ในขณะเดียวกันลู่โจวเวินซื่อยังไม่รู้เรื่องความพลิกผันภายในจวนเจิ้นกั๋วกงแห่งเมืองหลวงในเวลานี้หลังจากจัดพิธีสวดขอพรครั้งสุดท้ายในอำเภอหนิงอันเสร็จสิ้นแล้ว เวินซื่อและเป่ยเฉินหยวนก็ไม่ได้ออกจากลู่โจวทันทีตามแผนเดิมที่วางไว้ แต่ยังคงอยู่ในอำเภอหนิงอันเพื่อร่วมกันให้การช่วยเหลือจนกระทั่งประชาชนในอำเภอหนิงอันทั้งหมดรอดพ้นจากภัยอันตราย และโรคระบาดในลู่โจวทั้งหมดได้รับการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว พวกเขาถึงออกเดินทางกลับเมืองหลวงในที่สุด“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ อย่าลืมสมุนไพรสองชุดนั้นที่ข้าสั่งจองไว้เด็ดขาด!”ขณะที่เวินซื่อและเป่ยเฉินหยวนจากไปในครั้งนี้ หนิงหย่วนโหวที่ยังเฝ้าดูแลอยู่ในอำเภอหนิงอันก็หาเวลาว่างจนได้ มาส่งพวกเขาเดินทางด้วยตัวเอง“หนิงหย่วนโหววางใจเถอะ ข้าไม่มีทางลืมหรอก”รถม้าเคลื่อนตัวออกจากอำเภอหนิงอันอย่างช้า ๆหลังจากเวินซื่อที่ยุ่งอยู่หลายวันถอนสายตากลับมาแล้ว กำลังเตรียมจะปิดม่านลงและกลับเข้าไปในรถเพื่อพักผ่อนสักครู่แต่ในขณะที่สายตาของนางเลื่อนผ่านสุสานหมู่แห่งนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็น “ศพ” หนึ่งที่นอนฟุบอยู่บนพื้นอย่างฉับพลันเวินซื่อยังนึกว่าเป็นศพของประชา
ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ออกไป เวินซื่อก็นิ่งเงียบไปนางจ้องไปที่ฉางเสี่ยวหานที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อนใครก็ไม่คาดคิดว่า นางจะเป็นน้องสาวของฉางอู๋เต้าผู้นั้นจริง ๆใช่แล้ว ในเหตุการณ์ที่อำเภอหนิงอัน ฉางเสี่ยวหานถูกปล้น พ่อแม่ของนางถูกฆ่าปิดปาก พี่ชายของนางก็ถ่วงตัวเองในบ่อน้ำฆ่าตัวตายหลังจากการแก้แค้น ทุกคนนึกเอาเองโดยจิตใต้สำนึกว่าฉางเสี่ยวหานก็น่าจะตายแล้วเช่นกันแต่นึกไม่ถึงว่า นางจะยังมีชีวิตอยู่แม้ว่าจะเกือบตายไปแล้วก็ตาม“เจ้า...ซ่อนตัวอยู่ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้เลยหรือ?”ดูเหมือนว่าฉางเสี่ยวหานจะยังไม่รู้เรื่องที่พี่ชายของนางได้กลับมาตั้งนานแล้วฉางเสี่ยวหานพยักหน้าดังคาด “ใช่เจ้าค่ะ นึกไม่ถึงว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์จะคาดเดาถูกอีกแล้ว”เมื่อเผชิญกับท่าทางวิตกกังวลของเวินซื่อ บางทีอาจเป็นเพราะธิดาศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้เพิ่งช่วยชีวิตนางไว้ ฉางเสี่ยวหานจึงไม่ได้มีท่าทีระแวดระวังตัวนางในเวลานี้ พอพูดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะระบายออกมาหลังจากยิ้มออกมาครู่หนึ่ง ใบหน้าผอมซูบนั้นก็เผยท่าทางเจ็บปวดออกมา “ก่อนหน้านี้ข้าถูกคนจับตัวไว้ เป็นเพราะไม่เชื่อฟังเขา จึงถูกขังไว้ไม่ให้ข้าวกิน ไม่ให
