วันนี้เพราะมีหยางเชวียนมาด้วยทำให้หยางเสี้ยวกำลังตัดสินใจว่าจะไปที่ภูเขาอู๋หลงดีหรือไม่ เพราะการที่เขาเข้าป่าลึกไปทุกวันนั้นเขาไม่ได้บอกให้ใครรู้ ทุกคนเข้าใจว่าเขาไปขุดผักป่าและวางกับดักที่ภูเขาซิ่วสือที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของภูเขาอู๋หลง แต่หลังจากคิดไตร่ตรองรอบคอบแล้ว หยางเสี้ยวคิดว่าตัวเองสมควรจะพูดจาตกลงกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของตัวเองให้เข้าใจ
ตอนนี้ท่านลุงยังไม่กลับบ้าน ลำพังอาศัยแค่ท่านปู่คนเดียวคงจะไม่ได้ ป้าสะใภ้เจ็บป่วยอ่อนแอ ท่านย่าเองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเช่นเดียวกัน หยางเสี้ยวคิดว่าที่ทุกคนร่างกายไม่แข็งแรงมักเจ็บป่วยอยู่เสมอนั้นอาจจะเป็นเพราะขาดสารอาหาร เมื่อความเป็นอยู่ไม่ดีอาหารมีไม่เพียงพอ
เนื้อสัตว์คือสิ่งที่หายาก อาหารแต่ละมื้อไม่ผักป่าผัดกับน้ำเติมเกลือนิดหน่อยก็เป็นโจ๊กที่หาเม็ดข้าวไม่เจอ น้ำมันสำหรับทำอาหารนั้นเป็นสิ่งที่หายากสำหรับชาวบ้านยากจน ส่วนเกลือก็ราคาแพง แต่ที่แพงกว่าเกลือก็น้ำตาล ไม่ว่าจะอะไรล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น
“อาเสี้ยว มีอะไรหรือเปล่า ข้าเห็นเจ้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นานสองนาน แล้วนี่เราจะไปขุดผักป่าที่ไหนหรือ ทำไมเจ้าพาข้าเดินมาทางนี้ล่ะ เราไม่ได้จะไปที่ภูเขาซิ่วสือหรอกหรือ”
“พี่ใหญ่ ท่านรับปากข้าสักเรื่องจะได้หรือไม่ เก็บเป็นความลับของพวกเราสองคน”
“ได้สิ เจ้ามีเรื่องอะไรพูดมาได้เลย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าหรือ”
“คือพวกเราไม่ได้จะไปที่ภูเขาซิ่วสือ เพราะข้าเห็นว่าชาวบ้านทุกคนต่างไปหาของป่าที่ภูเขาซิ่วสือกันทั้งนั้น คนมาก อาหารน้อย แล้วเรายังจะได้อะไรกลับมาเล่า ท่านว่าหรือไม่”
“แล้วปกติเจ้าไปหาของป่าที่ไหนล่ะ แล้วที่เจ้าบอกว่าเจ้าไปวางกับดักเอาไว้ ไม่ใช่ที่ภูเขาซิ่วสือหรอกหรือ”
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ ข้าไปที่ภูเขาอู๋หลงต่างหาก”
“อะไรนะ! ภูเขาอู๋หลง นั่นมันอันตรายมากไม่ใช่หรือ อาสะใภ้รู้เรื่องที่เจ้าไปที่ภูเขาอู๋หลงหรือไม่”
“ก็ไม่รู้น่ะสิ ถึงได้บอกให้ท่านเก็บเป็นความลับอยู่นี่ยังไงล่ะ”
“ทำไมเจ้าถึงได้กล้าเข้าไปในภูเขาอู๋หลงคนเดียวล่ะอาเสี้ยว นั่นมันอันตรายมากเลยนะ ข้าว่าเราอย่าไปเลยดีกว่า ภูเขาซิ่วสือถึงจะมีชาวบ้านไปหาผักป่าทุกวันแต่ก็ยังพอมีผักป่าให้พวกเราเก็บอยู่”
“สำหรับคนที่เคยตายมาครั้งหนึ่งอย่างข้าแล้ว ข้ากลัวว่าจะอดตายมากกว่า ท่านเชื่อข้าเถอะ ความจริงแล้วมันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น”
“อาเสี้ยว เจ้าพูดว่าเจ้าเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งเหรอ เรื่องจริงหรือเปล่า” หยางเชวียนเมื่อได้ฟังก็ตกใจจนหน้าซีด
“ตอนที่ข้าป่วยยังไงล่ะ ไม่ตายก็เหมือนตายนั่นล่ะ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้สติอยู่ตั้งหลายวัน หลังจากที่ข้าหายป่วย ข้าตั้งใจว่าจะทำทุกอย่างให้ครอบครัวของพวกเรามีอาหารกินอิ่มท้องไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ ไม่ว่าอะไรที่สามารถกินได้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะกินมันหรอกนะ คนเราหากอยากมีชีวิตรอดก็ย่อมต้องเข้มแข็งไม่ใช่หรือยังไง หากมัวแต่กลัวนั่นหวาดระแวงนี่ แล้วจะมีชีวิตรอดไปได้ยังไง ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าทำไมลูกชายของผู้ใหญ่บ้านไม่รวมกลุ่มกับชาวบ้านไปล่าสัตว์ แต่เขากลับไปล่าสัตว์ที่ภูเขาอู๋หลง แต่กลับพูดว่าภูเขาอู๋หลงนั้นอันตรายมาก มีสัตว์ป่าดุร้ายแล้วเหตุใดเขาจึงยังไปล่าสัตว์ ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองแต่พูดจาให้ชาวบ้านกลัว ท่านไม่คิดบ้างว่าเพราะอะไร ข้ามาคิด ๆ ดูแล้ว บนภูเขาอู๋หลงต้องมีของดีมากมายเป็นแน่ แต่ลูกชายผู้ใหญ่บ้านเอาแต่สร้างข่าวลือให้ชาวบ้านกลัว ชาวบ้านเองก็เชื่อในคำพูดของเขา ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดชาวบ้านจึงเชื่อในคำพูดของเขา”
“เพราะอะไรหรือ”
“เพราะเขาอาศัยว่าเป็นลูกชายของผู้ใหญ่บ้านยังไงล่ะ อาศัยความเชื่อถือที่ชาวบ้านมีให้กับพ่อของเขา ในเมื่อเขาเป็นถึงลูกชายของผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านก็ย่อมต้องเชื่อคำพูดของเขาอยู่แล้ว ท่านเองก็รู้ ชาวบ้านในหมู่บ้านของเราส่วนใหญ่เป็นคนซื่อสัตย์กันทั้งนั้น ส่วนใหญ่ทำไร่ทำนา ไม่ใช่พรานป่ามีฝีมือ ป่าที่ไหน ๆ ก็อันตรายเหมือนกันหมด แต่สำหรับภูเขาอู๋หลงข้าคิดว่ามันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เอาล่ะตอนนี้ข้าให้ท่านตัดสินใจเองว่าจะไปต่อกับข้าหรือจะกลับไปหาผักป่าที่ภูเขาซิ่วสือ ส่วนข้ายืนยันคำเดิม ข้าจะไปที่ภูเขาอู๋หลง”
“ตกลง ข้าจะไปกับเจ้า ลองดูสักตั้ง”
