เช้าวันต่อมาหยางเสี้ยวตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ข้อดีของการทะลุมิติมาในโลกคู่ขนานแห่งนี้ก็คือ ที่นี่มีทั้งท่านแม่ที่หน้าตาเหมือนคุณแม่ในโลกเดิมทุกอย่าง รวมถึงลักษณะนิสัยด้วย ตอนนี้หยางเสี้ยวมีความมั่นใจว่าท่านพ่อเองก็คงจะมีหน้าตาเหมือนกับคุณพ่อของเขาด้วยเช่นกัน
ที่สำคัญเขาไม่ได้เป็นลูกคนเดียวโดดเดี่ยวอีกแล้ว เขามีน้องชายที่น่ารักสดใส ถึงแม้ครอบครัวจะยากจนมากก็ตามที และความยากจนนี่ล่ะที่เป็นอุปสรรคสำคัญของหยางเสี้ยว แต่ถึงจะยากจนหยางเสี้ยวก็ไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจ มีเพียงพยายามใช้ชีวิตและมีชีวิตอยู่ตราบใดที่เราพยายามพอ ความยากจนก็ไม่ใช่อุปสรรคสำคัญอีกต่อไป ไม่แน่ว่าการที่เขาทะลุมิติมาอาจจะเป็นบททดสอบในการใช้ชีวิต เหมือนกับการรับภารกิจตอนเล่นเกมออนไลน์ หากทำภารกิจสำเร็จย่อมมีรางวัลตามมา หยางเสี้ยวเชื่อเช่นนั้น
หลังจากล้างหน้าล้างตาบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว หยางเสี้ยวสะพายตะกร้าเดินมุ่งหน้าไปยังลำธารที่เขาขุดหลุมดักปลาเอาไว้ วันนี้หยางเสี้ยวตั้งใจจะขึ้นเขาเผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง ตอนนี้ตัวเขาเองมาอยู่ในร่างของเด็กอายุ 8 ขวบ จึงไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนัก สำหรับการล่าสัตว์เขาทำได้เพียงแค่วางกับดักเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เท่านั้น หากต้องการขุดหลุมดักสัตว์เกรงว่าคงใช้เวลาขุดอยู่หลายวันทีเดียว ยังไงวันนี้ต้องขึ้นไปสำรวจบนภูเขาเสียก่อน ถึงจะสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะวางกับดักหรือขุดหลุมดักสัตว์ดี
หยางเสี้ยวเดินมาถึงหลุมดักปลา หลังจากเอากิ่งไม้และใบไม้ออกจากปากหลุมก็พบว่าเช้านี้มีปลาตัวใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก หยางเสี้ยวไม่รอช้ารีบลงมือจับปลาใส่ถังน้ำที่เตรียมมาทันที หลังจากจับปลาตัวใหญ่ได้ 15 ตัว หยางเสี้ยวยกถังน้ำใส่ลงในตะกร้าจากนั้นก็นำใบไม้มาปิดปากหลุมเอาไว้เหมือนเดิม เด็กชายสะพายตะกร้าที่ใส่ถังปลาเอาไว้ด้านในกลับบ้านทันที หยางเสี้ยวแบ่งปลาเอาไว้ให้ท่านแม่ทำอาหาร 2 ตัว อีกสองตัวเอาไปให้บ้านท่านลุงใหญ่ ที่เหลืออีก 11 ตัวเขาจะนำไปขายให้กับท่านลุงฟู่กุ้ย
“เสี้ยวเอ๋อร์ลูกไปไหนมา นี่ยังเช้าอยู่เลย ทำไมตื่นเช้าขนาดนี้ล่ะลูก”
“ข้าไปดูกับดักที่ดักปลาเอาไว้เมื่อวานขอรับ วันนี้จับได้ 15 ตัว ข้าแบ่งเอาไว้ให้ท่านแม่ทำอาหาร 2 ตัว อีก 2 ตัวจะเอาไปให้บ้านท่านลุงใหญ่ ส่วนอีก 11 ตัวข้าอยากเอาไปขายให้ลุงฟู่กุ้ยขอรับ ท่านแม่เห็นด้วยหรือไม่ขอรับ”
“แม่เห็นด้วยกับเจ้า ลูกชายของแม่โตแล้วตอนนี้ สามารถหาเงินเข้าบ้านได้แล้ว แต่อย่าหักโหมเกินไปนะลูก หากเจ้าเจ็บป่วยขึ้นมาอีกจะแย่เอา”
“ข้าไม่เป็นไรขอรับ ข้าหายแล้วและตอนนี้แข็งแรงดี ท่านแม่รีบไปทำอาหารเถอะขอรับเดี๋ยวน้องชายตื่นขึ้นมาจะหิวเอาได้ ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
“เดินระวัง ๆ ด้วยล่ะ”
“ขอรับท่านแม่”
หยางเสี้ยวเดินมุ่งหน้าไปที่บ้านของท่านลุงใหญ่เพื่อนำปลาไปให้ป้าสะใภ้ทำอาหารให้ท่านปู่ท่านย่าและทุกคนในบ้านได้กิน เพราะเสาหลักของครอบครัวไม่อยู่ ที่บ้านเหลือเพียงคนชรา เด็กและสตรีอ่อนแอ อาหารในบ้านไม่พ้นผักป่า หากวันไหนได้กินไข่ก็นับว่าดีมากแล้ว ท่านพ่อกับท่านลุงเข้าป่าไปกับชาวบ้านได้หลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับมาตอนไหน
จากความทรงจำของร่างเดิม ปกติชาวบ้านรวมตัวกันเพื่อไปล่าสัตว์ไม่ได้ไปนานกันขนาดนี้ อย่างมากก็ 4-5 วัน แต่ครั้งนี้เวลาผ่านไป 6 วันแล้ว ทุกคนยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ หยางเสี้ยวเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนมาถึงบ้านลุงใหญ่ ตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก ท่านย่ากำลังกวาดลานบ้าน ท่านปู่นั่งสานตะกร้าอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ ส่วนท่านป้าคงจะอยู่ในครัวเพื่อทำอาหาร ลูกพี่ลูกน้องของเขาทั้งสามคนน่าจะยังไม่ตื่น
“ท่านปู่ ท่านย่า ข้ามาแล้วขอรับ”