ครึ่งชั่วยามต่อมา เวินซื่อและคนอื่น ๆ ก็ออกเดินทางอีกครั้งตลอดทางราบรื่นเป็นอย่างมากสองวันต่อมา ขบวนรถก็มาถึงจินโจวอย่างรวดเร็ว ยังเป็นสถานที่แห่งนั้นที่ใช้หยุดพักเหนื่อยเหมือนเมื่อก่อนหลังจากกินอาหารเย็นกับเป่ยเฉินหยวนแล้ว เวินซื่อก็กลับเข้าห้องของตัวเองขณะที่นางกำลังจะนอนลงพักผ่อน นอนหลับให้เต็มอิ่มสักตื่นวินาทีต่อมานางก็เด้งขึ้นจากเตียงอย่างกะทันหัน“สวรรค์ ข้าลืมเขาไปอย่างไม่น่าเชื่อ!”เวินซื่อรีบเข้าไปในมิติของหยกหลังจากผ่านไปหลายวัน ในที่สุดนางก็นึกถึงเวินจื่อเฉินที่ทิ้งไว้ในมิติโดยไม่สนใจอีกหลังจากจับกรอกยาแล้วตอนที่นางเข้าไปในห้องใต้หลังคา ก็เห็นเวินจื่อเฉินกำลังเล่นนิ้วมือด้วยความเบื่อหน่ายอยู่ภายในกรงเหล็กใช่แล้ว เวินจื่อเฉินที่ทั้งออกไปไม่ได้และไม่มีใครคุยด้วย ก็เบื่อหน่ายจนถึงขั้นได้แต่เล่นนิ้วมือของตัวเองเท่านั้นโชคดีที่ท้องของเขาถูกป้อนอะไรลงไปก็ไม่รู้ อิ่มอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงหิวตายอยู่ที่นี่ไปตั้งนานแล้วในเวลานี้ เวินจื่อเฉินที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวบางอย่างโดยฉับพลันได้เงยหน้าขึ้นมาจากภายในกรงพอหันหน้าไปก็เห็นเวินซื่อเดินเข้ามาหาเขาอย
เวินจื่อเฉินดื่มอึก ๆ หลายคำ ก็ฝืนดื่มยาหม้อชามนั้นที่ขมจนหน้าตาบิดเบี้ยวลงไปทั้งอย่างนั้นเวินซื่อเห็นว่าเขาดื่มหมดแล้ว จึงปรุงยาขึ้นใหม่อีกยังคงปรุงไปพูดไปเช่นเคย “ท่านยังอยากกลับไปอีกไหม?”เวินจื่อเฉินส่ายหัวทันทีโดยไม่มีความลังเล “พี่รองบอกแล้วว่า ต่อไปเจ้าอยู่ที่ไหนข้าก็ต้องอยู่ที่นั่น”“ไม่ต้องรีบตัดสินใจขนาดนั้น ท่านควรเข้าใจว่า หากท่านยังต้องการกลับไปที่จวนเจิ้นกั๋วกง ครั้งนี้คือโอกาสของท่าน ขอเพียงท่านแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องใด ๆ แสร้งทำเป็นว่าสูญเสียความทรงจำและพิษยังไม่ถูกกำจัดเหมือนเมื่อก่อนต่อไป เช่นนั้นประตูหน้าของจวนเจิ้นกั๋วกง ท่านก็ยังสามารถก้าวเข้าไปได้เหมือนเดิม”“ปัง!”จู่ ๆ เวินจื่อเฉินที่อยู่ในกรงเหล็กก็ต่อยไปที่แผ่นกระดาน เขากัดฟันมองไปยังเวินซื่อที่อยู่แท่นหิน “ข้าทำไม่ได้ ข้าก็ไม่อยากกลับไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงแล้วเช่นกัน ข้าแค่อยากติดตามเจ้า”เวินซื่อหัวเราะเยาะ “ติดตามแม่ชีอย่างข้ามามีอะไรดีหรือ?”“ข้ารู้สึกดีก็พอ!”เวินจื่อเฉินเม้มริมฝีปาก หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น “น้องห้า ขอร้องเจ้าล่ะ อย่าไล่พี่รองไปไหนเลยได้หรือไม่? หากเจ้าไม่ชอ
ใครนะที่มารนหาที่ตาย?เมื่อสังเกตเห็นว่ามีคนเข้ามาในห้องของนาง เวินซื่อก็ไม่ได้ออกไปทันที แต่กลับคอยฟังการเคลื่อนไหวภายนอกจากในมิติแทนจู๋เยวี่ยอยู่ข้างนอก หากผู้มาเยือนไม่เป็นมิตร นางจะรีบจัดการพวกเขาทันทีแต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ เวินซื่อฟังเสียงความเคลื่อนไหวอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงคนลงมือจากภายนอกหรือว่านางจะรู้จักผู้ที่มาเยือน?