“นี่เป็นความลับระหว่างเราสองคน ข้าหวังว่าท่าจะรักษาสัญญา”
“ข้าย่อมต้องรักษาสัญญาอย่างแน่นอน เป็นเจ้าที่พูดถูก หากอยากมีชีวิตรอดต้องเข้มแข็ง ในฐานะลูกชายคนโตภาระบนบ่าย่อมมีมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกแล้ว เป็นเจ้าที่เตือนสติข้า ตลอดเวลาข้าเพียงตามอยู่ข้างหลังท่านพ่อกับท่านปู่เพียงเท่านั้น แต่เจ้าอายุน้อยกว่าข้าตั้งสองปี เจ้ากลับกล้าหาญและเข้มแข็งกว่าข้าเสียอีก”
“เอาล่ะเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวแดดจะร้อนมากกว่านี้ เมื่อไหร่พวกท่านพ่อกับท่านลุงจะกลับมา ครั้งนี้พวกท่านพ่อเข้าป่าไปนานมากกว่าทุกครั้ง ท่านแม่ข้าเป็นห่วงมาก ถึงนางจะพยายามเข้มแข็งเพื่อพวกเราพี่น้อง แต่ข้ารู้ดีท่านแม่นอนหลับไม่สนิทสักคืน”
“ท่านแม่ข้ากับท่านปู่ท่านย่าเองก็เป็นห่วงท่านพ่อกับอารองเหมือนกัน ท่านปู่ท่านย่ากับท่านแม่ของข้าเองสุขภาพไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่”
“ต่อไปถ้าหากเรามีอาหารเพียงพอข้าเชื่อว่าทุกคนจะดีขึ้น ที่พวกเราเจ็บป่วยอ่อนแอ เพราะกินไม่อิ่ม ร่างกายขาดสารอาหาร ว่าแต่พี่ใหญ่เชวียนท่านเอาเสียมมาด้วยหรือไม่”
“ข้าเอาเสียมเล็กมาน่ะ”
“เสียมเล็กก็พอแล้ว”
“ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงได้วางกับดักเป็นล่ะ แถมเจ้ารู้อะไรหลาย ๆ อย่างมากมายทีเดียว”
“ก็ไม่ใช่ว่าข้าเคยตามท่านพ่อเข้าไปในเมืองอยู่หลายหนเหรอ ทั้งไปขายสัตว์ป่าที่ล่ามาได้ ทั้งไปซื้อยาให้ท่านแม่ของข้า ตอนไปขายสัตว์ป่าข้าบังเอิญพบนายพรานใจดีคนหนึ่งช่วยสอนข้าน่ะ ข้าตามท่านพ่อไปในเมืองสามครั้ง ท่านลุงนายพรานบอกว่าข้าอายุเท่าลูกชายของเขาเลยเข้ามาพูดคุยด้วยและได้สอนข้าตั้งหลายอย่างเลยล่ะ” หยางเสี้ยวแต่งเรื่องขึ้นอย่างแนบเนียน
“นายพรานคนนั้นใจดีมากเลยนะ ปกตินายพรานจะไม่สอนคนอื่นนอกจากลูกหลานของตัวเองหรอกนะ”
“เขาคงให้เพราะว่าข้าน่ารักน่าเอ็นดูน่ะสิ หรือท่านว่าไม่จริง ข้าออกจะหน้าตาดีขนาดนี้”
“มันก็จริง ในบรรดาพวกเราพี่น้องดูเหมือนว่าเจ้ากับอาเสียนจะหน้าตาดีจริง ๆ เพราะอาสะใภ้รองเองก็หน้าตาสะสวยถึงเพียงนั้น สวยกว่าท่านแม่ของข้าอีก”
“ของมันแน่อยู่แล้ว ท่านแม่ของข้าขึ้นชื่อว่าเป็นดอกไม้งามของหมู่บ้านเลยนะ"
เด็กชายทั้งสองเดินมุ่งหน้าเข้าไปในภูเขาอู๋หลง หยางเสี้ยวหวังว่าการที่เขาเข้าป่ามาในครั้งนี้จะต้องได้ของกินกลับไปแน่นอน จากความทรงจำของหยางเสี้ยวที่แห่งนี้มีมันเทศแล้วแต่ไม่มีใครปลูกเพียงแต่หาขุดตามป่าเขาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเผือกหรือมันเทศ ชาวบ้านเพียงหาขุดเอาตามป่าแต่ไม่มีใครคิดจะปลูกพวกมันขึ้นมา มิน่าล่ะถึงได้มีอาหารไม่พอกิน
“เราต้องเข้าไปลึกอีกมากเท่าไหร่หรืออาเสี้ยว”
“ข้าเองก็ไม่รู้ เพียงแต่เดินไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาของที่กินได้เจอนั่นล่ะ”
“พวกเราอุตส่าห์เข้าป่าลึกมาทั้งที แต่เสียดายข้าไม่รู้จักสมุนไพรสักชนิดเลย เจ้าล่ะอาเสี้ยวพอจะรู้เรื่องสมุนไพรบ้างหรือไม่”
“ข้าเคยเห็นสมุดภาพที่โรงหมอมาบ้าง จำได้อยู่สองสามอย่าง แต่ไม่ใช่ว่าพวกเราจะหาเจอได้ง่าย ๆ นะ”
“นั่นน่ะสิ เป็นอย่างที่เจ้าว่า โอ๊ะ อาเสี้ยวดูนั่นสิ นั่นมันเห็ดผึ้งหวานไม่ใช่หรือ ดอกใหญ่มากเลยล่ะ นานมากแล้วที่ไม่ได้กินเห็ดผึ้งหวาน จิ๊ จิ๊ ภูเขาอู๋หลงนี่ช่างอุดมสมบูรณ์จริง ๆ แม้แต่ขนาดของเห็ดยังใหญ่กว่าภูเขาซิ่วสือมาก”
“ใช่ไหมล่ะ เพราะมีของป่ามากมายให้เก็บน่ะสิ แถมมีขนาดใหญ่กว่าด้วย ถ้าวันนี้กับดักของเจ้ามีไก่ฟ้าหรือว่ากระต่ายมาติดก็คงจะดีไม่น้อย จะได้เอาไปตุ๋นน้ำแกงกับเห็ดให้ท่านแม่กับท่านปู่ท่านย่าได้กิน”
“ท่านวางใจได้ จะต้องมีเหยื่อมาติดกับดักของข้าแน่นอน พวกเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวตอนขากลับค่อยไปตรวจดูกับดัก”
“ตกลง เรารีบไปกันเถอะ ข้าชักจะตื่นเต้นแล้วสิ ไม่รู้ว่าวันนี้พวกเราจะได้อะไรกลับไป ฝากน้อง ๆ บ้าง”
หยางเสี้ยวเดินนำหยางเชวียนเข้าไปในภูเขาอู๋หลงลึกกว่าเมื่อวาน วันนี้ในใจเด็กชายคาดหวังเอาไว้ว่าจะเจอผลไม้ที่กินได้ เพราะตั้งแต่เข้าป่ามาหลายวันเขายังไม่เจอผลไม้ป่าเลย ถ้ามีองุ่นก็คงจะดี ไม่ว่าจะเป็นลูกท้อ สาลี่อะไรก็ได้ขอให้มีเถอะ ชีวิตความเป็นอยู่ที่บ้านตอนนี้มันช่างแร้นแค้นเสียเหลือเกิน เดินมองนั่นนี้มาตลอดทางในที่สุดก็สมหวังเสียที
“อาเสี้ยว มีอะไรหรือเปล่า เหตุใดเจ้าหยุดเดินกะทันหันเช่นนี้เล่า”
“ข้าเหมือนจะเจอผลไม้ป่าน่ะสิ นั่นท่านดู” หยางเสี้ยวชี้ไปที่เถาองุ่น ที่มีองุ่นลูกสีดำอมม่วงอยู่เต็มไปหมด
“นั่นอะไร นั่นมันผูเถาพิษมันกินได้หรือ มันจะมีพิษหรือไม่”
“พี่ใหญ่เชวียน ท่านไม่รู้จักองุ่นรึ”
“นั่นเรียกองุ่นรึ ไม่ใช่ผูเถาพิษหรือ”
“เอ่อ ก็ผูเถานั่นแหละ แล้วทำไมถึงได้เรียกผูเถาพิษ มันมีพิษ? หรือว่ามีใครกินแล้วตาย? ใครบอกท่านว่ามันเป็นผูเถาพิษ?”
