่นึกไม่ถึงว่า นางจะยังมีชีวิตอยู่แม้ว่าจะเกือบตายไปแล้วก็ตาม“เจ้า...ซ่อนตัวอยู่ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้เลยหรือ?”ดูเหมือนว่าฉางเสี่ยวหานจะยังไม่รู้เรื่องที่พี่ชายของนางได้กลับมาตั้งนานแล้วฉางเสี่ยวหานพยักหน้าดังคาด “ใช่เจ้าค่ะ นึกไม่ถึงว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์จะคาดเดาถูกอีกแล้ว”เมื่อเผชิญกับท่าทางวิตกกังวลของเวินซื่อ บางทีอาจเป็นเพราะธิดาศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้เพิ่งช่วยชีวิตนางไว้ ฉางเสี่ยวหานจึงไม่ได้มีท่าทีระแวดระวังตัวนางในเวลานี้ พอพูดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะระบายออกมาหลังจากยิ้มออกมาครู่หนึ่ง ใบหน้าผอมซูบนั้นก็เผยท่าทางเจ็บปวดออกมา “ก่อนหน้านี้ข้าถูกคนจับตัวไว้ เป็นเพราะไม่เชื่อฟังเขา จึงถูกขังไว้ไม่ให้ข้าวกิน ไม่ให
ครึ่งชั่วยามต่อมา เวินซื่อและคนอื่น ๆ ก็ออกเดินทางอีกครั้งตลอดทางราบรื่นเป็นอย่างมากสองวันต่อมา ขบวนรถก็มาถึงจินโจวอย่างรวดเร็ว ยังเป็นสถานที่แห่งนั้นที่ใช้หยุดพักเหนื่อยเหมือนเมื่อก่อนหลังจากกินอาหารเย็นกับเป่ยเฉินหยวนแล้ว เวินซื่อก็กลับเข้าห้องของตัวเองขณะที่นางกำลังจะนอนลงพักผ่อน นอนหลับให้เต็มอิ่มสักตื่นวินาทีต่อมานางก็เด้งขึ้นจากเตียงอย่างกะทันหัน“สวรรค์ ข้าลืมเขาไปอย่างไม่น่าเชื่อ!”เวินซื่อรีบเข้าไปในมิติของหยกหลังจากผ่านไปหลายวัน ในที่สุดนางก็นึกถึงเวินจื่อเฉินที่ทิ้งไว้ในมิติโดยไม่สนใจอีกหลังจากจับกรอกยาแล้วตอนที่นางเข้าไปในห้องใต้หลังคา ก็เห็นเวินจื่อเฉินกำลังเล่นนิ้วมือด้วยความเบื่อหน่ายอยู่ภายในกรงเหล็กใช่แล้ว เวินจื่อเฉินที่ทั้งออกไปไม่ได้และไม่มีใครคุยด้วย ก็เบื่อหน่ายจนถึงขั้นได้แต่เล่นนิ้วมือของตัวเองเท่านั้นโชคดีที่ท้องของเขาถูกป้อนอะไรลงไปก็ไม่รู้ อิ่มอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงหิวตายอยู่ที่นี่ไปตั้งนานแล้วในเวลานี้ เวินจื่อเฉินที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างโดยฉับพลันได้เงยหน้าขึ้นมาจากภายในกรงพอหันหน้าไปก็เห็นเวินซื่อเดินเข้ามาหาเขาอย
เวินจื่อเฉินดื่มอึก ๆ หลายคำ ก็ฝืนดื่มยาหม้อชามนั้นที่ขมจนหน้าตาบิดเบี้ยวลงไปทั้งอย่างนั้นเวินซื่อเห็นว่าเขาดื่มหมดแล้ว จึงปรุงยาขึ้นใหม่อีกยังคงปรุงไปพูดไปเช่นเคย “ท่านยังอยากกลับไปอีกไหม?”เวินจื่อเฉินส่ายหัวทันทีโดยไม่มีความลังเล “พี่รองบอกแล้วว่า ต่อไปเจ้าอยู่ที่ไหนข้าก็ต้องอยู่ที่นั่น”“ไม่ต้องรีบตัดสินใจขนาดนั้น ท่านควรเข้าใจว่า หากท่านยังต้องการกลับไปที่จวนเจิ้นกั๋วกง ครั้งนี้คือโอกาสของท่าน ขอเพียงท่านแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องใด ๆ แสร้งทำเป็นว่าสูญเสียความทรงจำและพิษยังไม่ถูกกำจัดเหมือนเมื่อก่อนต่อไป เช่นนั้นประตูหน้าของจวนเจิ้นกั๋วกง ท่านก็ยังสามารถก้าวเข้าไปได้เหมือนเดิม”“ปัง!”