เวินซื่อนิ่งไปในทันใดหลังจากแน่ใจแล้วว่าคนผู้นั้นไม่ได้เข้ามาใกล้ขอบเตียงของนาง นางก็ออกไปจากมิติอย่างรวดเร็ว แล้วเอนกายลงบนเตียงในทันใดราวกับสังเกตเห็นการปรากฏตัวของนาง วินาทีต่อมา ภายในห้องก็มีตะเกียงดวงหนึ่งจุดขึ้นแสงเทียนสว่างขึ้นทันใด ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง และส่องสว่างไปยังบุคคลที่สามที่บุกรุกเข้ามาในยามกลางดึก“เสี่ยวหาน?”เมื่อเวินซื่อเห็นคนที่ซ่อนอยู่ในมุมห้องอย่างชัดเจนแล้ว นางก็อุทานด้วยความประหลาดใจทันที“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”คนที่เข้ามาในห้องของเวินซื่ออย่างเงียบ ๆ ก็คือฉางเสี่ยวหานที่ถูกพวกเขายกให้หนิงหย่วนโหวไปก่อนหน้านี้แล้วฉางเสี่ยวหานไม่คิดว่าจะรบกวนการพักผ่อนของเวินซื่อ นางพูดตะกุกตะกัก “ขอ...ข
ฉางเสี่ยวหานส่ายหัว “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ท่านหนิงหย่วนโหวจัดการทุกอย่างให้ข้าเป็นอย่างดีแล้ว ชดเชยให้แล้ว แต่ทุกครั้งที่พวกเขามองมาที่ข้าเหมือนกำลังมองวิญญาณที่น่าสงสาร ท่านหนิงหย่วนโหวเองก็เหมือนกัน”ฉางเสี่ยวหานรู้เรื่องพี่ชายของนางแล้วหลังจากประสบกับความกระทบกระเทือนมากมายอย่างต่อเนื่อง เวลานี้นางมีความอ่อนไหวมากในสายตาของผู้คนเหล่านั้นที่มองมาที่นาง นางสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนในทุกสายตามีทั้งสงสารนาง รังเกียจนาง และโกรธแค้นนาง นางรู้หมดนางเกลียดสายตาเหล่านั้นดังนั้นนางจึงหนีออกมาจากหนิงหย่วนโหวนางไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนได้อีก คนเดียวที่นางนึกถึงมีเพียงธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยนางไว้วันนั้น ตอนที่ได้รู้ชื่อของนาง สิ่งที่แสดงออกมาจากสายตาของนางไม่ใช่ความสงสาร ไม่ใช่รังเกียจ และยิ่งไม่ใช่ความโกรธแค้นแต่เป็นความเจ็บปวดธิดาศักดิ์สิทธิ์รู้สึกเจ็บปวดกับนางในเวลานั้นฉางเสี่ยวหานที่งุนงงทำอะไรไม่ถูก ทันทีที่นึกถึงเรื่องนี้นางก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ดังนั้นจึงไล่ตามอยู่ทั้งคืน หลังจากไล่ตามมาสองวันสองคืนก็ตามมาถึงจินโจวในที่สุดนางกลัวว่าตัวเองจะถูกกั้นไว้ข้างนอก ดังนั้นจึงแอบวิ่งเข้า
“เพี๊ยะ!”ภายในเรือนหลังประตูสีดำสนิท บ่าวหลายคนถือคบเพลิงไว้ในมือ แล้วล้อมอันหลันซินที่เพิ่งถูกจับตัวกลับมาหลังจากหนีไปอีกครั้งไว้ตรงกลาง ปล่อยให้คุณชายของพวกเขาทุบตีด่าทอ“เจ้ามันแพศยา แต่งเข้ามาเป็นอนุของข้าแล้ว ยังกล้าวางท่าเป็นหญิงสูงศักดิ์ของเจ้าอีกหรือ”“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ก็เป็นแค่ลูกของอนุชั้นต่ำเท่านั้น ยังกล้าลองดีกับคุณชายอย่างข้าอีก รู้หรือไม่ว่าพ่อบังเกิดเกล้าของเจ้าขายเจ้ามาในราคาเท่าใด?”คุณชายใหญ่ที่อ้วนถ้วนยื่นนิ้วมือกลมๆ ออกมาหนึ่งนิ้วกดลงหัวอันหลันซินอย่างแรง แล้วพูดจาราวกับเสียเปรียบใหญ่หลวง “หนึ่งหมื่นตำลึง! ลูกอนุภรรยาของราชเลขาฝ่ายขวาขายตั้งหนึ่งหมื่นตำลึงเชียวนะ! หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของพ่อเจ้า เจ้านึกว่าหน้าตาอย่างเจ้ามีค่าหนึ่งหมื่นตำลึงหรือ? ถุย! ตัวชูโรงในหอนางโลมยังดีกว่าเจ้านักหนา!”อันหลันซินกัดฟันทนความเจ็บปวดหยัดกายยันร่างท่อนบนให้ลุกขึ้น เมื่อเห็นเจ้าหมอนี่ที่อ้วนพุงพลุ้ย แววตานางมีความเหี้ยมเกรียมแวบผ่านแต่ต่อมาสีหน้าของนางกลับเปลี่ยนเป็นน่าสงสาร ดวงตานางแดงก่ำแล้วกัดฟันพูด “คุณชายใหญ่ผาง ในเมื่อไม่ถูกใจข้า แล้วเหตุใดยังต้องบังคับขืนใจข