“ทุกคนในหมู่บ้านก็เรียกผูเถาพิษทั้งนั้นล่ะ ต่อให้ไม่มีอะไรจะกินก็ไม่มีใครกล้าเด็ดไปกินหรอก คนเฒ่าคนแก่สอนเอาไว้ว่าผลไม้อะไรที่มีสีเข้ม ๆ แบบนี้ล้วนแล้วแต่มีพิษทั้งนั้น มีครั้งหนึ่งมีคนเด็กในหมู่บ้านวิ่งไปเล่นในป่า พบผลไม้ลูกเล็กเรียวยาวตอนยังไม่สุกจะมีสีเขียวพอตอนสุกแล้วจะมีสีแดง เด็กคนนั้นเห็นว่ามันน่าอร่อย ด้วยความหิวจึงได้เก็บมากิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเขา”
“เกิดอะไรขึ้นกับเขายังงั้นหรือ”
“เด็กคนนั้น ปากบวมเป่ง แล้วมือที่สัมผัสโดนผลไม้นั่นก็แสบร้อน กินเข้าไปก็แสบร้อนในคอ หน้าตาดูไม่ได้เลย โชคดีที่เขาไม่ตาย ตั้งแต่นั้นมาผลไม้ที่มีสีสันสดใสสวยงามล้วนไม่มีผู้ใดกล้ากินอีก ผูเถานี่ก็เหมือนกัน มันดำอมม่วงขนาดนี้ย่อมมีพิษมาก”
หลังจากได้ฟังที่หยางเชวียนเล่า ผลไม้สีแดงลูกเรียวยาวนั่นน่าจะเป็นพริก การมาเกิดใหม่ในที่ห่างไกลเช่นนี้ทำให้หยางเสี้ยวได้รู้ว่าพืชผักผลไม้บางชนิดยังไม่มีใครรู้ว่ามันสามารถกินได้ เขาคงต้องเริ่มต้นปฏิวัติอาหารขึ้นมาใหม่เสียแล้ว อย่างองุ่นม่วงที่อยู่ตรงหน้านี้กลับถูกเรียกว่าองุ่นพิษ นี่ถ้าเจอแตงโมเปลือกข้างนอกเขียวแต่ข้างในสีแดง ชาวบ้านคงคิดว่ามันเป็นผลไม้พิษอีกแน่นอน
“พี่ใหญ่เชวียน นั่นมันไม่ได้เรียกว่าผูเถาสีม่วงหรอกหรือ ท่านเชื่อข้าหรือไม่ว่ามันไม่มีพิษ”
“เจ้าเคยกินแล้วหรือ อาเสี้ยว กินได้แน่รึ”
“ข้าย่อมต้องเคยกินมาแล้วสิ ถ้ามันมีพิษข้าจะยังมายืนอยู่ตรงนี้ได้อีกรึ ท่านตามข้ามาก็พอ ขอข้าชิมดูก่อนหวานหรือไม่ บางครั้งก็เปรี้ยวไม่อร่อย ลูกไหนที่ยังไม่สุกก็จะมีรสฝาด”
หยางเสี้ยวเดินไปเด็ดองุ่นใส่ปาก รสชาติหวานกรอบอมเปรี้ยวนิด ๆ อร่อยมากเลย วันนี้มีพวงที่สุกแล้วอยู่ 7-8 พวง ส่วนที่ยังไม่สุกเหลืออีกมาก วันหลังค่อยมาเก็บกลับไปก็แล้วกัน เด็กชายแบ่งองุ่นที่เก็บมาให้หยางเชวียนลองชิมดู เมื่อเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องของตัวเองกินแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นเขาถึงได้กล้าเอาองุ่นใส่ปากเคี้ยว
“นี่มัน อร่อยมากเลยอาเสี้ยว ข้าไม่เคยกินผลไม้ที่อร่อยขนาดนี้เลย”
“ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่า ใครกันที่บอกว่ามันมีพิษ”
“ก็คนบ้านผู้ใหญ่บ้านเรียกประชุมเตือนว่ามันมีพิษน่ะสิ ตั้งแต่นั้นมา คนที่พบเห็นผูเถาในป่าก็ไม่กล้าเก็บแล้ว”
“ข้าว่าพวกเขาจะต้องโกหกชาวบ้าน ข้าว่าถ้าเอาไปขายในเมืองน่าจะเป็นผลไม้หายากราคาแพง ข้ารู้สึกว่าผู้ใหญ่บ้านนี่ไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ใช่ว่าบอกชาวบ้านว่ามีพิษ แต่ตัวเองเก็บไปขายเสียเองหรอกนะ มิน่าเล่า ในหมู่บ้านของเราครอบครัวผู้ใหญ่บ้านถึงได้ร่ำรวยปานนั้น”
“จริงอย่างที่เจ้าพูดนะอาเสี้ยว พอมาคิด ๆ ดูแล้วเหมือนอย่างที่เจ้าพูดมาจริง ๆ ในหมู่บ้านของเราบ้านผู้ใหญ่บ้านร่ำรวยมากจริง ๆ”
“แล้วท่านลุงฟู่กุ้ยล่ะ ไม่รู้หรือว่าผูเถานี่ไม่มีพิษ ถ้าผู้ใหญ่บ้านออกมาบอกชาวบ้านว่ามันมีพิษ ท่านลุงฟู่กุ้ยน่าจะรู้ว่าผู้ใหญ่บ้านโกหกนะ ท่านลุงฟู่กุ้ยเองก็รับของจากชาวบ้านเข้าไปขายในเมือง”
“ข้าว่าท่านลุงฟู่กุ้ยไม่รู้หรอก เจ้าจำไม่ได้หรือว่าท่านลุงฟู่กุ้ยเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านของเราเมื่อไม่นานมานี้ ยังไม่ถึงสองปีเลย เรื่องผูเถาพิษนี่ มันก่อนหน้านี้แล้ว ท่านปู่ยังเตือนพวกเราทุกครั้งที่เข้าป่าว่าอย่าได้เด็ดผลไม้ที่ไม่รู้จักมากินน่ะ เรื่องนี้มันตั้งแต่ข้าอายุ 6 ขวบแล้ว”
“ถ้าตอนนั้นท่าน 6 ขวบข้าเองก็เพิ่ง 4 ขวบ เรื่องสมัย 4 ขวบใครจะไปจำได้กันล่ะ”
“เสียดายที่มันยังไม่สุกอีกเยอะเลยนะอาเสี้ยว”
“จะเสียดายทำไม วันหลังค่อยมาเก็บกลับไป เรื่องนี้ท่านพี่เชวียนอย่าได้พูดออกไปเด็ดขาด เก็บไว้เป็นความลับของบ้านเรา เข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้ว รอท่านพ่อกับอารองกลับมา เราค่อยพาทั้งสองคนมาเก็บแล้วเอาไปขายในเมืองดีกว่า”
“ตกลง ตอนนี้พวกเราไปกันเถอะ นอกจากเห็ดกับผูเถาแล้ว เรายังต้องหาของกินอย่างอื่นด้วยนะ”
หยางเสี้ยวเดินเข้าไปในป่าด้วยความเบิกบานใจ ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านนี่มันเห็นแก่ตัวจริง ๆ เด็กชายคิดว่าน่าจะมีหลายอย่างที่ครอบครัวนี้กุเรื่องหลอกชาวบ้าน ภูเขาอู๋หลงอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ การอาศัยพึ่งพาป่าเพื่อดำรงชีพมันก็ถูกต้องแล้ว แต่คนพวกนี้กลับเห็นแก่ตัวเอง สักวันเขาจะต้องหาทางเปิดโปงครอบครัวผู้ใหญ่บ้านให้ได้ คนแบบนี้ไม่สมควรเป็นผู้นำ แต่ตอนนี้เขายังไม่สามารถทำแบบนั้นได้ คงต้องรอให้ฐานะทางครอบครัวดีขึ้นและมั่นคงมากกว่านี้เสียก่อน ค่อยว่ากันอีกที
