หยางเสี้ยวที่เดินมุ่งหน้าไปตรวจดูกับดักที่เขาวางเอาไว้ด้วยความเร่งรีบ ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะไม่พบของกินอย่างอื่นอีกนอกจากผักป่ากับเห็ดหูหนูดำ
แต่ในใจลึก ๆ เด็กน้อยหวังว่าจะมีไก่ฟ้าหรือกระต่ายป่ามาติดกับดักที่เขาวางเอาไว้บ้าง อย่างน้อย ๆ จะได้นำไปทำอาหารบำรุงร่างกาย เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่กินเนื้อคือเมื่อไหร่
ความปรารถนาของหยางเสี้ยวในตอนนี้คือ มีอาหารมากพอให้กินอิ่มในทุกวัน และมีอาหารมากพอเพื่อเก็บสะสมเอาไว้เป็นเสบียงในฤดูหนาว ที่สำคัญหลังคาบ้านคงต้องทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน
เพราะดูจากสภาพของบ้านในตอนนี้คงอยู่ไม่พ้นฤดูหนาวแน่ พอหิมะตกลงมาหลังคาบ้านคงถล่มลงมาแน่ ๆ แค่คิดก็กลัวแทบแย่แล้ว ไหนจะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ต้องเตรียม เหมือนกับว่าเขาได้ทะลุมิติมาเพื่อทำภารกิจเอาชีวิตรอดในโลกคู่ขนานยังไงยังงั้น
“เฮ้อ ชาติที่แล้วว่ายากจนแล้ว ชาตินี้ยิ่งยากจนกว่า ไหน ๆ ก็มาแล้วก็คงต้องสู้กันสักตั้ง หวังว่าจะไม่ตายรอบสองหรอกนะ ทำไมไม่เหมือนที่เราคิดเอาไว้เลยล่ะ ไม่ใช่ชีวิตที่แล้วจน พอได้มีโอกาสได้เกิดใหม่จะต้องรวยหรือเปล่า ทำไมไม่เหมือนที่คิดเอาไว้เลยล่ะ ไม่เห็นเหมือนที่นิยายเขียนเอาไว้เลย แย่จริง ๆ หรือว่าแต้มบุญของเราไม่พอ ช่างมันเถอะ ช่างมัน ไม่ต้องคิดแล้วดีกว่า สิ่งที่ต้องคิดตอนนี้ทำยังไงถึงจะให้มีชีวิตรอดไปจนโตได้จะดีกว่า” หยางเสี้ยวพูดออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ
จะไม่ให้อัดอั้นตันใจได้ยังไงล่ะ อุตส่าห์แอบเข้ามาในป่าลึกแต่ไม่มีอะไรที่กินได้ติดไม้ติดมือกลับไปเลย นอกจากเห็ดหูหนูดำกับผักป่าเล็กน้อยเท่านั้น ไหนล่ะสมุนไพรล้ำค่า? ไหนล่ะโสมคน? ไหนล่ะเห็ดหลินจือ? นิยายทะลุมิติที่เพื่อนสมัยเรียนชอบอ่านและยังมาเล่ากรอกหูเขาทุกวัน ไม่ใช่บอกว่าในป่าเขาจะมีของพวกนี้อยู่เหรอ แต่ทำไมเขาไม่เห็นเจอสักต้นล่ะ
เดินบ่นมาตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงจุดที่เขาได้สาวกับดักเอาไว้ หยางเสี้ยวรีบเดินเข้าไปตรวจดูกับดักที่เขาวางเอาไว้ทันที หวังว่าจะมีไก่ฟ้าหรือกระต่ายป่ามาติดกับดักของเขาสักตัวสองตัว กับดักที่เด็กชายวางเอาไว้ทั้งหมด 10 อัน เขาตรวจดูไปแล้ว 7 อัน ยังไม่มีเหยื่อมาติดแม้แต่ตัวเดียว
หยางเสี้ยวได้แต่หวังว่าอีกสามอันนั้นจะมีอะไรมาติดบ้าง ไม่อย่างนั้นวันนี้คงต้องคว้าน้ำเหลวแล้ว ตอนนี้น้ำในลำธารลดระดับลงไปมาก เขาภาวนาว่าอย่าให้เกิดภัยแล้งขึ้นมาอีกเลย แค่ลำพังไม่ประสบภัยทางธรรมชาติ ครอบครัวของเขาก็แทบจะไม่มีอะไรกินอยู่แล้ว ชีวิตในแต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก ท่านพ่อที่เขาไม่เคยเห็นหน้าผู้นั้นก็รวมกลุ่มกับชาวบ้านไปล่าสัตว์ ป่านนี้ยังไม่กลับมา หวังว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย
กับดักสามอันสุดท้ายที่หยางเสี้ยวฝากความหวังเอาไว้ ก็ไม่ได้ทำลายความหวังของเด็กชายไปเสียทีเดียว เมื่อเขาเดินมาถึงกับดักอันที่แปด ก็พบว่ามีไก่ฟ้าตัวใหญ่ติดอยู่ ด้วยความดีใจเด็กชายรีบปลดไก่ฟ้าออกจากกับดักแล้วเดินไปตรวจดูกับดักอันที่เก้าทันที
เมื่อเดินมาถึงกับดักอันที่เก้าเด็กน้อยถึงกับยิ้มแฉ่งเพราะกับดักอันนี้ก็มีไก่ป่ามาติดอยู่เช่นเดียวกัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับวันนี้ นับว่าการเข้าป่าลึกของเขาไม่ได้ล้มเหลวอย่างน้อยยังมีไก่ฟ้าสองตัว สามารถแบ่งให้บ้านท่านปู่ได้หนึ่งตัวให้ท่านย่าต้มน้ำแกงบำรุงร่างกายคนในครอบครัว
ท่านปู่เองก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ทั้งยังต้องทำงานในไร่นา ป้าสะใภ้เองสภาพร่างกายไม่ต่างจากท่านแม่ของเขาเท่าไหร่ แรงงานในบ้านจึงมีเพียงท่านพ่อและท่านลุงที่เป็นแรงงานหลัก ส่วนพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเขาอายุมากกว่าเขา 2 ปี เด็กอายุ 10 ขวบในที่แห่งนี้ถือว่าเป็นเด็กที่โตพอจะช่วยงานในไร่นาได้แล้ว
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นแต่เด็ก 10 ขวบจะสามารถทำอะไรมากมายได้เท่าไหร่กันเชียว อย่างมากก็ช่วยหาบน้ำ เก็บฟืนและช่วยงานในไร่นาเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น สำหรับหยางเสี้ยวผู้ที่อายุรวมกันสองชาติแล้วได้ 30 ปีผู้นี้ ไม่คิดจะพึ่งพาไร่นาในการเลี้ยงปากท้องอย่างเดียวแน่ จำต้องหาหนทางเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีในวันข้างหน้า