ดูเหมือนจะไม่ตีต่อแล้วเวินซื่อถึงได้ละสายตากลับมา บอกจู๋เยวี่ยเสียงค่อย “ไปเถอะ ควรกลับได้แล้ว”นางเป็นผู้ออกบวช และเรียนวิชาแพทย์กับอาจารย์ม่อโฉวจึงถือว่าเป็นกึ่งหมอ ที่มาที่นี่ก็เพราะไม่อยากเห็นใครถูกตีจนตายเท่านั้นในเมื่อตอนนี้ยังไม่ตาย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวกับนางสักนิดเวินซื่อหันหลังเตรียมจากไป แต่คนทางนั้นมีความเคลื่อนไหวกะทันหัน“ชีวิตนะเก็บไว้ให้เจ้าก็ได้ แต่คนเนี่ยนะ...”คุณชายใหญ่ผางลูบใบหน้าอันหลันซิน หัวเราะแล้วกล่าวอย่างหื่นกามอำมหิต “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมจำนนให้ข้า ถ้างั้นก็ยกเจ้าให้พวกบ่าวของข้าก็แล้วกัน เพราะอย่างไรคืนนี้เพื่อจับตัวเจ้ากลับมา พวกเขาเสียแรงไปไม่น้อย ดังนั้นเจ้าต้องปรนนิบัติพวกเขาให้ดี”“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ”“ขอบคุณรางวัลของคุณชาย!”สีหน้าอันหลันซินซีดเผือดทันใด “เจ้ากล้าหรือ! ข้าเป็นบุตรสาวของราชเลขาฝ่ายขวา ต่อให้เป็นเพียงลูกอนุ แต่ก็ไม่ใช่คนที่พวกเจ้าจะย่ำยีอย่างไรก็ได้!”“ลูกอนุคนเดียวที่ขายให้ข้าแล้ว ข้าอยากทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น!”คุณชายใหญ่ผางทำหน้าไม่ยี่หระส่วนพวกบ่าวเหล่านั้นยิ้มพรายพร้อมก้าวมาข้างหน้า“ในเมื่ออนุอันไม่รู้จักกาลเทศะ ถ้างั้นพว
ถึงขั้นเอาอีกฝ่ายมาข่มขู่เวินจื่อเยวี่ย ทำให้เวินจื่อเยวี่ยต้องเลือกระหว่างนางและหลินเนี่ยนฉือแล้วนางสารเลวที่ยังไม่เดินผ่านประตูเข้ามาจะเอาอะไรมาเทียบกับนาง!เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในเสี้ยววินาทีที่ก้มศีรษะลง สายตาอาบยาพิษช่างน่าสะพรึงกลัว“ยุแยงตะแคงรั่ว?”เวินซื่อแค่รู้สึกว่าคำพูดของเวินจื่อเยวี่ยน่าขบขันมาก “มีเพียงคนที่มีหัวใจเท่านั้นถึงจะรู้สึกว่าใคร ๆ ก็เป็นเช่นนี้”นางเหลือบมองเวินเยวี่ยแวบหนึ่งอย่างเฉยชา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “ท่านคิดว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะใช้พวกท่านไปก่อกวนความสงบของนางหรือ? ฝันไปเถอะ พวกท่านยังไม่คู่ควร”“เหอะ พูดเสียน่าฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะจดหมายที่เจ้าเขียนไปฟ้อง หลินเนี่ยนฉืออยู่ที่อู๋โจวอยู่ดี ๆ จะเข้ามาที่เมืองหลวงทำไม? แล้วยังต้องการถอนหมั้นกับข้าอีก?!”ถึงตอนนี้เวินจื่อเยวี่ยยังคงเชื่อว่าเวินซื่อไปพูดอะไรกับหลินเนี่ยนฉือ ถึงทำให้หลินเนี่ยนฉือทำเช่นนั้น“ท่านคิดว่าข้อมูลในใต้หล้านี้มีสิ่งใดที่สามารถปิดบังได้อย่างนั้นหรือ? จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกท่านได้ทำเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้า ไร้ยางอายมาไม่น้อย แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงตั้งน