จู่ ๆ เวินจื่อเฉินที่อยู่ในกรงเหล็กก็ต่อยไปที่แผ่นกระดาน เขากัดฟันมองไปยังเวินซื่อที่อยู่แท่นหิน “ข้าทำไม่ได้ ข้าก็ไม่อยากกลับไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงแล้วเช่นกัน ข้าแค่อยากติดตามเจ้า”เวินซื่อหัวเราะเยาะ “ติดตามแม่ชีอย่างข้ามามีอะไรดีหรือ?”“ข้ารู้สึกดีก็พอ!”เวินจื่อเฉินเม้มริมฝีปาก หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น “น้องห้า ขอร้องเจ้าล่ะ อย่าไล่พี่รองไปไหนเลยได้หรือไม่? หากเจ้าไม่ชอ
ใครนะที่มารนหาที่ตาย?เมื่อสังเกตเห็นว่ามีคนเข้ามาในห้องของนาง เวินซื่อก็ไม่ได้ออกไปทันที แต่กลับคอยฟังการเคลื่อนไหวภายนอกจากในมิติแทนจู๋เยวี่ยอยู่ข้างนอก หากผู้มาเยือนไม่เป็นมิตร นางจะรีบจัดการพวกเขาทันทีแต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ เวินซื่อฟังเสียงความเคลื่อนไหวอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงคนลงมือจากภายนอกหรือว่านางจะรู้จักผู้ที่มาเยือน?เวินซื่อนิ่งไปในทันใดหลังจากแน่ใจแล้วว่าคนผู้นั้นไม่ได้เข้ามาใกล้ขอบเตียงของนาง นางก็ออกไปจากมิติอย่างรวดเร็ว แล้วเอนกายลงบนเตียงในทันใดราวกับสังเกตเห็นการปรากฏตัวของนาง วินาทีต่อมา ภายในห้องก็มีตะเกียงดวงหนึ่งจุดขึ้นแสงเทียนสว่างขึ้นทันใด ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง และส่องสว่างไปยังบุคคลที่สามที่บุกรุกเข้ามาในยามกลางดึก“เสี่ยวหาน?”เมื่อเวินซื่อเห็นคนที่ซ่อนอยู่ในมุมห้องอย่างชัดเจนแล้ว นางก็อุทานด้วยความประหลาดใจทันที“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”คนที่เข้ามาในห้องของเวินซื่ออย่างเงียบ ๆ ก็คือฉางเสี่ยวหานที่ถูกพวกเขายกให้หนิงหย่วนโหวไปก่อนหน้านี้แล้วฉางเสี่ยวหานไม่คิดว่าจะรบกวนการพักผ่อนของเวินซื่อ นางพูดตะกุกตะกัก “ขอ...ข
ฉางเสี่ยวหานส่ายหัว “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านหนิงหย่วนโหวจัดการทุกอย่างให้ข้าเป็นอย่างดีแล้ว ชดเชยให้แล้ว แต่ทุกครั้งที่พวกเขามองมาที่ข้าเหมือนกำลังมองวิญญาณที่น่าสงสาร ท่านหนิงหย่วนโหวเองก็เหมือนกัน”ฉางเสี่ยวหานรู้เรื่องพี่ชายของนางแล้วหลังจากประสบกับความกระทบกระเทือนมากมายอย่างต่อเนื่อง เวลานี้นางมีความอ่อนไหวมากในสายตาของผู้คนเหล่านั้นที่มองมาที่นาง นางสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนในทุกสายตามีทั้งสงสารนาง รังเกียจนาง และโกรธแค้นนาง นางรู้หมดนางเกลียดสายตาเหล่านั้นดังนั้นนางจึงหนีออกมาจากหนิงหย่วนโหวนางไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนได้อีก