“เสี้ยวเอ๋อร์ ทำไมมาแต่เช้าล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับแม่และน้องของเจ้าหรือเปล่า” หยางไห่ ถามหลานชายออกไปด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรขอรับท่านปู่ ท่านแม่กับน้องชายสบายดี ข้าเพียงแค่แวะเอาปลามาให้ท่านป้าทำอาหารเท่านั้นขอรับ”
“ปลาหรือ หลานไม่ต้องเอามาให้แล้ว ที่ให้มาเมื่อวานยังเหลืออยู่ หลานเอาไปขายเถอะ” หานซื่อ
“ท่านย่า ขายก็ส่วนขายสิขอรับ ข้าแบ่งเอาไว้แล้ว ส่วนนี้ข้าตั้งใจเอามาให้ท่านป้าสะใภ้ทำอาหารให้ทุกคนได้กินนะขอรับ ร่างกายจะได้แข็งแรง”
“ยายแก่เอ้ย หลานมีใจกตัญญูเจ้าก็รับเอาไว้เถอะ ลูกสะใภ้เองก็ร่างกายไม่แข็งแรง เจ้าก็หาได้ต่างจากนาง รีบเอาปลาไปให้ลูกสะใภ้ต้มน้ำแกงเถอะ ปู่ขอบใจเจ้ามานะเสี้ยวเอ๋อร์ที่นึกถึงปู่กับย่า”
“ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้นขอรับ ท่านปู่ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ ข้าจะเอาปลาไปขายที่บ้านท่านลุงฟู่กุ้ย แล้วจะรีบกลับ ท่านแม่รอกินข้าวอยู่ขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเถอะ”
จากบ้านของท่านปู่ถึงบ้านของท่านลุงฟู่กุ้ยใช้เวลาเดินไม่นาน หยางเสี้ยวมองไปรอบ ๆหมู่บ้าน โดยรวมแล้วบ้านแต่ละหลังของชาวบ้านสร้างขึ้นจากดินเหนียวผสมฟางข้าว หลังคามุงด้วยหญ้า ส่วนบ้านที่สร้างด้วยอิฐและมุงหลังคาด้วยกระเบื้องนั้นมีไม่มาก หนึ่งในนั้นมีบ้านของท่านลุงฟู่กุ้ยรวมอยู่ด้วย และบ้านที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้านไม่พ้นบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน
“ท่านลุงฟู่กุ้ย อยู่หรือไม่ขอรับ”
“อยู่ ๆ ใครมากันล่ะ อ้าวเจ้าหนูหยางเสี้ยวนี่เอง”
“ข้านำปลามาขาย ไม่ทราบว่าท่านลุงรับซื้อหรือไม่ขอรับ”
“ปลาหรือ รับสิรับ ไหน ๆ เอามาให้ลุงดูหน่อย”
หยางเสี้ยวปลดตะกร้าลงจากหลังจากนั้นก็ยกถังน้ำที่มีปลาอยู่ 11 ตัวออกมาให้ลุงฟู่กุ้ยดู
“โอ้ ปลาตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ที่สำคัญมันยังไม่ตายด้วย เจ้าหนูเก่งมากเลย ลุงให้ตัวละ 10 อิแปะ ทั้งหมดมี 11 ตัว นี่เงิน 110 อิแปะ ถ้ามีปลาอีกก็สามารถเอามาขายให้ลุงได้ สมุนไพรลุงก็รับซื้อ”
“ขอบคุณท่านลุงฟู่กุ้ยมากขอรับ เอาไว้ถ้าข้าจับปลามาได้อีก จะรีบนำมาขายให้ท่านลุงนะขอรับ ข้ากลับก่อน ท่านแม่รอกินข้าวอยู่ขอรับ”
หยางเสี้ยวรีบเดินกลับบ้าน หลังจากกินข้าวเช้าแล้วเขามีความตั้งใจจะขึ้นเขา วันนี้หัวเด็ดตีนขาดยังไงต้องไปสำรวจภูเขาอู๋หลงให้ได้ จากที่ฟังมาจากน้องชายดูเหมือนว่าลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านยังคงขึ้นเขาอู๋หลงไปล่าสัตว์ แต่ชาวบ้านไม่มีใครกล้าขึ้นเขาอู๋หลงเพราะได้ยินจากลูกชายหัวหน้าหมู่บ้านว่ามีเสือและสัตว์ดุร้ายมากมาย แต่ในเมื่อมีคนกล้าขึ้นไป หยางเสี้ยวเองก็อยากจะลองเสี่ยงเอากับดักไปวางที่เขาอู๋หลงรอบนอกเพื่อดูลาดเลาก่อน ถึงยังไงก็ได้ขึ้นชื่อว่าป่าย่อมมีอันตรายจากสัตว์ป่า
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วขอรับ นี่เงินที่ได้จากการขายปลาวันนี้ 110 อิแปะ ท่านแม่เก็บเอาไว้นะขอรับ”
“ขอบใจมากนะลูก รีบมากินข้าวเถอะ วันนี้แม่ทำน้ำแกงปลากับผัดหน่อไม้ตามที่ลูกบอก อร่อยมากเลยล่ะ แม่ไม่คิดว่าหน่อไม้จะอร่อยขนาดนี้ ปกติชาวบ้านจะไม่ขุดมากินเพราะมันขม”
“ท่านแม่ หน่อไม้สามารถนำมาดองเปรี้ยวเก็บเอาไว้กินได้ขอรับ วันนี้ข้าจะขึ้นเขาไปหาของป่า แต่ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ ข้าไม่เข้าป่าลึก เพียงแค่เก็บผักป่าและเก็บฟืนเท่านั้น ท่านแม่ขอรับบ้านเรายังมีเชือกอยู่หรือไม่ขอรับ”
“มีสิ ลูกจะเอาไปทำอะไร”
“ข้าจะลองทำบ่วงดักสัตว์ดูขอรับ ถ้าโชคดีอาจจะได้ไก่ป่าหรือกระต่ายป่า คงต้องลองดูขอรับข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่”
“รีบไปกินข้าวเถอะ แม่จะไปปลุกน้องชายของเจ้าก่อน”
“ขอรับ”
“ข้าตื่นแล้วขอรับท่านแม่ พี่ใหญ่วันนี้เราจะไปขุดหน่อไม้หรือเปล่าขอรับ”
“พี่จะขึ้นเขา ส่วนเรื่องขุดหน่อไม้ น้องไปกับท่านแม่นะ ท่านแม่ขอรับข้าอยากให้ท่านแม่ไปขุดหน่อไม้มาให้มากหน่อย หลังจากที่ท่านแม่ต้มจนหายขมแล้วค่อยเอาไปตากแดด จะได้เก็บเอาไว้เป็นเสบียงในหน้าหนาวด้วย”
“ได้สิแม่ ไม่มีอะไรให้ทำมากมายอยู่แล้ว สวนผักบ้านเราก็เล็กนิดเดียว รดน้ำไม่นานก็เสร็จแล้ว รีบกินข้าวเถอะ”
หลังจากกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว หยางเสี้ยวเอามีดตัดฟืนกับเสียมอันเล็กพร้อมด้วยกระบอกน้ำดื่มใส่ลงไปในตะกร้าสะพายหลัง เดินขึ้นเขาตามความทรงจำเดิม เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เดินผ่านหมู่บ้าน หยางเสี้ยวเลือกที่จะเดินขึ้นเขาอู๋หลงทางด้านหลังบ้านของตัวเอง เทือกเขาอู๋หลงทอดยาวอยู่ข้างหน้า บนยอดเขามีหมอกปกคลุมอยู่บางเบา
หยางเสี้ยวเดินผ่านลำธารและป่าไผ่ เดินลัดเลาะมาตามลำธารสายเล็ก มาถึงป่าเชิงเขาอู๋หลง จากความทรงจำพอเดินผ่านป่าตรงนี้ไปก็จะเป็นเขาอู๋หลงแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะทะลุมิติมาแต่ไม่มีมีพรวิเศษหรือความสามารถพิเศษอะไรเหมือนในนิยายที่เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเล่าให้ฟัง มีเพียงความรู้ติดตัวมาเท่านั้น
“ขอให้เจออะไรที่กินได้ด้วยเถอะ จะว่าไปแล้วคนที่นี่รู้จักมันเทศกันหรือยัง แล้วมันฝรั่งล่ะ รู้จักกันหรือยัง” หยางเสี้ยวได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเอง
เดิน ๆ หยุด ๆ มองซ้ายมองขวา มองหน้ามองหลัง ก็ไม่เจออะไรที่กินได้เลย หยางเสี้ยวเดินเข้าป่าลึกไปเรื่อย ๆ จนมาถึงเขาอู๋หลง อันดับแรกหยางเสี้ยววางกับดักเอาไว้ก่อน จากนั้นก็เริ่มหาของที่กินได้ นอกจากผักป่าแล้วเขายังไม่เจออะไรที่กินได้เลย หยางเสี้ยวตัดสินใจเดินมุ่งหน้าเข้าป่าลึกไปอีก ระหว่างทางก็วางกับดักเอาไว้และไม่ลืมที่จะทำสัญลักษณ์เอาไว้ด้วยจะได้ไม่หลงป่า
เดินมาเป็นเวลานานตอนนี้เขาเริ่มเหนื่อยแล้ว เด็กชายตัดสินใจนั่งพักที่ลานหินใต้ต้นไม้ใหญ่ ในตอนที่กำลังดื่มน้ำอยู่หยางเสี้ยวตัดสินใจว่าจะไม่เดินเข้าไปในป่าลึกกว่านี้ เพราะกลัวว่าหากยังเดินเข้าไปในป่าลึกอีกจะกลับออกมาไม่ทันประเดี๋ยวจะมืดค่ำเอาเสียก่อน
หลังจากดื่มน้ำแล้วเขาก็เริ่มรวบรวมฟืนได้กองใหญ่ หลังจากใช้เถาวัลย์มัดรวมกันแล้วก็ยกขึ้นวางบนตะกร้าสะพายหลัง เดินกลับออกจากเขาอู๋หลงไป ระหว่างทางหยางเสี้ยวพบเห็ดหูหนูดำขึ้นอยู่ตามต้นไม้ เด็กชายไม่รอช้ารีบเก็บใส่ตะกร้าทันที เห็ดที่เก็บมาได้น่าจะ 5-6 ชั่ง ก่อนออกจากป่าเขาไม่ลืมที่จะแวะดูกับดักที่วางเอาไว้ด้วย
หยางเสี้ยวที่เดินมุ่งหน้าไปตรวจดูกับดักที่เขาวางเอาไว้ด้วยความเร่งรีบ ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะไม่พบของกินอย่างอื่นอีกนอกจากผักป่ากับเห็ดหูหนูดำ แต่ในใจลึก ๆ เด็กน้อยหวังว่าจะมีไก่ฟ้าหรือกระต่ายป่ามาติดกับดักที่เขาวางเอาไว้บ้าง อย่างน้อย ๆ จะได้นำไปทำอาหารบำรุงร่างกาย เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่กินเนื้อคือเมื่อไหร่ ความปรารถนาของหยางเสี้ยวในตอนนี้คือ มีอาหารมากพอให้กินอิ่มในทุกวัน และมีอาหารมากพอเพื่อเก็บสะสมเอาไว้เป็นเสบียงในฤดูหนาว ที่สำคัญหลังคาบ้านคงต้องทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน เพราะดูจากสภาพของบ้านในตอนนี้คงอยู่ไม่พ้นฤดูหนาวแน่ พอหิมะตกลงมาหลังคาบ้านคงถล่มลงมาแน่ ๆ แค่คิดก็กลัวแทบแย่แล้ว ไหนจะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ต้องเตรียม เหมือนกับว่าเขาได้ทะลุมิติมาเพื่อทำภารกิจเอาชีวิตรอดในโลกคู่ขนานยังไงยังงั้น“เฮ้อ ชาติที่แล้วว่ายากจนแล้ว ชาตินี้ยิ่งยากจนกว่า ไหน ๆ ก็มาแล้วก็คงต้องสู้กันสักตั้ง หวังว่าจะไม่ตายรอบสองหรอกนะ ทำไมไม่เหมือนที่เราคิดเอาไว้เลยล่ะ ไม่ใช่ชีวิตที่แล้วจน พอได้มีโอกาสได้เกิดใหม่จะต้องรวยหรือเปล่า ทำไมไม่เหมือนที่คิดเอาไว้เลยล่ะ ไม่เห็นเหมือนที่นิยายเขียนเอาไว
ชาวบ้านที่รวมกลุ่มกันเข้าป่าล่าสัตว์พวกเขาเข้าป่ามาหลายวันแล้วแต่เดิมสมควรจะกลับออกจากป่าได้แล้ว เพียงแต่ว่าการเข้าป่ามาครั้งนี้ยังล่าสัตว์ใหญ่อย่างหมูป่าไม่ได้เลยสักตัว หากยังไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปไม่นับว่ามาเสียเที่ยวหรอกหรือ เพราะความเป็นอยู่ของครอบครัวล้วนยากจน การรวมกลุ่มเข้าป่าล่าสัตว์วันนี้ทุกคนพกความหวังมาเต็มเปี่ยม หากกลับไปมือเปล่าไม่เท่ากับว่าคว้าน้ำเหลวหรอกหรือเพราะเป็นแบบนี้คนทั้งกลุ่มได้ตัดสินใจเข้าไปในป่าลึกกว่าที่เคยมา การรวมกลุ่มกันออกมาล่าสัตว์ในครั้งนี้ กินเวลาไปหลายวันกว่าทุกครั้ง หากว่าอีกสองวันยังคงล่าอะไรไม่ได้เลย พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกจากป่ากลับบ้านทันที “พี่ใหญ่ พวกเราออกจากบ้านมาหลายวันแล้วข้ารู้สึกใจคอไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือไม่ วันที่พวกเราเดินทางมาเสี้ยวเอ๋อร์มีไข้ ตัวร้อนมาก” หยางเทียน“น้องรองอย่าคิดมากเลย ไม่มีอะไรหรอก ทำใจให้สบายเถอะ ไม่แน่ว่าตอนนี้เสี้ยวเอ๋อร์อาจจะหายดีแล้วก็เป็นได้” หยางเทาได้แต่ปลอบน้องชาย“ถ้าหากว่าสองวันนี้ยังล่าอะไรไม่ได้อีก ข้าจะกลับบ้านแล้วล่ะ อีกอย่างข้าไม่อยากจะเข้าป่าไปลึกมากกว่านี้แล้วพี่ใหญ