หยางเสี้ยวยังคงเดินหน้าเข้าไปในภูเขาอู๋หลงต่อไปเรื่อย ๆ หยางเชวียนเองก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวเท่ากับตอนแรกที่ยังไม่ได้เข้ามา ตอนนี้ในตะกร้าของเขามีผักป่าอยู่มากมาย หยางเสี้ยวบอกกับเขาว่าอย่าเก็บผักป่าไปมากนัก ให้เหลือพื้นที่ในตะกร้าเอาไว้ใส่ผลไม้ด้วย หากว่าไม่พบผลไม้อย่างอื่นค่อยเก็บผักป่าใส่ให้เต็ม“อาเสี้ยว ถ้าพวกเราเดินเข้าไปอีกจะกลับออกจากป่าไม่ทันนะ มันจะมืดเสียก่อน วันนี้พอแค่นี้ดีหรือไม่”“เอาแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าพรุ่งนี้ข้าอยากไปดูแถวป่าไผ่ก่อน ไม่รู้ว่าจะมีเห็ดเยื่อไผ่ให้เก็บหรือไม่”“เห็ดเยื่อไผ่คืออะไร ทำไมข้าไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นเห็ดเยื่อไผ่ที่เจ้าว่ามานี้เลย” “ข้าว่าท่านน่ะอาจจะเคยเห็นแต่ไม่รู้จักก็เป็นได้”ในตอนที่ทั้งสองคนคุยกันเดินกลับออกจากป่าเพื่อจะไปตรวจดูกับดักที่หยางเสี้ยววางเอาไว้นั้น หยางเสี้ยวได้ยินเสียงคนคุยกันมาจากอีกด้านของป่า เด็กชายส่งสัญญาณให้หยางเชวียนเงียบ จากนั้นจึงพากันไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เสียงที่ทั้งสองคนได้ยินนั้นคือเสียงของลูกชายผู้ใหญ่บ้านเป็นไปตามที่หยางเสี้ยวได้คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ปล่อยข่าวลือที่ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว เพื่อที่ตัวเองจะได้เก็
เสิ่นซื่อมองแผ่นหลังของลูกหลานเดินออกจากบ้านไปพร้อมตะกร้าใบเล็กที่ใส่กระต่ายเอาไว้ กระต่ายตัวอ้วนน้ำหนักน่าจะประมาณสี่หรือห้าชั่ง หยางเชวียนแบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยของป่า นอกจากนี้ยังมีไก่ฟ้ากับกระต่ายป่าอย่างละตัว ทั้งสองคนใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงบ้านลุงฟู่กุ้ย หยางเสี้ยวต้องการขายกระต่ายตัวนี้ก่อน ค่อยไปบ้านท่านปู่พร้อมกับหยางเชวียน “อาเสี้ยว เจ้าว่าท่านปู่กับท่านย่าจะกล้ากินผูเถานี่หรือไม่ แล้วเราสองคนจะโดนท่านปู่ตำหนิหรือไม่ที่เข้าป่าไปลึก” หยางเชวียนเริ่มวิตกกังวล“ท่านไม่ต้องกลัวไป ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ท่านปู่ฟังเอง ข้าเชื่อว่าท่านปู่มีเหตุผลพอที่จะไม่ดุด่าพวกเรา อาจจะมีตักเตือนนิดหน่อย”“ข้ากลัวว่าจะโดนไม้เรียวนี่สิ”“ท่านคิดมากไปแล้ว”เด็กชายทั้งสองยืนคุยกันอยู่หน้าบ้านของท่านลุงฟู่กุ้ยจนทำให้ท่านป้าหนิงเปิดประตูออกมาเรียกให้ทั้งสองเข้าไปในบ้าน“เจ้าสองคนพี่น้อง มายืนทำอันใดอยู่ตรงนี้ หรือว่ามีของมาขายให้ลุงฟู่กุ้ยของพวกเจ้ากันล่ะ เข้ามาก่อนสิ”“ขอบคุณท่านป้ามากขอรับ ข้าเอากระต่ายมาขายน่ะขอรับ” “โอ้ กระต่ายเหรอ เจ้ารอสักประเดี๋ยวป้าจะไปเรียกลุงของเจ้ามา”“ขอบคุณท่านป้าขอรับ”
เสิ่นซื่อได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กร้องเอะอะเรียกนางกับบุตรชายคนโตเสียงดัง ในที่สุดสามีของนางก็กลับมาได้เสียที ความกังวลใจที่มีตลอดหลายวันมานี้ ก็สามารถวางลงได้แล้ว หยางเสี้ยวเองก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ท่านพ่อที่ไม่เคยได้พบหน้ากันผู้นี้ จะมีหน้าตาเหมือนพ่ออาทิตย์ของเขาหรือไม่สองแม่ลูกรีบเดินออกไปยังลานหน้าบ้านด้วยความเร่งรีบ เสิ่นซื่อมีรอยยิ้มอยู่เต็มหน้า เมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีกลับมาด้วยความปลอดภัย ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นกับเขาอย่างที่นางเป็นกังวล เพราะครั้งนี้หยางเทียนเข้าป่าไปหลายวันกว่าทุกครั้ง เสิ่นซื่ออดกลัวไม่ได้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในป่า"ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว""อื้ม ข้ากลับมาแล้ว ครั้งนี้ไปเสียหลายวันพวกเจ้าแม่ลูกคงเป็นห่วงแย่"หยางเสี้ยวที่เดินตามหลังผู้เป็นแม่ออกมา เมื่อเห็นหน้าคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาในภพภูมินี้ของตน ก็อดที่จะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ หยางเทียน บิดาในชาตินี้ของเขามีหน้าตาเหมือนพ่ออาทิตย์อย่างไม่ผิดเพี้ยน ราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกันเสียอย่างนั้น หากเขาไม่ได้มาเกิดใหม่ในร่างของหยางเสี้ยว ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้ก็คือพ่ออาทิตย์ของเขาอย่างไม่ต้