อูฐผอมซูบยังตัวใหญ่กว่าม้าการจะทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงอันใหญ่โตแห่งนี้โดยอาศัยแมลงเพียงไม่กี่ตัว มันเป็นไปไม่ได้เลยแน่นอน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิงเพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไปอย่างเช่นการหมั้นหมายระหว่างจวนเจิ้นกั๋วกงและสกุลหลินเมื่อจวนเจิ้นกั๋วกงถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับชาวต่างเผ่า เวินเฉวียนเซิ่งจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชำระล้างให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหานี้และวิธีการที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นการดึงผู้คนให้เข้ามาพัวพันมากขึ้นสกุลหลินที่ยังมีการหมั้นหมายกับจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นกลุ่มแรกที่รับศึกหนัก โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินซื่อ และจะกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งดึงสกุลหลินให้ลงมาพัวพันด้วยดังนั้นก่อนจะยุติการหมั้นหมายระหว่างหลินเนี่ยนฉือและเวินจื่อเยวี่ย เวินซื่อยังไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ทว่า ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถแตะต้องจวนเจิ้นกั๋วกงได้ แต่การมีเวินเยวี่ยเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย“หมั้น...หมั้นหมาย?”ในขณะนี้ เสียงที่สับสนของเวินเยวี่ยก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของ เวินจื่อเยวี่ย“พี่สาม ท่านหมั้นกับใครตั้
“ท่าน…!”เวินเยวี่ยลมแทบจับเมื่อได้ยินที่เวินซื่อพูดนางข่มไฟโทสะเอาไว้ “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนของกองทัพธงดำเสียหน่อย ให้ท่านมาทำการค้นหา ไม่น่าจะเหมาะสมกระมัง?”เวินเยวี่ยฝืนยิ้ม “ท้ายที่สุดแล้วบุญคุณความแค้นระหว่างพี่หญิงห้ากับเยวี่ยเอ๋อร์นั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน ถ้าเกิด…”ประโยคสุดท้ายนี้ไม่ได้พูดออกมาทั้งหมด แต่ก็สามารถเข้าใจทุกอย่างที่ควรเข้าใจถ้าเกิดเวินซื่อเข้าไปวางกลอุบายบางอย่างเพื่อใส่ร้ายนางแล้วจะทำเช่นไร?เวินซื่อหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเวินเยวี่ย รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยออกมาบนใบหน้าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและงดงามของนาง “ข้าไม่ต่ำช้าไร้ยางอายเหมือนเจ้า”ใบหน้าของเวินเยวี่ยสลดลงเพราะดำด่าของนางทันทีแต่วินาทีต่อมาก็ได้ยินเวินซื่อพูดว่า “แต่ว่านี่มันก็เป็นปัญหาจริง ๆ ในเมื่อคุณหนูหกสกุลเวินเป็นกังวลเช่นนี้ เช่นนั้นข้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็ขอยืนค้นหาอยู่ที่ประตูแล้วกัน”ยืนค้นหาอยู่ที่ประตูหรือ?แล้วจะค้นหาอย่างไร?ขณะที่เวินเยวี่ยและคนอื่น ๆ กำลังงุนงง เวินซื่อก็พลิกฝ่ามือ ก่อนจะหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของนางฉางเสี่ยวหานก้าวเข้าไปรับขวดหยกจากมือของเว