วันนี้เพราะมีหยางเชวียนมาด้วยทำให้หยางเสี้ยวกำลังตัดสินใจว่าจะไปที่ภูเขาอู๋หลงดีหรือไม่ เพราะการที่เขาเข้าป่าลึกไปทุกวันนั้นเขาไม่ได้บอกให้ใครรู้ ทุกคนเข้าใจว่าเขาไปขุดผักป่าและวางกับดักที่ภูเขาซิ่วสือที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของภูเขาอู๋หลง แต่หลังจากคิดไตร่ตรองรอบคอบแล้ว หยางเสี้ยวคิดว่าตัวเองสมควรจะพูดจาตกลงกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของตัวเองให้เข้าใจ ตอนนี้ท่านลุงยังไม่กลับบ้าน ลำพังอาศัยแค่ท่านปู่คนเดียวคงจะไม่ได้ ป้าสะใภ้เจ็บป่วยอ่อนแอ ท่านย่าเองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเช่นเดียวกัน หยางเสี้ยวคิดว่าที่ทุกคนร่างกายไม่แข็งแรงมักเจ็บป่วยอยู่เสมอนั้นอาจจะเป็นเพราะขาดสารอาหาร เมื่อความเป็นอยู่ไม่ดีอาหารมีไม่เพียงพอ เนื้อสัตว์คือสิ่งที่หายาก อาหารแต่ละมื้อไม่ผักป่าผัดกับน้ำเติมเกลือนิดหน่อยก็เป็นโจ๊กที่หาเม็ดข้าวไม่เจอ น้ำมันสำหรับทำอาหารนั้นเป็นสิ่งที่หายากสำหรับชาวบ้านยากจน ส่วนเกลือก็ราคาแพง แต่ที่แพงกว่าเกลือก็น้ำตาล ไม่ว่าจะอะไรล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น“อาเสี้ยว มีอะไรหรือเปล่า ข้าเห็นเจ้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นานสองนาน แล้วนี่เราจะไปขุดผักป่าที่ไหนหรือ ทำไมเจ้าพาข้าเดินมาทางนี้ล่ะ เราไม
หยางเสี้ยวยังคงเดินหน้าเข้าไปในภูเขาอู๋หลงต่อไปเรื่อย ๆ หยางเชวียนเองก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวเท่ากับตอนแรกที่ยังไม่ได้เข้ามา ตอนนี้ในตะกร้าของเขามีผักป่าอยู่มากมาย หยางเสี้ยวบอกกับเขาว่าอย่าเก็บผักป่าไปมากนัก ให้เหลือพื้นที่ในตะกร้าเอาไว้ใส่ผลไม้ด้วย หากว่าไม่พบผลไม้อย่างอื่นค่อยเก็บผักป่าใส่ให้เต็ม“อาเสี้ยว ถ้าพวกเราเดินเข้าไปอีกจะกลับออกจากป่าไม่ทันนะ มันจะมืดเสียก่อน วันนี้พอแค่นี้ดีหรือไม่”“เอาแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าพรุ่งนี้ข้าอยากไปดูแถวป่าไผ่ก่อน ไม่รู้ว่าจะมีเห็ดเยื่อไผ่ให้เก็บหรือไม่”“เห็ดเยื่อไผ่คืออะไร ทำไมข้าไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นเห็ดเยื่อไผ่ที่เจ้าว่ามานี้เลย” “ข้าว่าท่านน่ะอาจจะเคยเห็นแต่ไม่รู้จักก็เป็นได้”ในตอนที่ทั้งสองคนคุยกันเดินกลับออกจากป่าเพื่อจะไปตรวจดูกับดักที่หยางเสี้ยววางเอาไว้นั้น หยางเสี้ยวได้ยินเสียงคนคุยกันมาจากอีกด้านของป่า เด็กชายส่งสัญญาณให้หยางเชวียนเงียบ จากนั้นจึงพากันไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เสียงที่ทั้งสองคนได้ยินนั้นคือเสียงของลูกชายผู้ใหญ่บ้านเป็นไปตามที่หยางเสี้ยวได้คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ปล่อยข่าวลือที่ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว เพื่อที่ตัวเองจะได้เก็
เสิ่นซื่อมองแผ่นหลังของลูกหลานเดินออกจากบ้านไปพร้อมตะกร้าใบเล็กที่ใส่กระต่ายเอาไว้ กระต่ายตัวอ้วนน้ำหนักน่าจะประมาณสี่หรือห้าชั่ง หยางเชวียนแบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยของป่า นอกจากนี้ยังมีไก่ฟ้ากับกระต่ายป่าอย่างละตัว ทั้งสองคนใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงบ้านลุงฟู่กุ้ย หยางเสี้ยวต้องการขายกระต่ายตัวนี้ก่อน ค่อยไปบ้านท่านปู่พร้อมกับหยางเชวียน “อาเสี้ยว เจ้าว่าท่านปู่กับท่านย่าจะกล้ากินผูเถานี่หรือไม่ แล้วเราสองคนจะโดนท่านปู่ตำหนิหรือไม่ที่เข้าป่าไปลึก” หยางเชวียนเริ่มวิตกกังวล“ท่านไม่ต้องกลัวไป ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ท่านปู่ฟังเอง ข้าเชื่อว่าท่านปู่มีเหตุผลพอที่จะไม่ดุด่าพวกเรา อาจจะมีตักเตือนนิดหน่อย”“ข้ากลัวว่าจะโดนไม้เรียวนี่สิ”“ท่านคิดมากไปแล้ว”เด็กชายทั้งสองยืนคุยกันอยู่หน้าบ้านของท่านลุงฟู่กุ้ยจนทำให้ท่านป้าหนิงเปิดประตูออกมาเรียกให้ทั้งสองเข้าไปในบ้าน“เจ้าสองคนพี่น้อง มายืนทำอันใดอยู่ตรงนี้ หรือว่ามีของมาขายให้ลุงฟู่กุ้ยของพวกเจ้ากันล่ะ เข้ามาก่อนสิ”“ขอบคุณท่านป้ามากขอรับ ข้าเอากระต่ายมาขายน่ะขอรับ” “โอ้ กระต่ายเหรอ เจ้ารอสักประเดี๋ยวป้าจะไปเรียกลุงของเจ้ามา”“ขอบคุณท่านป้าขอรับ”