คนเดียวที่นางนึกถึงมีเพียงธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยนางไว้วันนั้น ตอนที่ได้รู้ชื่อของนาง สิ่งที่แสดงออกมาจากสายตาของนางไม่ใช่ความสงสาร ไม่ใช่รังเกียจ และยิ่งไม่ใช่ความโกรธแค้นแต่เป็นความเจ็บปวดธิดาศักดิ์สิทธิ์รู้สึกเจ็บปวดกับนางในเวลานั้นฉางเสี่ยวหานที่งุนงงทำอะไรไม่ถูก ทันทีที่นึกถึงเรื่องนี้นางก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ดังนั้นจึงไล่ตามอยู่ทั้งคืน หลังจากไล่ตามมาสองวันสองคืนก็ตามมาถึงจินโจวในที่สุดนางกลัวว่าตัวเองจะถูกกั้นไว้ข้างนอก ดังนั้นจึงแอบวิ่งเข้า
“เพี๊ยะ!”ภายในเรือนหลังประตูสีดำสนิท บ่าวหลายคนถือคบเพลิงไว้ในมือ แล้วล้อมอันหลันซินที่เพิ่งถูกจับตัวกลับมาหลังจากหนีไปอีกครั้งไว้ตรงกลาง ปล่อยให้คุณชายของพวกเขาทุบตีด่าทอ“เจ้ามันแพศยา แต่งเข้ามาเป็นอนุของข้าแล้ว ยังกล้าวางท่าเป็นหญิงสูงศักดิ์ของเจ้าอีกหรือ”“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ก็เป็นแค่ลูกของอนุชั้นต่ำเท่านั้น ยังกล้าลองดีกับคุณชายอย่างข้าอีก รู้หรือไม่ว่าพ่อบังเกิดเกล้าของเจ้าขายเจ้ามาในราคาเท่าใด?”คุณชายใหญ่ที่อ้วนถ้วนยื่นนิ้วมือกลมๆ ออกมาหนึ่งนิ้วกดลงหัวอันหลันซินอย่างแรง แล้วพูดจาราวกับเสียเปรียบใหญ่หลวง “หนึ่งหมื่นตำลึง! ลูกอนุภรรยาของราชเลขาฝ่ายขวาขายตั้งหนึ่งหมื่นตำลึงเชียวนะ! หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของพ่อเจ้า เจ้านึกว่าหน้าตาอย่างเจ้ามีค่าหนึ่งหมื่นตำลึงหรือ? ถุย! ตัวชูโรงในหอนางโลมยังดีกว่าเจ้านักหนา!”อันหลันซินกัดฟันทนความเจ็บปวดหยัดกายยันร่างท่อนบนให้ลุกขึ้น เมื่อเห็นเจ้าหมอนี่ที่อ้วนพุงพลุ้ย แววตานางมีความเหี้ยมเกรียมแวบผ่านแต่ต่อมาสีหน้าของนางกลับเปลี่ยนเป็นน่าสงสาร ดวงตานางแดงก่ำแล้วกัดฟันพูด “คุณชายใหญ่ผาง ในเมื่อไม่ถูกใจข้า แล้วเหตุใดยังต้องบังคับขืนใจข
ดูเหมือนจะไม่ตีต่อแล้วเวินซื่อถึงได้ละสายตากลับมา บอกจู๋เยวี่ยเสียงค่อย “ไปเถอะ ควรกลับได้แล้ว”นางเป็นผู้ออกบวช และเรียนวิชาแพทย์กับอาจารย์ม่อโฉวจึงถือว่าเป็นกึ่งหมอ ที่มาที่นี่ก็เพราะไม่อยากเห็นใครถูกตีจนตายเท่านั้นในเมื่อตอนนี้ยังไม่ตาย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวกับนางสักนิดเวินซื่อหันหลังเตรียมจากไป แต่คนทางนั้นมีความเคลื่อนไหวกะทันหัน“ชีวิตนะเก็บไว้ให้เจ้าก็ได้ แต่คนเนี่ยนะ...”คุณชายใหญ่ผางลูบใบหน้าอันหลันซิน หัวเราะแล้วกล่าวอย่างหื่นกามอำมหิต “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมจำนนให้ข้า ถ้างั้นก็ยกเจ้าให้พวกบ่าวของข้าก็แล้วกัน เพราะอย่างไรคืนนี้เพื่อจับตัวเจ้ากลับมา พวกเขาเสียแรงไปไม่น้อย ดังนั้นเจ้าต้องปรนนิบัติพวกเขาให้ดี”“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ”“ขอบคุณรางวัลของคุณชาย!”