“เหลวไหลสิ้นดี!”แววอันตรายฉายผ่านดวงตาอันคมกริบของเวินเฉวียนเซิ่งในทันใดเขาจ้องไปที่รถม้าที่เวินซื่อนั่งอยู่ สายตามองทะลุช่องว่างของม่านหน้าต่าง พลางชี้ตรงไปที่เวินซื่อ “เวินซื่อ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้ากำลังใส่ร้ายขุนนางในราชสำนักซึ่งเป็นความผิดร้ายแรง!”“หากเจ้าไม่สามารถแสดงหลักฐานใด ๆ ได้ ต่อให้เจ้าจะเคยเป็นลูกสาวของข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เด็ดขาด!”“เจิ้นกั๋วกงไม่จำเป็นต้องใจร้อนขู่ขวัญเช่นนี้”ว่าแล้วเวินซื่อก็ยกมือขึ้นเปิดม่านรถแล้ว เดินออกมาจากด้านในอย่างช้า ๆเสี่ยวหานก้าวไปข้างหน้าอย่างมีไหวพริบ ทำตามสาวใช้เหล่านั้น เอื้อมมือออกไปช่วยประคองธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางลงจากรถม้าช้า ๆหลังจากลงสู่พื้นและยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เวินซื่อก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งผ่านกองทัพธงดำ นางยิ้มเล็กน้อย “ถ้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหลักฐาน วันนี้จะกล้านำกองกำลังไปปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของท่านได้อย่างไร”การทำงานตามคำสั่งส่วนตัวของอ๋องผู้สำเร็จราชการเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การทำงานตามพระราชโองการของฝ่าบาทก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเวินซื่อยกมือขึ้น รับพระราชโองการจากมือของกองทัพ
ให้อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาหนุนหลังนางแล้วอย่างไรต่อ เขาไม่เชื่อว่า อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้สง่างามจะบังคับเขาให้ถอนหมั้นได้อย่างนั้นหรือ!เมื่อเวินเฉวียนเซิ่งได้ยินเวินจื่อเยวี่ยพูด ก็มองเขาแวบหนึ่งอย่างเย็นชา “เจ้าควรคิดหาวิธีช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนดีกว่า ถ้าครั้งนี้พี่ใหญ่ของเจ้าตาย ก็อย่าได้คิดเรื่องหมั้นหมายเลย ข้าเวินเฉวียนเซิ่ง ไม่มีลูกชายที่ใจไม้ไส้ระกำอย่างเจ้า”ใบหน้าของเวินจื่อเยวี่ยขรึมลงทันทีเขารู้ว่าลูกชายคนโปรดของบิดาไม่ใช่เขา แต่เป็นพี่ใหญ่ที่บิดาเลี้ยงดูอย่างสุดชีวิตจิตใจแต่เขานึกไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว บิดาจะยังโหดร้ายถึงเพียงนี้ เอาการหมั้นหมายของเขามาข่มขู่เขาเวินจื่อเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรอีกแต่ในขณะนี้ พ่อบ้านนั้นพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านกั๋วกง คุณชายสาม ครั้งนี้ผู้ที่นำกองทัพธงดำมาไม่ใช่ท่านอ๋องขอรับ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้เวินเฉวียนเซิ่งก็หันกลับไปหาพ่อบ้าน “ไม่ใช่เป่ยเฉินหยวนหรอกหรือ? แล้วใครล่ะ?”นอกจากฮ่องเต้น้อยและเป่ยเฉินหยวนเองแล้ว ยังมีใครอีกที่สามารถระดมกองทัพธงดำ ถึงขั้นกล้าปิดล้อมจวนเจิ้นกั๋วกงของเขาได้?ขณะที่เวินเฉวียนเซิ่งกำลังครุ่นคิดในหัวว