ในตอนที่หยางเสี้ยวเดินมาถึงกับดักอันที่สิบ เด็กชายก็ต้องขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อเห็นว่ากับดักของตัวเองมีอะไรติดอยู่ มันไม่ใช่ทั้งกระต่ายหรือไก่ แต่มันคือลูกหมาสีขาวตัวอ้วนกลมหนึ่งตัว ที่ไม่รู้ว่าเดินไม่ดูตาม้าตาเรือหรืออย่างไรถึงได้มาติดกับดักของเขาเสียได้ แล้วทำไมเจ้าตัวเล็กนี่ถึงได้มาอยู่แถวนี้ตัวเดียว พ่อแม่และครอบครัวของเจ้าตัวเล็กนี่ไปไหน
“เฮ้อ ซุกซนจนได้เรื่องแล้วไหมล่ะ อยู่นิ่ง ๆ ข้าจะปลดกับดักออกให้ ดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมาก แล้วนี่พ่อแม่พี่น้องของแกไปไหน ทำไมถึงได้ออกมาวิ่งเพ่นพ่านอยู่ตัวเดียว ดีเท่าไหร่แล้วไม่เจอสัตว์ป่าดุร้าย ไม่เช่นนั้นชีวิตน้อย ๆ ของแกก็ไม่เหลือแล้ว เอ้า กลับบ้านไปได้แล้ว ทีหลังหัดดูทางเสียบ้าง จะได้ไม่ไปติดกับดักของผู้ใดอีก”
“หงิง หงิง” เจ้าหมาเอาหัวมาถูไถกับขากางเกงของหยางเสี้ยวอย่างออดอ้อน
“อะไร อะไร กลับบ้านของเจ้าไปเถอะ ข้าเองก็ต้องกลับบ้านของข้าแล้ว” พอหยางเสี้ยวพูดจบเจ้าหมาก็ทำหูลู่หางตกครางหงิง ๆ อยู่แบบนั้น หยางเสี้ยวเข้าใจว่ามันคงไม่มีครอบครัวแล้วหรืออาจจะพลัดหลงมา ถ้าปล่อยเอาไว้ในป่าก็กลัวจะโดนสัตว์ป่าดุร้ายกัดเอา เด็กชายทำได้แค่เพียงพามันกลับบ้านไปด้วย
“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าแล้ว ไป ๆ กลับบ้านไปกับข้านี่ล่ะ ไปอยู่บ้านข้าก่อน ที่บ้านข้ามีน้องชายหนึ่งคน เขาคงชอบที่ได้เจอเจ้า ต่อไปนี้เจ้าชื่อเสี่ยวไป๋ก็แล้วกัน ข้าจะโดนท่านแม่ด่าหรือไม่ ขนาดคนยังไม่มีข้าวจะกิน ยังต้องเก็บหมามาเลี้ยงอีก ไปถึงบ้านข้าแล้วเจ้าต้องทำตัวดี ๆ ล่ะเข้าใจไหม”
“โฮ่ง โฮ่ง”
“เข้าใจก็ดีแล้ว”
หยางเสี้ยวแบกตะกร้าที่ใส่ไก่ฟ้าเอาไว้สองตัวเห็ดหูหนูดำและผักป่าอีกนิดหน่อย สองมืออุ้มเจ้าเสี่ยวไป๋มุ่งหน้ากลับบ้านทันที เพราะวันนี้เข้าไปในเขตภูเขาอู๋หลงจึงทำให้ใช้เวลาในการเดินทางมากกว่าปกติ เด็กชายกลับมาถึงบ้านก็พบว่าน้องชายได้ออกมานั่งรออยู่ที่ลานหน้าบ้าน หยางเสี้ยวมองดูน้องชายที่นั่งหันหน้าหันหลังคอยเขาอยู่ก็ยกยิ้มด้วยความเอ็นดู
“อ๊ะ พี่ใหญ่ท่านกลับมาแล้ว ทำไมวันนี้ถึงไปนานขนาดนี้ล่ะ รีบเข้าบ้านเร็วท่านแม่เป็นห่วงจะแย่แล้ว”
“อย่าวิ่ง ระวังเดี๋ยวจะหกล้มเอาได้ ค่อย ๆ เดิน ไม่ใช่ว่าพี่กลับมาแล้วหรือยังไง ไม่ต้องร้อนใจไป”
“ข้าเป็นห่วงพี่ใหญ่นี่ขอรับ พี่ใหญ่ขึ้นเขาไปคนเดียวข้ากับท่านแม่อดห่วงไม่ได้”
“พี่รู้แล้ว ขอบใจเสียนเอ๋อร์ที่เป็นห่วงพี่นะ พี่ไม่เป็นไร ปลอดภัยดีมาก นี่ดูสิพี่มีอะไรมาให้เสียนเอ๋อร์ด้วย” หยางเสี้ยวยื่นเสี่ยวไป๋ให้น้องชาย
“โอ๊ะ ลูกหมานี่นา พี่ใหญ่ ท่านไปเอาเจ้าตัวเล็กนี่มาจากไหนขอรับ มันน่ารักมากเลย พวกเราเลี้ยงมันเอาไว้ได้หรือไม่ขอรับ”
“พี่เองก็ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน มันวิ่งมาติดกับดักที่พี่วางเอาไว้ เพราะเห็นว่ามันยังเป็นแค่ลูกหมากลัวว่าถ้าปล่อยมันทิ้งไว้ในป่าก็คงได้โดนสัตว์ตัวอื่นรังแกเอา อีกอย่างมันก็อยากจะตามพี่กลับมาด้วย น่าจะพลัดหลงกับพ่อแม่หรืออาจจะเหลือแค่มันตัวเดียว พี่เลยคิดว่าพามันกลับมาจะดีกว่า พี่ตั้งชื่อให้มันว่าเสี่ยวไป๋ เอาล่ะ เข้าบ้านกันเถอะ”
“ขอรับ ท่านแม่ ท่านแม่ ออกมาดูนี่เร็ว พี่ใหญ่กลับมาแล้ว พี่ใหญ่มีของฝากมาให้ข้าด้วยล่ะ”
“เสียนเอ๋อร์อย่าวิ่ง ระวังจะชนข้าวของในบ้าน” หยางเสี้ยวได้แต่เตือนน้องชายที่วิ่งตึงตังเข้าไปในบ้านในมือมีเจ้าเสี่ยวไป๋อยู่
“มีอะไรเสียนเอ๋อร์ พี่ชายของลูกกลับมาแล้วยังงั้นเหรอ ไหนมาให้แม่ดูพี่ชายมีอะไรมาฝากลูก ถึงได้ดีใจขนาดนี้”
“นี่ขอรับท่านแม่ พี่ชายเอาเสี่ยวไป๋มาฝาก”
“ตายจริง ลูกหมาป่านี่ เสี้ยวเอ๋อร์ไปเอามาจากไหน พ่อแม่มันจะไม่ตามหาหรือ แม่ว่าเอากลับไปคืนดีกว่าไหม ถ้าหากว่าหมาป่าบุกมาถึงบ้านเราจะทำยังไง”
“ท่านแม่ขอรับ เจ้านี่ไม่มีพ่อแม่หรอกขอรับ หรือมันอาจจะพลัดหลงอีกอย่างเสี่ยวไป๋เองก็อยากจะตามลูกมาด้วย คิดว่ามันคงอยู่ตัวเดียวในป่าขอรับ อีกอย่างบ้านของเรากับภูเขาอู๋หลงอยู่ห่างกันมาก หมาป่าไม่มีทางออกจากป่าลึกมาหรอกขอรับ ท่านแม่วางใจได้”
“ถ้าลูกแน่ใจแล้วก็ตามใจลูกก็แล้วกัน”
“ท่านแม่ขอรับ ให้เสี่ยวไป๋นอนกับข้าได้หรือไม่ขอรับ”