สีหน้าอันหลันซินซีดเผือดทันใด “เจ้ากล้าหรือ! ข้าเป็นบุตรสาวของราชเลขาฝ่ายขวา ต่อให้เป็นเพียงลูกอนุ แต่ก็ไม่ใช่คนที่พวกเจ้าจะย่ำยีอย่างไรก็ได้!”“ลูกอนุคนเดียวที่ขายให้ข้าแล้ว ข้าอยากทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น!”คุณชายใหญ่ผางทำหน้าไม่ยี่หระส่วนพวกบ่าวเหล่านั้นยิ้มพรายพร้อมก้าวมาข้างหน้า“ในเมื่ออนุอันไม่รู้จักกาลเทศะ ถ้างั้นพว
“เร็ว! รีบจับตัวพวกนางไว้!”“ต่อให้ต้องพลิกทั่วทั้งแผ่นดินจินโจว ก็ต้องจับตัวพวกมันกลับมาให้ข้า!”ในคืนนั้น ทั่วทั้งจินโจวพลุกพล่านไปด้วยผู้คนล้วนบอกว่าอนุภรรยาที่แต่งได้ไม่กี่วันของคุณชายใหญ่สกุลผาง ซึ่งเป็นคหบดีอันดับหนึ่งของจินโจวหนีไปแล้วดังนั้นครึ่งคืนหลัง จะพบเห็นองครักษ์ของสกุลผางตามหาคนไปทั่วต่อให้เวินซื่อกับอันหลันซินวิ่งหนีสุดชีวิต ก็ยังวิ่งไม่เร็วนักเมื่อเห็นด้านหลังมีคนวิ่งตามมากขึ้นเรื่อยๆ เวินซื่อจับมืออันหลันซินแล้วเลี้ยวเข้าไปหลบในตรอกเล็กเส้นหนึ่ง“เป็นอย่างไร? พบตัวหรือยัง?”“ข้างหน้าไม่มี ข้างหลังก็ไม่มี”“ค้นให้ทั่ว คุณชายบอกแล้ว ต้องจับตัวกลับไปให้ได้ หากกล้าขัดขืน ก็ตีให้ตายไปเลย!”“ขอรับ!”องครักษ์เหล่านั้นกระจายกันไปค้นหาทันทีเวินซื่อซ่อนตัวอยู่ที่มุม หันมองไปข้างนอก ยังไม่มีคนมาตามหาถึงที่นี่ชั่วคราวนางโล่งอกเล็กน้อยการเคลื่อนไหวของสกุลผางรวดเร็วเหลือเกิน หากไม่ได้จู๋เยวี่ยช่วยล่อคนส่วนใหญ่ไป เกรงว่านางกับอันหลันซินคงหนีไม่พ้นแต่ต่อให้ตอนนี้หนีออกมาได้แล้ว ก็ยังมีคนของสกุลผางไม่น้อยที่ออกค้นหาอันหลันซินตอนนี้ทำได้เพียงหลบอยู่ในนี้ก่อน ห
สมุนไพรทั้งหมดนี้ในที่ดินกุยอวิ๋น เป็นสิ่งที่นางได้ตกลงไว้แล้วว่าจะมอบให้กับเป่ยเฉินหยวนเป็นสมุนไพรสำหรับทหารในกองทัพธงดำที่ออกรบเพื่อราชวงศ์ต้าหมิงมาหลายปี จนสุดท้ายร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล พิการ และเจ็บปวดบัดนี้ สมุนไพรที่ปลูกไว้ได้หนึ่งเดือนแล้วกลับถูกพวกเขาทำลายไปกว่าครึ่ง แถมยังไม่เว้นแม้แต่แปลงสมุนไพรร้ายกาจถึงเพียงนี้ นางจะกลืนความโกรธแค้นนี้ลงไปได้อย่างไรนางจะไม่ปล่อยคนที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไป และคนร้ายตรงหน้าเหล่านี้ นางก็จะไม่ปล่อยไปเช่นกัน“ท่านลุงหลาน ต้องรับพวกเขาให้ดี”ผู้เฒ่าหลานไม่คิดว่าเวินซื่อจะมีด้านนี้ด้วยเดิมทีเขาคิดว่าปกติแล้วคุณหนูน้อยผู้อ่อนโยนและใจดีมาโดยตลอดนั้น จะเหมือนกับคุณหนูใหญ่มากแต่คาดไม่ถึงว่า ภายใต้ความอ่อนโยนของคุณหนูน้อย จะยังมีด้านที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ซ่อนอยู่ช่าง...เหมือนกับนายท่านในตอนนั้นไม่มีผิด!ดวงตาที่แก่ชราของผู้เฒ่าหลานฉายแววเฉียบคม จ้องมองเวินซื่อด้วยสายตาร้อนแรง ราวกับว่าเขามองเห็นภาพของเจ้าบ้านสกุลหลานในอดีตในตัวของนางมองจนหัวใจที่สงบนิ่งมานานหลายปีของเขาถึงกับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานายท่าน สกุลหลานของพวกเ