เช้าวันต่อมาหยางเทียนแบกตะกร้าที่ใส่ผูเถาเอาไว้ออกจากบ้านไปตั้งแต่ยามเหม่า พร้อมด้วยหยางเทาผู้เป็นพี่ชาย เป้าหมายคือโรงเตี๊ยมเยี่ยนไหล เช้านี้ทั้งสองคนจะนำเอาผูเถาที่ลูกชายเก็บกลับมาจากภูเขาอู๋หลงเข้าไปขาย ทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะขายได้หรือไม่ แต่หยางเสี้ยวบอกเอาไว้ว่าต้องขายได้แน่ ๆ เพียงแต่จะได้มากได้น้อยนั้นขึ้นอยู่กับราคารับซื้อของโรงเตี๊ยม“น้องรอง ตั้งแต่เสี้ยวเอ๋อร์หายป่วยท่านพ่อบอกว่าหลานเปลี่ยนไปมากหรือ” หยางเทาถามน้องชายถึงความเปลี่ยนแปลงของหลาน“ใช่ขอรับพี่ใหญ่ เสี้ยวเอ๋อร์เปลี่ยนไปมากจริง ๆ ข้าไม่รู้ว่าตอนที่ลูกล้มป่วยเขาไปเจอเรื่องอันใดมา แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เขาก็ยังคงเป็นลูกชายของข้าเสมอ”“เจ้าเองอย่าได้คิดมากเลย การที่อาเสี้ยวเปลี่ยนไปในทางที่ดีแบบนี้ก็ดีแล้ว อายุแค่ 8 ขวบปีแต่จิตใจเข้มแข็งกล้าหาญกว่าข้าที่เป็นท่านลุงอีก อาเชวียนเล่าว่าอาเสี้ยวสอนวางกับดักด้วย เสียดายที่พวกเราไม่มีเงินส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสือ ด้วยความฉลาดของพวกเขาข้าคิดว่าต้องสอบได้เป็นซิ่วไฉแน่”“ไม่แน่ว่าในอนาคตชีวิตของพวกเราอาจจะดีขึ้นก็ได้ ข้าเองรู้สึกละอายใจมาก ข้ารู้สึกว่าข้าเป็นบิดาที่ไ
โลกคู่ขนานในอีกมิติหนึ่ง มังกรรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความไม่สบายตัว เขาจำได้ว่าเมื่อตอนกลางวันไปไหว้อัฐิพ่อกับแม่ที่วัดกลับมาก็อาบน้ำนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลียการเดินทางโดยนั่งรถประจำทางกลับมาบ้านเกิดไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย เหนื่อยมากจริง ๆ พอเขาลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าตัวเองอยู่ที่ไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ที่นี่มันไม่ใช่ห้องนอนของเขาที่บ้านเกิดหลังคามุงหญ้า ฝาผนังทำจากดินโคลนผสมฟาง ที่นี่ที่ไหน หรือเขาโดนจับตัวมาเรียกค่าไถ่ ถึงจะบอกว่าโดนจับตัวมาเขาก็ไม่มีเงินให้หรอกนะตอนนี้ ก็เหลือตัวคนเดียวแล้วเงินที่ไหนจะมี เรียนก็เพิ่งจบงานก็ยังไม่ได้ทำ จะมีก็แค่เงินประกันของพ่อแม่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือเกิดการเข้าใจผิดกันแน่ ถึงได้จับเขามาขังเอาไว้ที่นี่มังกรนอนคิดเรื่อยเปื่อยจนในที่สุดก็ตัดสินใจว่าตัวเองจะมัวมานอนคิดให้เปลืองสมองทำไม ลุกขึ้นไปดูเลยดีกว่าว่าที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่ หวังว่าคนที่จับเขามาจะให้คำตอบเขาได้ เมื่อตัดสินใจได้แล้วมังกรลุกขึ้นจากเตียงแข็ง ๆ ที่นอนจนปวดหลังมาทั้งคืน ยังไม่ทันที่จะก้าวขาลงจากเตียงก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาและก็มีความทรงจำของเด
สองพี่น้องเดินออกจากบ้านและไม่ลืมที่จะปิดประตูรั้วให้เรียบร้อย หยางเสียนเด็กน้อยวัย 6 ขวบเป็นเด็กร่าเริงและรู้ความ ถึงแม้ว่าครอบครัวจะยากจน อาหารการกินไม่พอ แต่เด็กน้อยเองไม่เคยงอแงเลยสักครั้ง กลับกัน ท่าทางของเจ้าหนูน้อยมีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัยอยู่มาก อาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่สอนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยก็เป็นได้ทั้งสองคนเดินลัดเลาะตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนผ่านมาเท่าไหร่ เพราะลำธารสายนี้ไม่นับว่าใหญ่มาก ไม่เหมือนกับลำธารที่อยู่ทางฝั่งบ้านของท่านปู่ท่านย่า อีกทั้งบ้านของพวกเขาอยู่ถึงท้ายหมู่บ้านจึงทำให้ไม่ค่อยมีคนผ่านไป หยางเสี้ยวพาน้องชายเดินมุ่งหน้าไปทางลำธาร ระหว่างทางก็สอดส่ายสายตามองหาเผื่อว่าจะพบเจออะไรที่สามารถเอากลับไปกินได้ แต่เดินมาจนเกือบถึงลำธารแล้วก็ยังหาของที่กินได้ไม่พบเลยสักอย่าง ตอนนี้ได้แต่ภาวนาว่าเมื่อถึงลำธารแล้วยังจะพอมีอะไรให้กินได้บ้าง “พี่ใหญ่ ข้าคิดถึงท่านพ่อขอรับ หลายวันมานี่ท่านแม่เองก็มีสีหน้าทุกข์ใจ ยิ่งยามที่ท่านป่วยไข้นอนไม่ได้สติอยู่สองวัน ข้าเห็นท่านแม่แอบร้องไห้ในห้องครัวด้วยขอรับ”“เป็นพี่ใหญ่ที่ไม่ดีเอง พี่ใหญ่อ่อนแอ ทำให้เจ
เสิ่นซื่อที่กลับมาจากขุดผักป่ากับเพื่อนบ้าน เมื่อมาถึงกลับพบว่าลูกชายทั้งสองไม่อยู่ในบ้าน นางหาจนทั่วแล้วแต่หาลูกชายทั้งสองไม่พบ สวนหลังบ้านก็ไม่มี เมื่อไปดูในห้องเก็บฟืนถึงได้รู้ว่าตะกร้าสะพายหลังของลูกชายทั้งสองหายไป นี่ไม่เท่ากับว่าสองพี่น้องพากันขึ้นเขาไปหรือ ลูกชายของนางยังไม่ทันได้หายดีก็ขึ้นเขาไปอีกแล้ว ด้วยความร้อนใจเสิ่นซื่อรีบออกไปตามหาทันที แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ก้าวขาออกไปพ้นประตูบ้านก็พบว่าสองพี่น้องจูงมือกันกลับมา และได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กหัวเราะคิกคักดังลอยมา เสิ่นซื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ “เสี้ยวเอ๋อร์เจ้าพาน้องไปที่ใดมา ไม่ใช่ว่าแม่บอกให้เจ้าพักผ่อนหรือ เจ้ายังไม่หายดีด้วยซ้ำ เสียนเอ๋อร์เหตุใดเจ้าไม่ห้ามปรามพี่ชาย ไม่ใช่แม่บอกให้เจ้าอยู่ดูแลพี่ชายหรือ”“ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ ข้าเป็นน้องชายเผื่อท่านแม่จะลืม ท่านพี่บอกว่าหายแล้ว อยากออกไปเดินเล่น พวกเราไม่ได้ไปไหนไกลเลยนะขอรับ ไปแค่ลำธารหลังบ้านเอง”“เจ้าลูกคนนี้นี่ ไม่ใช่ว่าเจ้ารบเร้าให้พี่ใหญ่ของเจ้าพาออกไปหรอกนะ”“ท่านแม่ขอรับ อย่าตำหนิน้องเลยขอรับ เป็นข้าเองที่ชวนน้องชายออกไป ข้าหายแล้วจริง ๆ ขอรับ ข้าน