“แต่พี่ว่าพามันไปอาบน้ำให้สะอาดก่อนดีกว่านะ ส่วนที่นอนของเสี่ยวไป๋พี่จะทำให้เอง แล้วค่อยวางเอาไว้ข้างเตียงดีหรือไม่ หากให้เสี่ยวไป๋ไปนอนบนเตียงด้วยคงไม่ดีเท่าไหร่”
“ขอรับพี่ใหญ่ ถ้าอย่างนั้น ท่านแม่ข้าจะอาบน้ำ เสี่ยวไป๋ก็จะอาบด้วย ท่านแม่ช่วยต้มน้ำให้หน่อยได้หรือไม่ขอรับ”
“ได้สิ เจ้ารอประเดี๋ยว เสี้ยวเอ๋อร์ลูกจะอาบน้ำด้วยหรือไม่ แม่จะได้ต้มน้ำให้มากหน่อย”
“ท่านแม่ เดี๋ยวลูกค่อยอาบขอรับ ลูกจะเอาไก่ฟ้าแบ่งไปให้บ้านท่านปู่ก่อน”
“อะไรนะ ไก่ฟ้าหรือ นี่ลูกเข้าป่าไปลึกแค่ไหนกัน”
“ไม่ลึกขอรับ วันนี้มีไก่ฟ้ามาติดกับดักสองตัว ส่วนตัวที่สามกลับเป็นเจ้าเสี่ยวไป๋ไปเสียได้”
“เย้ ๆ วันนี้มีเนื้อไก่กินล่ะ เสี่ยวไป๋เดี๋ยวเราจะมีเนื้อไก่กินแล้วนะ ดีใจหรือไม่ เนื้อไก่อร่อยมากเลย ข้าเคยกินเมื่อนานมาแล้ว ถึงตอนนี้ข้าจำรสชาติไม่ได้แล้ว รู้แค่เพียงว่ามันอร่อยมากล่ะ”
เสิ่นซื่อที่ได้ยินลูกชายพูดแบบนั้นนางก็อดที่จะสงสารลูกและโทษตัวเองที่ร่างกายอ่อนแอไม่ได้ เพราะครอบครัวยากจน นางเองร่างกายอ่อนแอ สามีเป็นแรงงานหลักของบ้านทำงานหนักทุกอย่าง แต่ยังไม่สามารถเติมเต็มอาหารให้กับครอบครัวได้มากนัก
การเก็บเกี่ยวปีที่แล้วได้ผลผลิตน้อย อีกทั้งครอบครัวมีที่นาเพียงแค่สามหมู่เท่านั้น บ้านใหญ่เองก็มีที่ดินเพียง 5 หมู่ จากเดิมที่เคยมี 8 หมู่ ตอนน้องสาวคนเล็กแต่งออกไป บ้านใหญ่ตัดสินใจขายที่นา 3 หมู่ เพื่อนำเงินมาใช้ซื้อสินเดิมและใช้ในการแต่งงานของน้องสามี
“ท่านแม่ วันนี้ได้ไก่มา 2 ตัว บ้านเรากินเสียหนึ่งตัว อีกตัวข้าจะเอาไปให้บ้านท่านปู่ ท่านแม่ไม่ต้องประหยัดนะขอรับ น้ำแกงไก่สามารถบำรุงสุขภาพของท่านได้ ท่านแม่กินให้มากหน่อย พรุ่งนี้ลูกจะไปตรวจดูกับดักที่วางเอาไว้อีกที หากจะรอท่านพ่อกลับมาก็คงจะไม่ได้”
“แม่รู้ ขอบใจลูกมาก หากไม่ได้เงินขายปลาจากลูกเมื่อวันก่อน บ้านเราคงไม่มีข้าวกินแล้วล่ะ ลูกรีบเอาไก่ไปให้บ้านท่านปู่เถอะ จะได้รีบมาอาบน้ำ”
“ขอรับท่านแม่”
หยางเสี้ยวเอาไก่ฟ้าใส่ตะกร้าไม้ไผ่ เห็ดหูหนูดำ และผักป่า จากนั้นก็ยกตะกร้าขึ้นสะพายหลังเดินมุ่งหน้าไปบ้านท่านปู่ทันที เสิ่นซื่อรู้สึกว่าลูกชายของนางเปลี่ยนไปมากหลังจากที่หายป่วยครั้งนี้ ทั้งยังมีความรู้มากมาย นิสัยก็เปลี่ยนไปมากเช่นเดียวกัน แต่เดิมลูกชายของนางไม่ค่อยชอบพูดจา ไม่ได้ร่าเริงอย่างเช่นตอนนี้
ดูเหมือนว่าตอนนี้ลูกชายของนางจะเติบโตขึ้นแล้วจริง ๆ คนเป็นแม่เมื่อเห็นลูกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นย่อมดีใจเป็นอย่างมาก ที่สำคัญตอนนี้ลูกชายของนางยังสามารถล่าสัตว์เล็ก ๆ น้อยและหาเงินเข้าบ้านได้แล้ว เสิ่นซื่อรู้สึกว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่บ้าง
ชาวบ้านที่รวมกลุ่มกันเข้าป่าล่าสัตว์พวกเขาเข้าป่ามาหลายวันแล้วแต่เดิมสมควรจะกลับออกจากป่าได้แล้ว เพียงแต่ว่าการเข้าป่ามาครั้งนี้ยังล่าสัตว์ใหญ่อย่างหมูป่าไม่ได้เลยสักตัว หากยังไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปไม่นับว่ามาเสียเที่ยวหรอกหรือ เพราะความเป็นอยู่ของครอบครัวล้วนยากจน การรวมกลุ่มเข้าป่าล่าสัตว์วันนี้ทุกคนพกความหวังมาเต็มเปี่ยม หากกลับไปมือเปล่าไม่เท่ากับว่าคว้าน้ำเหลวหรอกหรือเพราะเป็นแบบนี้คนทั้งกลุ่มได้ตัดสินใจเข้าไปในป่าลึกกว่าที่เคยมา การรวมกลุ่มกันออกมาล่าสัตว์ในครั้งนี้ กินเวลาไปหลายวันกว่าทุกครั้ง หากว่าอีกสองวันยังคงล่าอะไรไม่ได้เลย พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกจากป่ากลับบ้านทันที “พี่ใหญ่ พวกเราออกจากบ้านมาหลายวันแล้วข้ารู้สึกใจคอไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือไม่ วันที่พวกเราเดินทางมาเสี้ยวเอ๋อร์มีไข้ ตัวร้อนมาก” หยางเทียน“น้องรองอย่าคิดมากเลย ไม่มีอะไรหรอก ทำใจให้สบายเถอะ ไม่แน่ว่าตอนนี้เสี้ยวเอ๋อร์อาจจะหายดีแล้วก็เป็นได้” หยางเทาได้แต่ปลอบน้องชาย“ถ้าหากว่าสองวันนี้ยังล่าอะไรไม่ได้อีก ข้าจะกลับบ้านแล้วล่ะ อีกอย่างข้าไม่อยากจะเข้าป่าไปลึกมากกว่านี้แล้วพี่ใหญ