“รบกวนลุงหลานเริ่มจัดหาคนในวันพรุ่งนี้ ช่วงสองสามวันนี้ลำบากท่านแล้ว”“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ลำบากหรอก เพียงแต่ว่าคนร้ายที่วางยาพิษยังจับตัวไม่ได้ หากพวกเราแก้ไขตอนนี้ เกรงว่าคนร้ายนั่นจะกลับมาอีก”เวินซื่อย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดีนางยิ้มเล็กน้อย “ลุงหลานวางใจได้ พรุ่งนี้ท่านจัดหาคนได้เลย คืนนี้พวกเราจะจับคน”......คืนนั้นควรจะเป็นเวลาที่เข้าสู่ห้วงนิทรา แต่กลับมีคนจำนวนหนึ่งถือถังไม้คนละใบ หลบเลี่ยงคนลาดตระเวนเหล่านั้นอย่างเงียบๆ พวกเขาแอบเข้าไปในที่ดินกุยอวิ๋นอีกครั้งอย่างชำนาญ“หัวหน้า เมื่อวานพวกเราสาดยาพิษที่แปลงสมุนไพรทางตะวันออก ทางใต้ก็สาดไปหลายแห่งแล้ว คืนนี้จะเปลี่ยนไปสาดทางตะวันตกหรือทางเหนือดี?”“ได้ ไปดูทางตะวันตกก่อนก็แล้วกัน ถึงอย่างไรคุณชายสามก็บอกว่าต้องสาดให้หมด ต้องทำหมดทุกทาง”ดังนั้น คนร้ายที่ปิดบังใบหน้าทั้งเจ็ดแปดคนจึงอ้อมผ่านไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกไม่นานนัก พวกเขาก็วิ่งมาถึงที่หมาย“เจ้าสอง เจ้าสาม พวกเจ้าสองคนไปดูต้นทาง มีอะไรก็รีบเป่านกหวีด เจ้าสี่ เจ้าห้า เจ้าหก พวกเจ้าสามคนไปตักน้ำ เจ้าเจ็ด เจ้ามาทำลายสมุนไพรกับข้า”“ได้เลย
“คนร้ายกระจอกๆ พวกนั้นจับตัวได้หรือไม่?”“พวกที่มาครั้งแรกจับได้แล้วขอรับ แต่ไม่กี่วันต่อมา ก็มีมาอีกสองสามคน แถมยังระมัดระวังตัวยิ่งกว่า เจ้าเล่ห์มาก พิษที่เทในแปลงสมุนไพรก็เป็นฝีมือของพวกที่มาครั้งที่สองนี้”เวินซื่อเอ่ยถาม “มีคนได้รับผลกระทบบ้างหรือไม่?”ผู้เฒ่าหลานส่ายหน้า “ยาพิษที่เทนั้นดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่แปลงสมุนไพรของเราเท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนมากนัก”เวินซื่อแค่นหัวเราะ “หากวางยาพิษคน เรื่องนี้คงไม่ง่ายดายเช่นนี้แล้ว”หลังจากที่นางทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็กำชับว่า “รบกวนลุงหลานเดินทางรอบนี้ ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด ข้าจะไปดูที่ดินกุยอวิ๋นก่อน”ม่อโฉวซือไท่ก็อยู่ด้วยพอดี นางได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์จะไปกับพวกเจ้าด้วย ไปดูสักหน่อย”“ข้าก็ไปด้วยๆ !”ฉางเสี่ยวหานรีบยกมือออกจากอารามสุ่ยเยว่ ก็มีรถม้าเรียบง่ายคันหนึ่งจอดรออยู่ด้านนอกนี่เป็นสิ่งที่เวินซื่อสั่งให้ผู้เฒ่าหลานจัดหาระยะทางระหว่างที่ดินกุยอวิ๋นถึงอารามสุ่ยเยว่ก็ไม่ถือว่าใกล้ จะให้พ่อบ้านหลานที่อายุมากแล้วเดินไปเดินมาก็คงไม่ได้ดังนั้น เวินซื่อจึงให้ผู้เฒ่าหลานจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่าง เ