“เสี่ยวหาน ให้ข้าดูหน้าเจ้าหน่อยสิ”หลังจากขับไล่เวินเฉวียนเซิ่งและเวินจื่อเยวี่ยออกไปแล้ว เวินซื่อก็ดึงฉางเสี่ยวหานเข้ามา“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ตบไม่โดนหน้า ข้าหลบได้นิดหน่อย แค่ตบโดนหัวเท่านั้น”ถึงกระนั้น การตบของเวินจื่อเยวี่ยก็หนักหน่วงมาก จนศีรษะของฉางเสี่ยวหานถึงกับสั่นคลอนในตอนนั้น ใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองได้“เจ้าไม่ต้องกังวล การตบครั้งนี้ข้าจะต้องเอาคืนเขาอย่างแรงแน่นอน”สีหน้าของเวินซื่อเคร่งขรึมลง น้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งฉางเสี่ยวหานลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องหรอกธิดาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อครู่ท่านช่วยตบคืนแทนเสี่ยวหานแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกเจ้าค่ะ”ฉางเสี่ยวหานรู้จักคนในเมืองหลวงน้อยมาก แต่หลังจากติดตามเวินซื่อมาเป็นเวลานาน ก็ได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดกับสองพ่อลูกคู่นั้นเมื่อครู่ ก็ย่อมสามารถคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้อย่างง่ายดายคนหนึ่งคืออดีตบิดาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ อีกคนคืออดีตพี่ชายของธิดาศักดิ์สิทธิ์ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นย่ำแย่มากพออยู่แล้ว หากธิดาศักดิ์สิทธิ์ต้องทะเลาะกับพี่ชายหนักขึ้นด้วยเรื่
เขาขบริมฝีปากล่างแน่น กัดปากของตัวเองแตกเหมือนไม่รู้สึกตัว ปล่อยให้เลือดไหลลงจากมุมปากช้า ๆ“หลินเนี่ยนฉือล่ะ?”เวินจื่อเยวี่ยเอ่ยปากถามขึ้นทันใด“ข้าอยากพบนาง”“นางไม่อยากพบท่าน”เวินซื่อเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ“ข้าบอกว่าข้าอยากพบนาง!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดลั่นอย่างฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด พลางปัดมือของจางเสี่ยวหานออกมือของจางเสี่ยวหานถูกตีเจ็บ ตกใจสะดุ้งโหยง เมื่อนางรู้ตัวก็เอื้อมมือออกไปอีกครั้ง คว้าเพียงหนังสือถอนหมั้นฉบับนั้นไว้ส่วนจี้หยกก็ร่วงลงสู่พื้นดัง “ตุ้บ” ตามมาด้วยเสียงแตกหักดังขึ้น จี้หยกแยกออกเป็นสองส่วนทันทีเวินจื่อเยวี่ยที่ยังอยู่ในอาการฉุนเฉียวเมื่อได้ยินเสียงนี้อย่างกะทันหัน ก็ก้มหน้าลงมอง เกิดความสับสนขึ้นโดยพลันเขารีบเก็บจี้หยกขึ้นมา เมื่อมองดูรอยแตกหักนั้น ก็ไม่อาจยับยั้งไฟโทสะที่อัดอั้นอยู่เต็มอกไว้ได้ เพียงชั่วครู่ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ฉางเสี่ยวหาน...“ใครให้เจ้าทำของของข้าพัง! เจ้าอยากตายหรือไง?!”“อะไรนะ? ไม่ใช่ข้า เป็นท่านต่างหากที่ปัดมือของข้าเอง...”“สาวใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้ายังกล้าเถียงอีก!”เวินจื่อเยวี่ยลุกพรวดขึ้น สีหน้ามีรอยพยายาท ยกมือขึ้นตบหน้าฉางเส