วันนี้เพราะมีหยางเชวียนมาด้วยทำให้หยางเสี้ยวกำลังตัดสินใจว่าจะไปที่ภูเขาอู๋หลงดีหรือไม่ เพราะการที่เขาเข้าป่าลึกไปทุกวันนั้นเขาไม่ได้บอกให้ใครรู้ ทุกคนเข้าใจว่าเขาไปขุดผักป่าและวางกับดักที่ภูเขาซิ่วสือที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของภูเขาอู๋หลง แต่หลังจากคิดไตร่ตรองรอบคอบแล้ว หยางเสี้ยวคิดว่าตัวเองสมควรจะพูดจาตกลงกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของตัวเองให้เข้าใจ ตอนนี้ท่านลุงยังไม่กลับบ้าน ลำพังอาศัยแค่ท่านปู่คนเดียวคงจะไม่ได้ ป้าสะใภ้เจ็บป่วยอ่อนแอ ท่านย่าเองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเช่นเดียวกัน หยางเสี้ยวคิดว่าที่ทุกคนร่างกายไม่แข็งแรงมักเจ็บป่วยอยู่เสมอนั้นอาจจะเป็นเพราะขาดสารอาหาร เมื่อความเป็นอยู่ไม่ดีอาหารมีไม่เพียงพอ เนื้อสัตว์คือสิ่งที่หายาก อาหารแต่ละมื้อไม่ผักป่าผัดกับน้ำเติมเกลือนิดหน่อยก็เป็นโจ๊กที่หาเม็ดข้าวไม่เจอ น้ำมันสำหรับทำอาหารนั้นเป็นสิ่งที่หายากสำหรับชาวบ้านยากจน ส่วนเกลือก็ราคาแพง แต่ที่แพงกว่าเกลือก็น้ำตาล ไม่ว่าจะอะไรล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น“อาเสี้ยว มีอะไรหรือเปล่า ข้าเห็นเจ้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นานสองนาน แล้วนี่เราจะไปขุดผักป่าที่ไหนหรือ ทำไมเจ้าพาข้าเดินมาทางนี้ล่ะ เราไม
หยางเสี้ยวยังคงเดินหน้าเข้าไปในภูเขาอู๋หลงต่อไปเรื่อย ๆ หยางเชวียนเองก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวเท่ากับตอนแรกที่ยังไม่ได้เข้ามา ตอนนี้ในตะกร้าของเขามีผักป่าอยู่มากมาย หยางเสี้ยวบอกกับเขาว่าอย่าเก็บผักป่าไปมากนัก ให้เหลือพื้นที่ในตะกร้าเอาไว้ใส่ผลไม้ด้วย หากว่าไม่พบผลไม้อย่างอื่นค่อยเก็บผักป่าใส่ให้เต็ม“อาเสี้ยว ถ้าพวกเราเดินเข้าไปอีกจะกลับออกจากป่าไม่ทันนะ มันจะมืดเสียก่อน วันนี้พอแค่นี้ดีหรือไม่”“เอาแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าพรุ่งนี้ข้าอยากไปดูแถวป่าไผ่ก่อน ไม่รู้ว่าจะมีเห็ดเยื่อไผ่ให้เก็บหรือไม่”“เห็ดเยื่อไผ่คืออะไร ทำไมข้าไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นเห็ดเยื่อไผ่ที่เจ้าว่ามานี้เลย” “ข้าว่าท่านน่ะอาจจะเคยเห็นแต่ไม่รู้จักก็เป็นได้”ในตอนที่ทั้งสองคนคุยกันเดินกลับออกจากป่าเพื่อจะไปตรวจดูกับดักที่หยางเสี้ยววางเอาไว้นั้น หยางเสี้ยวได้ยินเสียงคนคุยกันมาจากอีกด้านของป่า เด็กชายส่งสัญญาณให้หยางเชวียนเงียบ จากนั้นจึงพากันไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เสียงที่ทั้งสองคนได้ยินนั้นคือเสียงของลูกชายผู้ใหญ่บ้านเป็นไปตามที่หยางเสี้ยวได้คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ปล่อยข่าวลือที่ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว เพื่อที่ตัวเองจะได้เก็
เสิ่นซื่อมองแผ่นหลังของลูกหลานเดินออกจากบ้านไปพร้อมตะกร้าใบเล็กที่ใส่กระต่ายเอาไว้ กระต่ายตัวอ้วนน้ำหนักน่าจะประมาณสี่หรือห้าชั่ง หยางเชวียนแบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยของป่า นอกจากนี้ยังมีไก่ฟ้ากับกระต่ายป่าอย่างละตัว ทั้งสองคนใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงบ้านลุงฟู่กุ้ย หยางเสี้ยวต้องการขายกระต่ายตัวนี้ก่อน ค่อยไปบ้านท่านปู่พร้อมกับหยางเชวียน “อาเสี้ยว เจ้าว่าท่านปู่กับท่านย่าจะกล้ากินผูเถานี่หรือไม่ แล้วเราสองคนจะโดนท่านปู่ตำหนิหรือไม่ที่เข้าป่าไปลึก” หยางเชวียนเริ่มวิตกกังวล“ท่านไม่ต้องกลัวไป ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ท่านปู่ฟังเอง ข้าเชื่อว่าท่านปู่มีเหตุผลพอที่จะไม่ดุด่าพวกเรา อาจจะมีตักเตือนนิดหน่อย”“ข้ากลัวว่าจะโดนไม้เรียวนี่สิ”“ท่านคิดมากไปแล้ว”เด็กชายทั้งสองยืนคุยกันอยู่หน้าบ้านของท่านลุงฟู่กุ้ยจนทำให้ท่านป้าหนิงเปิดประตูออกมาเรียกให้ทั้งสองเข้าไปในบ้าน“เจ้าสองคนพี่น้อง มายืนทำอันใดอยู่ตรงนี้ หรือว่ามีของมาขายให้ลุงฟู่กุ้ยของพวกเจ้ากันล่ะ เข้ามาก่อนสิ”“ขอบคุณท่านป้ามากขอรับ ข้าเอากระต่ายมาขายน่ะขอรับ” “โอ้ กระต่ายเหรอ เจ้ารอสักประเดี๋ยวป้าจะไปเรียกลุงของเจ้ามา”“ขอบคุณท่านป้าขอรับ”