เป่ยเฉินหยวนไม่คิดว่านางจะยังจำเรื่องนี้ได้ และยังจัดสรรที่ดินไว้ให้เขาแล้วเขารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งอู๋โยวที่ดีเช่นนี้ เขาจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร?เพียงแต่ว่าคนสกุลอันนั่นพูดถูก เขามีความคิดต่ำทราม หากถูกคนอื่นรู้เข้า นั่นก็เท่ากับทำลายการปฏิบัติธรรมของผู้อื่น ทำลายชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของผู้อื่น เป็นเรื่องที่เลวทรามอย่างยิ่งดังนั้น เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้จึงทำได้เพียงเก็บซ่อนไว้อย่างระมัดระวังเมื่อไม่มีอันหลันซิน ขบวนก็ไม่ได้ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ไม่นานก็ออกเดินทางต่อสองวันต่อมา ขบวนที่เดินทางไกลไปยังลู่โจวในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองหลวงแล้วครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ฝ่าบาททรงนำเหล่าขุนนางมาต้อนรับที่ประตูเมืองหลวงด้วยพระองค์เองสถานการณ์ยิ่งใหญ่เอิกเกริกเช่นนี้ ทำเอาเวินซื่อตกใจไม่น้อยภายหลังเวินซื่อถึงได้รู้ว่า ที่แท้ข่าวคราวจากลู่โจวก็แพร่เข้ามาถึงในเมืองหลวงแล้วหลังจากขอฝนที่จินโจวแก้ปัญหาภัยแล้งได้แล้ว เวินซื่อก็มีชื่อเสียงเรื่องการสวดอธิษฐานขอพรให้ผู้ประสบภัยพิบัติที่ลู่โจวเพิ่มขึ้นมาอีกตอนนี้ชื่อเสียงของนางไม่ได้เลื่องลือแค่ในเมืองหลวงและจินโจวสองแห่งเท่าน
ภายในป่า เงียบสงบไปครู่หนึ่ง ถึงมีเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ ดังขึ้น“เจ้าพูดถูก ข้าไม่คู่ควร”เป่ยเฉินหยวนสีหน้าเย็นชา สายตาเย็นเยียบ “แต่เจ้าไม่คู่ควรยิ่งกว่า”“เจ้าอยากจะใช้คนร้ายที่หลบหนีไปได้มาบีบบังคับข้า น่าเสียดาย ข้าไม่หลงกลเจ้า”เป่ยเฉินหยวนพูดจบก็ยกมือขึ้น กองทัพธงดำจำนวนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นทันที ล้อมอันหลันซินเอาไว้อันหลันซินตกใจทันที ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี“ท่านคิดจะทำอะไร?”เป่ยเฉินหยวนกล่าวอย่างเย็นชา “ขอบคุณอู๋โยวให้ดีเถอะ หากมิใช่เพราะนาง หัวของเจ้าคงถูกข้าตัดเอาไปเตะเล่นนานแล้ว”พูดจบเขาก็หันหลังกลับไปออกคำสั่ง “เอาตัวไป มัดให้แน่นแล้วส่งไปให้หนิงหย่วนโหว ให้เขาเฝ้าไว้ให้ดีๆ ขอแค่ไม่ตาย จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่เขา แต่ถ้าคนหนีไป ข้าจะเอาเรื่องกับเขา”“พ่ะย่ะค่ะ!”กองทัพธงดำหลายนายรีบเข้ามาทันทีไม่!ไม่ได้!นางจะถูกพาตัวไปไม่ได้!นางอุตส่าห์รอโอกาสนี้มาอย่างยากลำบาก หากถูกพาตัวไปแล้ว ต่อไปนางจะกลับมาหาอาซื่อได้อย่างไร!อันหลันซินเห็นท่าไม่ดี อ้าปากกำลังจะร้องตะโกน“อึก...”น่าเสียดายที่นางเพิ่งจะส่งเสียงออกมา ฝักกระบี่ก็ฟาดลงบนคอของนางอย่างแรงทำให้นางสลบไ