เวินจื่อเยวี่ยมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านพ่อ พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”เวินจื่อเยวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าน่าจะเข้าใจ เจ้าสาม”“ข้าไม่เข้าใจ!”เวินจื่อเยวี่ยตวาดออกมาทันใด พลางจ้องมองไปที่บิดาของเขาอย่างไม่ละสายตาเวินเฉวียนเซิ่งถอนหายใจอีกครั้ง “แค่การหมั้นหมายเท่านั้น พ่อรู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจยอมรับ แต่พี่ใหญ่ของเจ้ามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถ้ายังไม่เอายากลับไปอีก เขาจะต้องตายในไม่ช้า”“เจ้าสาม เจ้าจะทนเห็นพี่ใหญ่ของเจ้าตายไปได้จริงหรือ?”เวินจื่อเยวี่ยที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขาได้ถามด้วยเสียงอันสั่นเครือเล็กน้อย “ก็เลยต้องเสียสละการหมั้นของข้าเพื่อช่วยพี่ใหญ่อย่างนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่เรายังมีวิธีอื่นอีก แต่ท่านก็ยังยืนกรานที่จะขอร้องเวินซื่อ?!”“ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลง น้ำเสียงแย่มาก “ไม่ว่าจะเป็นบัวหิมะก็ดี เห็ดหลินจือสีม่วงอายุหนึ่งร้อยปีก็ดี หรือหญ้าฝรั่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำก็ดี เจ้าคิดว่ามีสิ่งไหนหาง่ายบ้าง?!”“หากพี่ใหญ่ของเจ้ายังยืดเวลาได้อีกครึ่งค่อนเดือน พ่อก็จะไม่รีบร้อนเช่นนี้! แต่นี่พี่ใหญ่ของเจ้าอาจตายได้
นางมองเวินเฉวียนเซิ่งอย่างเย็นชา “ท่านไม่มีคุณสมบัตินี้ตั้งนานแล้ว”“เวินซื่อ! จงระวังท่าทีในการพูดจาของเจ้าด้วย แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของเจ้ากับพ่อจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง อย่าลืมว่ายังมีเลือดของสกุลเวินไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า”“ใครบอกว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้?”เวินซื่อยิ้มเยาะ “ความสัมพันธ์นี้จะเปลี่ยนไปในไม่ช้า แต่ตอนนี้ขอวกกลับเข้าประเด็นก่อน ท่านเจิ้นจั๋วกง ท่านยังไม่ได้บอกตัวเลือกของท่านเลย ท่านวางแผนที่จะเลือกใครกันแน่?”ล้มเหลวในการเล่นกับอารมณ์ ล้มเหลวในการข่มขู่กลับมาสู่เงื่อนไขข้อแรกสุดอีกครั้ง สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งเย็นชาลงระดับหนึ่งในทันใดเวินซื่อดูเหมือนจะมองไม่เห็นเลย เร่งรัดเขาด้วยอารมณ์ที่ดีมาก“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ท่านเจิ้นจั๋วกงรีบตัดสินใจโดยเร็วที่สุดเถอะ มิฉะนั้นก็จะไม่มีการเจรจาใด ๆ อีกแล้ว”นางหันไปมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยรอยยิ้มตาหยี “‘พี่ใหญ่แสนดี’ ของข้าก็น่าจะมีเวลาไม่เพียงพอใช่ไหม?”“ถุย!”เวินจื่อเยวี่ยถ่มน้ำลายใส่นางอย่างรุนแรง “พี่ใหญ่ไม่มีน้องสาวที่ชั่วร้ายอย่างเจ้า!”“ถูกต้อง ข้าชั่วร้าย แต่ก็เทียบไม่ได้กับเว