เสิ่นซื่อได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กร้องเอะอะเรียกนางกับบุตรชายคนโตเสียงดัง ในที่สุดสามีของนางก็กลับมาได้เสียที ความกังวลใจที่มีตลอดหลายวันมานี้ ก็สามารถวางลงได้แล้ว หยางเสี้ยวเองก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ท่านพ่อที่ไม่เคยได้พบหน้ากันผู้นี้ จะมีหน้าตาเหมือนพ่ออาทิตย์ของเขาหรือไม่สองแม่ลูกรีบเดินออกไปยังลานหน้าบ้านด้วยความเร่งรีบ เสิ่นซื่อมีรอยยิ้มอยู่เต็มหน้า เมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีกลับมาด้วยความปลอดภัย ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นกับเขาอย่างที่นางเป็นกังวล เพราะครั้งนี้หยางเทียนเข้าป่าไปหลายวันกว่าทุกครั้ง เสิ่นซื่ออดกลัวไม่ได้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในป่า"ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว""อื้ม ข้ากลับมาแล้ว ครั้งนี้ไปเสียหลายวันพวกเจ้าแม่ลูกคงเป็นห่วงแย่"หยางเสี้ยวที่เดินตามหลังผู้เป็นแม่ออกมา เมื่อเห็นหน้าคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาในภพภูมินี้ของตน ก็อดที่จะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ หยางเทียน บิดาในชาตินี้ของเขามีหน้าตาเหมือนพ่ออาทิตย์อย่างไม่ผิดเพี้ยน ราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกันเสียอย่างนั้น หากเขาไม่ได้มาเกิดใหม่ในร่างของหยางเสี้ยว ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้ก็คือพ่ออาทิตย์ของเขาอย่างไม่ต้
เช้าวันต่อมาหยางเทียนแบกตะกร้าที่ใส่ผูเถาเอาไว้ออกจากบ้านไปตั้งแต่ยามเหม่า พร้อมด้วยหยางเทาผู้เป็นพี่ชาย เป้าหมายคือโรงเตี๊ยมเยี่ยนไหล เช้านี้ทั้งสองคนจะนำเอาผูเถาที่ลูกชายเก็บกลับมาจากภูเขาอู๋หลงเข้าไปขาย ทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะขายได้หรือไม่ แต่หยางเสี้ยวบอกเอาไว้ว่าต้องขายได้แน่ ๆ เพียงแต่จะได้มากได้น้อยนั้นขึ้นอยู่กับราคารับซื้อของโรงเตี๊ยม“น้องรอง ตั้งแต่เสี้ยวเอ๋อร์หายป่วยท่านพ่อบอกว่าหลานเปลี่ยนไปมากหรือ” หยางเทาถามน้องชายถึงความเปลี่ยนแปลงของหลาน“ใช่ขอรับพี่ใหญ่ เสี้ยวเอ๋อร์เปลี่ยนไปมากจริง ๆ ข้าไม่รู้ว่าตอนที่ลูกล้มป่วยเขาไปเจอเรื่องอันใดมา แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เขาก็ยังคงเป็นลูกชายของข้าเสมอ”“เจ้าเองอย่าได้คิดมากเลย การที่อาเสี้ยวเปลี่ยนไปในทางที่ดีแบบนี้ก็ดีแล้ว อายุแค่ 8 ขวบปีแต่จิตใจเข้มแข็งกล้าหาญกว่าข้าที่เป็นท่านลุงอีก อาเชวียนเล่าว่าอาเสี้ยวสอนวางกับดักด้วย เสียดายที่พวกเราไม่มีเงินส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสือ ด้วยความฉลาดของพวกเขาข้าคิดว่าต้องสอบได้เป็นซิ่วไฉแน่”“ไม่แน่ว่าในอนาคตชีวิตของพวกเราอาจจะดีขึ้นก็ได้ ข้าเองรู้สึกละอายใจมาก ข้ารู้สึกว่าข้าเป็นบิดาที่ไ
โลกคู่ขนานในอีกมิติหนึ่ง มังกรรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความไม่สบายตัว เขาจำได้ว่าเมื่อตอนกลางวันไปไหว้อัฐิพ่อกับแม่ที่วัดกลับมาก็อาบน้ำนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลียการเดินทางโดยนั่งรถประจำทางกลับมาบ้านเกิดไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย เหนื่อยมากจริง ๆ พอเขาลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าตัวเองอยู่ที่ไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ที่นี่มันไม่ใช่ห้องนอนของเขาที่บ้านเกิดหลังคามุงหญ้า ฝาผนังทำจากดินโคลนผสมฟาง ที่นี่ที่ไหน หรือเขาโดนจับตัวมาเรียกค่าไถ่ ถึงจะบอกว่าโดนจับตัวมาเขาก็ไม่มีเงินให้หรอกนะตอนนี้ ก็เหลือตัวคนเดียวแล้วเงินที่ไหนจะมี เรียนก็เพิ่งจบงานก็ยังไม่ได้ทำ จะมีก็แค่เงินประกันของพ่อแม่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือเกิดการเข้าใจผิดกันแน่ ถึงได้จับเขามาขังเอาไว้ที่นี่มังกรนอนคิดเรื่อยเปื่อยจนในที่สุดก็ตัดสินใจว่าตัวเองจะมัวมานอนคิดให้เปลืองสมองทำไม ลุกขึ้นไปดูเลยดีกว่าว่าที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่ หวังว่าคนที่จับเขามาจะให้คำตอบเขาได้ เมื่อตัดสินใจได้แล้วมังกรลุกขึ้นจากเตียงแข็ง ๆ ที่นอนจนปวดหลังมาทั้งคืน ยังไม่ทันที่จะก้าวขาลงจากเตียงก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาและก็มีความทรงจำของเด