คนที่ปรากฏตัวอยู่ด้านนอกรถม้าของเป่ยเฉินหยวนคืออันหลันซิน“ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน หม่อมฉันจะทำอะไรท่านได้ ท่านจะระแวงหม่อมฉันขนาดนี้ไปทำไมเพคะ?”อันหลันซินยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นเป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้ว สายตาไม่พอใจ “มีธุระก็พูด ไม่มีธุระก็ไสหัวไป”ท่าทีที่ไม่เกรงใจเมื่อเทียบกับรอยยิ้มที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อครู่ ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆอันหลันซินแค่นเสียงหัวเราะในใจเสแสร้งอะไรกันตอนนี้รู้จักปฏิบัติต่อสตรีอื่นอย่างแตกต่างเพราะอาซื่อ แต่ต่อไปความพิเศษเช่นนี้ไม่แน่ว่าจะตกไปอยู่กับสตรีอื่นอย่างไรเสีย บุรุษในโลกนี้ก็เหมือนกันหมดอันหลันซินระงับความรังเกียจในใจ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน “เอาละ รู้ว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ชอบหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันมีข้อแลกเปลี่ยน อยากจะคุยกับท่านสักหน่อยเพคะ”นางพูดเช่นนี้ เป่ยเฉินหยวนกลับไม่มองนางแม้แต่น้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาและดูถูก “อย่างเจ้า มีคุณสมบัติอะไรมาทำข้อตกลงกับข้า?”“ที่ข้ายอมให้เจ้าอยู่ในขบวนนี้จนถึงตอนนี้ ก็เพียงเพราะเห็นแก่หน้าอู๋โยว”รอยยิ้มบนใบหน้าของอันหลันซินแข็งค้าง กัดฟันเล็กน้อย“เหอะๆ หม่อมฉั
เป่ยเฉินหยวนนอนเอนกายอย่างสบายอารมณ์อยู่ในรถม้า ในขณะเดียวกันก็นอนอยู่ข้างกายเวินซื่อ หลับตาพริ้มขยับศีรษะอย่างมีความสุข ตอบคำถามของนางทีละประโยค“ได้ ไม่แรง ไม่ได้ดึงเลย ปวดนิดหน่อย เพราะซื่อเอ๋อร์ลูบให้ หัวก็เลยไม่ปวดมากแล้ว”เวินซื่อได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโชคดีที่นางยังจำตำแหน่งกดจุดต่างๆ บนศีรษะที่อาจารย์ม่อโฉวสอนได้ ผสมผสานกับวิธีการนวด แล้วนวดให้เป่ยเฉินหยวน ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะดีเลยทีเดียวเวินซื่อที่คิดว่าได้ผลจริงๆ ก็ยังคงตั้งใจจ้องมองศีรษะของเป่ยเฉินหยวน จดจ่ออยู่กับการผสมผสานวิธีการนวดและกดจุดต่างๆ ของนางหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ภายในรถม้าดูเหมือนจะเงียบสงบลงอย่างสิ้นเชิงเงียบจนแม้ว่าภายนอกจะมีเสียงล้อรถดังอยู่ ก็ยังได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอภายในรถม้าเวินซื่อเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าเป่ยเฉินหยวนไม่รู้ว่าหลับตาลงตั้งแต่เมื่อไรแล้วเวินซื่อเห็นดังนั้น มือที่วางอยู่บนศีรษะของเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวช้าลง จนกระทั่งพอสมควรแล้ว นางถึงได้ชักมือกลับก้มหน้าลงมองสีหน้าที่อ่อนล้าระหว่างคิ้วของเป่ยเฉินหยวน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เวินซื่อก็หยิบขวดน้ำทิพย์ออกมาจ