เสิ่นซื่อได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กร้องเอะอะเรียกนางกับบุตรชายคนโตเสียงดัง ในที่สุดสามีของนางก็กลับมาได้เสียที ความกังวลใจที่มีตลอดหลายวันมานี้ ก็สามารถวางลงได้แล้ว หยางเสี้ยวเองก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ท่านพ่อที่ไม่เคยได้พบหน้ากันผู้นี้ จะมีหน้าตาเหมือนพ่ออาทิตย์ของเขาหรือไม่สองแม่ลูกรีบเดินออกไปยังลานหน้าบ้านด้วยความเร่งรีบ เสิ่นซื่อมีรอยยิ้มอยู่เต็มหน้า เมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีกลับมาด้วยความปลอดภัย ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นกับเขาอย่างที่นางเป็นกังวล เพราะครั้งนี้หยางเทียนเข้าป่าไปหลายวันกว่าทุกครั้ง เสิ่นซื่ออดกลัวไม่ได้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในป่า"ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว""อื้ม ข้ากลับมาแล้ว ครั้งนี้ไปเสียหลายวันพวกเจ้าแม่ลูกคงเป็นห่วงแย่"หยางเสี้ยวที่เดินตามหลังผู้เป็นแม่ออกมา เมื่อเห็นหน้าคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาในภพภูมินี้ของตน ก็อดที่จะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ หยางเทียน บิดาในชาตินี้ของเขามีหน้าตาเหมือนพ่ออาทิตย์อย่างไม่ผิดเพี้ยน ราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกันเสียอย่างนั้น หากเขาไม่ได้มาเกิดใหม่ในร่างของหยางเสี้ยว ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้ก็คือพ่ออาทิตย์ของเขาอย่างไม่ต้
เช้าวันต่อมาหยางเทียนแบกตะกร้าที่ใส่ผูเถาเอาไว้ออกจากบ้านไปตั้งแต่ยามเหม่า พร้อมด้วยหยางเทาผู้เป็นพี่ชาย เป้าหมายคือโรงเตี๊ยมเยี่ยนไหล เช้านี้ทั้งสองคนจะนำเอาผูเถาที่ลูกชายเก็บกลับมาจากภูเขาอู๋หลงเข้าไปขาย ทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะขายได้หรือไม่ แต่หยางเสี้ยวบอกเอาไว้ว่าต้องขายได้แน่ ๆ เพียงแต่จะได้มากได้น้อยนั้นขึ้นอยู่กับราคารับซื้อของโรงเตี๊ยม“น้องรอง ตั้งแต่เสี้ยวเอ๋อร์หายป่วยท่านพ่อบอกว่าหลานเปลี่ยนไปมากหรือ” หยางเทาถามน้องชายถึงความเปลี่ยนแปลงของหลาน“ใช่ขอรับพี่ใหญ่ เสี้ยวเอ๋อร์เปลี่ยนไปมากจริง ๆ ข้าไม่รู้ว่าตอนที่ลูกล้มป่วยเขาไปเจอเรื่องอันใดมา แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เขาก็ยังคงเป็นลูกชายของข้าเสมอ”“เจ้าเองอย่าได้คิดมากเลย การที่อาเสี้ยวเปลี่ยนไปในทางที่ดีแบบนี้ก็ดีแล้ว อายุแค่ 8 ขวบปีแต่จิตใจเข้มแข็งกล้าหาญกว่าข้าที่เป็นท่านลุงอีก อาเชวียนเล่าว่าอาเสี้ยวสอนวางกับดักด้วย เสียดายที่พวกเราไม่มีเงินส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสือ ด้วยความฉลาดของพวกเขาข้าคิดว่าต้องสอบได้เป็นซิ่วไฉแน่”“ไม่แน่ว่าในอนาคตชีวิตของพวกเราอาจจะดีขึ้นก็ได้ ข้าเองรู้สึกละอายใจมาก ข้ารู้สึกว่าข้าเป็นบิดาที่ไ
โลกคู่ขนานในอีกมิติหนึ่ง มังกรรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความไม่สบายตัว เขาจำได้ว่าเมื่อตอนกลางวันไปไหว้อัฐิพ่อกับแม่ที่วัดกลับมาก็อาบน้ำนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลียการเดินทางโดยนั่งรถประจำทางกลับมาบ้านเกิดไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย เหนื่อยมากจริง ๆ พอเขาลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าตัวเองอยู่ที่ไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ที่นี่มันไม่ใช่ห้องนอนของเขาที่บ้านเกิดหลังคามุงหญ้า ฝาผนังทำจากดินโคลนผสมฟาง ที่นี่ที่ไหน หรือเขาโดนจับตัวมาเรียกค่าไถ่ ถึงจะบอกว่าโดนจับตัวมาเขาก็ไม่มีเงินให้หรอกนะตอนนี้ ก็เหลือตัวคนเดียวแล้วเงินที่ไหนจะมี เรียนก็เพิ่งจบงานก็ยังไม่ได้ทำ จะมีก็แค่เงินประกันของพ่อแม่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือเกิดการเข้าใจผิดกันแน่ ถึงได้จับเขามาขังเอาไว้ที่นี่มังกรนอนคิดเรื่อยเปื่อยจนในที่สุดก็ตัดสินใจว่าตัวเองจะมัวมานอนคิดให้เปลืองสมองทำไม ลุกขึ้นไปดูเลยดีกว่าว่าที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่ หวังว่าคนที่จับเขามาจะให้คำตอบเขาได้ เมื่อตัดสินใจได้แล้วมังกรลุกขึ้นจากเตียงแข็ง ๆ ที่นอนจนปวดหลังมาทั้งคืน ยังไม่ทันที่จะก้าวขาลงจากเตียงก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาและก็มีความทรงจำของเด