สองพี่น้องเดินออกจากบ้านและไม่ลืมที่จะปิดประตูรั้วให้เรียบร้อย หยางเสียนเด็กน้อยวัย 6 ขวบเป็นเด็กร่าเริงและรู้ความ ถึงแม้ว่าครอบครัวจะยากจน อาหารการกินไม่พอ แต่เด็กน้อยเองไม่เคยงอแงเลยสักครั้ง กลับกัน ท่าทางของเจ้าหนูน้อยมีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัยอยู่มาก อาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่สอนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยก็เป็นได้ทั้งสองคนเดินลัดเลาะตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนผ่านมาเท่าไหร่ เพราะลำธารสายนี้ไม่นับว่าใหญ่มาก ไม่เหมือนกับลำธารที่อยู่ทางฝั่งบ้านของท่านปู่ท่านย่า อีกทั้งบ้านของพวกเขาอยู่ถึงท้ายหมู่บ้านจึงทำให้ไม่ค่อยมีคนผ่านไป หยางเสี้ยวพาน้องชายเดินมุ่งหน้าไปทางลำธาร ระหว่างทางก็สอดส่ายสายตามองหาเผื่อว่าจะพบเจออะไรที่สามารถเอากลับไปกินได้ แต่เดินมาจนเกือบถึงลำธารแล้วก็ยังหาของที่กินได้ไม่พบเลยสักอย่าง ตอนนี้ได้แต่ภาวนาว่าเมื่อถึงลำธารแล้วยังจะพอมีอะไรให้กินได้บ้าง “พี่ใหญ่ ข้าคิดถึงท่านพ่อขอรับ หลายวันมานี่ท่านแม่เองก็มีสีหน้าทุกข์ใจ ยิ่งยามที่ท่านป่วยไข้นอนไม่ได้สติอยู่สองวัน ข้าเห็นท่านแม่แอบร้องไห้ในห้องครัวด้วยขอรับ”“เป็นพี่ใหญ่ที่ไม่ดีเอง พี่ใหญ่อ่อนแอ ทำให้เจ
เช้าวันต่อมาหยางเทียนแบกตะกร้าที่ใส่ผูเถาเอาไว้ออกจากบ้านไปตั้งแต่ยามเหม่า พร้อมด้วยหยางเทาผู้เป็นพี่ชาย เป้าหมายคือโรงเตี๊ยมเยี่ยนไหล เช้านี้ทั้งสองคนจะนำเอาผูเถาที่ลูกชายเก็บกลับมาจากภูเขาอู๋หลงเข้าไปขาย ทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะขายได้หรือไม่ แต่หยางเสี้ยวบอกเอาไว้ว่าต้องขายได้แน่ ๆ เพียงแต่จะได้มากได้น้อยนั้นขึ้นอยู่กับราคารับซื้อของโรงเตี๊ยม“น้องรอง ตั้งแต่เสี้ยวเอ๋อร์หายป่วยท่านพ่อบอกว่าหลานเปลี่ยนไปมากหรือ” หยางเทาถามน้องชายถึงความเปลี่ยนแปลงของหลาน“ใช่ขอรับพี่ใหญ่ เสี้ยวเอ๋อร์เปลี่ยนไปมากจริง ๆ ข้าไม่รู้ว่าตอนที่ลูกล้มป่วยเขาไปเจอเรื่องอันใดมา แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เขาก็ยังคงเป็นลูกชายของข้าเสมอ”“เจ้าเองอย่าได้คิดมากเลย การที่อาเสี้ยวเปลี่ยนไปในทางที่ดีแบบนี้ก็ดีแล้ว อายุแค่ 8 ขวบปีแต่จิตใจเข้มแข็งกล้าหาญกว่าข้าที่เป็นท่านลุงอีก อาเชวียนเล่าว่าอาเสี้ยวสอนวางกับดักด้วย เสียดายที่พวกเราไม่มีเงินส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสือ ด้วยความฉลาดของพวกเขาข้าคิดว่าต้องสอบได้เป็นซิ่วไฉแน่”“ไม่แน่ว่าในอนาคตชีวิตของพวกเราอาจจะดีขึ้นก็ได้ ข้าเองรู้สึกละอายใจมาก ข้ารู้สึกว่าข้าเป็นบิดาที่ไ
เสิ่นซื่อได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กร้องเอะอะเรียกนางกับบุตรชายคนโตเสียงดัง ในที่สุดสามีของนางก็กลับมาได้เสียที ความกังวลใจที่มีตลอดหลายวันมานี้ ก็สามารถวางลงได้แล้ว หยางเสี้ยวเองก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ท่านพ่อที่ไม่เคยได้พบหน้ากันผู้นี้ จะมีหน้าตาเหมือนพ่ออาทิตย์ของเขาหรือไม่สองแม่ลูกรีบเดินออกไปยังลานหน้าบ้านด้วยความเร่งรีบ เสิ่นซื่อมีรอยยิ้มอยู่เต็มหน้า เมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีกลับมาด้วยความปลอดภัย ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นกับเขาอย่างที่นางเป็นกังวล เพราะครั้งนี้หยางเทียนเข้าป่าไปหลายวันกว่าทุกครั้ง เสิ่นซื่ออดกลัวไม่ได้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในป่า"ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว""อื้ม ข้ากลับมาแล้ว ครั้งนี้ไปเสียหลายวันพวกเจ้าแม่ลูกคงเป็นห่วงแย่"หยางเสี้ยวที่เดินตามหลังผู้เป็นแม่ออกมา เมื่อเห็นหน้าคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาในภพภูมินี้ของตน ก็อดที่จะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ หยางเทียน บิดาในชาตินี้ของเขามีหน้าตาเหมือนพ่ออาทิตย์อย่างไม่ผิดเพี้ยน ราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกันเสียอย่างนั้น หากเขาไม่ได้มาเกิดใหม่ในร่างของหยางเสี้ยว ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้ก็คือพ่ออาทิตย์ของเขาอย่างไม่ต้
เสิ่นซื่อมองแผ่นหลังของลูกหลานเดินออกจากบ้านไปพร้อมตะกร้าใบเล็กที่ใส่กระต่ายเอาไว้ กระต่ายตัวอ้วนน้ำหนักน่าจะประมาณสี่หรือห้าชั่ง หยางเชวียนแบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยของป่า นอกจากนี้ยังมีไก่ฟ้ากับกระต่ายป่าอย่างละตัว ทั้งสองคนใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงบ้านลุงฟู่กุ้ย หยางเสี้ยวต้องการขายกระต่ายตัวนี้ก่อน ค่อยไปบ้านท่านปู่พร้อมกับหยางเชวียน “อาเสี้ยว เจ้าว่าท่านปู่กับท่านย่าจะกล้ากินผูเถานี่หรือไม่ แล้วเราสองคนจะโดนท่านปู่ตำหนิหรือไม่ที่เข้าป่าไปลึก” หยางเชวียนเริ่มวิตกกังวล“ท่านไม่ต้องกลัวไป ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ท่านปู่ฟังเอง ข้าเชื่อว่าท่านปู่มีเหตุผลพอที่จะไม่ดุด่าพวกเรา อาจจะมีตักเตือนนิดหน่อย”“ข้ากลัวว่าจะโดนไม้เรียวนี่สิ”“ท่านคิดมากไปแล้ว”เด็กชายทั้งสองยืนคุยกันอยู่หน้าบ้านของท่านลุงฟู่กุ้ยจนทำให้ท่านป้าหนิงเปิดประตูออกมาเรียกให้ทั้งสองเข้าไปในบ้าน“เจ้าสองคนพี่น้อง มายืนทำอันใดอยู่ตรงนี้ หรือว่ามีของมาขายให้ลุงฟู่กุ้ยของพวกเจ้ากันล่ะ เข้ามาก่อนสิ”“ขอบคุณท่านป้ามากขอรับ ข้าเอากระต่ายมาขายน่ะขอรับ” “โอ้ กระต่ายเหรอ เจ้ารอสักประเดี๋ยวป้าจะไปเรียกลุงของเจ้ามา”“ขอบคุณท่านป้าขอรับ”