เช้าวันต่อมาหยางเสี้ยวตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ข้อดีของการทะลุมิติมาในโลกคู่ขนานแห่งนี้ก็คือ ที่นี่มีทั้งท่านแม่ที่หน้าตาเหมือนคุณแม่ในโลกเดิมทุกอย่าง รวมถึงลักษณะนิสัยด้วย ตอนนี้หยางเสี้ยวมีความมั่นใจว่าท่านพ่อเองก็คงจะมีหน้าตาเหมือนกับคุณพ่อของเขาด้วยเช่นกัน ที่สำคัญเขาไม่ได้เป็นลูกคนเดียวโดดเดี่ยวอีกแล้ว เขามีน้องชายที่น่ารักสดใส ถึงแม้ครอบครัวจะยากจนมากก็ตามที และความยากจนนี่ล่ะที่เป็นอุปสรรคสำคัญของหยางเสี้ยว แต่ถึงจะยากจนหยางเสี้ยวก็ไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจ มีเพียงพยายามใช้ชีวิตและมีชีวิตอยู่ตราบใดที่เราพยายามพอ ความยากจนก็ไม่ใช่อุปสรรคสำคัญอีกต่อไป ไม่แน่ว่าการที่เขาทะลุมิติมาอาจจะเป็นบททดสอบในการใช้ชีวิต เหมือนกับการรับภารกิจตอนเล่นเกมออนไลน์ หากทำภารกิจสำเร็จย่อมมีรางวัลตามมา หยางเสี้ยวเชื่อเช่นนั้นหลังจากล้างหน้าล้างตาบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว หยางเสี้ยวสะพายตะกร้าเดินมุ่งหน้าไปยังลำธารที่เขาขุดหลุมดักปลาเอาไว้ วันนี้หยางเสี้ยวตั้งใจจะขึ้นเขาเผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง ตอนนี้ตัวเขาเองมาอยู่ในร่างของเด็กอายุ 8 ขวบ จึงไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนัก สำหรับการล่าสัตว์เขาทำได้เ
เช้าวันต่อมาหยางเทียนแบกตะกร้าที่ใส่ผูเถาเอาไว้ออกจากบ้านไปตั้งแต่ยามเหม่า พร้อมด้วยหยางเทาผู้เป็นพี่ชาย เป้าหมายคือโรงเตี๊ยมเยี่ยนไหล เช้านี้ทั้งสองคนจะนำเอาผูเถาที่ลูกชายเก็บกลับมาจากภูเขาอู๋หลงเข้าไปขาย ทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะขายได้หรือไม่ แต่หยางเสี้ยวบอกเอาไว้ว่าต้องขายได้แน่ ๆ เพียงแต่จะได้มากได้น้อยนั้นขึ้นอยู่กับราคารับซื้อของโรงเตี๊ยม“น้องรอง ตั้งแต่เสี้ยวเอ๋อร์หายป่วยท่านพ่อบอกว่าหลานเปลี่ยนไปมากหรือ” หยางเทาถามน้องชายถึงความเปลี่ยนแปลงของหลาน“ใช่ขอรับพี่ใหญ่ เสี้ยวเอ๋อร์เปลี่ยนไปมากจริง ๆ ข้าไม่รู้ว่าตอนที่ลูกล้มป่วยเขาไปเจอเรื่องอันใดมา แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เขาก็ยังคงเป็นลูกชายของข้าเสมอ”“เจ้าเองอย่าได้คิดมากเลย การที่อาเสี้ยวเปลี่ยนไปในทางที่ดีแบบนี้ก็ดีแล้ว อายุแค่ 8 ขวบปีแต่จิตใจเข้มแข็งกล้าหาญกว่าข้าที่เป็นท่านลุงอีก อาเชวียนเล่าว่าอาเสี้ยวสอนวางกับดักด้วย เสียดายที่พวกเราไม่มีเงินส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสือ ด้วยความฉลาดของพวกเขาข้าคิดว่าต้องสอบได้เป็นซิ่วไฉแน่”“ไม่แน่ว่าในอนาคตชีวิตของพวกเราอาจจะดีขึ้นก็ได้ ข้าเองรู้สึกละอายใจมาก ข้ารู้สึกว่าข้าเป็นบิดาที่ไ
เสิ่นซื่อได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กร้องเอะอะเรียกนางกับบุตรชายคนโตเสียงดัง ในที่สุดสามีของนางก็กลับมาได้เสียที ความกังวลใจที่มีตลอดหลายวันมานี้ ก็สามารถวางลงได้แล้ว หยางเสี้ยวเองก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ท่านพ่อที่ไม่เคยได้พบหน้ากันผู้นี้ จะมีหน้าตาเหมือนพ่ออาทิตย์ของเขาหรือไม่สองแม่ลูกรีบเดินออกไปยังลานหน้าบ้านด้วยความเร่งรีบ เสิ่นซื่อมีรอยยิ้มอยู่เต็มหน้า เมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีกลับมาด้วยความปลอดภัย ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นกับเขาอย่างที่นางเป็นกังวล เพราะครั้งนี้หยางเทียนเข้าป่าไปหลายวันกว่าทุกครั้ง เสิ่นซื่ออดกลัวไม่ได้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในป่า"ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว""อื้ม ข้ากลับมาแล้ว ครั้งนี้ไปเสียหลายวันพวกเจ้าแม่ลูกคงเป็นห่วงแย่"หยางเสี้ยวที่เดินตามหลังผู้เป็นแม่ออกมา เมื่อเห็นหน้าคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาในภพภูมินี้ของตน ก็อดที่จะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ หยางเทียน บิดาในชาตินี้ของเขามีหน้าตาเหมือนพ่ออาทิตย์อย่างไม่ผิดเพี้ยน ราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกันเสียอย่างนั้น หากเขาไม่ได้มาเกิดใหม่ในร่างของหยางเสี้ยว ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้ก็คือพ่ออาทิตย์ของเขาอย่างไม่ต้