เช้าวันต่อมาหยางเทียนแบกตะกร้าที่ใส่ผูเถาเอาไว้ออกจากบ้านไปตั้งแต่ยามเหม่า พร้อมด้วยหยางเทาผู้เป็นพี่ชาย เป้าหมายคือโรงเตี๊ยมเยี่ยนไหล เช้านี้ทั้งสองคนจะนำเอาผูเถาที่ลูกชายเก็บกลับมาจากภูเขาอู๋หลงเข้าไปขาย ทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะขายได้หรือไม่ แต่หยางเสี้ยวบอกเอาไว้ว่าต้องขายได้แน่ ๆ เพียงแต่จะได้มากได้น้อยนั้นขึ้นอยู่กับราคารับซื้อของโรงเตี๊ยม“น้องรอง ตั้งแต่เสี้ยวเอ๋อร์หายป่วยท่านพ่อบอกว่าหลานเปลี่ยนไปมากหรือ” หยางเทาถามน้องชายถึงความเปลี่ยนแปลงของหลาน“ใช่ขอรับพี่ใหญ่ เสี้ยวเอ๋อร์เปลี่ยนไปมากจริง ๆ ข้าไม่รู้ว่าตอนที่ลูกล้มป่วยเขาไปเจอเรื่องอันใดมา แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เขาก็ยังคงเป็นลูกชายของข้าเสมอ”“เจ้าเองอย่าได้คิดมากเลย การที่อาเสี้ยวเปลี่ยนไปในทางที่ดีแบบนี้ก็ดีแล้ว อายุแค่ 8 ขวบปีแต่จิตใจเข้มแข็งกล้าหาญกว่าข้าที่เป็นท่านลุงอีก อาเชวียนเล่าว่าอาเสี้ยวสอนวางกับดักด้วย เสียดายที่พวกเราไม่มีเงินส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสือ ด้วยความฉลาดของพวกเขาข้าคิดว่าต้องสอบได้เป็นซิ่วไฉแน่”“ไม่แน่ว่าในอนาคตชีวิตของพวกเราอาจจะดีขึ้นก็ได้ ข้าเองรู้สึกละอายใจมาก ข้ารู้สึกว่าข้าเป็นบิดาที่ไ
เสิ่นซื่อได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กร้องเอะอะเรียกนางกับบุตรชายคนโตเสียงดัง ในที่สุดสามีของนางก็กลับมาได้เสียที ความกังวลใจที่มีตลอดหลายวันมานี้ ก็สามารถวางลงได้แล้ว หยางเสี้ยวเองก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ท่านพ่อที่ไม่เคยได้พบหน้ากันผู้นี้ จะมีหน้าตาเหมือนพ่ออาทิตย์ของเขาหรือไม่สองแม่ลูกรีบเดินออกไปยังลานหน้าบ้านด้วยความเร่งรีบ เสิ่นซื่อมีรอยยิ้มอยู่เต็มหน้า เมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีกลับมาด้วยความปลอดภัย ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นกับเขาอย่างที่นางเป็นกังวล เพราะครั้งนี้หยางเทียนเข้าป่าไปหลายวันกว่าทุกครั้ง เสิ่นซื่ออดกลัวไม่ได้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในป่า"ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้ว""อื้ม ข้ากลับมาแล้ว ครั้งนี้ไปเสียหลายวันพวกเจ้าแม่ลูกคงเป็นห่วงแย่"หยางเสี้ยวที่เดินตามหลังผู้เป็นแม่ออกมา เมื่อเห็นหน้าคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาในภพภูมินี้ของตน ก็อดที่จะหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ หยางเทียน บิดาในชาตินี้ของเขามีหน้าตาเหมือนพ่ออาทิตย์อย่างไม่ผิดเพี้ยน ราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกันเสียอย่างนั้น หากเขาไม่ได้มาเกิดใหม่ในร่างของหยางเสี้ยว ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้ก็คือพ่ออาทิตย์ของเขาอย่างไม่ต้
เสิ่นซื่อมองแผ่นหลังของลูกหลานเดินออกจากบ้านไปพร้อมตะกร้าใบเล็กที่ใส่กระต่ายเอาไว้ กระต่ายตัวอ้วนน้ำหนักน่าจะประมาณสี่หรือห้าชั่ง หยางเชวียนแบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยของป่า นอกจากนี้ยังมีไก่ฟ้ากับกระต่ายป่าอย่างละตัว ทั้งสองคนใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงบ้านลุงฟู่กุ้ย หยางเสี้ยวต้องการขายกระต่ายตัวนี้ก่อน ค่อยไปบ้านท่านปู่พร้อมกับหยางเชวียน “อาเสี้ยว เจ้าว่าท่านปู่กับท่านย่าจะกล้ากินผูเถานี่หรือไม่ แล้วเราสองคนจะโดนท่านปู่ตำหนิหรือไม่ที่เข้าป่าไปลึก” หยางเชวียนเริ่มวิตกกังวล“ท่านไม่ต้องกลัวไป ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายให้ท่านปู่ฟังเอง ข้าเชื่อว่าท่านปู่มีเหตุผลพอที่จะไม่ดุด่าพวกเรา อาจจะมีตักเตือนนิดหน่อย”“ข้ากลัวว่าจะโดนไม้เรียวนี่สิ”“ท่านคิดมากไปแล้ว”เด็กชายทั้งสองยืนคุยกันอยู่หน้าบ้านของท่านลุงฟู่กุ้ยจนทำให้ท่านป้าหนิงเปิดประตูออกมาเรียกให้ทั้งสองเข้าไปในบ้าน“เจ้าสองคนพี่น้อง มายืนทำอันใดอยู่ตรงนี้ หรือว่ามีของมาขายให้ลุงฟู่กุ้ยของพวกเจ้ากันล่ะ เข้ามาก่อนสิ”“ขอบคุณท่านป้ามากขอรับ ข้าเอากระต่ายมาขายน่ะขอรับ” “โอ้ กระต่ายเหรอ เจ้ารอสักประเดี๋ยวป้าจะไปเรียกลุงของเจ้ามา”“ขอบคุณท่านป้าขอรับ”