หยางเสี้ยวยังคงเดินหน้าเข้าไปในภูเขาอู๋หลงต่อไปเรื่อย ๆ หยางเชวียนเองก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวเท่ากับตอนแรกที่ยังไม่ได้เข้ามา ตอนนี้ในตะกร้าของเขามีผักป่าอยู่มากมาย หยางเสี้ยวบอกกับเขาว่าอย่าเก็บผักป่าไปมากนัก ให้เหลือพื้นที่ในตะกร้าเอาไว้ใส่ผลไม้ด้วย หากว่าไม่พบผลไม้อย่างอื่นค่อยเก็บผักป่าใส่ให้เต็ม“อาเสี้ยว ถ้าพวกเราเดินเข้าไปอีกจะกลับออกจากป่าไม่ทันนะ มันจะมืดเสียก่อน วันนี้พอแค่นี้ดีหรือไม่”“เอาแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าพรุ่งนี้ข้าอยากไปดูแถวป่าไผ่ก่อน ไม่รู้ว่าจะมีเห็ดเยื่อไผ่ให้เก็บหรือไม่”“เห็ดเยื่อไผ่คืออะไร ทำไมข้าไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นเห็ดเยื่อไผ่ที่เจ้าว่ามานี้เลย” “ข้าว่าท่านน่ะอาจจะเคยเห็นแต่ไม่รู้จักก็เป็นได้”ในตอนที่ทั้งสองคนคุยกันเดินกลับออกจากป่าเพื่อจะไปตรวจดูกับดักที่หยางเสี้ยววางเอาไว้นั้น หยางเสี้ยวได้ยินเสียงคนคุยกันมาจากอีกด้านของป่า เด็กชายส่งสัญญาณให้หยางเชวียนเงียบ จากนั้นจึงพากันไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เสียงที่ทั้งสองคนได้ยินนั้นคือเสียงของลูกชายผู้ใหญ่บ้านเป็นไปตามที่หยางเสี้ยวได้คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ปล่อยข่าวลือที่ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว เพื่อที่ตัวเองจะได้เก็
วันนี้เพราะมีหยางเชวียนมาด้วยทำให้หยางเสี้ยวกำลังตัดสินใจว่าจะไปที่ภูเขาอู๋หลงดีหรือไม่ เพราะการที่เขาเข้าป่าลึกไปทุกวันนั้นเขาไม่ได้บอกให้ใครรู้ ทุกคนเข้าใจว่าเขาไปขุดผักป่าและวางกับดักที่ภูเขาซิ่วสือที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของภูเขาอู๋หลง แต่หลังจากคิดไตร่ตรองรอบคอบแล้ว หยางเสี้ยวคิดว่าตัวเองสมควรจะพูดจาตกลงกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของตัวเองให้เข้าใจ ตอนนี้ท่านลุงยังไม่กลับบ้าน ลำพังอาศัยแค่ท่านปู่คนเดียวคงจะไม่ได้ ป้าสะใภ้เจ็บป่วยอ่อนแอ ท่านย่าเองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเช่นเดียวกัน หยางเสี้ยวคิดว่าที่ทุกคนร่างกายไม่แข็งแรงมักเจ็บป่วยอยู่เสมอนั้นอาจจะเป็นเพราะขาดสารอาหาร เมื่อความเป็นอยู่ไม่ดีอาหารมีไม่เพียงพอ เนื้อสัตว์คือสิ่งที่หายาก อาหารแต่ละมื้อไม่ผักป่าผัดกับน้ำเติมเกลือนิดหน่อยก็เป็นโจ๊กที่หาเม็ดข้าวไม่เจอ น้ำมันสำหรับทำอาหารนั้นเป็นสิ่งที่หายากสำหรับชาวบ้านยากจน ส่วนเกลือก็ราคาแพง แต่ที่แพงกว่าเกลือก็น้ำตาล ไม่ว่าจะอะไรล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น“อาเสี้ยว มีอะไรหรือเปล่า ข้าเห็นเจ้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นานสองนาน แล้วนี่เราจะไปขุดผักป่าที่ไหนหรือ ทำไมเจ้าพาข้าเดินมาทางนี้ล่ะ เราไม
ชาวบ้านที่รวมกลุ่มกันเข้าป่าล่าสัตว์พวกเขาเข้าป่ามาหลายวันแล้วแต่เดิมสมควรจะกลับออกจากป่าได้แล้ว เพียงแต่ว่าการเข้าป่ามาครั้งนี้ยังล่าสัตว์ใหญ่อย่างหมูป่าไม่ได้เลยสักตัว หากยังไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปไม่นับว่ามาเสียเที่ยวหรอกหรือ เพราะความเป็นอยู่ของครอบครัวล้วนยากจน การรวมกลุ่มเข้าป่าล่าสัตว์วันนี้ทุกคนพกความหวังมาเต็มเปี่ยม หากกลับไปมือเปล่าไม่เท่ากับว่าคว้าน้ำเหลวหรอกหรือเพราะเป็นแบบนี้คนทั้งกลุ่มได้ตัดสินใจเข้าไปในป่าลึกกว่าที่เคยมา การรวมกลุ่มกันออกมาล่าสัตว์ในครั้งนี้ กินเวลาไปหลายวันกว่าทุกครั้ง หากว่าอีกสองวันยังคงล่าอะไรไม่ได้เลย พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกจากป่ากลับบ้านทันที “พี่ใหญ่ พวกเราออกจากบ้านมาหลายวันแล้วข้ารู้สึกใจคอไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือไม่ วันที่พวกเราเดินทางมาเสี้ยวเอ๋อร์มีไข้ ตัวร้อนมาก” หยางเทียน“น้องรองอย่าคิดมากเลย ไม่มีอะไรหรอก ทำใจให้สบายเถอะ ไม่แน่ว่าตอนนี้เสี้ยวเอ๋อร์อาจจะหายดีแล้วก็เป็นได้” หยางเทาได้แต่ปลอบน้องชาย“ถ้าหากว่าสองวันนี้ยังล่าอะไรไม่ได้อีก ข้าจะกลับบ้านแล้วล่ะ อีกอย่างข้าไม่อยากจะเข้าป่าไปลึกมากกว่านี้แล้วพี่ใหญ