เสิ่นซื่อมองแผ่นหลังของลูกหลานเดินออกจากบ้านไปพร้อมตะกร้าใบเล็กที่ใส่กระต่ายเอาไว้ กระต่ายตัวอ้วนน้ำหนักน่าจะประมาณสี่หรือห้าชั่ง หยางเชวียนแบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยของป่า นอกจากนี้ยังมีไก่ฟ้ากับกระต่ายป่าอย่างละตัว ทั้งสองคนใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงบ้านลุงฟู่กุ้ย หยางเสี้ยวต้องการขายกระต่ายตัวนี้ก่อน ค่อยไปบ้านท่านปู่พร้อมกับหยางเชวียน “อาเสี้ยว เจ้าว่าท่านปู่กับท่านย่าจะกล้ากินผูเถานี่หรือไม่ แล้วเราสองคนจะโดนท่านปู่ตำหนิหรือไม่ที่เข้าป่าไปลึก” หยางเชวียนเริ่มวิตกกังวล“ท่านไม่ต้องกลัวไป ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ท่านปู่ฟังเอง ข้าเชื่อว่าท่านปู่มีเหตุผลพอที่จะไม่ดุด่าพวกเรา อาจจะมีตักเตือนนิดหน่อย”“ข้ากลัวว่าจะโดนไม้เรียวนี่สิ”“ท่านคิดมากไปแล้ว”เด็กชายทั้งสองยืนคุยกันอยู่หน้าบ้านของท่านลุงฟู่กุ้ยจนทำให้ท่านป้าหนิงเปิดประตูออกมาเรียกให้ทั้งสองเข้าไปในบ้าน“เจ้าสองคนพี่น้อง มายืนทำอันใดอยู่ตรงนี้ หรือว่ามีของมาขายให้ลุงฟู่กุ้ยของพวกเจ้ากันล่ะ เข้ามาก่อนสิ”“ขอบคุณท่านป้ามากขอรับ ข้าเอากระต่ายมาขายน่ะขอรับ” “โอ้ กระต่ายเหรอ เจ้ารอสักประเดี๋ยวป้าจะไปเรียกลุงของเจ้ามา”“ขอบคุณท่านป้าขอรับ”
หยางเสี้ยวยังคงเดินหน้าเข้าไปในภูเขาอู๋หลงต่อไปเรื่อย ๆ หยางเชวียนเองก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวเท่ากับตอนแรกที่ยังไม่ได้เข้ามา ตอนนี้ในตะกร้าของเขามีผักป่าอยู่มากมาย หยางเสี้ยวบอกกับเขาว่าอย่าเก็บผักป่าไปมากนัก ให้เหลือพื้นที่ในตะกร้าเอาไว้ใส่ผลไม้ด้วย หากว่าไม่พบผลไม้อย่างอื่นค่อยเก็บผักป่าใส่ให้เต็ม“อาเสี้ยว ถ้าพวกเราเดินเข้าไปอีกจะกลับออกจากป่าไม่ทันนะ มันจะมืดเสียก่อน วันนี้พอแค่นี้ดีหรือไม่”“เอาแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าพรุ่งนี้ข้าอยากไปดูแถวป่าไผ่ก่อน ไม่รู้ว่าจะมีเห็ดเยื่อไผ่ให้เก็บหรือไม่”“เห็ดเยื่อไผ่คืออะไร ทำไมข้าไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นเห็ดเยื่อไผ่ที่เจ้าว่ามานี้เลย” “ข้าว่าท่านน่ะอาจจะเคยเห็นแต่ไม่รู้จักก็เป็นได้”ในตอนที่ทั้งสองคนคุยกันเดินกลับออกจากป่าเพื่อจะไปตรวจดูกับดักที่หยางเสี้ยววางเอาไว้นั้น หยางเสี้ยวได้ยินเสียงคนคุยกันมาจากอีกด้านของป่า เด็กชายส่งสัญญาณให้หยางเชวียนเงียบ จากนั้นจึงพากันไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เสียงที่ทั้งสองคนได้ยินนั้นคือเสียงของลูกชายผู้ใหญ่บ้านเป็นไปตามที่หยางเสี้ยวได้คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ปล่อยข่าวลือที่ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว เพื่อที่ตัวเองจะได้เก็
วันนี้เพราะมีหยางเชวียนมาด้วยทำให้หยางเสี้ยวกำลังตัดสินใจว่าจะไปที่ภูเขาอู๋หลงดีหรือไม่ เพราะการที่เขาเข้าป่าลึกไปทุกวันนั้นเขาไม่ได้บอกให้ใครรู้ ทุกคนเข้าใจว่าเขาไปขุดผักป่าและวางกับดักที่ภูเขาซิ่วสือที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของภูเขาอู๋หลง แต่หลังจากคิดไตร่ตรองรอบคอบแล้ว หยางเสี้ยวคิดว่าตัวเองสมควรจะพูดจาตกลงกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของตัวเองให้เข้าใจ ตอนนี้ท่านลุงยังไม่กลับบ้าน ลำพังอาศัยแค่ท่านปู่คนเดียวคงจะไม่ได้ ป้าสะใภ้เจ็บป่วยอ่อนแอ ท่านย่าเองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเช่นเดียวกัน หยางเสี้ยวคิดว่าที่ทุกคนร่างกายไม่แข็งแรงมักเจ็บป่วยอยู่เสมอนั้นอาจจะเป็นเพราะขาดสารอาหาร เมื่อความเป็นอยู่ไม่ดีอาหารมีไม่เพียงพอ เนื้อสัตว์คือสิ่งที่หายาก อาหารแต่ละมื้อไม่ผักป่าผัดกับน้ำเติมเกลือนิดหน่อยก็เป็นโจ๊กที่หาเม็ดข้าวไม่เจอ น้ำมันสำหรับทำอาหารนั้นเป็นสิ่งที่หายากสำหรับชาวบ้านยากจน ส่วนเกลือก็ราคาแพง แต่ที่แพงกว่าเกลือก็น้ำตาล ไม่ว่าจะอะไรล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น“อาเสี้ยว มีอะไรหรือเปล่า ข้าเห็นเจ้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นานสองนาน แล้วนี่เราจะไปขุดผักป่าที่ไหนหรือ ทำไมเจ้าพาข้าเดินมาทางนี้ล่ะ เราไม
ชาวบ้านที่รวมกลุ่มกันเข้าป่าล่าสัตว์พวกเขาเข้าป่ามาหลายวันแล้วแต่เดิมสมควรจะกลับออกจากป่าได้แล้ว เพียงแต่ว่าการเข้าป่ามาครั้งนี้ยังล่าสัตว์ใหญ่อย่างหมูป่าไม่ได้เลยสักตัว หากยังไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปไม่นับว่ามาเสียเที่ยวหรอกหรือ เพราะความเป็นอยู่ของครอบครัวล้วนยากจน การรวมกลุ่มเข้าป่าล่าสัตว์วันนี้ทุกคนพกความหวังมาเต็มเปี่ยม หากกลับไปมือเปล่าไม่เท่ากับว่าคว้าน้ำเหลวหรอกหรือเพราะเป็นแบบนี้คนทั้งกลุ่มได้ตัดสินใจเข้าไปในป่าลึกกว่าที่เคยมา การรวมกลุ่มกันออกมาล่าสัตว์ในครั้งนี้ กินเวลาไปหลายวันกว่าทุกครั้ง หากว่าอีกสองวันยังคงล่าอะไรไม่ได้เลย พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกจากป่ากลับบ้านทันที “พี่ใหญ่ พวกเราออกจากบ้านมาหลายวันแล้วข้ารู้สึกใจคอไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือไม่ วันที่พวกเราเดินทางมาเสี้ยวเอ๋อร์มีไข้ ตัวร้อนมาก” หยางเทียน“น้องรองอย่าคิดมากเลย ไม่มีอะไรหรอก ทำใจให้สบายเถอะ ไม่แน่ว่าตอนนี้เสี้ยวเอ๋อร์อาจจะหายดีแล้วก็เป็นได้” หยางเทาได้แต่ปลอบน้องชาย“ถ้าหากว่าสองวันนี้ยังล่าอะไรไม่ได้อีก ข้าจะกลับบ้านแล้วล่ะ อีกอย่างข้าไม่อยากจะเข้าป่าไปลึกมากกว่านี้แล้วพี่ใหญ