หยางเสี้ยวยังคงเดินหน้าเข้าไปในภูเขาอู๋หลงต่อไปเรื่อย ๆ หยางเชวียนเองก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวเท่ากับตอนแรกที่ยังไม่ได้เข้ามา ตอนนี้ในตะกร้าของเขามีผักป่าอยู่มากมาย หยางเสี้ยวบอกกับเขาว่าอย่าเก็บผักป่าไปมากนัก ให้เหลือพื้นที่ในตะกร้าเอาไว้ใส่ผลไม้ด้วย หากว่าไม่พบผลไม้อย่างอื่นค่อยเก็บผักป่าใส่ให้เต็ม“อาเสี้ยว ถ้าพวกเราเดินเข้าไปอีกจะกลับออกจากป่าไม่ทันนะ มันจะมืดเสียก่อน วันนี้พอแค่นี้ดีหรือไม่”“เอาแบบนั้นก็ได้ แต่ว่าพรุ่งนี้ข้าอยากไปดูแถวป่าไผ่ก่อน ไม่รู้ว่าจะมีเห็ดเยื่อไผ่ให้เก็บหรือไม่”“เห็ดเยื่อไผ่คืออะไร ทำไมข้าไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นเห็ดเยื่อไผ่ที่เจ้าว่ามานี้เลย” “ข้าว่าท่านน่ะอาจจะเคยเห็นแต่ไม่รู้จักก็เป็นได้”ในตอนที่ทั้งสองคนคุยกันเดินกลับออกจากป่าเพื่อจะไปตรวจดูกับดักที่หยางเสี้ยววางเอาไว้นั้น หยางเสี้ยวได้ยินเสียงคนคุยกันมาจากอีกด้านของป่า เด็กชายส่งสัญญาณให้หยางเชวียนเงียบ จากนั้นจึงพากันไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เสียงที่ทั้งสองคนได้ยินนั้นคือเสียงของลูกชายผู้ใหญ่บ้านเป็นไปตามที่หยางเสี้ยวได้คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด ปล่อยข่าวลือที่ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว เพื่อที่ตัวเองจะได้เก็
วันนี้เพราะมีหยางเชวียนมาด้วยทำให้หยางเสี้ยวกำลังตัดสินใจว่าจะไปที่ภูเขาอู๋หลงดีหรือไม่ เพราะการที่เขาเข้าป่าลึกไปทุกวันนั้นเขาไม่ได้บอกให้ใครรู้ ทุกคนเข้าใจว่าเขาไปขุดผักป่าและวางกับดักที่ภูเขาซิ่วสือที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของภูเขาอู๋หลง แต่หลังจากคิดไตร่ตรองรอบคอบแล้ว หยางเสี้ยวคิดว่าตัวเองสมควรจะพูดจาตกลงกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของตัวเองให้เข้าใจ ตอนนี้ท่านลุงยังไม่กลับบ้าน ลำพังอาศัยแค่ท่านปู่คนเดียวคงจะไม่ได้ ป้าสะใภ้เจ็บป่วยอ่อนแอ ท่านย่าเองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเช่นเดียวกัน หยางเสี้ยวคิดว่าที่ทุกคนร่างกายไม่แข็งแรงมักเจ็บป่วยอยู่เสมอนั้นอาจจะเป็นเพราะขาดสารอาหาร เมื่อความเป็นอยู่ไม่ดีอาหารมีไม่เพียงพอ เนื้อสัตว์คือสิ่งที่หายาก อาหารแต่ละมื้อไม่ผักป่าผัดกับน้ำเติมเกลือนิดหน่อยก็เป็นโจ๊กที่หาเม็ดข้าวไม่เจอ น้ำมันสำหรับทำอาหารนั้นเป็นสิ่งที่หายากสำหรับชาวบ้านยากจน ส่วนเกลือก็ราคาแพง แต่ที่แพงกว่าเกลือก็น้ำตาล ไม่ว่าจะอะไรล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น“อาเสี้ยว มีอะไรหรือเปล่า ข้าเห็นเจ้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นานสองนาน แล้วนี่เราจะไปขุดผักป่าที่ไหนหรือ ทำไมเจ้าพาข้าเดินมาทางนี้ล่ะ เราไม
ชาวบ้านที่รวมกลุ่มกันเข้าป่าล่าสัตว์พวกเขาเข้าป่ามาหลายวันแล้วแต่เดิมสมควรจะกลับออกจากป่าได้แล้ว เพียงแต่ว่าการเข้าป่ามาครั้งนี้ยังล่าสัตว์ใหญ่อย่างหมูป่าไม่ได้เลยสักตัว หากยังไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปไม่นับว่ามาเสียเที่ยวหรอกหรือ เพราะความเป็นอยู่ของครอบครัวล้วนยากจน การรวมกลุ่มเข้าป่าล่าสัตว์วันนี้ทุกคนพกความหวังมาเต็มเปี่ยม หากกลับไปมือเปล่าไม่เท่ากับว่าคว้าน้ำเหลวหรอกหรือเพราะเป็นแบบนี้คนทั้งกลุ่มได้ตัดสินใจเข้าไปในป่าลึกกว่าที่เคยมา การรวมกลุ่มกันออกมาล่าสัตว์ในครั้งนี้ กินเวลาไปหลายวันกว่าทุกครั้ง หากว่าอีกสองวันยังคงล่าอะไรไม่ได้เลย พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะออกจากป่ากลับบ้านทันที “พี่ใหญ่ พวกเราออกจากบ้านมาหลายวันแล้วข้ารู้สึกใจคอไม่ดีเลย ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือไม่ วันที่พวกเราเดินทางมาเสี้ยวเอ๋อร์มีไข้ ตัวร้อนมาก” หยางเทียน“น้องรองอย่าคิดมากเลย ไม่มีอะไรหรอก ทำใจให้สบายเถอะ ไม่แน่ว่าตอนนี้เสี้ยวเอ๋อร์อาจจะหายดีแล้วก็เป็นได้” หยางเทาได้แต่ปลอบน้องชาย“ถ้าหากว่าสองวันนี้ยังล่าอะไรไม่ได้อีก ข้าจะกลับบ้านแล้วล่ะ อีกอย่างข้าไม่อยากจะเข้าป่าไปลึกมากกว่านี้แล้วพี่ใหญ