หยางเสี้ยวที่เดินมุ่งหน้าไปตรวจดูกับดักที่เขาวางเอาไว้ด้วยความเร่งรีบ ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะไม่พบของกินอย่างอื่นอีกนอกจากผักป่ากับเห็ดหูหนูดำ แต่ในใจลึก ๆ เด็กน้อยหวังว่าจะมีไก่ฟ้าหรือกระต่ายป่ามาติดกับดักที่เขาวางเอาไว้บ้าง อย่างน้อย ๆ จะได้นำไปทำอาหารบำรุงร่างกาย เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่กินเนื้อคือเมื่อไหร่ ความปรารถนาของหยางเสี้ยวในตอนนี้คือ มีอาหารมากพอให้กินอิ่มในทุกวัน และมีอาหารมากพอเพื่อเก็บสะสมเอาไว้เป็นเสบียงในฤดูหนาว ที่สำคัญหลังคาบ้านคงต้องทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน เพราะดูจากสภาพของบ้านในตอนนี้คงอยู่ไม่พ้นฤดูหนาวแน่ พอหิมะตกลงมาหลังคาบ้านคงถล่มลงมาแน่ ๆ แค่คิดก็กลัวแทบแย่แล้ว ไหนจะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ต้องเตรียม เหมือนกับว่าเขาได้ทะลุมิติมาเพื่อทำภารกิจเอาชีวิตรอดในโลกคู่ขนานยังไงยังงั้น“เฮ้อ ชาติที่แล้วว่ายากจนแล้ว ชาตินี้ยิ่งยากจนกว่า ไหน ๆ ก็มาแล้วก็คงต้องสู้กันสักตั้ง หวังว่าจะไม่ตายรอบสองหรอกนะ ทำไมไม่เหมือนที่เราคิดเอาไว้เลยล่ะ ไม่ใช่ชีวิตที่แล้วจน พอได้มีโอกาสได้เกิดใหม่จะต้องรวยหรือเปล่า ทำไมไม่เหมือนที่คิดเอาไว้เลยล่ะ ไม่เห็นเหมือนที่นิยายเขียนเอาไว
เช้าวันต่อมาหยางเสี้ยวตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ข้อดีของการทะลุมิติมาในโลกคู่ขนานแห่งนี้ก็คือ ที่นี่มีทั้งท่านแม่ที่หน้าตาเหมือนคุณแม่ในโลกเดิมทุกอย่าง รวมถึงลักษณะนิสัยด้วย ตอนนี้หยางเสี้ยวมีความมั่นใจว่าท่านพ่อเองก็คงจะมีหน้าตาเหมือนกับคุณพ่อของเขาด้วยเช่นกัน ที่สำคัญเขาไม่ได้เป็นลูกคนเดียวโดดเดี่ยวอีกแล้ว เขามีน้องชายที่น่ารักสดใส ถึงแม้ครอบครัวจะยากจนมากก็ตามที และความยากจนนี่ล่ะที่เป็นอุปสรรคสำคัญของหยางเสี้ยว แต่ถึงจะยากจนหยางเสี้ยวก็ไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจ มีเพียงพยายามใช้ชีวิตและมีชีวิตอยู่ตราบใดที่เราพยายามพอ ความยากจนก็ไม่ใช่อุปสรรคสำคัญอีกต่อไป ไม่แน่ว่าการที่เขาทะลุมิติมาอาจจะเป็นบททดสอบในการใช้ชีวิต เหมือนกับการรับภารกิจตอนเล่นเกมออนไลน์ หากทำภารกิจสำเร็จย่อมมีรางวัลตามมา หยางเสี้ยวเชื่อเช่นนั้นหลังจากล้างหน้าล้างตาบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว หยางเสี้ยวสะพายตะกร้าเดินมุ่งหน้าไปยังลำธารที่เขาขุดหลุมดักปลาเอาไว้ วันนี้หยางเสี้ยวตั้งใจจะขึ้นเขาเผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง ตอนนี้ตัวเขาเองมาอยู่ในร่างของเด็กอายุ 8 ขวบ จึงไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนัก สำหรับการล่าสัตว์เขาทำได้เ
เสิ่นซื่อที่กลับมาจากขุดผักป่ากับเพื่อนบ้าน เมื่อมาถึงกลับพบว่าลูกชายทั้งสองไม่อยู่ในบ้าน นางหาจนทั่วแล้วแต่หาลูกชายทั้งสองไม่พบ สวนหลังบ้านก็ไม่มี เมื่อไปดูในห้องเก็บฟืนถึงได้รู้ว่าตะกร้าสะพายหลังของลูกชายทั้งสองหายไป นี่ไม่เท่ากับว่าสองพี่น้องพากันขึ้นเขาไปหรือ ลูกชายของนางยังไม่ทันได้หายดีก็ขึ้นเขาไปอีกแล้ว ด้วยความร้อนใจเสิ่นซื่อรีบออกไปตามหาทันที แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ก้าวขาออกไปพ้นประตูบ้านก็พบว่าสองพี่น้องจูงมือกันกลับมา และได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กหัวเราะคิกคักดังลอยมา เสิ่นซื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ “เสี้ยวเอ๋อร์เจ้าพาน้องไปที่ใดมา ไม่ใช่ว่าแม่บอกให้เจ้าพักผ่อนหรือ เจ้ายังไม่หายดีด้วยซ้ำ เสียนเอ๋อร์เหตุใดเจ้าไม่ห้ามปรามพี่ชาย ไม่ใช่แม่บอกให้เจ้าอยู่ดูแลพี่ชายหรือ”“ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ ข้าเป็นน้องชายเผื่อท่านแม่จะลืม ท่านพี่บอกว่าหายแล้ว อยากออกไปเดินเล่น พวกเราไม่ได้ไปไหนไกลเลยนะขอรับ ไปแค่ลำธารหลังบ้านเอง”“เจ้าลูกคนนี้นี่ ไม่ใช่ว่าเจ้ารบเร้าให้พี่ใหญ่ของเจ้าพาออกไปหรอกนะ”“ท่านแม่ขอรับ อย่าตำหนิน้องเลยขอรับ เป็นข้าเองที่ชวนน้องชายออกไป ข้าหายแล้วจริง ๆ ขอรับ ข้าน