หยางเสี้ยวที่เดินมุ่งหน้าไปตรวจดูกับดักที่เขาวางเอาไว้ด้วยความเร่งรีบ ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะไม่พบของกินอย่างอื่นอีกนอกจากผักป่ากับเห็ดหูหนูดำ แต่ในใจลึก ๆ เด็กน้อยหวังว่าจะมีไก่ฟ้าหรือกระต่ายป่ามาติดกับดักที่เขาวางเอาไว้บ้าง อย่างน้อย ๆ จะได้นำไปทำอาหารบำรุงร่างกาย เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่กินเนื้อคือเมื่อไหร่ ความปรารถนาของหยางเสี้ยวในตอนนี้คือ มีอาหารมากพอให้กินอิ่มในทุกวัน และมีอาหารมากพอเพื่อเก็บสะสมเอาไว้เป็นเสบียงในฤดูหนาว ที่สำคัญหลังคาบ้านคงต้องทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน เพราะดูจากสภาพของบ้านในตอนนี้คงอยู่ไม่พ้นฤดูหนาวแน่ พอหิมะตกลงมาหลังคาบ้านคงถล่มลงมาแน่ ๆ แค่คิดก็กลัวแทบแย่แล้ว ไหนจะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ต้องเตรียม เหมือนกับว่าเขาได้ทะลุมิติมาเพื่อทำภารกิจเอาชีวิตรอดในโลกคู่ขนานยังไงยังงั้น“เฮ้อ ชาติที่แล้วว่ายากจนแล้ว ชาตินี้ยิ่งยากจนกว่า ไหน ๆ ก็มาแล้วก็คงต้องสู้กันสักตั้ง หวังว่าจะไม่ตายรอบสองหรอกนะ ทำไมไม่เหมือนที่เราคิดเอาไว้เลยล่ะ ไม่ใช่ชีวิตที่แล้วจน พอได้มีโอกาสได้เกิดใหม่จะต้องรวยหรือเปล่า ทำไมไม่เหมือนที่คิดเอาไว้เลยล่ะ ไม่เห็นเหมือนที่นิยายเขียนเอาไว
เช้าวันต่อมาหยางเสี้ยวตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ข้อดีของการทะลุมิติมาในโลกคู่ขนานแห่งนี้ก็คือ ที่นี่มีทั้งท่านแม่ที่หน้าตาเหมือนคุณแม่ในโลกเดิมทุกอย่าง รวมถึงลักษณะนิสัยด้วย ตอนนี้หยางเสี้ยวมีความมั่นใจว่าท่านพ่อเองก็คงจะมีหน้าตาเหมือนกับคุณพ่อของเขาด้วยเช่นกัน ที่สำคัญเขาไม่ได้เป็นลูกคนเดียวโดดเดี่ยวอีกแล้ว เขามีน้องชายที่น่ารักสดใส ถึงแม้ครอบครัวจะยากจนมากก็ตามที และความยากจนนี่ล่ะที่เป็นอุปสรรคสำคัญของหยางเสี้ยว แต่ถึงจะยากจนหยางเสี้ยวก็ไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจ มีเพียงพยายามใช้ชีวิตและมีชีวิตอยู่ตราบใดที่เราพยายามพอ ความยากจนก็ไม่ใช่อุปสรรคสำคัญอีกต่อไป ไม่แน่ว่าการที่เขาทะลุมิติมาอาจจะเป็นบททดสอบในการใช้ชีวิต เหมือนกับการรับภารกิจตอนเล่นเกมออนไลน์ หากทำภารกิจสำเร็จย่อมมีรางวัลตามมา หยางเสี้ยวเชื่อเช่นนั้นหลังจากล้างหน้าล้างตาบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว หยางเสี้ยวสะพายตะกร้าเดินมุ่งหน้าไปยังลำธารที่เขาขุดหลุมดักปลาเอาไว้ วันนี้หยางเสี้ยวตั้งใจจะขึ้นเขาเผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง ตอนนี้ตัวเขาเองมาอยู่ในร่างของเด็กอายุ 8 ขวบ จึงไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนัก สำหรับการล่าสัตว์เขาทำได้เ
เสิ่นซื่อที่กลับมาจากขุดผักป่ากับเพื่อนบ้าน เมื่อมาถึงกลับพบว่าลูกชายทั้งสองไม่อยู่ในบ้าน นางหาจนทั่วแล้วแต่หาลูกชายทั้งสองไม่พบ สวนหลังบ้านก็ไม่มี เมื่อไปดูในห้องเก็บฟืนถึงได้รู้ว่าตะกร้าสะพายหลังของลูกชายทั้งสองหายไป นี่ไม่เท่ากับว่าสองพี่น้องพากันขึ้นเขาไปหรือ ลูกชายของนางยังไม่ทันได้หายดีก็ขึ้นเขาไปอีกแล้ว ด้วยความร้อนใจเสิ่นซื่อรีบออกไปตามหาทันที แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ก้าวขาออกไปพ้นประตูบ้านก็พบว่าสองพี่น้องจูงมือกันกลับมา และได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กหัวเราะคิกคักดังลอยมา เสิ่นซื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ “เสี้ยวเอ๋อร์เจ้าพาน้องไปที่ใดมา ไม่ใช่ว่าแม่บอกให้เจ้าพักผ่อนหรือ เจ้ายังไม่หายดีด้วยซ้ำ เสียนเอ๋อร์เหตุใดเจ้าไม่ห้ามปรามพี่ชาย ไม่ใช่แม่บอกให้เจ้าอยู่ดูแลพี่ชายหรือ”“ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ ข้าเป็นน้องชายเผื่อท่านแม่จะลืม ท่านพี่บอกว่าหายแล้ว อยากออกไปเดินเล่น พวกเราไม่ได้ไปไหนไกลเลยนะขอรับ ไปแค่ลำธารหลังบ้านเอง”“เจ้าลูกคนนี้นี่ ไม่ใช่ว่าเจ้ารบเร้าให้พี่ใหญ่ของเจ้าพาออกไปหรอกนะ”“ท่านแม่ขอรับ อย่าตำหนิน้องเลยขอรับ เป็นข้าเองที่ชวนน้องชายออกไป ข้าหายแล้วจริง ๆ ขอรับ ข้าน