“ปวดหัวหรือ? เกิดอะไรขึ้น? ปวดเป็นพักๆ หรือว่าปวดมากตลอดเวลา?”พอเวินซื่อได้ยินเป่ยเฉินหยวนบอกว่าตนเองปวดหัว ก็ไม่ทันได้ใส่ใจกับคำเรียกที่ดูเหมือนจะสนิทสนมเกินไปนั่น รีบถามอย่างกระวนกระวาย“ปวดเป็นพักๆ เหมือนกับมีคนมากมายพูดอยู่ในหัวของข้า หนวกหูมาก ปวดเหลือเกิน”เป่ยเฉินหยวนมองนางอย่างไม่วางตา ชายหนุ่มผู้ซึ่งปกติแล้วสูงใหญ่และพึ่งพาได้เสมอ เวลานี้กลับดูอ่อนแอเหมือนหมาป่าตัวใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บ ทำได้เพียงส่งเสียงร้องครางกับคนตรงหน้าเพื่อระบายความเจ็บปวดของตนเวินซื่อไม่เคยเห็นเป่ยเฉินหยวนในสภาพที่อ่อนแอเช่นนี้มาก่อนแม้แต่ครั้งแรกที่เห็นเขาป่วยที่ริมลำธารเล็กๆ หลังภูเขานั่น เป่ยเฉินหยวนในตอนนั้นก็ยังคงสติไว้ได้บ้างแต่เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้ กลับเหมือนแสดงด้านที่อ่อนแอยามเจ็บป่วยออกมาให้นางเห็นอย่างไม่มีปิดบังเวินซื่อจึงลูบหน้าผากเขาด้วยความสงสารทันที แล้วจับชีพจร “ไม่ปวดแล้วๆ ตอนนี้ข้าจะสวดมนต์ให้ท่านอ๋องเดี๋ยวนี้ ท่านนั่งฟังดีๆ อีกเดี๋ยวก็จะไม่ปวดแล้ว”แต่เป่ยเฉินหยวนในตอนนี้กลับเหมือนจะมีความคิดต่อต้านขึ้นมาเล็กน้อย ยื่นมือออกไปคว้าข้อมือของเวินซื่อที่กำลังจะชักกลับ เอ่ยด้วยน้
นางมองเวินซื่อด้วยความอาลัยอาวรณ์หางตากลับเหลือบไปมองเป่ยเฉินหยวนและเด็กสาวที่อยู่ข้างโต๊ะนั่นอย่างเย็นชาเพิ่มมาอีกคนแล้วแต่ไม่เป็นไร ยังไม่จบหรอกหลังจากที่นายท่านสกุลผังกลับไปแล้ว ไม่นานก็ส่งสัญญาขายตัวมาให้ตามคาด ทั้งยังเขียนหนังสือหย่าอนุภรรยาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาหนึ่งฉบับจริงๆเมื่อได้สัญญาขายตัวและหนังสือหย่าอนุภรรยา อันหลันซินก็ไปจากที่นี่เวินซื่อให้จู๋เยวี่ยติดตามไประยะหนึ่งแน่นอนว่าเพื่อจับตาดู“เป็นอย่างไรบ้าง?”หลังจากที่จู๋เยวี่ยกลับมา เวินซื่อก็เอ่ยถาม“ดูเหมือนว่าจะมีเศษเงินที่ซ่อนเอาไว้ ซื้อของกินเล็กน้อย ห่อไว้แล้วก็ออกจากเมืองไป ดูท่าทางน่าจะกลับเมืองหลวง”กลับเมืองหลวง...จินโจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงขนาดนี้ นางคิดจะเดินเท้ากลับไปหรือ?แล้วยังมีบิดาของนางในเมืองหลวง ทั้งภรรยาเอกและพี่สาวต่างมารดาพวกนั้น คงจะไม่ปล่อยนางไปกระมัง?ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคิดจะกลับไป?เวินซื่อขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลายปมคิ้วไม่สิ นางจะเป็นห่วงอันหลันซินทำไมกัน?ต่อจากนี้ไปอันหลันซินจะเป็นตายร้ายดีก็ไม่เกี่ยวข้องกับนางที่นางช่วยครั้งนี้ก็เพราะเห็นแก่คว