หยางเสี้ยวที่เดินมุ่งหน้าไปตรวจดูกับดักที่เขาวางเอาไว้ด้วยความเร่งรีบ ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะไม่พบของกินอย่างอื่นอีกนอกจากผักป่ากับเห็ดหูหนูดำ แต่ในใจลึก ๆ เด็กน้อยหวังว่าจะมีไก่ฟ้าหรือกระต่ายป่ามาติดกับดักที่เขาวางเอาไว้บ้าง อย่างน้อย ๆ จะได้นำไปทำอาหารบำรุงร่างกาย เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่กินเนื้อคือเมื่อไหร่ ความปรารถนาของหยางเสี้ยวในตอนนี้คือ มีอาหารมากพอให้กินอิ่มในทุกวัน และมีอาหารมากพอเพื่อเก็บสะสมเอาไว้เป็นเสบียงในฤดูหนาว ที่สำคัญหลังคาบ้านคงต้องทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน เพราะดูจากสภาพของบ้านในตอนนี้คงอยู่ไม่พ้นฤดูหนาวแน่ พอหิมะตกลงมาหลังคาบ้านคงถล่มลงมาแน่ ๆ แค่คิดก็กลัวแทบแย่แล้ว ไหนจะเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่ต้องเตรียม เหมือนกับว่าเขาได้ทะลุมิติมาเพื่อทำภารกิจเอาชีวิตรอดในโลกคู่ขนานยังไงยังงั้น“เฮ้อ ชาติที่แล้วว่ายากจนแล้ว ชาตินี้ยิ่งยากจนกว่า ไหน ๆ ก็มาแล้วก็คงต้องสู้กันสักตั้ง หวังว่าจะไม่ตายรอบสองหรอกนะ ทำไมไม่เหมือนที่เราคิดเอาไว้เลยล่ะ ไม่ใช่ชีวิตที่แล้วจน พอได้มีโอกาสได้เกิดใหม่จะต้องรวยหรือเปล่า ทำไมไม่เหมือนที่คิดเอาไว้เลยล่ะ ไม่เห็นเหมือนที่นิยายเขียนเอาไว
เช้าวันต่อมาหยางเสี้ยวตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ข้อดีของการทะลุมิติมาในโลกคู่ขนานแห่งนี้ก็คือ ที่นี่มีทั้งท่านแม่ที่หน้าตาเหมือนคุณแม่ในโลกเดิมทุกอย่าง รวมถึงลักษณะนิสัยด้วย ตอนนี้หยางเสี้ยวมีความมั่นใจว่าท่านพ่อเองก็คงจะมีหน้าตาเหมือนกับคุณพ่อของเขาด้วยเช่นกัน ที่สำคัญเขาไม่ได้เป็นลูกคนเดียวโดดเดี่ยวอีกแล้ว เขามีน้องชายที่น่ารักสดใส ถึงแม้ครอบครัวจะยากจนมากก็ตามที และความยากจนนี่ล่ะที่เป็นอุปสรรคสำคัญของหยางเสี้ยว แต่ถึงจะยากจนหยางเสี้ยวก็ไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจ มีเพียงพยายามใช้ชีวิตและมีชีวิตอยู่ตราบใดที่เราพยายามพอ ความยากจนก็ไม่ใช่อุปสรรคสำคัญอีกต่อไป ไม่แน่ว่าการที่เขาทะลุมิติมาอาจจะเป็นบททดสอบในการใช้ชีวิต เหมือนกับการรับภารกิจตอนเล่นเกมออนไลน์ หากทำภารกิจสำเร็จย่อมมีรางวัลตามมา หยางเสี้ยวเชื่อเช่นนั้นหลังจากล้างหน้าล้างตาบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว หยางเสี้ยวสะพายตะกร้าเดินมุ่งหน้าไปยังลำธารที่เขาขุดหลุมดักปลาเอาไว้ วันนี้หยางเสี้ยวตั้งใจจะขึ้นเขาเผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง ตอนนี้ตัวเขาเองมาอยู่ในร่างของเด็กอายุ 8 ขวบ จึงไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนัก สำหรับการล่าสัตว์เขาทำได้เ
เสิ่นซื่อที่กลับมาจากขุดผักป่ากับเพื่อนบ้าน เมื่อมาถึงกลับพบว่าลูกชายทั้งสองไม่อยู่ในบ้าน นางหาจนทั่วแล้วแต่หาลูกชายทั้งสองไม่พบ สวนหลังบ้านก็ไม่มี เมื่อไปดูในห้องเก็บฟืนถึงได้รู้ว่าตะกร้าสะพายหลังของลูกชายทั้งสองหายไป นี่ไม่เท่ากับว่าสองพี่น้องพากันขึ้นเขาไปหรือ ลูกชายของนางยังไม่ทันได้หายดีก็ขึ้นเขาไปอีกแล้ว ด้วยความร้อนใจเสิ่นซื่อรีบออกไปตามหาทันที แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ก้าวขาออกไปพ้นประตูบ้านก็พบว่าสองพี่น้องจูงมือกันกลับมา และได้ยินเสียงลูกชายคนเล็กหัวเราะคิกคักดังลอยมา เสิ่นซื่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ “เสี้ยวเอ๋อร์เจ้าพาน้องไปที่ใดมา ไม่ใช่ว่าแม่บอกให้เจ้าพักผ่อนหรือ เจ้ายังไม่หายดีด้วยซ้ำ เสียนเอ๋อร์เหตุใดเจ้าไม่ห้ามปรามพี่ชาย ไม่ใช่แม่บอกให้เจ้าอยู่ดูแลพี่ชายหรือ”“ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ ข้าเป็นน้องชายเผื่อท่านแม่จะลืม ท่านพี่บอกว่าหายแล้ว อยากออกไปเดินเล่น พวกเราไม่ได้ไปไหนไกลเลยนะขอรับ ไปแค่ลำธารหลังบ้านเอง”“เจ้าลูกคนนี้นี่ ไม่ใช่ว่าเจ้ารบเร้าให้พี่ใหญ่ของเจ้าพาออกไปหรอกนะ”“ท่านแม่ขอรับ อย่าตำหนิน้องเลยขอรับ เป็นข้าเองที่ชวนน้องชายออกไป ข้าหายแล้วจริง ๆ ขอรับ ข้าน